http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-08-31

1 ปี 2 บาดแผลใหญ่, ลึกแต่ไม่ลับ 31ส.ค.55

.
คอลัมน์ ในประเทศ - แผนสยบ ข่าวลือ เด้ง กิตติรัตน์ เด้ง สุกำพล ต้องฉับพลัน ทันใด
รายงานพิเศษ - ทิ้ง "บอมบ์" เสถียร "ไม่" เสถียร ศึกสายเลือดทหาร ก๊ก 10 ก๊วน 11 แก๊ง 14
คอลัมน์ โล่เงิน - เดินเกมรุกสไตล์ "บิ๊กแจ๊ด" จับปืน-สางหมายจับเก่า วัดผลงานตั้ง "รอง ผบก.-ผกก."


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

1 ปี “รัฐบาลปู” หอบ 2 บาดแผลใหญ่ ขึ้นเวทีแถลงผลงาน
คอลัมน์ ในประเทศ ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1672 หน้า 9


รายงานผลงานรัฐบาล "ฉบับสมบูรณ์" ที่จะต้องแถลงครบรอบ 1 ปี ต่อรัฐสภา จะแล้วเสร็จในปลายเดือนกันยายนนี้
โดยเนื้อหาของร่างรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามแนวพื้นฐานแห่งรัฐนั้น จะประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
1.สถานการณ์การพัฒนาประเทศในช่วง 1 ปีของรัฐบาล 
และ 2. คือผลการดำเนินการของ ครม. ตามแนวนโยบายแห่งรัฐ 
ถ้อยแถลงของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีต่อรัฐสภาและประชาชน อาจจะอยู่ระหว่างการร่างคำกล่าว ตรวจทาน ปรับแต่งถ้อยคำให้ราบรื่น 
แต่ระหว่างนี้ ประชาชนจะได้เห็นการแถลงผลงานรายกระทรวงที่ "ยิ่งลักษณ์" สั่งการให้ทยอยแถลงผลงานตามความเหมาะสมของแต่ละกระทรวง ถือเป็นการเดินเกมปล่อยของเรียกน้ำย่อย ให้ประชาชนเกิดความอยากรู้อยากเห็น ว่าผลงานแต่ละกระทรวงจะมีอะไรบ้าง 
ขณะเดียวกันก็เป็นการ "รีเช็ก" ผลตอบรับ ว่าผลงานที่แถลงไปนั้น มีอะไรที่ฝ่ายค้านมืออาชีพอย่าง "ประชาธิปัตย์" จะออกมาตีจุดอ่อน ในผลงานของแต่ละกระทรวง เพื่อจะได้ให้ "มือขวา" อย่าง "นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แก้ไขเพิ่มเติม ปรับ "จุดอ่อน" เป็น "จุดแข็ง"


ในรอบสัปดาห์นี้ จึงพอได้เห็นผลงานของ 3-4 กระทรวง ประเดิมด้วย กระทรวงการต่างประเทศ ตามด้วยกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ซึ่งยังไม่มีผลตอบรับที่ประชาชนสัมผัสได้มากนัก

ขณะที่ "หมัดเด็ด" ที่ถือเป็น "ไฮไลต์" ที่ "ยิ่งลักษณ์" จะร่วมแถลงด้วย อยู่ในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ ภายใต้ชื่องาน "มุ่งมั่นทำงาน บริหารจัดการน้ำเพื่อประชาชน" ในรูปแบบนิทรรศการ และการโชว์การบริหารจัดการน้ำในปีนี้และในอนาคต เพื่อกระชาก "ความเชื่อมั่น" ของทุกภาคส่วน ทั้ง นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ทูตต่างประเทศ ตลอดจนประชาชนทั่วไป และประชาชนผู้ประสบอุทกภัยอย่างแสนสาหัส ตลอด 3 เดือน จากทั่วประเทศ ต่อการบริหารจัดการน้ำ "ล้มเหลว" ของ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" เมื่อปลายปี 2554 ที่ผ่านมา 
โดยการจัดแถลงผลงานบริหารจัดการน้ำดังกล่าว จะมีขึ้นในวันที่ 31 สิงหาคม-2 กันยายน มีการแบ่งภาคชี้แจงเป็นรอบๆ ทั้งรอบสื่อมวลชน วันที่ 31 สิงคม ช่วงเช้า, รอบทูตต่างประเทศ ช่วงสาย ก่อนที่รอบบ่ายเป็นต้นไปถึงวันที่ 2 กันยายน จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ รับฟังเพื่อสร้างความ "อุ่นใจ" ในการรับมือน้ำท่วมของรัฐบาล  
แถมยังจะมีการขนนิทรรศการทั้งหมดไป "โรดโชว์" ทั้งประเทศ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกับประชาชนในพื้นที่ประสบภัยพิบัติอีกด้วย


ทว่า ยังไม่ใช่ผลงานทั้งหมดที่ประชาชนทั้งประเทศรอคอย เพราะยังมีอีกหลายกระทรวงหลักที่จะสร้างความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาให้ประชาชน อาทิ กระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับเรื่องปากท้อง ค่าครองชีพประชาชน 
กระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและการสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน และ กระทรวงการคลัง ที่เกี่ยวกับอนาคตเศรษฐกิจของประเทศ ยังไม่มีความชัดเจนว่าการแถลงผลงานจะออกมารูปแบบใด 
แต่ที่ประชาชนและนักลงทุนรับรู้กันได้ทั่วประเทศขณะนี้ กลับเป็น "ถ้อยคำ" อัน "บาดใจ" จากปาก "ขุนคลัง-กิตติรัตน์ ณ ระนอง" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 
ที่หลุดวลีเด็ด "โกหกสีขาว" หรือ "โกหกเพื่อชาติ" (White Lie) ในการบิดเบือนตัวเลขการส่งออกปีนี้ ซึ่งเคยยืนยันกับนักลงทุนมาตลอด ว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 15 ทั้งที่ตัวเลขกลม คือร้อยละ 7 เท่านั้น!!! 
สร้างความสับสนให้กับนักลงทุน เหมือนถูกหักหลัง ขณะเดียวกันก็เปิดช่องให้ "ฝ่ายค้าน" หยิบยกมาถล่ม

"โกหกสีขาว" นอกจากจะเป็นโจทย์ยากในการคิดธีมในการแถลงผลงานของกระทรวงการคลังแล้ว ยังเป็น "แผลเป็นที่ยังไม่ตกสะเก็ด" ของรัฐบาล ในการคิดวิธีการแถลงผลงานภาพรวมของรัฐบาล  
ซึ่งสร้างความหนักใจให้ "ยิ่งลักษณ์" ไม่น้อย ที่จะต้องสรรหาคำพูด เพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนเห็นผลงานที่โดดเด่นของรัฐบาลในรอบ 1 ปีให้ได้
แม้ว่าภายหลัง "โกหกสีขาว" จะถูกชี้แจงจาก "ยิ่งลักษณ์" ที่ออกโรงป้อง "กิตติรัตน์" ว่าเป็นเจตนาที่ดี แถมโยนเป้าส่งออก 15% เป็นตัวเลขที่สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ตั้งเป้าเอาไว้ 
ตบท้ายด้วยการปลอบใจปนให้ความหวังนักลงทุนว่า ตัวเลขส่งออกที่รัฐบาลตั้งเป้าคาดการณ์จะขยาย 8-9% ในปีนี้


ไม่เพียงแค่จะทำให้ประชาชนเชื่อถือในถ้อยแถลงผลงาน 1 ปีของรัฐบาล แต่ผลโพลของสารพัดสำนักที่ออกมาร่วมต้อนรับ "ขวบปีแรกของรัฐบาล" ยังสอดคล้องกับ "โกหกสีขาว" ที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังเห็นว่าผลงานของรัฐบาล 1 ปี ยังตรงกันข้ามกับสิ่งที่รัฐบาลให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ อาทิ 
"นิด้าโพล" ได้ผลสำรวจ "ความพึงพอใจของประชาชน ต่อ 16 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล" พบว่า พึงพอใจต่อ 3 นโยบายของรัฐ คือ ประกันสุขภาพ 30 บาท, การแก้ไขปัญหายาเสพติด และการท่องเที่ยว 
ขณะที่ผลงานยอดแย่ ล้วนเป็นเรื่องปากท้องประชาชนที่ยังแก้ไม่ตก เช่น ปัญหาสินค้าราคาแพง ร้อยละ 32.12, ปัญหาน้ำท่วม ร้อยละ 19.45 และความแตกแยกของคนในชาติ ร้อยละ 18.39 ตามลำดับ
เป็นต้น



ขณะที่อีก "บาดแผล" ซึ่งเป็น "แผลสด" ที่รอวันตกสะเก็ด ของเหล่า "กองทัพ" คือ กรณี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งเด้งฟ้าผ่า พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม (กห.) เหตุจากเอาโผทหารประกาศไปยังสาธารณะ แถมส่งหนังสือฟ้อง "ยิ่งลักษณ์" และ "องคมนตรี" ด้วย งานนี้พ่วงซวยไปอีก 2 นายพล คือ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัด กห. และ พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา ไปช่วยราชการสำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
"แผลนี้" นอกจากสร้างความคับข้องใจให้กับ "วงราชการ" ในการยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลแล้ว ยังส่งผลทำลาย "มิตรภาพ" ระหว่าง "กองทัพ" กับ "รัฐบาล" ทั้งที่กองทัพเคยมีท่าทีตอบรับ "ความอ่อนโยน" และ "การให้เกียรติ" ของ "ยิ่งลักษณ์" ที่มีต่อกองทัพแบบไม่เหลือร่องรอย  
ก่อเกิดกระแส "วิพากษ์" รัฐบาล ที่ใช้การเมืองแทรกแซงการทำงานของกองทัพ แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ 
จึงเป็นอีก "แผล" ที่ยังต้องอาศัยเวลานานกว่าจะ "ตกสะเก็ด" ที่อาจทำให้การแถลงผลงาน 1 ปีรัฐบาล นั้น อยู่ในอาการสะบักสะบอมทั้งที่ยังไม่ทันได้แถลงผลงาน 
คงต้องจับตาดูว่า วันแถลงผลงานของรัฐบาล ทั้ง 2 บาดแผล จะตกสะเก็ดทันขึ้นเวทีหรือไม่ 
แต่ที่แน่ๆ เป็น 2 บาดแผลที่สาธารณชน จดจำไม่รู้ลืม แม้รัฐบาลจะตกแต่ง "บาดแผล" ด้วยวิธีใดก็ตาม



++

คอลัมน์ ลึกแต่ไม่ลับ  โดย จรัญ พงษ์จีน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1672 หน้า 8


การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระนาบปลัดกระทรวง ซึ่งปี 2555 นี้ดังที่ทราบกันดีว่า เกิดสุญญากาศครั้งใหญ่ เนื่องจากปลัดกระทรวงพร้อมใจกันเกษียณราชการ 8 คนรวด 
"กระทรวงกลาโหม" ซึ่งคลื่นลมเงียบสงบมายาวนาน กลับเกิดปรากฏการณ์ "ร้อนระอุ" องศาเดือดมากที่สุด เมื่อจู่ๆ "พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์" ปลัด กห. ที่จะเกษียณในวันที่ 30 กันยายน สวมบทบู๊หมูไม่กลัวน้ำร้อน ออกมาโวยวาย "พล.อ.สุกำพล สุวรรณทัต" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า ทำการล้วงลูกบัญชีแต่งตั้งโยกย้าย และระบุว่า ได้ทำหนังสือขออนุญาตเข้าพบ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกฯ เพื่อทำการร้องเรียน ว่าการแต่งตั้งนายทหารประจำปีนี้ ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการ 
พร้อมทั้งเข้าพบ "พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์" องคมนตรี เพื่อร้องเรื่องดังกล่าวแล้ว และกำลังจะนำสำเนาบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารเข้ามอบให้กับ "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" ประธานองคมนตรี ที่บ้านสี่เสาฯ ในลำดับถัดไปอีก 
ตำแหน่งที่ "พล.อ.เสถียร" หยิบมาเป็นเงื่อนไข เดินสายต่อต้าน คือ ปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่ง "พล.อ.อ.สุกำพล" ต้องการจะเสนอชื่อ "พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน" ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ข้ามห้วยมาหยิบชิ้นปลามัน แต่ทาง "พล.อ.เสถียร" เสนอชื่อ "พล.อ.ชาตรี ทัตติ" รองปลัด กห. ซึ่งเจ้าตัวเห็นว่า มีลำดับอาวุโสสูงกว่าตรงที่ รองปลัด ครองยศระนาบจอมพลอยู่แล้วโดยตำแหน่ง 
แม้ว่า "พล.อ.ชาตรี" โดยพรรษาจะอายุอ่อนกว่า หรือหากว่ากันในเรื่องของรุ่น คือจบ ตท.รุ่น 14 ขณะที่ "พล.อ.ทนงศักดิ์" ตท.11 เพื่อนร่วมรุ่นกับ "พล.อ.เสถียร"

ข่าว "พล.อ.เสถียร" ลุกขึ้นมาต้านโผโยกย้าย กระหึ่มเมืองชั่วข้ามคืน ทาง "พล.อ.อ.สุกำพล" ก็ตัดสินใจ "เช็กบิล" โดยพลัน ด้วยการออกคำสั่ง ย้ายฟ้าผ่าพ้นปลัดกระทรวงกลาโหมไปช่วยราชการสำนักงานรัฐมนตรีกลาโหม โดยในการนี้ "พล.อ.ชาตรี ทัตติ" และ "พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์" เจ้ากรมเสมียนตรา ติดร่างแหเป็นเสือลำบากตามไปด้วย 
การลงดาบเชือด นายทหารระนาบปลัดกระทรวงกลาโหม เด้งกลางอากาศ น่าจะจุดชนวนให้รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เผชิญหน้าปัญหาใหญ่ทั้ง "ศึกนอก-ศึกใน" 
แต่กลับ "จุดไม่ติด" แม้จะมีคนเพียรพยายาม เนื่องจากว่าเมื่อพลิกปูมดูกันอย่างถ่องแท้แล้ว ปรากฏว่า "พล.อ.เสถียร" เองถูกมองว่าเป็น "ทหารแตงโม" ภรรยาคือ "นางณัฐณิชาช์ เพิ่มทองอินทร์" นายกเทศมนตรี ต.คำขวาง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย และเป็น "แกนนำเสื้อแดง" แถวหน้าในภาคอีสานคนหนึ่ง 
โยกย้ายเมื่อฤดูกาลที่แล้ว "พล.อ.เสถียร" อาศัยจุดนี้เบียดแทรกเพื่อนร่วมรุ่น ตท.11 "พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์" เข้าป้ายนั่งปลัดกระทรวงกลาโหม "ศึกนอก" จากสีต่างๆ จึงปลุกไม่ตื่น



ขณะที่ "ศึกใน" คือ 3 เหล่าทัพ การดัน "พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน" ขึ้นลิฟต์เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ทำให้ "เพาเวอร์บาลานซ์" ลงตัวหลายกรรมหลายวาระ เพราะนอกจากจะช่วยเปิดไลน์ ระนาบ 5 เสือ ทบ. ในตำแหน่ง ผู้ช่วย ผบ.ทบ. เพิ่มขึ้นมาได้อีก 1 ที่นั่ง เอื้อประโยชน์ให้ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" แต่งตั้งโยกย้าย หมุนเวียนได้สะดวกสบายขึ้นมาก 
และก่อนที่จะเกิดเกม "หักเหลี่ยมโหด" กัน มีการคุยนอกรอบกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ระหว่าง "พล.อ.อ.สุกำพล" กับ ผบ. 3 เหล่าทัพ ประกอบด้วย "พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร" ผบ.สส. "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ผบ.ทบ. "พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์" ผบ.ทร. และ "พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์" ผบ.ทอ. 
ทั้งหมดเห็นด้วยกับการผลักดัน "พล.อ.ทนงศักดิ์" ขึ้นไปนั่งปลัด กห. เพราะเป็นรุ่นพี่ ตท.11 ขณะที่ "พล.อ.ชาตรี ทัตติ" ตท.รุ่น 14 แม้จะติดติ่ง "อัตราจอมพล" แต่ไม่ใช่ปัญหา ประเด็นว่าด้วยสายบังคับบัญชา ที่ดูกระโดกกระเดกสำคัญกว่า เพราะทั้ง ผบ.สส. และ ผบ. 3 เหล่าทัพ ล้วนมาจาก ตท.รุ่น 12 กับ ตท.รุ่น 13 

จุดลงตัวจาก "พล.อ.ทนงศักดิ์" ไม่เพียงเปิดเส้นทางสะดวก ลื่นไหลในกองทัพบกเท่านั้น "ทัพฟ้า" อากาศก็ปลอดโปร่ง เนื่องจากว่า "บิ๊กโอ๋" ลูกสีเทาด้วยกัน แม้จะคนละเส้นสายกลุ่มเลือดใหม่ที่มีอำนาจอยู่  แต่ไม่ติดขัดหรือ ทลายห้างใหม่ กรณีที่ "พล.อ.อ.อิทธพร" เสนอชื่อ "พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง" ผู้ช่วย ผบ.ทอ. ขึ้นเป็น แม่ทัพอากาศคนใหม่ "พล.อ.อ.สุกำพล" ไม่ขัดขวาง
กองทัพเรือ ก็พลอยโล่งใจ เนื่องจาก "พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์" จะมีเพื่อนรักจาก ตท.13 ผงาดขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการเพิ่มขึ้นมาอีกคน คือ "พล.อ.อ.ประจิน"
สัดส่วนในตำแหน่งหมายเลข 1 ในกองทัพจึงลงตัว ด้วยความสมบูรณ์ ตามสูตร "เพาเวอร์บาลานซ์" หลังจาก วันที่ 1 ตุลาคม คือ 1."พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน" ตท. 11 เป็นปลัดกลาโหม 2."พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร" ตท.12 เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด 3."พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ตท.12 เป็นผู้บัญชาการทหารบก 4."พล.ร.อ.สุรศกดิ์ หรุ่นเริมรมย์" ตท.13 เป็นผู้บัญชาการทหารเรือ 5."พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง" ตท.13 เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ เท่ากับ 11-12-12-13-13

และเพื่อนร่วมรุ่น ตท.13 ได้ของแถมมาแจมอีกราย คือ "พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว" ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ใหม่ถอดด้าม ก็ ตท.13 เพื่อนรักทั้ง "พล.ร.อ.สุรศักดิ์-พล.อ.อ.ประจิน"



+++

แผนสยบ ข่าวลือ เด้ง กิตติรัตน์ เด้ง สุกำพล ต้องฉับพลัน ทันใด
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1672 หน้า 8


ทําไม นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี จึงต้องออกมาชี้แจง
"การบอกกล่าวหรือพูดถึงเป้าหมายตัวเลขทางเศรษฐกิจเป็น "โกหกสีขาว" ที่เป็นเรื่องปกติของนักเศรษฐศาสตร์"
ทั้งๆ ที่ตำแหน่งประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง 
เกี่ยวข้องกับการออกมา "โกหกสีขาว" ของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ในเรื่องเป้าหมายการส่งออกที่ร้อยละ 15 
และตัวของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ก็ออกมาย้ำยืนยันว่า ไม่เคยคิดที่จะลาออกจากกรณี "โกหกสีขาว"

กระนั้น หากสังเกตกระแสการไหลเลื่อนของ "ข่าวสาร"
การออกมาแถลงของ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ย่อมมีความจำเป็นอย่างสูง เพราะบางกระแสข่าวไปไกลถึงขนาดมีการประสานพลังระหว่าง นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ กับ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริยเดช เพื่อเอา นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ออกจากตำแหน่ง
ทั้งๆ ที่ไม่มีมูล


เหมือนกับกรณีที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งย้าย พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ไปช่วยราชการในสำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 
ก็มีข่าวในลักษณะ "เจ๊าะแจ๊ะ" ออกมาจากคนใกล้ชิดอ้างคำพูดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า
"ไม่น่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่"
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง สายสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีความแนบแน่นอย่างสูง

