http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-02-04

ผีดิบ และ คนไทยเห็นด้วยกับพี่ทอง โดย คำ ผกา

ผีดิบ
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1588 หน้า 91


"พี่ดาวพระศุกร์เห็นข่าวนี้หรือยัง? ประเทศไทยเราเป็นหนึ่งใน 25 ประเทศ ที่ระดับของความเป็นประชาธิปไตยตกต่ำถึงขั้นเสื่อม" ทัดดาวที่ห่างหายจากการมาเยี่ยมเยียนดาวพระศุกร์ไปนาน แต่ด้วยคิดถึงมิตรภาพอันงดงามที่เคยมีให้กัน เลยตัดใจว่า แม้อุดมการณ์ทางการเมืองจะเริ่มแตกต่าง แต่ก็น่าจะรักษาความเป็นเพื่อนเอาไว้ได้

ดาวพระศุกร์ดูทรุดโทรมไปมากจากที่ทัดดาวได้พบครั้งสุดท้าย มาคราวนี้ดูตาลอยๆ เคว้งคว้างสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก

"เอ๊ะ พี่ดาวพระศุกร์ไม่สบายหรือเปล่าคะ? ดูหน้าซีดๆ พอดีเลย ทัดดาวมีลิปสติกแดงสดของดิออร์มาฝากค่ะ เข้ากะสีผิวพี่ดาวพระศุกร์เชียว เติมลิปสติกสักหน่อยดีกว่านะคะ เห็นพี่ดาวพระศุกร์หน้าซีดแล้วใจคอไม่ดีเลยค่ะ แหม...อะไรจะมาปล่อยเนื้อปล่อยตัวตอนไปนั่งปฏิบัติธรรมหน้ายังแจ่มกว่านี้เลย"

"ขอบใจเธอมากที่มาเยี่ยม" ดาวพระศุกร์ไม่อยากจะบอกทัดดาวหรอกว่าเธอกินไมได้นอนไม่หลับที่คนไทยถูกเขมรจับตัวไป โชคดีที่คณะกรรมการสิทธิฯ ของไทยออกมาเรียกร้องกดดันให้รัฐบาลช่วยเหลือคนไทยทั้ง 7 คน คนเหล่านี้จะทำผิดกฎหมายเขมร หรือจะไปรุกล้ำดินแดนโดยพลการหรืออะไรก็แล้วแต่ ดาวพระศุกร์เชื่อว่าคนที่เสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองต้องได้รับการปกป้อง

อันที่จริงดาวพระศุกร์ชั่งใจอยู่นานว่าจะให้ทัดดาวเข้าบ้านหรือเปล่า บอกตรงๆ ว่ารับไม่ได้ที่ช่วงหลังๆ ทัดดาวไปเห็นดีเห็นงามกับพวกเสื้อแดงที่ออกมาปั่นป่วนสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนไม่หยุดหย่อน

นอกจากนี้ ดาวพระศุกร์ยังได้ข่าวว่า ทัดดาวนอกจากจะไปสนิทกับพี่ทองอย่างแน่นแฟ้น จนมีข่าวในคอลัมน์ "โฉมฉบาเจ๊าะแจ๊ะ" ว่า ขาเตียงของทัดดาวกับ "เจ้าฮะ" เริ่มสั่นคลอน

แต่เมื่อมานั่งคิดดูดีๆ ดาวพระศุกร์คิดว่าในความเป็นเพื่อน เธออาจช่วยให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับทัดดาว ไม่อย่างนั้น ทัดดาวอาจโดนพี่ทองล้างสมองไปจนกู่ไม่กลับ ไม่นับว่าต้องสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียสามี "เจ้าฮะ" ไปได้ไพร่อย่างพี่ทองมาเป็นผัว


"พี่ไม่เห็นจะสนใจว่าใครจะมาจัดอันดับให้ประเทศของเราอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่ พี่บอกเธอกี่ครั้งแล้วว่าฝรั่งอั้งม้อ คนต่างชาติพวกนั้นจะมารู้