ข่าวที่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะไปนั่งว่าการกลาโหม ก็เสมอเป็นเพียงข่าวลือ 
ยิ่งกว่านั้น การย้ายระนาบปลัดกระทรวงกลาโหม หาก พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ไม่หารือกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่หารือกับ "คนแดนไกล" ที่มหานครดูไบแล้ว ก็ยากเป็นอย่างยิ่งจะสามารถทำได้ 
ข่าวลือจึงเสมอเป็นเพียงข่าวลือ
ไม่ว่าข่าวลือกรณี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ไม่ว่าข่าวลือกรณี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ยากที่ปรากฏได้ในทางเป็นจริง
เป็นข่าวประเภทชกลม



กระนั้น ก็มีความจำเป็นอย่างสูงที่บุคคลระดับ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ และบุคคลระดับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เองจักต้องออกมาสยบ
เพราะบทบาทของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นั้นสูง
เพราะบทบาทของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เท่ากับเป็นการรุกคืบเข้าไปในกองทัพเพื่อสานไมตรีในระยะยาวไกล

นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ จึงต้องออกมายืนอยู่ข้างหลัง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง
ขณะเดียวกัน จังหวะก้าวของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจึงต้องมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยืนเรียงอยู่เคียงข้างเพื่อให้เดินหน้าจัดระบบภายในกระทรวงกลาโหมได้อย่างราบรื่น
เอกภาพเหนียวแน่น มั่น



+++

ทิ้ง "บอมบ์" เสถียร "ไม่" เสถียร ศึกสายเลือดทหาร ก๊ก 10 ก๊วน 11 แก๊ง 14
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1672 หน้า 15


ทิ้ง "บอมบ์" เสถียร "ไม่" เสถียร ศึกสายเลือดทหาร ก๊ก 10 ก๊วน 11 แก๊ง 14 
ไม่ใช่ละคร ไม่ใช่ดราม่า แต่เป็นเรื่องจริง ชีวิตจริง ที่เกิดขึ้นจริง 
หากแต่เป็นเรื่องจริงที่ทหารทั้งกองทัพไม่คิดว่า เหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้จะอุบัติขึ้น 
เป็นเรื่องจริงที่มี ตัวละคร เบื้องหลังมากมาย ที่ต่างก็มีเกมซ่อนเงื่อน ลับ ลม คมใน 
เพราะไม่ใช่แค่การแย่งชิงอำนาจของทหารแตงโมสายพรรคเพื่อไทย ซี้ทักษิณด้วยกันเท่านั้น แต่ยังมีศึกสายเลือดเตรียมทหาร ของทั้ง ตท.10 ตท.11 และ ตท.14 ที่ต่างแบ่งเป็นมุ้งเล็กมุ้งใหญ่ ก๊วน ก๊ก แก๊งอีกด้วย  
ศึกการแย่งชิงอำนาจครั้งนี้ จึงทำให้กระทรวงกลาโหมทั้งแตก ทั้งร้าว อาจจะเกินเยียวยา

แทบไม่มีใครอยากเชื่อ ตั้งแต่ บิ๊กเปี๊ยก พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกลาโหม ตัดสินใจทำหนังสือร้องเรียน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อ 24 สิงหาคม โวย บิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ล้วงลูกการแต่งตั้งปลัดกลาโหมคนใหม่ และแทรกแซงการจัดโผโยกย้ายในส่วนของสำนักปลัดกลาโหม พร้อมขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อชี้แจงด้วยตนเอง
โดยอ้างพฤติการณ์ของ พล.อ.อ.สุกำพล ว่าเป็นการก้าวก่ายแทรกแซง ใช้อำนาจที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 266 มาตรา 268 มาตรา 279 มาตรา 280 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2551 ข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล พ.ศ.2551 รวมถึงระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วย ประมวลจริยธรรม พ.ศ.2551 
เกิดคำถามมากมายว่า พล.อ.เสถียร ไปกินดีหมีที่ไหนมา หรือมีใครยุยงให้ประกาศศึกกับ พล.อ.อ.สุกำพล


พล.อ.เสถียร เสนอชื่อ บิ๊กกี๋ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกลาโหม หนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ เพราะอีก 3 คนเกษียณราชการหมด 
ไม่ใช่เพราะอาวุโสที่สุด ชอบธรรมที่สุดเท่านั้น แต่ในทางส่วนตัว ทั้ง พล.อ.ชาตรี สนิทสนมซี้ปึ๊กกับทั้ง พล.อ.เสถียร และกับ คุณแม่อู๊ด ดร.ณัฐณิชาช์ เพิ่มทองอินทร์ ภริยาคนดังของ พล.อ.เสถียร อย่างมากด้วย 
อาจเรียกว่า เป็นคอนเน็กชั่นของหลังบ้านของ พล.อ.เสถียร และ พล.อ.ชาตรี ที่สุดแสนจะสนิทแนบแน่น และทำงานในนายกสมาคมภริยาสำนักปลัดกลาโหมด้วยกัน 
แถมยังเป็นที่ร่ำลือว่า พล.อ.เสถียร ก็สุดแสนจะเกรงใจและเกรงกลัวต่อคุณแม่อู๊ด ซึ่งเป็นผู้หญิงใจถึงพึ่งได้ ใจนักเลง จึงเป็นนักการเมืองท้องถิ่นแห่งวารินชำราบ ที่โด่งดังและคุมคะแนนเสียงให้พรรคเพื่อไทยอย่างมาก

ประการหนึ่งคือ การที่ พล.อ.เสถียร ได้ข้ามจากประธานที่ปรึกษา บก.กองทัพไทย มาเสียบเป็นปลัดกลาโหม ในการโยกย้ายปี 2554 ที่ผ่านมานั้น ก็เป็นเพราะพลังของคุณแม่อู๊ด ภริยาสุดเปรี้ยวของเขาด้วย 
นี่จึงทำให้ชื่อเสียงของคุณแม่อู๊ด และ พล.อ.เสถียร ยิ่งขจรขจายว่า "เข้าถึงทักษิณ" และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่าลืมว่า ตอนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่สบาย อาหารเป็นพิษ นอน รพ.พระราม 9 นั้น ก็มีแต่ พล.อ.เสถียร และภริยา ที่เป็น ผบ.เหล่าทัพ ที่ไปเยี่ยมไข้เท่านั้น 
และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ พล.อ.เสถียร และทีม กล้าที่จะฟ้องนายกฯ และจะใช้ข้อกฎหมายฟ้องร้อง พล.อ.อ.สุกำพล ที่ล้วงลูกโผทหาร 
ไม่แค่นั้น การที่ พล.อ.ชาตรี คือน้องรักของ บิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ คนเก่าแก่ของพรรคเพื่อไทย ก็ทำให้มีแนวร่วมไม่น้อย


แต่ในที่สุด พล.อ.อ.สุกำพล ในฐานะเพื่อน ตท.10 สายแข็ง ก็ต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า ใครแน่ ใครเจ๋งกว่ากัน ใครเส้นใหญ่กว่าใคร ใครเข้าถึงทักษิณ มากกว่ากัน ด้วยการทำสิ่งที่แรงกว่า และแทบไม่น่าเชื่อคือการ สั่งย้าย พล.อ.เสถียร มาช่วยราชการสำนัก รมว.กลาโหม โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กลาโหม ปี 2551 พร้อมพวก ลงวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2555 
เพราะก่อนที่จะเซ็นคำสั่งเชือดนั้น ได้มีการแจ้งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับทราบทั้งก่อนและหลัง เพราะก่อนหน้ามีรายงานว่า พล.อ.อ.สุกำพล ขอให้นายกฯ เซ็นย้าย พล.อ.เสถียร ให้มาช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี แต่เธอไม่ทำ ไม่อยากเกี่ยวข้อง ให้แก้ปัญหาภายในเอง พล.อ.อ.สุกำพล จึงต้องใช้อำนาจของตนเองย้ายภายใน 
หลังการลงนาม เมื่อราวบ่ายโมงวันจันทร์ 27 สิงหาคม แล้ว พล.อ.อ.สุกำพล ก็เดินทางออกจากกลาโหมกลับบ้านพักที่ ก.ม.27 ย่านลำลูกกา ทันที ปล่อยให้ พล.อ.เสถียร และพวกช็อก เพราะคาดไม่ถึงว่า พล.อ.อ.สุกำพล จะเล่นไม้นี้  
"ตกลง พี่โอ๋ เค้าจะเอายังไงกับพี่" พล.อ.เสถียร เอ่ยถาม ก่อนที่จะถูกเชือดแค่ไม่กี่นาที 
งานนี้ พล.อ.อ.สุกำพล ได้แสดงแสนยานุภาพของประโยคที่เขาพูดเสมอว่า "ถ้าเป็น รมว.กลาโหมแล้วทำอะไรไม่ได้เลย จะเป็นไปทำไมวะ"

อีกทั้ง การที่เขาเสนอชื่อ บิ๊กเล็ก พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผช.ผบ.ทบ. มาเป็นปลัดกลาโหมนั้น ก็เป็นบัญชาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ได้มีการพูดคุยกันเมื่อครั้งไปอวยพรวันเกิดที่ฮ่องกง 
พล.อ.อ.สุกำพล ซึ่งเป็นเหยี่ยวอากาศอยู่แล้ว ย่อมไม่ยอมให้ใครมาลูบคม 
"เล่นเราแรงก่อน" บิ๊กโอ๋ บ่น 
"มันเคยดูตัวเองมั้ยว่า ปีที่แล้วมันมาเป็นปลัดกลาโหม ได้ยังไง" พล.อ.อ.สุกำพล ย้ำ 
จึงทำให้ คำสั่งย้ายยกพวง 3 พลเอก ครั้งนี้ มี บิ๊กหน่อง พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา ซึ่งเป็นเพื่อนซี้ ตท.14 ของ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกลาโหม จึงโดนไปด้วย ในฐานะที่ไม่ให้ความร่วมมือในการจัดโผโยกย้ายทหาร และให้คำปรึกษาด้านกฎระเบียบและกฎหมาย
แรงยุไม่ให้ พล.อ.เสถียร ลงนามในโผโยกย้ายทหารซะอย่าง รมว.กลาโหม ก็จะทำอะไรไม่ได้ โผก็ต้องยื้อไปเรื่อยๆ 
แต่ที่ พล.อ.อ.สุกำพล และ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่พอใจ คือ การที่ พล.อ.เสถียร ขอเข้าพบ ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อร้องเรียน เพราะเห็นว่า พล.อ.เปรม จะต้องกลั่นกรองงานทหารและความมั่นคง ก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ก็หวังให้ป๋าเปรมดึงโผหรือให้แก้ไข
เช่นเดียวกับที่ พล.อ.เสถียร ไปขอพบ บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เพื่อร้องเรียนเรื่องเดียวกัน
ท่ามกลางเสียงตำหนิจากแกนนำรัฐบาลและแกนนำเสื้อแดง ที่ไปฟ้อง พล.อ.เปรม และ พล.อ.สุรยุทธ์ 
ทั้งๆ ที่ พล.อ.เสถียร ถูกมองว่าเป็นทหารแตงโม เป็นทหารสีแดง แต่กลับไปอ้อนวอนต่ออำมาตย์ อีกทั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ นั้น เมื่อตอนขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ก็มาจาก พลเอก ธรรมดา ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. ด้วยซ้ำ จึงยิ่งทำให้ พล.อ.เสถียร เสียคะแนนในสายสีแดง 
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจเลยที่ พล.อ.อ.สุกำพล ลงนามย้ายแบบ "ยกพวง" ทั้ง พล.อ.เสถียร พล.อ.ชาตรี และ พล.อ.พิณภาษณ์ ในฐานะ "เดอะแก๊ง" ของ ตท.14 
ทำให้ที่ พล.อ.เสถียร หวังจะบอมบ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่เป็นไปตามหวัง 
แถมยังทำให้สถานะ พล.อ.เสถียร ที่ควรจะ "เสถียร" กลายเป็นไม่เสถียรในพริบตา



ต้องเข้าใจว่า การที่ พล.อ.ชาตรี และ พล.อ.พิณภาษณ์ และก๊วน ตท.14 ต้องหนุนหลังให้ พล.อ.เสถียร สู้นั้นเพราะรู้ว่า พล.อ.อ.สุกำพล จะดัน บิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผอ.สำนักนโยบายและแผนกลาโหม เพื่อน ตท.14 ต่างก๊วน ขึ้นมาเป็นรองปลัดกลาโหม และกลัวว่า พล.อ.นิพัทธ์ จะขึ้นมาเป็นปลัดกลาโหม แทน พล.อ.ทนงศักดิ์ ที่จะเกษียณในปี 2556 
และเกรงว่า อาจจะมีทหารของพรรคเพื่อไทย มาเสียบเป็นปลัดกลาโหม ในปีหน้าอีกคน ขัดตาทัพ ก่อน พล.อ.นิพัทธ์ ซึ่งมีอายุราชการถึงปี 2559 จะขึ้นต่อยาว เพราะในโผของ พล.อ.อ.สุกำพล นี้ พล.อ.ชาตรี ถูกเตะไปเป็นจเรทหารทั่วไป มันจึงมีเรื่องของการแบ่งขั้วแบ่งก๊วนใน ตท.14 มาผสมปนเปอีกด้วย  
แม้ว่าก่อนหน้านี้ พล.อ.นิพัทธ์ จะเคยเคลียร์ใจกับ พล.อ.ชาตรี แล้วว่า ตัวเขาเองไม่ได้ต้องการจะขึ้นรองปลัดกลาโหม หรือคิดจะเป็นปลัดกลาโหม เพราะเขาเองอยากกลับกองบัญชาการกองทัพไทย เพื่อไปทำงานด้านการต่างประเทศและการฝึกแบบที่ถนัดมากกว่า

เรื่องนี้จึงไม่จบง่ายๆ เพราะให้มีการจับตาบทบาท พล.อ.เปรม และ พล.อ.สุรยุทธ์ นับจากนี้ แม้ว่าโผจะถูกส่งจากนายกฯ เพื่อทูลเกล้าฯ แต่ก็ไม่ง่าย มีบางกระแสระบุว่า โผโยกย้ายปีนี้จะคลอดช้า อาจจะหลัง 11 ตุลาคมด้วยซ้ำ 
และนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ พล.อ.เปรม ไม่เปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ ให้ พล.อ.อ.สุกำพล นำ ผบ.เหล่าทัพ มาอวยพรวันเกิด 92 ปี เมื่อ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา คงมีแต่การให้ พล.อ.สุรยุทธ์ ลูกป๋าคนโปรด เข้าอวยพรเท่านั้น ซึ่งคาดกันว่า พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ได้รายงานป๋า เรื่องที่ พล.อ.เสถียร ได้มาพบแล้ว 
เหล่านี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ พล.อ.เสถียร ในวันที่ออกจากกลาโหม วันที่ถูกเด้งฟ้าผ่า เขาจะไม่มีสีหน้าร้อนรนใดๆ แต่กลับยิ้มกริ่ม อมยิ้ม ชูนิ้วโป้ง และชูสองนิ้ว แม้ว่าขอบตาจะแดงเรื่อๆ อยู่บ้างก็ตาม 
ราวกับว่าจะรอดูชะตากรรมของ พล.อ.อ.สุกำพล ผบ.เหล่าทัพ และโผทหารโผนี้


แต่ พล.อ.อ.สุกำพล มองว่า เขาจะกุมบังเหียนได้ เพราะทำโดยยึดหลักกฎหมาย และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และเพื่อความเรียบร้อย "ไม่ใช่เพื่อความสะใจ" 
"เป็นเรื่องที่น่าละอาย ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะมีทหารรุ่นพี่ ที่เกษียณเก่าๆ ไปแล้ว โทร.มาให้กำลังใจก็มี โทร.มาบอกว่า ทำไมมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ผมไม่อยากให้มีการแบ่งก๊กแบ่งก๊วน แอบไปให้กฤษฎีกาตีความ หรือไม่ควรให้ครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้อง และควรจะคุยกันดีๆ แบบพี่น้อง ผมคุยง่าย" บิ๊กโอ๋ กล่าว 
และยังเป็นการเรียกเสียงเฮ เพราะคืนความชอบธรรมให้ บิ๊กอู๊ด พล.อ.วิทวัส รัชตะนันทน์ รองปลัดกลาโหม ที่ได้มารักษาการปลัดกลาโหม 35 วันก่อนเกษียณ ในฐานะที่เขาเคยถูก พล.อ.เสถียร ชิงเก้าอี้นี้ตัดหน้าไปเมื่อโยกย้ายปลายปีที่แล้ว 
"ผมทำผมรับผิดชอบ ก่อนจะเซ็นผมมั่นใจว่าอยู่ในอำนาจ และถูกต้องตามกฎหมาย แม้ไม่อยากทำ แต่เป็นทหารจะต้องเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นปกครองไม่ได้" พล.อ.อ.สุกำพล
แต่ปฏิบัติการ "เชือด" 2 จอมพล 1 พลเอก ครั้งนี้ ทำให้ภาพของ พล.อ.อ.สุกำพล ดุเข้มมากขึ้น จนถึงขั้นที่ พล.อ.เสถียร เอามาทิ้งระเบิดไว้ว่า "ผมทำตามความถูกต้อง แต่เมื่อถูกลักษณะนี้ก็ไม่เป็นไร อีกหน่อย ผบ.เหล่าทัพ มันก็โดนเหมือนกัน ผมเป็นตัวแบบให้" พล.อ.เสถียร กล่าวเพื่อเตือนสติ ผบ.เหล่าทัพ ที่ต่างไปหนุน พล.อ.ทนงศักดิ์ ให้เป็นปลัดกลาโหม ตามทีที่ พล.อ.อ.สุกำพล ต้องการ

"ผมจะดู case by case เพราะ ผบ.เหล่าทัพ ไม่ได้มีปัญหาอะไร น่ารัก ทำงานกันได้ เขามีความรับผิดชอบที่ดี น่ารักทุกคน" พล.อ.อ.สุกำพล สยบเสียงเย้ยเตือนของ พล.อ.เสถียร 
"ผมคุยกับ ผบ.สส. และ ผบ.เหล่าทัพ แล้ว ทุกคนเห็นด้วยหมด มีเสถียรคนเดียว ที่มีปัญหา" บิ๊กโอ๋เผย 
ดังนั้น ต่อให้ยังไม่มีการย้าย พล.อ.เสถียร เข้ากรุ ในการโหวตของคณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายนายพลตาม พ.ร.บ.กลาโหม ทั้ง 6 เสียง ชื่อของ พล.อ.ทนงศักดิ์ ก็จะฉลุย เป็นปลัดกลาโหม เพราะทั้ง ผบ.สส. และ ผบ.เหล่าทัพ ต่างเห็นด้วย คงมีเพียง พล.อ.เสถียร เสียงเดียว ที่ยันชื่อของ พล.อ.ชาตรี 
ยื่งเมื่อส่ง พล.อ.เสถียร ไปช่วยราชการสำนัก รมว.กลาโหม แล้ว การประชุมบอร์ดในวันพฤหัสบดี 30 สิงหาคม ก็จะกลายเป็นมติเอกฉันท์ 6 เสียง ให้ พล.อ.ทนงศักดิ์ เป็นปลัดกลาโหม เพราะ พล.อ.วิทวัส รักษาการปลัดกลาโหม ก็ต้องโหวตในทางเดียวกัน 

แต่ก็ต้องดูว่า ผลการหารือของผู้นำทหาร ซึ่ง บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. ได้เชิญทั้ง บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. และบิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. หารืออีกครั้งเมื่อพุธ 29 สิงหาคม เพราะมีกระแสข่าว "ตาอยู่" ตามมา 
เพราะมีนายทหารจอมพลอีกหลายคน ทั้ง บิ๊กหนู พล.อ.อ.บุญยฤทธิ์ เกิดสุข รอง ผบ.สส. ซึ่งเป็น ตท.11 แต่มีอายุราชการปี 2557 หรือ จาก ตท.12 ทั้ง บิ๊กตี๋ พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร เสธ.ทหาร บิ๊กโอ๋ พล.ร.อ.ยุทธนา ฟักผลงาม รอง ผบ.สส. และ บิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง ผบ.ทบ. ที่เหลืออายุราชการแค่ปีเดียว หรือแม้แต่ นายพลโลกลืม อย่าง บิ๊กอ๊อด พล.อ.คณิต สาพิทักษ์ อดีตแม่ทัพภาค 1 แห่งบูรพาพยัคฆ์ ที่ถูกดองตายในประธานที่ปรึกษา รมว.กลาโหม ทั้งๆ ที่เป็น ตท.13 และอาวุโส 
แต่ทว่า เพราะ พล.อ.ทนงศักดิ์ นั้นแรงตั้งแต่ต้น เพราะนอกจากเป็นทหารในสายพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังมี "กองเชียร์" และ..เข้าถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ช่วยอีกแรงจึงทำให้มีใบสั่ง 
และส่งผลให้ พล.อ.อ.สุกำพล ต้องนำเข้าให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดูตัวและแสดงวิสัยทัศน์เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาไปแล้ว อันเป็นการประกาศตัว



เก้าอี้ปลัดกลาโหมเคยทำให้ ตท.11 ร้าวฉานมาแล้ว ตอนที่ พล.อ.เสถียร ประธานรุ่น แย่งกับ พล.อ.วิทวัส ก็ยังไม่จบ มาถึง พล.อ.เสถียร ที่ค้าน พล.อ.ทนงศักดิ์ เป็นปลัดกลาโหม 
"ผมยอมให้เพื่อนด่า แต่ผมต้องยึดความถูกต้อง มิเช่นนั้นต่อไปหลักการจะเสียหาย ไม่ใช่ว่าจะมาล้วงลูก จะเอาใครก็ได้ตามอำเภอใจมันคงไม่ใช่ ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ถ้าทำดีแล้วโดน ก็ต้องยอมรับสภาพ แต่ผมเสียใจ เพราะผมทำตามความถูกต้อง ยอมเสียสละทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตยังยอม" พล.อ.เสถียร กล่าว 
"ผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมเสถียรเขาไม่สนับสนุนผม ทั้งๆ ที่เป็นเพื่อนกัน เพื่อนสนิทกันด้วย เพราะผมกับเขาถูกเรียกว่าเป็น "แฝด" กันเลย" พล.อ.ทนงศักดิ์ กล่าว 
แต่ตำนานของ ตท.11 กลับต้องมาจบตรงที่ พล.อ.เสถียร ต้องเสียเก้าอี้ปลัดกลาโหมในเดือนสุดท้ายก่อนจะเกษียณ แล้ว พล.อ.วิทวัส ก็ได้รักษาการปลัดกลาโหม มีฝันที่เป็นจริงในเดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ 35 วัน
แม้ว่า พล.อ.อ.สุกำพล จะแถลงเหตุที่ต้องย้าย พล.อ.เสถียร เพราะนำความลับเรื่องการถกโผทหารมาเปิดเผย และร้องเรียนนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่ยังไม่เสร็จสิ้นขั้นตอนก็ตาม แต่ข้อหาจริงๆ คือ "กระด้างกระเดื่อง" และคบคิดกันเป็นก๊วนในการท้าทายอำนาจ รมว.กลาโหม 
พล.อ.เสถียร จึงยืนยันว่า ไม่ได้เป็นคนปล่อยหนังสือร้องเรียนถึงนายกฯ ให้เป็นข่าว เพราะตีตราลับมาก และไม่ได้ทำให้เอกสารรั่วไหล


แม้ พล.อ.เสถียร บอกว่ายอมรับสภาพ จะไม่ฟ้องร้อง แต่ พล.อ.ชาตรี นั้นไม่ยอม จะสู้ในเรื่องข้อกฎหมาย เพราะอายุราชการที่เหลือ 3 ปีนั้นสูญสิ้น
เพราะหลังถูกเชือดในวันที่ 27 สิงหาคม วันรุ่งขึ้น พล.อ.อ.สุกำพล ก็มีคำสั่งมอบหมายงานให้ พล.อ.เสถียร ให้คำปรึกษาและดูแลด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติและทหารพัฒนาใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ เช่นเดียวกับ พล.อ.พิณภาษณ์ ส่วน พล.อ.ชาตรี นั้น ได้รับมอบให้ดูงานการบรรเทาสาธารณภัยพิบัติ 
ที่สำคัญคือ ไม่ให้มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันในกลาโหม ด้วยการให้ไปนั่งทำงานที่กลาโหมเมืองทองธานี ที่แน่นอนว่า เขาทั้ง 3 คงไม่ต้องไปทำงาน แต่อาจเอาเวลามาหาทางในการต่อสู้ ทั้งทางเปิดเผย ด้านกฎหมาย และการต่อสู้ในทางใต้ดิน แม้ว่า พล.อ.อ.สุกำพล จะเปิดช่องให้ทั้ง 3 พลเอกมาพบเพื่อเคลียร์ใจกันก็ตามที 
เนื่องจากการเชือดทั้ง 3 พลเอก ครั้งนี้ ทำให้ลูกน้องและผองเพื่อนของพวกเขาเดือดร้อนกันหมด ทั้งแต่ระดับล่างยันระดับนายพล อีกทั้งโผโยกย้ายครั้งนี้ พล.อ.วิทวัส ก็จะเป็นการจัดใหม่หมด ไม่เอาตามที่ พล.อ.เสถียร ได้จัดเอาไว้แน่นอน

แต่เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ พายุใหญ่ อยู่ที่หลายฟ้านั่น และคลื่นใต้น้ำ ก่อตัว พร้อมสึนามิที่เบื้องใต้ ที่พร้อมจะถล่มทั้งกลาโหม และกองทัพ 
ไม่แค่นั้น อาจจะถล่ม พล.อ.อ.สุกำพล เองอีกด้วย แม้ว่าครั้งนี้ จะแสดงความเด็ดขาด เป็นคนจริง แต่ก็ทำให้กองทัพสะเทือนอย่างแรง เพราะทหารไม่เคยเล่นงาน หรือทำกันแบบนี้ แม้ว่า พล.อ.เสถียร จะเล่นแรงก่อนก็ตาม แต่ พล.อ.อ.สุกำพล ก็แรงตอบกลับ 
ทั้งๆ ที่ทั้ง พล.อ.อ.สุกำพล พล.อ.เสถียร และ พล.อ.ทนงศักดิ์ หรือแม้แต่ พล.อ.ชาตรี ถือเป็น นายทหารในสายอำนาจของพรรคเพื่อไทยด้วยกัน แต่กลับทะเลาะกันเอง เพราะคำว่า อำนาจ แม้ว่าจะเป็นบัญชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ตาม 
แต่ก็ยอมรับว่า ภาพพจน์ของทั้ง พล.อ.เสถียร และ พล.อ.อ.สุกำพล นั้น เสียหายทั้งคู่ในฐานะที่เป็นพี่น้องเตรียมทหาร และร่วมสายอำนาจเดียวกัน 
ดังนั้น โอกาสที่ พล.อ.เสถียร จะลุ้นเป็น รมว.กลาโหม หลังเกษียณ ก็คงหมดไป

แต่ก็ใช่ว่า เก้าอี้ รมว.กลาโหม จะตกเป็นของ พล.อ.อ.สุกำพล ไปยาวนาน เพราะอาจจะแค่จัดโผทหารครั้งนี้เสร็จ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็อาจจะเอานายทหารคนใหม่มาเป็นตัวละครใหม่ มาเป็น รมว.กลาโหม คนใหม่ 
โดยเฉพาะนายทหารที่เงียบๆ อย่าง บิ๊กโอ๋ พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต หัวหน้าฝ่าย เสธ.ประจำ รมว.กลาโหม เพื่อนซี้ ตท.10 ที่เก็บตัวเงียบในศึกสายเลือดกลาโหมครั้งนี้ ทั้งๆ ที่วงในนั้นรู้ดีว่า บทบาทของ พล.อ.พฤณฑ์ เป็นอย่างไร อยู่อีกฝ่ายหนึ่ง
แต่ทว่า เขาจะกลายเป็นเต็งหนึ่ง หากมีการเปลี่ยน รมว.กลาโหม คนต่อไป เพราะเขาจะเกษียณกันยายนนี้ และอย่าลืมว่า "น้องจุ๊บจิ๊บ" ลูกสาวคนสวยของเขากำลังคบหากับ "โอ๊ค" พานทองแท้ ชินวัตร จนทำให้ได้ตำแหน่งว่าที่พ่อตาโอ๊ค และยิ่งแน่ เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดเมื่อเจอหน้า ว่า "คนนี้ผมจองเป็นลูกสะใภ้" 
เพราะลึกๆ แล้วที่ผ่านมา พล.อ.อ.สุกำพล ก็หวาดระแวง พล.อ.พฤณท์ อยู่ไม่น้อย เพราะมีชื่ออยู่ในลิสต์ที่รอจะเป็น รมว.กลาโหม ดังนั้น ศึกใน ตท.10 เอง ก็อยู่ในเนื้อเรื่องนี้ด้วย

นี่แหละที่เขาว่า การเมืองไทยและกองทัพวุ่นวายเพราะศึกแย่งชิงอำนาจ โดยเฉพาะเป็นการแย่งชิงอำนาจของทหารด้วยกันเอง แม้จะเรียน ร.ร. เดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกันมาก็ตาม เพราะอำนาจไม่เข้าใครออกใคร เช่นที่ว่า "ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน" เป๊ะ 
แต่ที่แน่ๆ พายุใหญ่ รออยู่เบื้องหน้า นั่นแล้ว...



+++

เดินเกมรุกสไตล์ "บิ๊กแจ๊ด" จับปืน-สางหมายจับเก่า วัดผลงานตั้ง "รอง ผบก.-ผกก."
คอลัมน์ โล่เงิน ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1672 หน้า 99


ตั้งแต่มารับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ได้ประมาณ 2 เดือนเศษ "บิ๊กแจ๊ด" พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. มีบุคลิกที่แสดงออกชัดเจนถึงความเป็นคนตรงไปตรงมา ถึงลูกถึงคน กล้าได้กล้าเสีย 
เห็นได้ชัดจากการแถลงผลงานการจับกุมต่างๆ หรือแถลงนโยบาย ที่สโมสรตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นการกวาดล้างจับกุมอาวุธปืน ที่เคยตำหนิ พล.ต.ต.ขจรศักดิ์ ปานสาคร ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 7 (ผบก.น.7) ในที่ประชุม เนื่องจากผลการจับกุมไม่เป็นที่น่าพอใจ 
แต่ภายหลังมีการเคลียร์กันว่า ยอดจับกุมน้อยเกิดจากการรายงานตัวเลขผิดพลาด ขณะที่ล่าสุดในการจัดทัพนายพลเล็ก ชื่อ พล.ต.ต.ขจรศักดิ์ หมุนไปเป็น "ผบก.น.3" 
หรือแม้แต่การออกมาอัด "ตำรวจจราจร" ที่พูดตรงๆ ว่า มีการตั้งด่านเพื่อพยายามจับกุมประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ทำให้เดือดร้อน ซึ่งสุดท้ายต้องยกเลิกตั้งด่านจราจรเวลากลางวัน รวมถึงงดตั้งด่านซ้ำซ้อนในถนนเส้นเดียวกัน 
และล่าสุดให้ใช้ "ใบเตือน" แทน "ใบสั่ง" กรณีไม่ได้กระทำความผิดใน 13 ข้อหาหลักที่อาจส่งผลต่อชีวิตและความปลอดภัย ดีเดย์วันที่ 1 กันยายนนี้


ที่สำคัญมีการสั่งนายตำรวจระดับ "ผู้กำกับการ" มาช่วยราชการแล้ว 2 นาย รายแรกมีคำสั่งให้ พ.ต.อ.บุญส่ง นามกรณ์ ผกก.สน.ห้วยขวาง มาช่วยราชการที่ บช.น. เป็นเวลา 30 วัน เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม หลังเกิดคดียิง "เต่า ท่าทราย" หรือ นายวิรัช ดิลกศรี เสียชีวิตเพียงข้ามวัน จากการตรวจสอบพบว่าผู้ตายเพิ่งออกจากสถานบริการในพื้นที่ สน.ห้วยขวาง ที่เปิดยันเช้า 
และเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.ธนกฤต ไชยจารุวุฒิ ผกก.สน.บางขุนเทียน มาช่วยราชการ ที่ บช.น. เป็นเวลา 30 วัน และให้ พ.ต.อ.ภาดล ประภานนท์ รอง ผบก.น.9 รักษาราชการแทน โดยให้เหตุผลสำคัญว่า เนื่องจาก ด.ต.วัลลภ ใบศรี ผบ.หมู่ ป.สน.บางขุนเทียน ถูกคนร้ายยิงบาดเจ็บและไม่ไปดูแล ไม่ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ จึงสั่งให้มาช่วยราชการทันที 
นอกจากนี้ วันที่ 27 สิงหาคม พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ยังพูดตรงๆ ในที่ประชุมใหญ่ บช.น. ด้วยว่า "ผมให้ ผกก.สน.บางขุนเทียน มาช่วยราชการ เพราะไม่สมควรอยู่พื้นที่ ลูกน้องโดนยิง ไม่ไปดู ถ้าตายถึงค่อยไปดูใช่ไหม บอกได้เลยไม่สมควรอยู่โรงพัก ขอให้ดูเป็นตัวอย่าง ผมเอาจริง อย่ามาคิดว่าวิ่งเต้นได้ ผมเอาคุณไปได้ถ้าไม่ได้ทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน และผมพร้อมจะชี้แจงผู้บังคับบัญชาที่โทร.มาฝาก"
นอกจากนี้ ในที่ประชุมใหญ่ บช.น. วันเดียวกันนั้น พล.ต.ท.คำรณวิทย์ สั่งการให้ ผบก.น.1-9 ผบก.สปพ. ผบก.สส. ผกก.สส.บก.น.1-9 ผกก. ทุก สน. รอง ผกก.สส. รวมถึง สว.สส. ดำเนินการตาม "โครงการติดตามหมายจับค้างเก่า" โดยให้เหตุผลว่าถูกละเลย
"ตั้งแต่ผมมารับตำแหน่งและมีการระดมกวาดล้างอาวุธปืน 2 ครั้งได้กว่า 1,200 กระบอก ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เมื่อดูสถิติพบว่าลดลง การใช้ปืนลดลง เมื่อลดลงแล้วแต่คดีค้างเก่าเราไม่ได้สนใจกัน พบว่าคดีค้างเก่าของ บช.น. มีกว่า 50,000 หมายจับ เมื่อเยอะแบบนี้จึงต้องติดตามจับกุมด้วย จึงมีโครงการติดตามหมายจับค้างเก่า เป็นโครงการเดิม และเคยปฏิบัติกันมาแล้ว จึงขอให้เริ่มปฏิบัติตั้งแต่วันนี้ เพื่อดูว่าจะได้ผู้ต้องหาคดีค้างเก่ากี่คดี อาจหมายความถึงผู้ต้องหาที่เพิ่งพ้นโทษมาอีก 30,000 กว่าคนด้วย ซึ่งในส่วนนี้ขอให้เน้นเรื่องอาวุธปืนด้วย" พล.ต.ท.คำรณวิทย์ สั่งการ

ทั้งนี้ สถิติหมายจับคดีค้างเก่าของ บช.น. (ข้อมูลล่าสุดเดือนกรกฎาคม 2555) แบ่งเป็น บก.น.1 จำนวน 4,620 หมาย บก.น.2 จำนวน 9,839 หมาย บก.น.3 จำนวน 3,789 หมาย บก.น.4 จำนวน 8,351 หมาย บก.น.5 จำนวน 8,165 หมาย บก.น.6 จำนวน 2,959 หมาย บก.น.7 จำนวน 5,952 หมาย บก.น.8 จำนวน 3,244 หมาย และ บก.น.9 จำนวน 7,034 หมาย รวมหมายจับค้างเก่า 53,953 หมาย 
จำแนกตามข้อหา ดังนี้ ข้อหาฆ่าผู้อื่นฯ ยืนยันได้ 489 หมาย ยืนยันไม่ได้ 327 หมาย ข้อหาปล้นทรัพย์ฯ ยืนยันได้ 286 หมาย ยืนยันไม่ได้ 531 หมาย ข่มขืนกระทำชำเรา ยืนยันได้ 796 หมาย ยืนยันไม่ได้ 553 หมาย ข้อหายาเสพติด (จำหน่าย/ครอบครอง) ยืนยันได้ 618 หมาย ยืนยันไม่ได้ 79 หมาย ข้อหาอื่นๆ ยืนยันได้ 38,398 หมาย ยืนยันไม่ได้ 11,876 หมาย รวมยืนยันได้ 40,587 หมาย
ยืนยันไม่ได้ 13,366 หมาย



พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ให้สัมภาษณ์ "โล่เงิน" ว่า "ที่มีการระดมจับกุมอาวุธปืนที่ผ่านมา ถือว่าได้ผลชัดเจน สถิติการใช้อาวุธปืนลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมาดูคดีค้างเก่าก็ให้ตรวจสอบว่าเป็นหมายที่เป็นปัจจุบันหรือไม่ บางอันจับแล้วก็ไม่ถอนหมาย จึงสั่งให้ไปดูให้เป็นปัจจุบัน ก็พบว่ามีกว่า 50,000 หมายจับ มันเยอะมาก เลยเรียก บก.สส.บช.น. เป็นแม่งาน ร่วมกับกองกำกับการสืบสวน (กก.สส.) แต่ละ บก. รวมถึงฝ่ายสืบสวนทุกโรงพักมาประชุม ตั้งศูนย์ติดตามหมายจับค้างเก่าที่ บก.สส. จากนั้นก็ดูว่ามีหมายอะไรบ้าง ก่อนแจกแจงไป เพื่อให้ติดตามจับกุมตามท้องที่นั้นๆ ที่ผ่านมาตำรวจไม่ค่อยสนใจคดีเล็กๆ ที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ไม่มีใครดูจึงให้ไปจับมา ขณะนี้จับมาได้เยอะแล้ว" 
ครั้นถามถึงการตั้งเป้ายอดจับกุมหมายจับค้างเก่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวว่า ไม่มีเป้า แต่จะพิจารณาเอง โดยให้ระดมจับตั้งแต่วันจันทร์ จากนั้นอีก 3 วันมาแถลง ความจริงไม่อยากให้เป็นข่าวมากนักเพราะพวกที่มีหมายจับอาจไหวตัวทัน 
ทั้งนี้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ บอกด้วยว่า จะเก็บสถิติผลงานการจับกุมคดีค้างเก่าทั้งหมด เพราะถือว่าระดับ ผกก. เป็นหัวใจสำคัญ หาก ผกก. ไม่สนใจ ประชาชนเดือดร้อน ก็เป็นตัวชี้วัดการแต่งตั้งโยกย้ายได้เหมือนกัน เช่นเดียวกันหาก ผกก. ทำงาน ลูกน้องก็จะทำตาม

เรียกว่าเป็นแอ๊กชั่น สไตล์ "บิ๊กแจ๊ด" ที่เดินเกมเร็ว ถึงลูกถึงคน เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงาน และหากผลของงานชี้วัดการแต่งตั้งโยกย้ายได้จริง คงต้องจับตาการแต่งตั้งโยกย้ายระดับ รอง ผบก.-ผกก. ในเวลาอันใกล้นี้



.

มั่วชุดดำ, เอาตัวรอด, ตายแล้ว-ฆ่าซ้ำ, ต่างคนต่างคิดต่างทำ, อย่ามั่วนิ่ม ในคอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม

.
คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง - ต่อต้าน การเมืองโรคระบาด จาก “ทักษิณ” แพร่มาถึง “อภิสิทธิ์”
คอลัมน์ เมืองไทย 25 น. - “ปราบโกง” ต้องไม่ใช่ล้างแค้น โดย ทวี มีเงิน


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

มั่วชุดดำ
โดย สมิงสามผลัด 
คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


"ชายชุดดำ" ยังเป็นมุขเก่าๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์งัดขึ้นมาใช้ได้ตลอด 2 ปี 
เป็นข้ออ้าง-สร้างความชอบธรรมในการปราบปรามม็อบเสื้อแดง 98 ศพ

ล่าสุดนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกปชป.ก็ขุดเอาภาพเก่าๆ มาเปิดแถลงเสียใหญ่โต 
เป็นภาพ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สมัยที่เป็น แกนนำนปช.นั่งแถลงข่าวหลังเวทีชุมนุม โดยมีผู้ชายสวมเสื้อดำ ใส่หมวกไหมพรม ยืนอยู่ข้างหลัง

นายชวนนท์พยายามชี้ให้เห็นว่ามีชาย ชุดดำอยู่ในม็อบเสื้อแดงจริง 
ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้ว หากจำกันได้ภาพดังกล่าวเป็นการแถลงข่าวของแกนนำนปช.ที่เวทีราชประสงค์เมื่อวันที่ 14 เม.ย.53


นายณัฐวุฒิ พา นายมานพ ชาญช่างทอง อาชีพเก็บของเก่าขาย และเป็นการ์ดอาสา มาเปิดตัวยืนยันความบริสุทธิ์ เพราะช่วงนั้นมีการโชว์รูปนายมานพเดินถือปืนเอ็ม 16 ระบุด้วยว่าเป็นชายชุดดำ เป็นทหารพรานปักธงชัย 
นายมานพซึ่งมีหน้าที่วิ่งซื้อหนังสือพิมพ์ให้แกนนำ นปช. ระบุว่า วันที่ 10 เม.ย. เกิดการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับทหาร โดยผู้ชุมนุมล้อมทหาร 30 นายอยู่ จึงเข้าไปเจรจาให้ทหารปลดอาวุธ ซึ่งทหารก็ยินยอม ตนจึงแบกปืน 3 กระบอก ไปเก็บไว้ที่เวทีชุมนุม 

"ผมเป็นคนเดินนำ ช่างภาพถึงถ่ายรูปผมได้ จริงๆ แล้วผมถือปืนเยอะขนาดนั้น ถ้าจะยิงจะยิงยังไง แรมโบ้คงยิงไม่ได้เหมือนกัน ผมมีอาชีพเก็บของเก่า ไม่เคยเป็นทหารพรานค่ายปักธงชัยตามที่ถูกใส่ร้าย ไปตรวจสอบประวัติผมได้ แล้วที่สำคัญผมมีทหารอีก 30 นาย ที่ยอมปลดอาวุธเป็นพยานให้"


จึงแปลกใจว่าทำไม นายชวนนท์ ถึงยังมั่วนิ่ม ตีกินมุขชายชุดดำอยู่อีก

หรือว่าต้องการเอาใจ "มาร์ค-เทือก" ที่เพิ่งเข้าให้ปากคำคดี 98 ศพไปหมาดๆ 
เพราะทั้งคู่ก็ยังยืนกรานว่ามีชายชุดดำอยู่ในม็อบแดง
เป็น"มุข"อมตะของปชป.งัดขึ้นมาใช้ตลอดในยามคับขัน !?




++

เอาตัวรอด
โดย มันฯ มือเสือ  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


จากเหตุการณ์ขัดแย้งในกระทรวงกลาโหม
กระทั่ง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหมมีคำสั่งย้าย พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกลาโหม และบิ๊กทหารอีก 2 นายไปช่วยราชการสำนักรัฐมนตรีกลาโหม 
หลายฝ่ายโฟกัสไปยัง ผบ.เหล่าทัพโดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร 
ปรากฏว่างวดนี้ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาแบบกลางๆ ไม่เอียงเข้าข้างฝ่ายใด ทั้งมองว่าเป็นเรื่องภายในกระทรวงกลาโหม ไม่เกี่ยวกับกองทัพบก

ท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์สร้างความผิดหวังให้กับนักการเมืองบางพรรคและบุคคลบางกลุ่ม ที่พยายามนำเรื่องนี้มาขยายให้เป็นประเด็นขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ 
แต่ดูท่าทางจะแป้ก 
เหตุเพราะเรื่องถูก"ตัดตอน"ก่อนจะไปถึงตัว นายกฯ อีกทั้งผบ.เหล่าทัพก็ไม่ได้บ้าจี้ตามคำยุแหย่ 
กล่าวถึงความพยายาม "เสี้ยม" กองทัพกับฝ่ายการเมืองให้แตกกันนั้น มีมาเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่รัฐบาลเพื่อไทยเข้ามาบริหารประเทศ

เพราะฝ่ายยุแหย่เชื่อในตำราเดิมๆ ว่า หากกองทัพงัดข้อกับรัฐบาลเมื่อไหร่ ฝ่ายที่อยู่ไม่ได้ก็คือฝ่ายหลัง


ความเชื่อดังกล่าวนำมาสู่การโหมกระพือว่า เป้าหมายรัฐบาลในการเดินหน้าลุยแหลกคดี 98 ศพจากเหตุการณ์เม.ย.-พ.ค.2553 
ก็เพื่อหาทางเล่นงานทหารและบิ๊กกองทัพตามแรงกดดันของกลุ่มเสื้อแดง 
แต่แผนเสี้ยมก็แป้กแล้วแป้กอีก 

เนื่องจากรัฐบาลและกองทัพทำความเข้าใจตรงกันแล้วว่าบั้นปลายคดี 98 ศพ เป้าหมายแท้จริงอยู่ที่ตัวผู้มีอำนาจสั่งการในตอนนั้น
มากกว่าจะมุ่งเอาผิดเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ


จะว่าไปแล้วมีแต่อดีตแกนนำรัฐบาลบางคนเท่านั้น ที่พอโดนพนักงานสอบสวนเค้นคอหนักเข้า กลับโยนความผิดไปให้บรรดาแม่ทัพขุนทหารที่อยู่ร่วมใน ศอฉ.ขณะนั้น 
เอาตัวรอดคนเดียวสบายใจเฉิบ



++

ตายแล้ว-ฆ่าซ้ำ
โดย คาดเชือก คาถาพัน  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่วันกี่เดือนกี่ปี 
ผู้ที่มีอำนาจใน ศอฉ. หรือศูนย์อำนวยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งรับผิดชอบเหตุการณ์สลายการชุมนุมของประชาชนเมื่อปี 2553 
ก็ยังยืนยันกระต่ายขาเดียวอยู่นั่นแล้วว่า
การตัดสินใจใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมของประชาชนในครั้งนั้น เป็นการกระทำที่ถูกต้อง
ไล่เรียงกันมาตั้งแต่ระดับใหญ่ที่สุด(ในขณะนั้น)อย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
จนกระทั่งถึงผู้บัญชา การเหตุการณ์ตัวจริงอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ 

และคนที่เป็นฟันเฟืองสำคัญอย่าง นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภา ความมั่นคงแห่งชาติ
ซึ่งเข้าใจได้ 
เพราะขณะที่นายถวิลเป็นข้าราชการคนแรกๆ ที่ถูกย้ายสลับตำแหน่งเมื่อรัฐบาลชุดปัจุบันเข้ามามีอำนาจ


คดีความเรื่องผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว 98 ศพและผู้ได้รับบาดเจ็บพิการกว่า 2,000 รายของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ก็ใกล้ตัวเข้ามาทุกที 
ต้องไปให้การที่นั่นที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นศาลหรือ ดีเอสไอ 
วันนี้อาจไปในฐานะพยาน แต่ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าพรุ่งนี้หรือวันไหน 'สถานภาพ' ของทั้งสองท่านนี้จะเปลี่ยนไป 
ฉะนั้น เมื่อตัดสินใจทำไปแล้วก็ต้องยืนกรานเอาไว้ให้ถึงที่สุด
ว่าที่ตัดสินใจไป สั่งการไปนั้น ถูกต้องชอบธรรมแล้ว

ตายเจ็บเท่าไหร่ ไม่ใช่เรื่องที่ 'ฉัน' จะต้องไปสนใจ
ใครบอกให้เดินผ่าน 'เขตกระสุนจริง' เล่า 
เพราะทัศนคติที่เห็นชาวบ้านเป็นผักปลาเช่นนี้เอง ถึงเกิดเหตุการณ์ล้อมปราบ สั่งการให้ใช้อาวุธสงครามและกระสุนจริงขึ้นมาได้

แต่หากเห็นว่าความคิดที่ว่านี้เป็น "ทัศนคติอันตราย" แล้ว
ก็ต้องเห็นด้วยว่า วิธีการปกปิดบิดเบือนข้อเท็จจริงในอาชญากรรมที่เกิดขึ้น 
ก็อันตรายไม่แพ้กันหรือยิ่งกว่า


++

ต่างคนต่างคิดต่างทำ
โดย จ่าบ้าน  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


ถึงอย่างไรเหตุร้ายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตราบเท่าที่ผู้ก่อความไม่สงบยังไม่บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็น 'อะไร' 
นับวันเหตุที่เกิดขึ้นมักมุ่งไปในทางข่มขู่ภาคเอกชนในเชิงธุรกิจการค้า เช่นการใช้คาร์บอมบ์ กับบริษัทจำหน่ายรถยนต์เป็นเหตุให้รถยนต์ใหม่เสียหายจำนวนไม่น้อย 
แม้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต 
แต่เชื่อว่าเจ้าของและผู้ที่ทำธุรกิจต่างได้รับผลกระเทือน ทางด้านจิตใจไม่น้อย

ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีใครต่อใครที่ทั้งรับผิดชอบและมีส่วนรับผิดชอบ ต่างออกมาแสดงความคิดเห็น เสนอแนะ แนวทาง และชี้ถึงปัญหากับการแก้ไขปัญหามากมาย กระทั่งหากนำข้อเสนอและความคิดเห็นทั้งหมดมารวบรวมเรียบเรียงเป็นหมวดหมู่ ก็น่าจะเห็นแนวทางแก้ไขปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ 
เท่าที่สดับตรับฟังความคิดเห็น และแนวทางแก้ไขปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องความคิดเห็นของใครคนนั้น ใครคนนี้ แทบว่าไม่มีใครยอมรับความคิดเห็นของใครสักคน หรือหลายคน แล้วนำมาประมวลไปสู่การแก้ไขปัญหาที่แท้จริงอย่างเป็นรูปธรรม
ไม่ใช่หากไม่รับความคิดเห็นของฉัน ฉันก็ไม่ยอมรับความคิดเห็นของเธอ 
สังคมไทยวันนี้เป็นอย่างนี้ไปแล้ว

คือต่างคนต่างมีความคิดเห็นของตัวเอง ไม่มีใครยอม รับความคิดเห็นของใคร แม้แต่ของหน่วยงานหรือหน่วยราชการด้วยกันเอง หน่วยเหนือก็ไม่ยอมรับความคิดของหน่วยล่าง รัฐบาลก็ไม่ยอมรับความคิดของข้าราชการ ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทบว่าไม่ยอมรับคำสั่งของผู้บังคับบัญชา 
จึงเป็นเหตุให้ทหารตำรวจจำนวนหนึ่งต้องบาดเจ็บ ล้มตายเพราะการทำงานที่ไม่ประสานสัมพันธ์กันเท่าที่ควร โดยเฉพาะการตรวจจับตั้งด่านทั้งกลางวันและกลางคืน ปล่อยให้คนร้ายนำคาร์บอมบ์เข้าไปในเขตอันตรายได้ และเป็นเหตุขึ้นทุกครั้ง แม้วันนี้พรุ่งนี้

เป็นอันว่าที่ประชุมก็ว่ากันไป ที่ออกปฏิบัติการก็ทำหน้าที่ต่อไป จะตายจะเจ็บอีกเท่าไหร่ไม่มีใครรู้



++

อย่ามั่วนิ่ม
โดย สมิงสามผลัด 
คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


ยังงุนงงอยู่กับกรณีส.ส.สอบตกของพรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยผลตรวจสอบของคณะอนุกรรมการกรณีการชุมนุมของคนเสื้อแดง เมื่อปี 53 
เพราะรายงานฉบับดังกล่าวไม่ใช่ของใหม่อะไร

เคยเป็นข่าวมาแล้ว ตั้งแต่ปีที่แล้วว่าคณะอนุกรรมการชุดนั้นสรุปแบบขัดสายตาชาวโลก 
ดันฟันธงว่าการสั่งการใดๆ ของรัฐบาลชุดที่แล้ว ถูกต้องเหมาะสมทั้งสิ้น !? 
แบบว่ามีสิทธิ์ชอบธรรมในการสั่งปราบปรามคนเสื้อแดงนำไปสู่การสูญเสีย 98 ศพจนโดนกระแสสังคมต่อต้านรุนแรง 
ในตอนนั้น กก.สิทธิฯชุดใหญ่ต้องปฏิเสธว่าเป็นรายงานที่ยังไม่ผ่านการเห็นชอบ


กระทั่งปชป.เรียกร้องให้เปิดรายงานนี้อีกครั้งเมื่อ 2-3 วันก่อน 
ฉะนั้น มองได้อย่างเดียวว่ามีความพยายามนำรายงานสรุปของคณะอนุกรรมการที่ยังไม่ผ่านการเห็นชอบ มาขยายเป็นประเด็นที่มีประโยชน์ต่อรัฐบาลชุดที่แล้ว 
แบบว่า ปราบม็อบ 98 ศพไม่ผิด !? 
จนล่าสุดนางวิสา เบ็ญจะมโน กก.สิทธิฯ ระบุว่า ข้อมูลที่หลุดออกมาเป็นของเก่า รายงานที่กสม.ทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่อย่างที่เห็น การดำเนินการของ กสม.อยู่ระหว่างประมวลข้อมูลโดยกรรมการทั้งคณะลงมาพิจารณา และมีผู้ทรงคุณวุฒิมาช่วย ต้องทำอย่างรอบคอบ รอบด้าน เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เมื่อเสร็จเป็นรายงานฉบับสมบูรณ์ กรรมการทั้ง 7 คนลงนามแล้วก็จะแถลง



เช่นเดียวกับนพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิฯอีกคน ระบุว่า ประธานคณะกรรมการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมพิจารณา เบื้องต้นทราบว่ารายงานฉบับจริงไม่ตรงกับที่สื่อเผยแพร่ออกมา 
ฟังจากกก.สิทธิฯทั้ง 2 คนก็ชัดเจนแล้วว่าแนวทางการตรวจสอบของกก.สิทธิฯชุดใหญ่ คงไม่เหมือนกับที่คณะอนุกรรมการเคยสรุปเข้าข้างคนปราบม็อบ
ดังนั้น อย่ามั่วนิ่มเอารายงานฉบับเก่ามาหวังผลสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง



+++

ต่อต้าน การเมืองโรคระบาด จาก “ทักษิณ” แพร่มาถึง “อภิสิทธิ์”
คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
ในข่าวสดออนไลน์  วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


 กรณีกลุ่มเสื้อแดงบางเมือง สมุทรปราการ ร่วมกับ กลุ่มเสื้อแดงปทุมธานี ชูป้ายประท้วง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่สมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย 
 กับกรณีที่กลุ่มเสื้อเหลืองสหรัฐประท้วง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ลอสแองเจลิส 
 เป็นปฏิบัติการทางการเมืองของคนต่างเสื้อสี ต่างเป้าหมาย แม้จะสะท้อนความรู้สึกอันรุนแรง เร่าร้อน แทบไม่แตกต่างกัน 
 เป็นคนละเรื่อง เป็นคนละสาเหตุ เกิดขึ้นในเทศะต่างกัน

 ถามว่าคนของพรรคประชาธิปัตย์รู้สึกอย่างไรกับปฏิบัติการของคนเสื้อเหลืองที่ลอสแองเจลิส 
 แน่นอน รู้สึกต่างกันอย่างยิ่งกับปฏิบัติการของคนเสื้อแดงที่สมุทรปราการ 
 ต่างกันเพราะว่าปฏิบัติการของคนเสื้อแดงพุ่งเป้าไปยัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่างกันเพราะปฏิบัติการของคนเสื้อเหลืองพุ่งเป้าไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
 เท่านั้นหรือ


 มีจุดร่วมระหว่างปฏิบัติการของคนเสื้อเหลืองที่ลอสแองเจลิส กับ ปฏิบัติการของคนเสื้อแดงที่สมุทรปราการที่สมควรทำความเข้าใจ 
 นั่นก็คือ เป็นปฏิบัติการต่อต้านตัวบุคคล 
 เพียงแต่ที่ลอสแองเจลิสต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพียงแต่ที่สมาคมไต้หวันแห่งประเทศต่อต้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 
 เมื่อต่อต้านสำเร็จก็ให้การจัดงานของสถานที่เหล่านั้นดำเนินต่อไป

 จะแตกต่างก็เพียงแต่ว่าการต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เกิดขึ้นที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา การต่อต้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เกิดขึ้นที่สมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย สมุทรปราการ ประเทศไทย 
 ผลสะเทือนจึงไม่เหมือนกัน


 การต่อต้านตัวบุคคลในลักษณะนี้ปะทุขึ้นตั้งแต่ก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 เมื่อแม่ค้าซอยละลายทรัพย์ตะโกนด่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 
 ปฏิบัติการนั้นได้รับการยกย่องเชิดชูจากสื่อบางฉบับ 

 จากนั้น ปฏิบัติการต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็แพร่ระบาดไหม้ลาม และขยายวงออกไปแม้กระทั่ง นายสมัคร สุนทรเวช เมื่อเดินทางไปสหรัฐก็ถูกต่อต้าน 
 ทั้งๆ ที่ป่วยหนัก ทั้งๆ ที่พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปแล้ว

 ขณะที่การต่อต้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในส่วนบุคคลเพิ่งปรากฏถี่ขึ้นภายหลังสถานการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553
 ตาย 98 บาดเจ็บ 2,000 
 ไม่ว่าต่อกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าต่อกรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ล้วนมีรากที่มา
 เป็นรากที่มาแห่งอารมณ์ เป็นรากที่มาแห่งความไม่พอใจในทางการเมืองที่สั่งสม หมักหมมอยู่ในความรู้สึกของชาวบ้าน กระทั่งไม่สามารถกักเก็บไว้ได้ต้องสำแดงออกมาให้เป็นที่ปรากฏ

 กรรมใดใครก่อ



+++

“ปราบโกง” ต้องไม่ใช่ล้างแค้น
โดย ทวี มีเงิน  คอลัมน์ เมืองไทย 25 น.
ในข่าวสดออนไลน์  วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


ผลงาน 1 ปีรัฐบาลแม้การทำงานจะผ่านอย่างเฉียดฉิว แต่การปราบปราม "ทุจริตคอร์รัปชั่น"สอบตก ดูๆ แล้วไม่ว่า รัฐบาลไหนๆ มักไม่ให้ความสำคัญเรื่องปราบปรามทุจริตเหมือนกันหมด รัฐบาลนี้ทำงานมา 1 ปีเพิ่งจะมีพิธีเปิดโครงการต้านคอร์รัปชั่น เมื่อเร็วๆ นี้ 

แต่ก็น่าแปลกใจที่จู่ๆ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ขุดกรณี "ซีทีเอ็กซ์"ของสนามบินสุวรรณภูมิและกรณีปล่อยกู้อย่างมีเงื่อนงำของอดีตผู้บริหารแบงก์กรุงไทย ที่เงียบหายไปนานจนคนคิดว่าเป็นมวยล้มไปแล้วขึ้นมาปัดฝุ่นกันใหม่ ขณะที่ดีเอสไอก็ให้ความสนใจเรื่องทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลแบบไม่ค่อยปกติ 
ทำเอาคนในพรรคเพื่อไทยวิตกกังวลว่าจะเป็นสัญญาณของขบวนการจ้องล้มรัฐบาลโดยหยิบประเด็นทุจริตมายึดโยงให้พันมาถึงรัฐบาลนี้

อันที่จริงยังมีการทุจริตในโครงการต่างๆ ที่เงียบหายจนคนลืม อย่าง "โครงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์"ของกรมอุตุนิยมวิทยาที่เคยอื้อฉาวโด่งดังเป็นอภิโปรเจ็กต์หนึ่ง มีนักการเมืองที่เพิ่งพ้นคุกการเมืองดูแลในฐานะรัฐมนตรี จนป่านนี้ไม่มีใครจำได้ "โครงการคอมพิวเตอร์ 3 พันล้าน"กระทรวงสาธารณสุขยังไปไม่ถึงไหน กรณีรุกที่ดินเขาแพง เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี



ยังมีอีกหลายโครงการที่เงียบไปเฉยๆ ต้องเร่งดำเนินการไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่แล้วหรือรัฐบาลนี้ 
สดๆ ร้อนๆ กรณีทุจริตงบน้ำท่วมตั้งแต่งบเยียวยาจัดซื้อจัดจ้าง เฉพาะอย่างยิ่งกรณีมีการจัดงบฯ ซื้อเครื่องจักร 300 ล้านไปลงจังหวัดแพร่ที่ฝ่ายค้านอภิปรายในสภา อย่าคิดแค่เป็นเกมการเมือง แต่รัฐบาลในฐานะจำเลยต้องเข้าไปดูข้อเท็จจริง เพราะมีข้อสังเกตถึงความผิดปกติหลายอย่าง ดูจากข้อเท็จจริงจะเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องซื้อเครื่องจักรมาใช้อย่างถาวรเทียบกับการให้ผู้รับเหมารับช่วงต่อไม่ต้องเสียค่าบำรุงรักษาให้ยุ่งยาก
ที่สำคัญแพร่เป็นจังหวัดเล็กๆ ความเสียหายน้อยกว่านครสวรรค์ อยุธยา ปทุมธานี แต่ได้รับงบประมาณในการจัดซื้อขณะที่จังหวัดเหล่านี้ไม่ได้ ฉะนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปราบปรามทุจริตจะต้องไม่เพิกเฉย จะต้องตรวจสอบหาข้อเท็จจริงให้ได้ รัฐบาลก็ต้องพิสูจน์ว่ามีความตั้งใจในการปราบโกง ไม่ละเว้นแม้แต่คนในรัฐบาล มิเช่นนั้นถูกมองว่าแค่ตีปี๊บ

ชาวบ้านเขาจะรอดูคะแนนปราบคอร์รัปชั่นว่าปีหน้าจะสอบได้หรือสอบตกซ้ำซาก 



.

พิชิต: ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนกับประเทศไทย

.

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนกับประเทศไทย
ใน www.prachatai.com/journal/2012/08/42381 . . Thu, 2012-08-30 22:07


รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
( ที่มา: เผยแพร่ครั้งแรกใน“โลกวันนี้วันสุข” ฉบับวันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2555 )



เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งมีประเทศไทยเป็นสมาชิกอยู่นั้น จะมีผลเต็มรูปแบบในปี ค.ศ.2015 หรือ พ.ศ.2558 แต่รัฐประหาร 2549 และความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อมาร่วมหกปี ทำให้รัฐบาลแต่ละชุดไม่สามารถดำเนินการรูปธรรมเพื่อเตรียมการรับมือ เป็นผลให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องขาดทิศทางและนโยบายที่ชัดเจน ผลก็คือ คนไทยน้อยมากที่จะเข้าใจถึงสิ่งที่กำลังจะมาถึง

ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ASEAN Economic Community (AEC) มีต้นกำเนิดจากการรวมกลุ่มของห้าประเทศหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เมื่อปี 2510 และได้รับบรูไนเป็นสมาชิกอันดับหกเมื่อปี 2527 จากนั้น ในช่วงปี 2538-42 จึงได้มีการขยายตัวครั้งใหญ่ด้วยการรับเวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา เข้ามาเป็นสมาชิก เนื่องจากสมาชิกสองกลุ่มนี้มีความแตกต่างกันมากในระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ และมีข้อผูกพันต่างกัน จึงเรียกสมาชิกหกประเทศแรกว่า อาเซียน-6 และเรียกสมาชิกสี่ประเทศหลังว่า CLMV จากชื่อย่อของสี่ประเทศดังกล่าว


ความจริงแล้ว ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นเพียงหนึ่งในสามองค์ประกอบของ “ประชาคมอาเซียน” ซึ่งได้มีการประกาศเป็นครั้งแรกในที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่บาหลี ในปี 2546 อีกสององค์ประกอบคือ ประชาคมความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security Community) ซึ่งเป็นความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นคงของภูมิภาค และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community) ซึ่งเป็นความร่วมมือทางวัฒนธรรม โดยให้มีผลสมบูรณ์ในปี 2563 แต่ต่อมาในปี 2550 ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่เมืองเซบูได้ตกลงเร่งรัดให้ประชาคมอาเซียนเป็นจริงโดยสมบูรณ์เร็วขึ้นอีกห้าปี เป็นปี 2558 
แม้จะเป็นเพียงหนึ่งองค์ประกอบ แต่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีความสำคัญยิ่งยวดเพราะเป็นการรวมตัวอย่างทั่วด้านในทางเศรษฐกิจของกลุ่มอาเซียน ให้เป็นเขตการค้าสินค้าบริการและการเคลื่อนย้ายทุนโดยเสรี ให้อาเซียนสิบประเทศ ประชากรประมาณ 600 ล้านคน รวมเป็นตลาดเดียว เออีซีมีรากฐานจาก “ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน” หรืออาฟต้า ซึ่งลงนามโดยสมาชิกกลุ่มแรกในปี 2535 โดยได้เริ่มทะยอยลดอัตราภาษีศุลกากรลงเป็นศูนย์ในรายการสินค้ากว่าร้อยละ 90 ตั้งแต่ปี 2536 กระทั่งมีผลสมบูรณ์ตั้งแต่ 1 มกราคม 2553 ส่วนกลุ่มประเทศ CLMV จะมีผลสมบูรณ์ตั้งแต่ 1 มกราคม 2558
แต่ละประเทศยังมีสินค้ายกเว้นจำนวนน้อยใน “บัญชีสินค้าอ่อนไหว” ซึ่งอัตราภาษีศุลกากรไม่ต้องเป็นศูนย์ แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 5 ในกรณีประเทศไทย สินค้าอ่อนไหวได้แก่ กาแฟ มันฝรั่ง มะพร้าวแห้ง และไม้ตัดดอก ขณะที่สิงคโปร์และอินโดนีเซียไม่มีบัญชีสินค้าอ่อนไหว นอกจากนี้ ยังมี “บัญชีสินค้าอ่อนไหวสูง” ซึ่งสมาชิกสามารถกำหนดอัตราภาษีพิเศษ แต่ต้องได้รับการยินยอมจากประเทศสมาชิกอื่น ๆ ด้วย ซึ่งมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ได้ขอสงวนข้าวและน้ำตาลไว้ โดยประเทศไทยซึ่งไม่ได้ขอสงวน ก็จะได้รับการชดเชยเป็นมาตรการนำเข้าขั้นต่ำไปยังประเทศนั้น ๆ
นอกจากนี้ ยังมีความตกลงด้านบริการ โดยจะอนุญาตให้นักลงทุนสัญชาติอาเซียนสามารถเข้ามาถือหุ้นในกิจการบริการเพิ่มขึ้นได้ถึงร้อยละ 70 ของกิจการภายในปี 2558 ครอบคลุมบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ สุขภาพ การท่องเที่ยว การบิน โลจิสติกส์ บริการธุรกิจครอบคลุม 8 วิชาชีพ ได้แก่ วิศวกรรม การสำรวจ สถาปัตยกรรม แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล บัญชี และบริการท่องเที่ยว ส่วนความตกลงด้านการลงทุน เป็นการให้สิทธินักลงทุนอาเซียนได้รับการปฏิบัติเยี่ยงคนชาติตั้งแต่ปี 2553



อย่างไรก็ตาม การเปิดเสรีการค้าบริการและการลงทุน ยังคงอยู่ภายใต้กฎหมายเฉพาะสาขาในแต่ละประเทศ การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือและการลงทุนข้ามชาติภายในอาเซียนจึงต้องเข้าใจภาษา กฎหมายเฉพาะ และระเบียบท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้รับสิทธิตามความตกลงนั้น ๆ เช่น การรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงาน และการอนุญาตประกอบวิชาชีพ เป็นต้น โดยหลักการใหญ่คือ ให้ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษากลาง

ในด้านการค้า เนื่องจากประเทศไทยมีระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมค่อนข้างสูงภายในอาเซียนและต้องนำเข้าวัตถุดิบจำนวนมาก ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากเออีซีจึงเป็นการนำเข้าวัตถุดิบอุตสาหกรรมที่จำเป็นในราคาถูกด้วยอัตราภาษีนำเข้าเป็นศูนย์จากแหล่งอาเซียนนั่นเอง แม้ว่า อัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบของประเทศไทยจะอยู่ในระดับต่ำมากอยู่แล้วก็ตาม ส่วนประโยชน์ในด้านการส่งออก กลุ่มอาเซียนนับเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศไทย มีมูลค่าปีละกว่าสี่หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยประเทศไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้าตลอดมา และคาดว่า การส่งออกจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อกลุ่มสมาชิก CLMV ได้ลดอัตราภาษีส่วนใหญ่เหลือศูนย์ภายในปี 2558 ตามกำหนด

ประโยชน์ในด้านการลงทุนที่สำคัญคือ ผู้ผลิตไทยจะย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา มากขึ้น เพื่อใช้ประโยชน์จากแรงงานราคาถูกและสิทธิพิเศษทางการค้าที่ประเทศเหล่านี้ได้รับจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ยิ่งกว่านั้น การพัฒนาโลจิสติกส์ที่ประสานเป็นหนึ่งเดียวมากขึ้นจะลดต้นทุนการขนส่งวัตถุดิบและชิ้นส่วนภายในอาเซียนได้อย่างมาก ทำให้เกิดห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมร่วมกันภายในกลุ่ม โดยมีผู้ผลิตอุตสาหกรรมในไทยเป็นฐานผลิตสำคัญอีกแห่งในอาเซียนเพื่อส่งออกไปยังประเทศคู่ค้านอกกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป
ในทางตรงข้าม จะมีธุรกิจไทยบางส่วนที่ถูกกระทบเนื่องจากไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับการแข่งขันจากผู้ผลิตอื่นในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน ซึ่งรัฐบาลจะต้องตระเตรียมมาตรการเยียวยา เช่น กองทุนปรับตัว ให้ธุรกิจเหล่านี้ปรับปรุงการผลิตให้สามารถแข่งขันได้หรือสนับสนุนให้ปรับเปลี่ยนไปสู่สาขาอื่นที่มีความได้เปรียบมากกว่า


ส่วนประชาชนผู้บริโภคจะได้ประโยชน์ทางอ้อมด้วยสินค้าจากกลุ่มอาเซียนจะมีต้นทุนการนำเข้าที่ลดลง เกษตรกรจะได้ประโยชน์โดยตรงเพราะอาเซียนเป็นตลาดสินค้าเกษตรไทยที่สำคัญอันดับต้นมาโดยตลอด แม้ว่าธุรกิจไทยบางส่วนจะย้ายฐานการผลิตออกไป แต่ผู้ใช้แรงงานไทยจะยังได้ประโยชน์จากค่าจ้างที่สูงขึ้นต่อไปเนื่องจากการขยายตัวของการค้าและการลงทุนจากการเปิดตลาดเสรี แรงงานต่างชาติที่เข้ามาจะยังคงเป็นแรงงานไร้ฝีมือซึ่งไม่ได้แข่งขันกับแรงงานไทยโดยตรงเช่นเดิม

ส่วนประโยชน์ทางการเมืองที่ชัดเจนคือ ประเทศไทยจะไม่อาจมีรัฐประหารในรูปแบบดั้งเดิมได้ง่าย ๆ อีกต่อไป เพราะนอกจากจะถูกปฏิเสธจากกลุ่มประเทศตะวันตกแล้ว ก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศในกลุ่มอาเซียนอีกด้วย ดังเช่นที่ประเทศพม่าได้เรียนรู้และต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วด้วยการหันมาสวมเสื้อคลุมการเมืองแบบเลือกตั้ง และเร่งพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้วยการเปิดเสรีอย่างรวดเร็ว



.

2555-08-30

พิศณุ:(2) ทำไมวิ่งเร็วต้องจาเมกา วิ่งมาราธอนต้องเคนยา?

.
บทก่อนหน้า - (1) แก้ว พงษ์ประยูร ควรแพ้ไหม ? โดย พิศณุ นิลกลัด

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

(2) ทำไมวิ่งเร็วต้องจาเมกา วิ่งมาราธอนต้องเคนยา?
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1671 หน้า 96


แชมป์วิ่ง 100 เมตรโอลิมปิก 2012 ทั้งประเภทหญิงและประเภทชายเป็นแชมป์คนเดียวกับแชมป์โอลิมปิก 2008 ที่ปักกิ่ง คือ เชลลี่แอน เฟรเชอร์ ไพรซ์ และ ยูเซน โบลต์ ทั้งคู่เป็นชาวจาเมกา 
นอกจากนั้น วิ่ง 200 เมตรชาย นักวิ่งจากจาเมกาก็กวาดเรียบทั้งเหรียญทอง เงิน และทองแดง
4 คูณ 100 เมตรชาย ก็ได้ไปอีก 1 เหรียญทอง ยูเซน โบลต์ วิ่งเป็นไม้สุดท้ายเข้าเส้นชัยแบบแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม

มีคำถามว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้คนจาเมกาวิ่งเร็วที่สุดในโลกทั้งหญิงและชาย? 

มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ของสก็อตแลนด์ทำวิจัยเรื่องนี้ 
ผลการวิจัยบอกว่าเป็นเพราะคนจาเมกามีบรรพบุรุษมาจากคนทวีปแอฟริกาทางฝั่งตะวันตกซึ่งสเปนนำมาเป็นทาสแรงงานสมัยปกครองจาเมกาในช่วงตั้งแต่ปี ค.ศ.1510 
คนแอฟริกาภูมิภาคนี้รูปร่างสูงใหญ่ ปากหนา จมูกโต ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับคนผิวเข้มชาวอเมริกัน 

ในกล้ามเนื้อของคนเผ่าพันธุ์นี้มียีนแอ็กทิเน็น คอมโพเนนต์ (Actinen component หรือ ACTN3) มากกว่าคนเผ่าพันธุ์อื่น 

ยีน ACTN3 ตัวนี้เชื่อกันว่าช่วยทำให้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว 
ประเทศทางฝั่งทวีปแอฟริกาตะวันตกซึ่งเป็นบรรพบุรุษของคนจาเมกาและอเมริกันผิวเข้ม ได้แก่ กานา แกมเบีย เซเนกัล เซียร์ราเลโอน ไอวอรีโคสต์ (โก๊ต เดอ วัวร์) และไลบีเรีย ซึ่งบรรพบุรุษของ โอปร้า วินฟรี่ย์ พิธีกรหญิงชื่อดังชาวอเมริกันมาจากประเทศนี้




มีคำถามต่อว่า แล้วทำไมวิ่งระยะไกลต้องเป็นเคนยากับเอธิโอเปีย 
ตอบว่าเรื่องนี้ก็มีคนค้นคว้าวิจัยครับ
สมัยก่อนโน้นเชื่อกันว่าในร่างกายคนเรามีกล้ามเนื้อ 2 ประเภท คือกล้ามเนื้อแดง กับกล้ามเนื้อขาว
กล้ามเนื้อขาวเป็นกล้ามเนื้อสำหรับวิ่งเร็วแต่ล้าง่าย ส่วนกล้ามเนื้อแดงเป็นกล้ามเนื้อเคลื่อนไหวช้า แต่อึด ใช้งานได้นาน คนจาเมกามีกล้ามเนื้อขาวมาก คนเคนยาและเอธิโอเปียมีกล้ามเนื้อแดงเยอะ 
แต่เมื่องานวิจัยทำการเปรียบเทียบสัดส่วนของกล้ามเนื้อของนักวิ่งเคนยา-เอธิโอเปียกับนักวิ่งชาติอื่น ปรากฏว่าไม่พบข้อแตกต่าง จึงสรุปว่ากล้ามเนื้อขาว-กล้ามเนื้อแดงไม่น่าจะเกี่ยวกับความอึดความเร็ว 


มีความพยายามหาเหตุผลอีกหลายประการที่จะนำมาสนับสนุนการวิ่งอึดของนักวิ่งเคนยาและเอธิโอเปีย
เช่น เพราะประเทศอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเกือบ 2,000 เมตร การเกิดและเติบโตในบรรยากาศที่บางเบากว่าพื้นราบทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดมากขึ้น จึงทำให้วิ่งอึด
แต่ทฤษฎีนี้ถูกลบล้างด้วยคำถามที่ว่า แล้วทำไมนักวิ่งจากเนปาล อุรุกวัย และเปรู ซึ่งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่าจึงไม่มีนักวิ่งระยะไกลชั้นแนวหน้า 
นักกีฬาชาติตะวันตกหลายชาติที่เชื่อทฤษฎีนี้เคยเอานักกีฬาไปเก็บตัวฝึกซ้อมในที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเยอะๆ เพื่อจะได้อึด ปรากฏว่าไม่ได้ผล



สุดท้ายมีงานวิจัยที่น่าสนใจของนักวิทยาศาสตร์ชาวเดนมาร์กชื่อ เฮนริก ลาร์เซ่น จากศูนย์วิจัยกล้ามเนื้อโคเปนเฮเกน
ผลงานวิจัยบอกว่าช่วงขาของนักวิ่งเคนยาและเอธิโอเปียยาวกว่านักวิ่งเดนมาร์ก (ซึ่งเป็นคนยุโรปตอนเหนือเผ่าพันธุ์นอร์ดิกที่ถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ตัวสูงใหญ่ที่สุดของยุโรป 5 เปอร์เซ็นต์) 
นอกจากนั้น มีน้ำหนักของเนื้อขาท่อนล่างน้อยกว่าถึง 12 เปอร์เซ็นต์ (โปรดสังเกตเรียวขานักวิ่งเคนยาและเอธิโอเปียว่าเล็กจริงๆ) 
การที่ขาเบา ทำให้ใช้พลังงานในการสับขาวิ่งน้อยกว่า 
น้ำหนักแต่ละ 50 กรัมที่เพิ่มขึ้นที่ข้อเท้า จะทำให้ต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์ 


ถ้าเนื้อน่องและเนื้อท่อนขาหนักกว่านักวิ่งเคนยา-เอธิโอเปีย 5 กิโล หรือ 7 กิโล (ซึ่งเท่ากับ 5,000-7,000 กรัม) จะวิ่งระยะไกลอึดเท่านักวิ่งตัวเล็กขาลีบสองชาตินี้ได้อย่างไร



โปรดสังเกตว่าทั้งแชมป์วิ่งเร็วจากจาเมกาและแชมป์วิ่งมาราธอนจากเคนยา-เอธิโอเปีย มาจากทวีปเดียวกัน แต่รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน
นักวิ่งเคนยาและเอธิโอเปียรูปร่างเล็กกว่า เตี้ยกว่า ปากบางจมูกโด่งกว่าเพราะเป็นประเทศในภูมิภาคแอฟริกาตะวันออก มีเลือดผสมอินเดียและอาหรับ 
เมื่อ 20 ปีที่แล้วเคนยาและเอธิโอเปียเป็นจ้าวโลกเฉพาะวิ่งมาราธอน แต่ช่วงหลังๆ กินลึกและกินยาวลงมาถึงวิ่ง 800 เมตรแล้ว
ทำเนียบสุดยอด 100 นักวิ่งมาราธอนระดับโลกในขณะนี้เป็นนักวิ่งเคนยาชาติเดียวตั้ง 50 เปอร์เซ็นต์ 
และถ้าจัดอันดับ 10 สุดยอดนักวิ่งมาราธอนที่ทำเวลาดีที่สุดของโลกตลอดกาล ปรากฏว่าเป็นเคนยาและเอธิโอเปียชาติละ 5 คน!

ชาวเคนยาและเอธิโอเปียชอบการวิ่งมาก โดยเฉพาะการวิ่งครอสคันทรีเป็นยิ่งกว่ากีฬา-แบบเดียวกับชาวบราซิลมีฟุตบอลเป็นลมหายใจ การวิ่งครอสคันทรีเป็นบันไดดาราไปสู่การวิ่งระยะไกลทุกประเภท 
นอกจากการวิ่งระยะไกลเป็นวัฒนธรรมของชาวเคนยา-เอธิโอเปีย แล้วยุคสมัยปัจจุบันการวิ่งยังยึดเป็นอาชีพทำให้ร่ำรวยมหาศาลได้แบบเดียวกับฟุตบอลและกีฬาประเภทอื่นๆ ยิ่งทำให้ 2 ประเทศที่ยากจนนี้มีนักวิ่งระยะไกลชั้นยอดเพิ่มขึ้น

โมเสส คิปทานุย สุดยอดนักวิ่งระยะกลางและเจ้าของสถิติโลกวิ่งวิบาก 3,000 เมตร ชาวเคนยาปี 1992 บอกว่าเมื่อคุณเกิดมาจน คุณมีทางเลือกสองทาง คือยากจนต่อไป หรือไม่ก็ไปเป็นนักวิ่ง



+++

(1) แก้ว พงษ์ประยูร ควรแพ้ไหม ?
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน 
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1670 หน้า 96


ก่อน แก้ว พงษ์ประยูร จะขึ้นชกชิงเหรียญทองกับ ซู ชิ หมิง หนึ่งวัน ผมกับเพื่อนนักข่าวกีฬาจากค่ายสยามสปอร์ตที่ประจำอยู่ลอนดอน นั่งทานอาหารกลางวันด้วยกันที่ร้านอาหารย่านฮอนแลนด์ พาร์ค มหานครลอนดอน
เขาถามผมว่า "แก้วจะได้เหรียญทองมั้ย" 
ผมตอบว่าต้องชนะแบบขาดลอยจึงจะได้เหรียญทอง ถ้าชนะแบบคู่คี่ ผมไม่คิดว่ากรรมการจะให้คะแนนนักมวยไทยชนะนักมวยจีน

เขาถามเหตุผล ?
ผมตอบว่าเพราะมวยโอลิมปิกคราวนี้กรรมการชาวไทยไม่ได้รับเชิญให้เป็นกรรมการตัดสินบนเวทีและกรรมการให้คะแนนเหมือนโอลิมปิกทุกครั้งที่ผ่านมา โอกาสที่กรรมการไทยจะ "ผูกมิตร" กับกรรมการให้คะแนนชาติอื่นๆ จึงไม่มีเหมือนครั้งก่อนๆ 
ตรงนี้สำคัญมาก 

เพราะเป็นที่รู้กันมานานตั้งแต่โอลิมปิกปี 1984 ที่ลอสแองเจลิสแล้ว ว่าการจะได้เหรียญโอลิมปิกนอกจากนักมวยต้องฝีมือดีแล้ว "คอนเน็กชั่น" และการ "ล็อบบี้" ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง


สมาคมมวยสมัครเล่นของทุกประเทศต้องการความสำเร็จในโอลิมปิก นักมวยและกรรมการซึ่งเป็นบุคลากรของสมาคมจึงต้องร่วมด้วยช่วยกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวอย่างสุดฝีมือทั้งบนเวทีและนอกเวที 
ว่ากันว่า การทำหน้าที่นอกเวทีนอกจากใช้ฝีมือ น้ำใจ ความสนิทสนม และ "การแลกเปลี่ยน" ทำนองเดียวกับการลงแขกดำนา แล้วสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ "ปัจจัย" ที่มีหลากหลายรูปแบบ 
ช่วงเวลาหนึ่ง-ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นานมาก มีคนไทยท่านหนึ่งดำรงตำแหน่งสำคัญในสมาคมมวยสากลสมัครเล่นโลก (ไอบ้า) ยุค นายอันวาร์ ชอว์ดรี้ เป็นประธานสมาคม (ตั้งแต่ปี 1986 ถึง 2006)
ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่นักมวยจะไม่แพ้ในลักษณะเหมือนที่ แก้ว พงษ์ประยูร แพ้ ซู ชิหมิง

เพื่อนผมคนหนึ่งเป็นกรรมการห้ามมวยสากลสมัครเล่นระดับนานาชาติเคยเล่าถึงบารมีในแวดวงกรรมการห้ามมวยของผู้บริหารคนไทยท่านนี้ว่าเป็นที่นับถือเกรงอกเกรงใจของกรรมการห้ามมวยเกือบทุกชาติทั่วโลกเพราะอยู่ในตำแหน่งยาวนาน 
ที่สำคัญกว่านั้นคือ เวลามีการแข่งขันชกมวยสากลสมัครเล่นรายการสำคัญๆ ของโลก ผู้บริหารท่านนี้มีหน้าที่หลักคือการเลือกกรรมการตัดสินบนเวทีและกรรมการให้คะแนนข้างเวทีทั้ง 5 คน ในการชกแต่ละคู่  
โดยตำแหน่งและโดยหน้าที่จึงสนิทสนมคุ้นเคยกับกรรมการทุกคน

แต่ในโอลิมปิกที่ลอนดอนนอกจากเราไม่มีคนแบบนี้อยู่ในสหพันธ์มวยสากลสมัครเล่นโลกซึ่งมีนายกฯ คนใหม่แทน นายอันวาร์ ชอว์ดรี้ มาตั้งแต่ปี 2006 แล้ว 
สมาคมมวยสากลสมัครเล่นโลก ยังไม่เลือกคนไทยไปเป็นกรรมการห้ามมวยและกรรมการให้คะแนนในโอลิมปิก 2012 แต่เลือกกรรมการจากประเทศเวียดนามซึ่งมาตรฐานมวยเทียบไทยไม่ได้ 
นัยว่าเป็นผลมาจากความขัดแย้งระหว่างสมาคมมวยสากลสมัครเล่นไทยกับสมาคมมวยสากลสมัครเล่นโลก หลังโอลิมปิก 2008
ที่นายกสมาคมของไทยคนก่อนไปวิจารณ์สมาคมมวยสากลสมัครเล่นโลกอย่างรุนแรง



คราวนี้ถามว่าแก้วแพ้ ซู ชิ หมิง มั้ย?
ตอบว่าออกได้ทุกด้าน คือไม่ว่าจะตัดสินให้ชนะหรือแพ้มีเหตุผลอธิบายได้ทั้งสิ้น และเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนัก

แต่ถ้าตัดสินให้ชนะ สามารถอธิบายเหตุผลได้ง่ายและชัดเจนกว่าตัดสินให้แพ้ 
ในกรณีตัดสินให้แก้วแพ้ ก็ต้องกลั้นใจบอกว่า ซู ชิ หมิง ชกฉกฉวยเก่ง ฟุตเวิร์กแคล่วคล่อง สวยงาม ฉลาด เดี๋ยวการ์ดแบบคนถนัดขวา เดี๋ยวสลับการ์ดเป็นคนถนัดซ้าย ทำให้คู่ต่อสู้สับสนและชกยาก แถมมีความเป็นแชมป์โลก 3 สมัยและแชมป์โอลิมปิก 2008 รับรองคุณภาพฝีมือ ยิ่งทำให้ดูเก่งง่ายยิ่งขึ้น 

ว่ากันตามจริง การชกไฟต์นี้แก้วชกดี เก่ง ฉลาด มีความพยายามจนถึงวินาทีสุดท้าย 
ซู ชิ หมิง สูงกว่าแยะ และสูงแบบแข็งแรง เท้าเร็วมาก ฉลาด ถือเป็นมวยชกยากที่สุด เขาชกสไตล์เดียวกับนักมวยสมัครเล่นเกาหลีใต้ยุคเมื่อ 30 ปีก่อนโน้น สมัยที่เป็นมหาอำนาจมวยสมัครเล่นเอเชีย 
คือชกเพื่อเอาชนะอย่างเดียวโดยไม่สนใจความสวยงามในลีลาการชก

แต่แก้วสามารถสู้กับ ซู ชิ หมิง ได้สมศักดิ์ศรีทุกวินาทีตลอด 3 ยก มิหนำซ้ำพอจบยกที่ 3 ผู้บรรยายฝรั่งซึ่งไม่มีส่วนได้ส่วนเสียยังบอกว่าควรจะเป็นผู้ชนะ และเรียก ซู ชิ หมิง ตอนเดินลงจากเวทีว่า "The lucky man"

จริงๆ แล้ว แก้ว พงษ์ประยูร น่าจะเป็นผู้ชายโชคดีมากกว่า ซู ชิ หมิง



.

2555-08-29

BRAVE “สตรีนิยม” โดย นพมาส แววหงส์

.

BRAVE “สตรีนิยม”
โดย นพมาส แววหงส์  คอลัมน์ ภาพยนตร์
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1671 หน้า 87 


กำกับการแสดง Mark Andrews และ Brenda Chapman
เสียงพากย์ Kelly Macdonald 
Emma Thompson
Bill Connolly 
Julie Walters



ความสำเร็จใหญ่หลวงในการสร้างสรรค์เนื้อหาแปลกใหม่โดนใจคนดูที่ชื่นชอบในโลกการ์ตูน อย่างเช่น Toy Story, Finding Nemo, WALL-E, Up!, The Incredibles ฯลฯ ทำให้บริษัทพิกซาร์ผงาดสู่ความเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการหนังการ์ตูนอย่างรวดเร็ว
ในปีนี้ พิกซาร์หันกลับสู่เนื้อหาตามประเพณีนิยมแบบเทพนิยาย ที่เคยเป็นอาณาเขตที่เชี่ยวชาญของการ์ตูนดิสนีย์ผู้บุกเบิกและครองตลาดหนังการ์ตูนมาแต่ดั้งเดิม
Brave เป็นเรื่องราวแบบเทพนิยายในยุคโบราณ แบบที่มีเจ้าหญิงและการเลือกคู่ของเจ้าหญิง พร้อมด้วย แม่มดและเวทมนตร์คาถา และป่าที่เต็มไปด้วยอาถรรพณ์ โดยวางท้องเรื่องอยู่ในสกอตแลนด์อันไกลโพ้นที่ยังมีพระราชาประทับในปราสาทเก่าแก่ 
เจ้าหญิงในเรื่องชื่อเมลิดา (เสียงของ เคลลี แมคดอนัลด์) เป็นเด็กสาวแก่นแก้วแสนซน ผมแดง (ในหนังเป็นสีแสดเจิดจ้า) หัวฟูฟ่อง 
ความเชื่อของฝรั่งนั้นถือว่าเด็กหัวแดง เป็นเด็กหัวดื้อหัวรั้นไม่ยอมลงให้ใคร


หนังเริ่มขณะเมื่อเมลิดายังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ที่พระราชากับพระราชินีฉลองวันเกิดให้ริมป่าใหญ่ต้องมนตร์ เมลิดาเข้าไปในป่าและได้เจอดวงไฟดวงเล็กๆ วับแวมอยู่ตามที่ต่างๆ แบบที่ฝรั่งเรียกว่า Will-o"-the-wisp 
นี่ถ้าเป็นเรื่องไทยๆ ใครหลงเข้าไปเจอดวงไฟวับแวมเหล่านี้ คงจะนึกไปถึงกระสือ-กระหังไปด้วยพื้นทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป

มิไยพระราชินี (เสียงของ เอมมา ธอมป์สัน) ผู้งามสง่าและเป็นที่เกรงอกเกรงใจของพระสวามีเฟอร์กัส (เสียงของ บิล คอนนอลลี) จะทักท้วงเพียงไร พระราชาก็มอบคันธนูให้เป็นของขวัญแก่พระธิดา ผู้ลิงโลดที่จะได้ใช้ชีวิตโลดโผนโจนทะยานเยี่ยงเด็กผู้ชาย แทนที่จะฝึกงานเย็บปักถักร้อยตามแบบฉบับของกุลสตรีอย่างที่พระราชินีต้องการ 
ในวันนั้นเอง พระราชาต่อสู้กับหมีดำตัวมหึมาที่ออกมาอาละวาดกลางป่า พระองค์ถลันเข้าปกป้องมเหสีและธิดา จนเพลี่ยงพล้ำถูกหมีขม้ำขาขาดไปข้างหนึ่ง เป็นเหตุให้แค้นเคืองอาฆาตหมีตัวนั้นมาเรื่อย 
เจ้าหญิงเติบใหญ่ขึ้นโดยมีอนุชาแฝดสามองค์ ผมแดงเจิดจ้าสีเดียวกับเจ้าหญิง เจ้าชายน้อยทั้งสามชอบเล่นแผลงๆ และซนเป็นลิง อย่างที่เมลิดาไม่มีโอกาส เพราะเธอถูกกำราบและอบรมให้เป็นกุลสตรีผู้เพียบพร้อม 
จวบจนเมื่อเมลิดาเริ่มเป็นสาว ตามธรรมเนียมโบราณ พระราชินีจึงต้องการให้ธิดาองค์เดียวเป็นฝั่งเป็นฝาไปโดยมีคู่ครองที่คู่ควร เธอประกาศให้มีการประลองยุทธ์เพื่อชิงชัยโดยมีเจ้าหญิงเป็นรางวัล

เจ้าชายสามองค์จากเมืองพันธมิตรที่ผนึกกำลังรวมชาติเป็นปึกแผ่น เดินทางมาร่วมชิงชัยครั้งนี้ตามเทียบเชิญจากพระราชินี
แต่เมลิดาก็หักหน้าพวกหนุ่มๆ เสียหน้าแตกยับเยิน เพราะการประลองยุทธ์ที่เธอเป็นคนกำหนด คือการยิงธนูที่เธอเชี่ยวชาญและขอใช้สิทธิลงแข่งด้วยในฐานะลูกคนแรกของพระราชา 
ยังผลให้พระราชินีโกรธพระธิดาที่ทำอะไรไม่เห็นแก่หน้าพ่อแม่เลย เมลิดาเป็นปากเป็นเสียงกับพระมารดาจนถึงขั้นตัดเป็นตัดตาย และควบม้าหนีเข้าป่าไป  
ภายใต้มนตร์ไพรพนา เธอไปเจอแม่มด (เสียงของ จูลี วอลเทอร์ส) ในคราบช่างแกะไม้ และขอให้ปรุงเวทมนตร์ที่จะทำให้พระมารดาเปลี่ยนใจไม่จับเธอแต่งงานไปกับใครก็ไม่รู้ในครั้งนี้ 
แต่มีหรือที่เวทมนตร์จะให้คุณอย่างเดียวโดยไม่ใช่โทษ ไม่มีใครได้อะไรมาง่ายๆ โดยไม่ต้องเสียอะไรไป


ขนมที่แม่มดปรุงขึ้นด้วยเวทมนตร์นั้นมีข้อควรระวังที่แม่มดลืมบอกเจ้าหญิงไป 
แต่ก็สายไปเสียแล้ว เมลิดาเอาขนมไปให้พระมารดาเสวย เพียงคำแรกที่เข้าปาก พระราชินีก็รู้สึก "เปลี่ยนไป" จนเจ้าหญิงนึกดีใจที่พระมารดาคงจะ "เปลี่ยนใจ" ไม่บังคับให้เธอแต่งงานแล้วทีนี้ 
แต่ความเปลี่ยนแปลงในตัวพระราชินีกลับมาในรูปของการแปลงร่างนางให้กลายเป็นหมีตัวโตที่พูดภาษามนุษย์ไม่ได้เสียด้วย ดังนั้น เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อไรพระราชามาเห็นเข้า ความแค้นต่อหมีในอดีตจะทำให้พระองค์ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม โจนเข้าทำร้ายพระราชินีในร่างหมีทันที 
แม่กับลูก หมีกับคน จึงต้องพากันหลบหนีไปตั้งหลัก หาทางถอนเวทมนตร์คาถาที่เป็นดั่งคำสาปของแม่มด เมื่อดั้นด้นไปจนเจอกระท่อมแม่มดกลางป่า ก็พบว่าแม่มดไปฮอลิเดย์เสียไกลลิบ ทิ้งไว้เพียงข้อความเสียงและภาพที่เป็นปริศนาให้ขบคิด 
ถ้าแก้คำสาปนี้ไม่ได้ภายในสองวัน พระราชินีก็จะคงสภาพและกลายเป็นหมีจริงๆ ตลอดไป



บอกได้เพียงว่าเรื่องนี้มีตอนจบเหมือนเทพนิยาย แต่เป็นเทพนิยายสมัยใหม่ที่เจ้าหญิงไม่จำเป็นต้องมีเจ้าชายมาช่วยให้รอดพ้นภัย อย่างที่จั่วหัวเรื่องไว้ข้างต้น 
นี่คือยุคของสตรีนิยม ไม่มีพระเอก นางเอกก็ยืนหยัดอยู่ได้ 
และบทบาทของผู้หญิงในเรื่องก็เป็นผู้หญิงแกร่งที่มีพลังและอำนาจอยู่ในตัวเต็มเปี่ยม แม้ในยุคที่ผู้หญิงยังเป็นเสมือนช้างเท้าหลัง แต่ก็ยังเป็นช้างเท้าหลังที่สั่งการอยู่เบื้องหลังกิจการบ้านเรือนทั้งหมด 
ภาพแอนิเมชั่นของฉากหลังที่เป็นธรรมชาติของสกอตแลนด์ยุคโบราณ สวยสดน่าตื่นตา

อ้อ การ์ตูนสั้นเรื่อง La Luna ที่ฉายก่อนเรื่องหลักนั้น สวยงามชวนฝัน เรียกรอยยิ้มได้และน่าเอ็นดูจริงๆ กับความฝันของมนุษย์ต่อดวงจันทร์สุกใสสว่างอยู่กลางนภาฟ้ากว้างยามราตรี

ดูแล้วชื่นตาชื่นใจมากเลยค่ะ



.

The Lorax โดย พรพิมล ลิ่มเจริญ

.

The Lorax
โดย พรพิมล ลิ่มเจริญ  คอลัมน์ “ใส่บ่าแบกหาม”
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1671 หน้า 73


เธอจ๊ะ
The Lorax อ่านว่า เดอะ ลอแร็กซ์ เป็นหนังสือนิทาน เขียนโดย Dr. Seuss อ่านว่า ด๊อกเตอร์ซูส ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี ค.ศ.1972
ได้ยินดังนั้น ฉันก็ละห้อยละเหี่ยใจในทันใด มันมาอีกแล้วหนังสือนิทานที่ข้ามผ่านกาลเวลามาได้ เชื่อมโยงผู้ใหญ่ยุคโน้นกับเด็กยุคนี้ได้โดยไม่ได้พยายาม เมืองฝาหรั่งเขามีเป็นตั้งๆ ของเรานั้นพิมพ์แล้วหมดไปทุกที

เรื่องนี้ดี แสดงให้เห็นความโลภโมโทสันทางธุรกิจ ที่มาทำร้ายประชาชนตาดำๆ 
พอเอามาทำเป็นหนังการ์ตูนมันก็จะมีบทพูดสลับกับมีเพลงฟังเพลิน ไม่ต้องระวังระไวว่าจะเป็นเนื้อหาหนักๆ


เรื่องก็มีอยู่ว่า ที่เมืองธนีดวิลล์ มีเด็กชายอายุ 12 ปี นามว่าเท็ด

In Thneedville, the air"s not so clean
So we buy it fresh.
It comes out this machine!
ที่เมืองธนีดวิลล์ อากาศไม่ค่อยสะอาด
เราต้องซื้อหาอากาศสดใหม่
ได้จากเครื่องจักรผลิตอากาศ

อากาศดีและสะอาดต้องซื้อหามาไว้ ถึงจะได้เป็นเจ้าของ ไม่ใช่ของฟรีว่างั้น 
สนุกดีนะ เขาร้องกันเป็นเพลง มีทั้งอากาศอัดกระป๋อง อากาศอัดใส่ขวด หรือจะเป็นแบบถัง มีรถมาส่งมาเปลี่ยนให้ได้หายใจกันอย่างสะดวกดาย ออกแนวคนฐานะดีมีอันจะกินก็จะมีอากาศสะอาดๆ ไว้หายใจ


นายโอแฮร์เจ้าของบริษัทผู้ผลิตอากาศรายแรกและรายเดียวของเมืองก็พยายามเป็นหนักเป็นหนาใช้วิธีสกปรกต่างๆ นานาทำให้อากาศเสียและสกปรกไปตามใจ ให้มากเท่าที่จะมากได้

The more smog in the sky
The more people will buy.
ยิ่งมีหมอกควันพิษมากเท่าไหร่ 
เราจะยิ่งขายดีมากขึ้นเท่านั้น


smog เป็นคำสนธิ smoke บวกกับ fog 
แบบเหตุการณ์หมอกควันพิษที่เชียงใหม่เมื่อไม่นานนี้ไง แบบนั้นเรียก smog แน่ๆ แต่มันประหลาดตรงถ้าอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเขาจะเรียก smog อ่านปั๊บก็รู้เลยว่าหมอกควันพิษนี้มีอันตราย
แต่ถ้าอ่านหนังสือพิมพ์ไทยจะงงๆ เพราะบางฉบับเรียก หมอกควัน เฉยๆ ก็เลยฟังดูไม่อันตราย บางฉบับเรียก ควันพิษ ไม่มีหมอก ก็อาจอนุมานไปว่า น่าจะคล้ายๆ ไฟไหม้เดี๋ยวมันก็จากไปเองเวลาพนักงานดับเพลิงมาจัดการกำจัดมันไป 
ฉันก็ไม่ได้เชี่ยวชาญการบัญญัติศัพท์ แต่ไหนๆ มันคือหมอกและควันที่เกิดจากมลพิษในอากาศ ฉันก็ขอเรียก หมอกควันพิษ ไปพลางๆ แล้วกัน



เด็กชายเท็ด ก็เกิดไปหลงรักนางสาวออดรีย์ สาวรุ่นพี่ที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน รุ่นพี่ก็นึกอยากได้ต้นไม้เป็นของขวัญวันเกิด เพราะเกิดมาจนป่านนี้ไม่เคยเห็นกับเขาสักต้น

What I want more than anything 
in the whole world is to see a real living tree 
growing in my backyard.
สิ่งที่ฉันอยากได้ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในโลก 
คือได้เห็นต้นไม้จริงสักต้น
งอกงามที่สนามหลังบ้านฉัน

น้องออดรีย์ก็ไม่ได้หวังมากอะไร เพียงต้นเดียวที่ปรารถนา ให้ได้มาแค่นั้นก็ชื่นฉ่ำใจ 
จะไปหาได้ที่ไหน ต้นไม้ตายหมดแล้ว

เรื่องในหนังก็เล่าย้อนไปให้ฟังว่าทำไมต้นไม้ถึงได้ตายหมดแล้ว 
ด้วยความช่วยเหลือและรอบรู้ของคุณยาย เด็กชายเท็ดจึงได้ข้อมูลเบาะแสว่า จะไปหาต้นไม้ได้จากที่หนใดจากนาย Once-ler อ่านว่า วันซเลอร์ 
นายวันซเลอร์เป็นหนุ่มน้อยนายหนึ่งอยู่เมืองธนีดวิลล์นี่แหละ แกพยายามจะสร้างเนื้อสร้างตัวสร้างครอบครัวสร้างฐานะให้ได้ โดยมีครอบครัวอันประกอบด้วยพ่อแม่และน้องกดดัน 

วันหนึ่งแกก็นึกออก จะทำของจากต้น Truffula (อ่านว่า ทรัฟฟูล่า) ออกขาย 
ต้นทรัพฟูล่า เป็นต้นไม้สีสวยสด กิ่งใบไม่มีมีแต่เป็นขนฟูนุ่มเต็มต้น นายวันซเลอร์ก็เล็งเห็นกำไร ต้นทรัฟฟูล่ามีเต็มเมือง เอามาผลิตเป็นหมวกก็ได้ เป็นผ้าเช็ดทำความสะอาดอเนกประสงค์ก็ได้ นุ่มเนียนและซึมซับดี แต่พอโค่นมา 1 ต้น เดอะ ลอแร็กซ์ ก็ปรากฏกายขึ้น

I am the Lorax. 
I speak for the trees.
ฉันคือ เดอะ ลอแร็กซ์
ฉันมาพูดแทนหมู่มวลต้นไม้

เดอะ ลอแร็กซ์ เป็นคล้ายเทพารักษ์นะ ฉันว่า มาปกปักรักษาต้นไม้ให้อยู่รอดปลอดภัย มาบอกให้นายวันซเลอร์เลิกล้มความตั้งใจในการตัดต้นไม้ เอาไปทำผลิตภัณฑ์ที่ชื่อธนีด

About to make a Thneed,
about to change the world.
จะได้สร้างธนีด 
จะได้เปลี่ยนโลกเสียที

นายวันซเลอร์ก็มองการณ์ไกล จะสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ และยังมีพ่อแม่มากดดันพร้อมสนับสนุนให้โค่นป่าให้เลย จะได้รวยเร็วๆ

This is a revolutionary product 
that will change the world as we know it. 
มันเป็นผลิตภัณฑ์ปฏิวัติวงการเลยนะ 
เปลี่ยนโลกเลยด้วย

นายวันซเลอร์มั่นใจสุดๆ และเมื่อมิไยจะฟังคำเตือนของ เดอะ ลอแร็กซ์

If you"re not gone by the time 
the sun sets on this valley,
I"ll curse you until the end of your days!
ถ้าไม่ไปจากที่นี่ก่อนดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา 
เราจะสาปแช่งเจ้าจนวาระสุดท้ายของชีวิต

เตือนแล้วไม่เชื่อ นายวันซเลอร์ก็ได้ใช้ชีวิตในโลกที่ไม่มีต้นไม้ ใจหายแว้บ แต่จะช่วยอะไรได้ ได้แต่เสียใจและเสียดาย 
แล้วก็โค่นต้นไม้หมดป่าจริงๆ 
แล้ว เดอะ ลอแร็กซ์ ก็จากไป ไม่มีต้นไม้แล้วไง จะอยู่พูดแทนใครได้อีก ไม่ต้องอยู่แล้วดีกว่าไหม


ก่อนจากไป เดอะ ลอแร็กซ์ บอกกับหนุ่มน้อย

A tree falls the way it leans.
Be careful which way you lean.
ต้นไม้เอียงไปทางไหนก็ล้มไปทางนั้น 
นายจงระวังว่าจะเอียงไปทางไหนดีแล้วกัน

อะไรที่มันไม่พอดี ไม่สมดุลก็ให้ระวัง


นายวันซเลอร์ก็ได้บทเรียนไป พอมาเป็นเรื่องของเด็กชายเท็ด ผู้ออกตามหาต้นไม้ไปให้สาว แต่สุดท้ายพยายามเกือบตายได้เมล็ดพันธุ์มา 1 เมล็ด

That"s not just a seed, 
any more than you"re just a boy. 
มันไม่ได้เป็นแค่เมล็ด
มากไปกว่าที่เจ้าเป็นเด็กผู้ชาย

เด็กชายเท็ดก็ต้องหาทางทำให้เมล็ดนั้นงอกเงย โดยมีนายโอแฮร์แลพลพรรคออกตามไล่ล่าและขัดขวาง 

หนังการ์ตูนเนื้อเรื่องแบบนี้ดีนะ ฉันว่า ให้เด็กๆ ได้เห็นว่ามนุษย์ตัวเล็กอย่างเราๆ ก็สามารถต่อสู้เพื่อสิ่งที่เราแคร์และเห็นว่าถูกต้องได้

Unless someone like you cares a whole awful lot, 
nothing is going to get better.
ถ้าโลกนี้ไม่มีคนแคร์มากๆ แบบเจ้า
มันก็จะไม่มีอะไรดีขึ้นได้หรอก

ขอเพียงเราแคร์มันให้มากๆ แล้วก็ลงมือทำตามที่ใคร่ครวญคิดมาแล้วว่าดี

ฉันเอง 



.

2555-08-28

หนุ่มเมืองจันท์: เพื่อนชื่อ “ความรู้สึก”

.

เพื่อนชื่อ “ความรู้สึก”
โดย หนุ่มเมืองจันท์ boycitychan@matichon.co.th www.facebook/boycitychanFC คอลัมน์ ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1671 หน้า 24


เคยมีความฝันอะไรที่ยังไม่ได้ลงมือทำบ้างหรือเปล่าครับ
แล้วรู้สึก "คาใจ" ไหม
มีผลการวิจัยเรื่องหนึ่งจากหนังสือ "โชคดีที่เคยล้ม" (Whoever Makes the Most Mistakes Wins) มาเล่าให้ฟังครับ 
เป็นผลงานของ "แพททรีเซีย วีโนลเซ็น" นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน


เธอทำวิจัยผู้หญิงอายุตั้งแต่ 25-67 ปี 
ผลการศึกษาพบว่าคนที่มีความสุขที่สุด คือ คนที่ความทะเยอทะยานในวัยเด็กได้รับการตอบสนอง 
คือ ฝันไว้อย่างไร ได้ทำอย่างนั้น 
เชื่อไหมครับ ไม่ว่าผลที่ตามมาจะ "สำเร็จ" หรือ "ล้มเหลว" 
แต่ทุกคนมีความสุข


ส่วนคนที่ไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองนั้น ไม่ว่าเธอจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหนในอาชีพและครอบครัว
แต่ทุกคนรู้สึกว่าไม่มีความสุข 
ถ้าย้อนเวลาได้ ผู้หญิงกลุ่มนี้ขอกลับไปไล่ล่าความฝันของตัวเอง 


"วิโนลเซ็น" สรุปผลการวิจัยว่า "หากเราทำอะไรโดยคำนึงถึงแต่เหตุผล แทนที่จะทำตามที่ใจต้องการ เราจะรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง" 
อาจจะเป็นเพราะ "ทุกข์" หรือ "สุข" คือ "ความรู้สึก" 
ไม่ใช่ "เหตุผล"


ในโลกแห่งความเป็นจริง เราอาจใช้ตรรกะของเหตุผลตอบตัวเราได้ว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น 
ทำไมต้องทำอย่างนี้ 
แต่เราไม่สามารถจะใช้หลักของ "เหตุผล" ทำให้เรามี "ความสุข" ได้ 
เพราะ "ความสุข" เป็น "ความรู้สึก" ล้วนๆ

ในหนังสือเล่มนี้เล่าถึงเลขานุการที่เกษียณแล้วคนหนึ่ง ชื่อ "เอมิลี่"
"เอมีลี่" ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมาก 
เธอปฏิเสธทุกคำแนะนำที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต 
"เอมีลี่" อยู่กับพ่อกับแม่ ไม่เรียนมหาวิทยาลัย ไม่แต่งงาน ทำงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งจนเกษียณ 
วิถีของ "เอมีลี่" คือหลีกเลี่ยงความผิดพลาด ความล้มเหลว 
ไม่ยอมเสี่ยงอะไรเลย 

ตอนอายุ 70 ปี "เอมีลี่" บอกว่าถ้าเธอจะเขียนหนังสือสักเล่ม
เธอจะตั้งชื่อหนังสือว่า "โอกาสที่ฉันไม่กล้าออกไปไขว่คว้า" 
เพราะสุดท้าย เธอเสียดายวันเวลาที่ผ่านไปที่ไม่เคยทำในสิ่งที่อยากทำ 
เธอไม่มีความสุข 
เพียงเพราะกลัวที่จะ "ล้มเหลว"




บริษัท 3M หนึ่งในบริษัทที่สร้าง "นวัตกรรม" ของโลก สอนพนักงานทุกคนว่า "ความสำเร็จเกิดจากความล้มเหลว" 
มีผู้คนจำนวนมากเดินทางมาที่ 3M เพื่อเรียนรู้เคล็ดลับของการสร้างองค์กรแห่งความคิดสร้างสรรค์ 
ส่วนหนึ่งคิดว่า "ความสำเร็จ" มาจากงบประมาณการวิจัยและพัฒนา 
ส่วนหนึ่งเชื่อว่ามาจากเทคโนโลยีสุดล้ำ 
หรือว่ามาจากปรัชญาองค์กรที่มุ่งเน้นความสำเร็จของการค้นคิดนวัตกรรม

แต่ถ้าถามพนักงานของ 3M ว่าความสำเร็จขององค์กรนี้มาจากอะไร 
คำตอบที่ได้ก็คือ "บรรยากาศการทำงาน"

ที่ 3M เขาเชื่อว่า "ทัศนคติ" สำคัญกว่า "แผนการจัดการ" 
"ความรู้สึก" ของคนทำงาน สำคัญกว่า "เทคโนโลยี" 
เชื่อไหมครับว่าการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของ 3M 
...60% ล้มเหลว 
แต่คนที่คิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวนั้น ไม่เคยโดนลงโทษ 
ทุกคนยังปลอดภัย และกล้าเปิดเผยผลิตภัณฑ์ "ความล้มเหลว" นั้น 


กรณีศึกษาที่คลาสสิกของ 3M ก็คือ เรื่อง "โพสต์ อิต" 
เริ่มจาก "สเปนเซอร์ ซิลเวอร์" พยายามพัฒนากาวพิเศษที่มีคุณสมบัติติดแน่นแบบไม่มีใครเคยคิดมาก่อน 
แต่เขากลับได้กาวที่ไม่เหนียวเลย

ถ้าอธิบายคุณสมบัติตามแบบเพลงของ "พุ่มพวง ดวงจันทร์" ก็ต้องบอกว่า "แปะ-หล่น แปะ-หล่น ตั้ง 5-6 ที" 
และความรู้สึกของ "ซิลเวอร์" ก็คงคล้าย "พุ่มพวง" 
...เสียดายจัง !!! 
"ซิลเวอร์" เสียดาย แต่ไม่อาย 
เขากล้าที่บอกถึงสิ่งประดิษฐ์ที่ใครๆ เรียกว่า "ความล้มเหลว" กับเพื่อนๆ ในบริษัท

จนวันหนึ่ง "อาร์ต ฟราย" นักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักร้องในโบสถ์มีปัญหาเรื่องการหาหนทางคั่นหนังสือเพลง 
เอากระดาษเสียบก็ปลิวหล่นได้ 
เขานึกกาวตัวนี้ขึ้นมา 
กาวที่ "แปะ-หล่น" ของ "ซิลเวอร์" สามารถนำมาใช้เป็นที่คั่นหนังสืออย่างดีเยี่ยม 
"โพสต์ อิต" กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้มโหฬารให้กับ 3M



ที่ 3M มีผลิตภัณฑ์มากมายที่เกิดจาก "ความล้มเหลว" 
โครงสำหรับเสื้อชั้นในผู้หญิงที่ใช้ไม่ได้ กลายเป็นหน้ากากสำหรับศัลยแพทย์ 
เทปกาวที่แสนธรรมดาสำหรับการผ่าตัดกลายเป็นเทปกาวชั้นเยี่ยมสำหรับการใช้งานที่บ้าน

"ความล้มเหลว" ของสิ่งหนึ่ง กลายเป็น "ความสำเร็จ" ของสิ่งใหม่ 
นักประดิษฐ์ทุกคนของ 3M จึงไม่เคยกลัวที่จะล้มเหลว 
การหลีกเลี่ยงความล้มเหลวต่างหาก 
คือ "ความล้มเหลว" ที่แท้จริง



ในชีวิต เรามีเพื่อนอยู่ 2 คน ที่ต้องปรึกษาอยู่เป็นประจำ 
คือ เจ้าเหตุผล และเจ้าความรู้สึก 
บางช่วงเวลาเราก็ต้องฟังเจ้าเหตุผลให้มาก 
เพราะ "เหตุผล" จะบอกให้เรารอบคอบและระมัดระวัง 
ทำตามคำปรึกษาของเพื่อนคนนี้ แม้บางครั้งอาจไม่ประสบความสำเร็จ 
แต่ส่วนใหญ่จะไม่ล้มเหลว

ส่วนเพื่อนที่ชื่อ "ความรู้สึก" 
เพื่อนคนนี้จะเอาแต่ใจ ไม่รอบคอบ 
มักจะยุให้เราทำตามใจของเราเอง 
อยากทำอะไรให้ทำเลย

ถ้าทำตามคำแนะนำของเพื่อนคนนี้ครั้งใด เรามักจะเสี่ยงต่อความล้มเหลว
แต่เชื่อไหมว่า "ความล้มเหลว" จากการทำในสิ่งที่เราอยากทำ 
บางทีอาจมี "ความสุข" มากกว่า "ความสำเร็จ" ในสิ่งที่เราไม่ได้อยากทำ 
ครับ ถ้าใครละเลยไม่ได้คุยกับเพื่อนที่ชื่อ "ความรู้สึก" มานาน วันนี้เราลองกอดคอคุยกับเพื่อนคนนี้ดูบ้าง 
ถามเพื่อนว่าเราควรทำอะไร 
แล้วทำเลย

ให้คิดว่า "ความสำเร็จ" หรือ "ความล้มเหลว" เป็นเพียงแค่ "ผลลัพธ์" ของการลงมือทำ
อย่ากลัวที่จะล้มเหลว 
ความรู้สึกไม่กลัว "ความล้มเหลว" จะทำให้เรากล้าทำในสิ่งที่อยากทำ 
แต่ถ้าเจ็บตัวกลับมาเมื่อไร เราค่อยไปง้อเจ้าเหตุผล 
อย่ากลัวว่าเพื่อนจะโกรธ เพื่อนคนนี้มีเหตุผล


ถามเพื่อนดีๆ ว่าเราควรทำอย่างไรต่อไปดี 
จากนั้นให้ทำตามเจ้าเหตุผลสักพัก 
รอจนแผลหาย

แฮ่ม...ค่อยกอดคอคุยกับเจ้า "ความรู้สึก" อีกที 
ถามเหมือนเดิม
แล้วทำใหม่อีกครั้ง!!!



.

ฟอร์ม บีฟอร์ ฟังก์ชั่น โดย จอห์น วิญญู

.

ฟอร์ม บีฟอร์ ฟังก์ชั่น
โดย จอห์น วิญญู spokedark.tv www.facebook.com/spokedarktv
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1671 หน้า 79


อ่านแมกกาซีนในร้านกาแฟ พบบทความเขียนโดยแพทย์ผิวหนัง แสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ในฤดูกาลรับปริญญาบัตร 
คุณหมอได้เกริ่นถึงความต้องการอย่างยิ่งยวดของทุกคนที่จะดูดีที่สุดในวันสำคัญแห่งชีวิต 
นอกจากจะต้องจ้างช่างภาพที่มั่นใจในฝีมือแบบฝุดๆ ช่างแต่งหน้าทำผมที่มั่นใจในฝีมือแบบฝุดๆ 
กองเชียร์ที่มีคุณภาพแบบฝุดๆ แล้ว ยังมี "ตัวช่วย" อื่นๆ ที่คุณหมอท่านนี้ "ให้ความรู้" แก่ว่าที่บัณฑิตมาแบบเนียนๆ (ซึ่งแกก็ไม่ได้บอกให้ไปทำหรอกนะ) ว่าหากจำเป็น เทคโนโลยีมันก็มีพร้อมอยู่ เช่น เทคนิคการฉีดนั่นฉีดนี่เข้าไปในผิวหนังเพื่อกระตุ้นอะไรซักอย่างให้อะไรซักอย่างมันขาว มันใส มันวิ้ง มันออร่า มันเกิดฉับพลันนะรังสีเปล่งประกายออกมาจากภายใน ว่าไปนั่น 
ลำบากได้โล่ทีเดียว---จะเป็นหนึ่งในบัณฑิตใหม่ปีละสามแสนกว่าคนที่ระบบการศึกษาระดับเหนือชั้นแห่งประเทศสารขัณฑ์ผลิตออกมาเนี่ย


อ่านข่าวหนังสือพิมพ์พาดหัวว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อนุญาตให้บัณฑิตกะเทย AKA สาวข้ามเพศ แต่งหญิงมารับปริญญาในปีนี้ได้!
ฮูเร! ยี้ฮ่าาาา!

แต่ด้วยข้อแม้เพียงข้อเดียวว่าเธอเหล่านี้จะต้องนำใบรับรองแพทย์มาแสดงว่าเธอ "ป่วย" เป็น "โรคสลับเพศ"
เอาส้งติงนาบหน้าเค้าไปเลยอาจจะดูเหมาะควรกว่านะครับ
องค์การอนามัยโลกประกาศมายี่สิบกว่าปีแล้วว่ารักร่วมเพศไม่ใช่โรค แต่เป็นหนึ่งความหลากหลายทางเพศของมนุษยชาติ
สงสัยข่าวยังมาไม่ถึง

นี่ใช้เวลาเดินทางนานยิ่งกว่ายานคิวริออสิตี้เดินทางไปดาวอังคารอีกสินะ---สงสัยไม่ค่อยมี "คิวริออสิตี้" เท่าไหร่ เลยไม่ค่อยรู้ข่าวคราวอะไรกะเค้า (กร๊าก) 
เหมือนบอกว่าคนผมหยิกไม่มีสิทธินั่งอยู่ในห้องเดียวกันกับคนผมตรงและคนผมหยักศกอ่ะครับ แล้วต่อมาเมื่อมีคนผมหยิกให้เห็นมากเข้าๆ ก็เลยพยายามแสดงความลิเบอรัลโดยการประกาศให้คนผมหยิกเข้ามานั่งได้แต่ต้องยอมรับซะก่อนว่าอาการผมหยิกนั้นเป็นโรคชนิดหนึ่ง ถ้าไม่มีใบอนุญาตเป็นพิเศษนี้ ก็ห้ามเข้าไปนั่งกับคนผมตรงและผมหยักศกอยู่ดี  
ทั้งๆ ที่องค์การอนามัยโลกก็ประกาศไปตั้งนานแล้วว่าอาการผมหยิกนั้นเป็นความหลากหลายทางพันธุกรรมของมนุษย์อย่างหนึ่ง
สงสัยข่าวยังเดินทางมาไม่ถึงสินะ เฮ้ย ไม่ใช่
เพ้อเจ้อแระตู อิอิอิ

ขอส่งสารไปถึงสาวข้ามเพศทั้งหลายนะครับ นี่คือการจับเอาวันสำคัญวันหนึ่งในชีวิตของคุณเป็นตัวประกันเพื่อบังคับให้คุณเอา "ความเป็นคนปกติ" ของคุณไปแลกเป็น "ความบ้า" แล้วเค้าจึงจะ "อนุญาต" ให้คุณ ได้เป็น "ตัวคุณ" ซึ่งอันที่จริงเป็นสิทธิอันชอบธรรมของคุณมาตั้งแต่แรก
โอ๊ย ไปเช่าชุดครุยมาถ่ายรูปก็พอแล้วเหอะ ไปถ่ายทั่วประเทศเลย แต่งหน้าทำผมซักสิบสองลุก จัดไปให้หายอยาก--- 



อ่านหนังสือชีวประวัติเล่มเล็กมีรูปการ์ตูนประกอบของรัฐบุรุษท่านหนึ่งของไทย ซึ่งเน้นเล่าเรื่องในช่วงชีวิตของท่านที่ท่านต้องโดนเกณฑ์ไปเป็นพลทหารทั้งที่ท่านเป็นนักเรียนนอก จบวิชากฎหมายจากประเทศอังกฤษ แม้กระนั้นท่านก็ยังปฏิบัติตามกฎหมายไทยอย่างเคร่งครัด ไปเกณฑ์ทหารเข้ากรมกองตามหน้าที่พลเมืองที่ดีโดยไม่ปริปากบอกใครถึงวุฒิการศึกษา และปฏิบัติตนสงบสำรวมเรียบร้อยเยี่ยงทหารเกณฑ์คนหนึ่ง 
ก็น่าประทับใจดีครับ โดยเฉพาะเมื่อพบว่าเนื้อที่ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของหนังสือเล่มนี้ หมดไปกับการเล่าเรื่องความลำบากใจของท่าน เมื่อคนเค้าพบว่าท่านมีความรู้ภาษาอังกฤษเข้าขั้นเมพ จึงแต่งตั้งให้ท่านไปเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษแก่บรรดานายทหาร โดยที่ท่านเป็นพลทหาร--- 
ซึ่งปัญหาก็คือใครจะตะเบ๊ะใครก่อนครับ 

ปัญหาเรื่องใครจะตะเบ๊ะใครก่อนนี่แม่งเป็นปัญหาระดับชาติจริงๆ 
ตัวท่านรัฐบุรุษซึ่งเป็นทหารเกณฑ์ท่านก็ไม่ได้คิดมากในการที่ท่านจะต้องตะเบ๊ะนายทหารที่มีฐานะเป็นลูกศิษย์ แต่ปัญหาคือพวกหัวหน้านะสิ (มีเยอะซะด้วย)

กลุ่มแรกมาตรวจชั้นเรียนก็สั่งนายทหารลูกศิษย์ว่าการเป็นครูสำคัญกว่า จึงสั่งให้นายทหารตะเบ๊ะครูที่เป็นพลทหารก่อน แต่พอหัวหน้าอีกชุดนึงมาก็ไม่พอใจแล้วสั่งใหม่ว่า ยศสำคัญกว่า ยังไงพลทหารก็ต้องตะเบ๊ะก่อน ลูกศิษย์ก็ไม่สบายใจ บอกให้อาจารย์ถอดเข็มพลทหารออกก็แล้วกันจะได้เป็นพลเรือน นายทหารจะได้ตะเบ๊ะได้ในฐานะอาจารย์

พอหัวหน้าอีกชุดนึงมาก็เลยว้ากพลทหารอาจารย์อีกว่า การถอดเข็มนั้นผิดระเบียบ ห้ามถอด 
วนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ หลายหน้ามากกกกกกกกกก 
ไม่รู้ว่าตกลงได้เรียนภาษาอังกฤษกันบ้างหรือเปล่า 
กว่าคนอ่านจะผ่านเรื่องราวช่วงนี้ของหนังสือไปได้เล่นเอาท้อกันเลยทีเดียว 
นี่แหละน้า มีแต่คนเอาจริงเอาจังกับเนื้อนอกมากกว่าเนื้อใน ลุกดีความสามารถป่นปี้เลยมีให้เห็นเกลื่อน
ฮ่าๆๆ

สนใจกายละเอียดกันมั่งก็ดีนะฮัฟว์
กายหยาบอ่ะ
ละละมันไปมั่งก็ได้ !!!


(จบแนวธรรมมะเฉยเระ)



.

ฟุคุชิมาสะเทือนโลก(21) (22): นักสังคมวิทยา“วิพากษ์” , รากเหง้า “นิวเคลียร์”ญี่ปุ่น โดย ทวีศักดิ์ บุตรตัน

.

ฟุคุชิมาสะเทือนโลก (21) นักสังคมวิทยา“วิพากษ์”
โดย ทวีศักดิ์ บุตรตัน butrton@yahoo.com  คอลัมน์ สิ่งแวดล้อม
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1670 หน้า 36


ประเด็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุคุชิมาระเบิดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 ก่อให้เกิดปฏิกิริยาหลายๆ ด้าน ทั้งเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลญี่ปุ่นปรับเปลี่ยนนโยบายพลังงานนิวเคลียร์ เกิดกระแสสังคมต่อต้าน "นิวเคลียร์" ที่รุนแรงขึ้น รวมไปถึงการกระตุ้นให้อุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์เร่งหาทางพัฒนาเทคโนโลยีใหม่รองรับกับมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดมากกว่าเดิม
ปฏิกิริยาเหล่านี้ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น หากทั่วโลกต่างหันมาเฝ้าจับตาถึงทิศทางของ "พลังงานนิวเคลียร์" อย่างใกล้ชิด
ในแวดวงวิชาการก็เช่นกัน สถาบันการศึกษาชั้นนำของโลกร่วมกันนำประเด็น "ฟุคุชิมา" มาถกเถียง ร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ใหม่ๆ


อย่างเมื่อไม่นานมานี้ศูนย์ศึกษาญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเล่ย์ ให้ความสำคัญกับประเด็นฟุคุชิมา โดยจัดสัมมนาและเชิญ ศาสตราจารย์เออิจิ โอกูมะ นักสังคมวิทยา คณะการจัดการด้านนโยบาย มหาวิทยาลัยเคโอ ประเทศญี่ปุ่นไปพูด
ในเวทีที่ว่านี้ มองเห็นว่า ปรากฏการณ์โรงไฟฟ้าฟุคุชิมา และเหตุแผ่นดินไหว 9.0 ริกเตอร์ ตามด้วยคลื่นสึนามิ เป็นเรื่องใหญ่เพราะทำให้ประเทศญี่ปุ่นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ทั้งชีวิตผู้คน ทรัพย์สินบ้านเรือนและยังมีการคุกคามของกัมมันตรังสีที่รั่วไหลจากโรงไฟฟ้า 
ผู้จัดสัมมนามองอนาคตข้างหน้าว่าจะหาทางป้องกันวิกฤตได้อย่างไร ขณะที่แนวทางการพัฒนาทางสังคมต้องเป็นไปอย่างยั่งยืน

ศาสตราจารย์โอกูมะ เขียนความชิ้นหนึ่งนำมาเผยแพร่ในเวทีสัมมนา ว่าด้วยหัวเรื่อง "พลังงานนิวเคลียร์และขบวนการต่อต้าน" (Japan"s Nuclear Power and Anti-nuclear Movement from a Socio-Historical Perspective)
โดยเป็นมุมมองในเชิงประวัติศาสตร์และสังคม เริ่มจากยุคแรกของญี่ปุ่นในการกำหนดนโยบายพลังงานนิวเคลียร์ จนกระทั่งมาถึงยุคผันเปลี่ยนทางสังคมเมื่อเกิดวิกฤต "ฟุคุชิมา"
ในบทความดังกล่าวพูดถึงสังคมญี่ปุ่นเข้าสู่ยุค "อุตสาหกรรม" ที่เฟื่องฟูเชื่อมโยงสู่ยุค "พลังงานนิวเคลียร์" ในช่วงระหว่างทศวรรษ 1960-1997
ดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นพุ่งสุดๆ ช่วงทศวรรษ 1990

"โอกูมะ" จับกระแสสังคมเศรษฐกิจ โดยดูจากยอดขายสินค้าปลีก ยอดขายรถยนต์รุ่นใหม่ ปริมาณการขนส่งสินค้า รวมไปถึงยอดขายของสื่อสิ่งพิมพ์ 
เป็นธรรมดาเมื่อเศรษฐกิจดี คนมีสตังค์การจับจ่ายซื้อของคล่องมือ 
คนญี่ปุ่นชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ ใครนั่งรถไฟในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นรถไฟใต้ดินหรือชินคันเซน หรือในรถเมล์จะเห็นแทบทุกคนมีหนังสือติดไม้ติดมืออยู่ด้วย บางคนเสียบหูฟังฟังเพลงแล้วพลิกหนังสืออ่านเพลิดเพลินจำเริญใจ

นักสังคมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเคโอเจาะลึกไปถึงกระแสยอดขายหนังสือการ์ตูน "โชเนน จั๊มพ์" (Shonen Jump) เมื่อปี 2548 ทะลุ 6.53 ล้านเล่ม แต่ยอดขายรูดลงมาเมื่อ 4 ปีที่แล้วเหลือแค่ 280,000 เล่ม 
"โอกูมะ" ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างความร่ำรวยฟู่ฟ่าและความตกต่ำทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่เกิดภาวะเงินฝืดเคืองอย่างต่อเนื่อง การบริโภคสินค้าในประเทศทรุดลง และเงินเดือนพนักงานระดับปริญญาตรีที่เพิ่งจบใหม่ๆ ไม่ได้ปรับสูงตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา 
ลูกจ้างชั่วคราว มีรายได้ลดลงตามลำดับตลอดระยะเวลา 20 ปี จาก 5.2 ล้านเยนต่อปีเหลือแค่ 4.6 ล้านเยน 
ภาวการณ์เช่นนี้เองทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นแค่เคยเป็น "นัมเบอร์วัน" เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปแล้ว


จากสังคมอุตสาหกรรมเข้าสู่สังคมหลังยุคอุตสาหกรรม (post-industrialized society)

โอกูมะยกตัวเลขของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เมื่อปี 2508 คนงานในโรงงานมีสัดส่วนภาคเกษตร ป่าไม้ ประมง แต่เมื่อมาถึงปี 2537 จำนวนประชากรย้ายไปอยู่ภาคบริการมากกว่าภาคอุตสาหกรรม 
แม้ว่าภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นยังคงแข็งแรง แต่ยุคทองที่แท้จริงของภาคอุตสาหกรรมคือช่วงระหว่างปี 2508-2547 และยังเป็นยุคทองของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ 
ถ้าเทียบกับสังคมอเมริกันเมื่ออดีต 30 ปีที่แล้ว คนงานในภาคอุตสาหกรรมลดลง 5 ล้านคนในช่วงปี 2532 สัดส่วนคนงานในภาคนี้ลดลงจาก 20 เปอร์เซ็นต์ เหลือแค่ 11 เปอร์เซ็นต์
สาเหตุที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมหดตัวลงเป็นเพราะเกิดวิกฤตการณ์ "น้ำมัน" ในยุค 1970 ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูดเป็นสองเท่าตัว

ระหว่างภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเข้าสู่ยุคทองนั้น เป็นช่วงเดียวกับที่การพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์เป็นไปอย่างก้าวกระโดด สหรัฐผุดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นดอกเห็ดเพื่อป้อนกระแสไฟฟ้าให้กับโรงงานต่างๆ 
จนกระทั่งกลางยุค 1970 อุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์สะดุดกึก เพราะภาคอุตสาหกรรมเจอวิกฤตการณ์น้ำมัน ทำให้การผลิตสินค้าลดลง ประกอบกับในปี 2522 เกิดอุบัติเหตุกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทรีไมล์ ไอส์แลนด์
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของสหรัฐที่เคยฉายแสงแวววาว ก็ค่อยๆ หรี่ลง

นักสังคมวิทยาชาวญี่ปุ่น ตั้งข้อสังเกตว่า ยุคทองของภาคอุตสาหกรรมระหว่างสหรัฐและญี่ปุ่น แม้ว่าจะอยู่คนละช่วงเวลา แต่ทั้งสองประเทศมีความเหมือนกันคือ อุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ เติบโตร่วมยุคสมัยด้วย



++

ฟุคุชิมาสะเทือนโลก (22) รากเหง้า “นิวเคลียร์” ญี่ปุ่น
โดย ทวีศักดิ์ บุตรตัน butrton@yahoo.com  คอลัมน์ สิ่งแวดล้อม
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1671 หน้า 36


ศาสตราจารย์เออิจิ โอกูมะ นักสังคมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเคโอ เปิดมุมมองย้อนอดีตการเริ่มต้นยุคนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นโดยชี้ให้เห็นว่าเชื่อมโยงกับการเมืองและการทหาร ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง 
ในเวลานั้น แม้ว่าญี่ปุ่นเข้าสู่ความเป็นชาติอุตสาหกรรมชั้นนำของทวีปเอเชีย แต่ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง การพัฒนาประเทศควบคู่ไปกับการทหาร ภายใต้สโลแกนที่ว่า "ประเทศมั่งคั่ง การทหารแข็งแกร่ง" (enrich the country, strengthen the military) 
กองทัพญี่ปุ่นเตรียมกระบวนการเข้าสู่การทำสงคราม ในปี 2473 
อีกหนึ่งปีต่อมาส่งกำลังเข้ายึดแมนจูเรียของจีน จากนั้นเปิดสงครามเต็มรูปแบบทั่วเอเชีย จนกระทั่งปี 2484 ส่งฝูงบินกามิกาเซ่บุกถล่มฐานทัพเรือเพิร์ล ฮาร์เบอร์ของสหรัฐ
4 ปีถัดมา นายแฮรี่ ทรูแมน ประธานาธิบดีสหรัฐ ส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ถล่มเมืองฮิโรชิม่า และนางาซากิ พังราบเป็นหน้ากลอง
ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้

เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้ หลานชายของนายทรูแมนเพิ่งเดินทางไปเมืองฮิโรชิม่าเพื่อร่วมรำลึกเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์


ในช่วงสงครามโลก กองทัพญี่ปุ่นเป็นใหญ่ คุมเกมการบริหารของรัฐบาล หน่วยงานต่างๆ จะต้องตอบสนองความต้องการของกองทัพ 
กิจการโรงไฟฟ้าซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นผู้ดูแล ต้องดำเนินนโยบายผลิตกระแสไฟป้อนให้กับอุตสาหกรรมการทหารอย่างต่อเนื่อง
นิปปอน ฮัสโซเดน คาบูชิกิ ไคซา เป็นบริษัทผลิตและขายไฟฟ้าอยู่ในความควบคุมของรัฐบาลญี่ปุ่น กลายเป็นบริษัทผูกขาดกิจการพลังงานไฟฟ้า มีหน้าที่กำกับการผลิตและส่งกระแสไฟฟ้าไปทั่วญี่ปุ่น 
แม้ว่าบริษัท นิปปอน ฮัสโซเดน คาบูชิกิ จะถูกยุบและแยกการบริหารจัดการในพื้นที่ต่างๆ หลังสิ้นสุดสงครามโลกแล้วก็ตาม แต่ระบบการผูกขาดกิจการพลังงานไฟฟ้าของญี่ปุ่นยังสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

รัฐบาลญี่ปุ่นวางนโยบายการผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ให้เอกชนเข้าบริหารจัดการ เพื่อลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ภายใต้กฎหมายว่าด้วยกิจการไฟฟ้า กำหนดไว้ว่าอัตราค่ากระแสไฟฟ้าจะสูงกว่าต้นทุนการผลิตที่ 4 เปอร์เซ็นต์ 
บริษัทเอกชนพอใจข้อกฎหมายนี้เพราะได้ผลกำไรอย่างแน่นอน อีกทั้งยังกำหนดให้ผู้บริโภคต้องใช้กระแสไฟฟ้าของบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ขายในพื้นที่นั้นๆ จะไปซื้อไฟจากบริษัทอื่นไม่ได้
นี่เป็นที่มาที่ทำให้บริษัทไฟฟ้าของญี่ปุ่นพากันดี๊ด๊าเมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นอนุญาตให้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เพราะแม้ว่าจะลงทุนสูงแต่คุ้มค่ากับผลตอบแทนอีกทั้งยังเปิดทางให้เอกชนสามารถตัดสินใจแผนการผลิตในอนาคตได้ นอกจากนี้แล้วรัฐบาลยังช่วยเหลือโรงไฟฟ้าในรูปแบบหลากหลาย 
ระบบจัดการไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ของญี่ปุ่น กำหนดนโยบายโดยรัฐบาล แต่ภาคเอกชนบริหารจัดการ จึงไม่เหมือนกับฝรั่งเศส หรือรัสเซีย ที่เป็นกิจการของรัฐ



โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกของโลก เกิดขึ้นเมื่อปี 2494 เวลานั้นทิศทางของพลังงานนิวเคลียร์สดใสมาก 
ใครๆ พากันคาดหวังว่านิวเคลียร์เป็น "พลังงานในฝัน" 
โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์คือสัญลักษณ์ของยุค "อุตสาหกรรม" อันรุ่งเรือง 
รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เหมือนมหาอำนาจสหรัฐและอังกฤษ แต่เรียกชื่อแผนก่อสร้าง "โรงงานพลังงานอะตอมมิก" เลี่ยงคำว่า "นิวเคลียร์" เพราะแสลงหูชาวญี่ปุ่นที่เพิ่งผ่านประสบการณ์ถล่มฮิโรชิม่า

แถมยังมีแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์บริเวณเขตเมืองแต่นักวิชาการประเมินว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เมืองจะพังพินาศยับเยินเหมือนอดีต
ขณะที่ฝ่ายค้านในสภาไดเอตไม่เห็นด้วยกับการดึงดันนำพลังงานนิวเคลียร์มาพัฒนาอุตสาหกรรมและทิศทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และมีข่าวแพลมๆ ออกมาว่า รัฐบาลมีแผนพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อีกด้วย 

ปี 2504 ญี่ปุ่นออกกฎหมายว่าด้วยการชดเชยความเสียหายจากนิวเคลียร์ กรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกิดอุบัติเหตุ 
ยุคทศวรรษ 1960 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเติบโตอย่างรวดเร็ว โรงงานอุตสาหกรรมผุดทั่วประเทศ การปล่อยของเสียยังเป็นไปอย่างเสรี ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษรุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นน้ำเน่าเสีย ควันดำโขมง ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากพิการ ลูกหลานเกิดมาไม่สมประกอบ เพราะกินอาหารปนเปื้อนสารพิษ เป็นโรคอิไต-อิไต มีอาการเจ็บปวดตามข้อกระดูก โรคมินามาตะ เกิดจากการกินเนื้อปลาปนเปื้อนสารปรอท 
มลพิษที่ปกคลุมไปทั่วเมือง บีบคั้นให้ประชาชนต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องรัฐบาลญี่ปุ่น เร่งออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหา  
กลุ่มต่อต้านสิ่งแวดล้อมเป็นพิษถือกำเนิดขึ้นมาในปลายทศวรรษ 1960 และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่รัฐบาลญี่ปุ่นกำหนดแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เรียบร้อยแล้ว


ปี2513 ญี่ปุ่นเปิดเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรก ตามด้วย โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุคุชิมา ไดอิจิ ในปีถัดมา
เหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุคุชิมาระเบิดเมื่อปีที่แล้ว คำนวณความเสียหายเป็นมูลค่ากว่าหนึ่งหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่ตามกฎหมายว่าด้วยค่าชดเชยกำหนดว่าผู้ได้รับความเสียหายจะได้รับจากเงินกองทุนของบริษัทผลิตไฟฟ้า ในปัจจุบันกำหนดจ่ายไม่เกิน 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ

เพราะฉะนั้น ส่วนที่เกิน รัฐบาลญี่ปุ่นอาจจะต้องยื่นมือให้ความช่วยเหลือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุคุชิมา



.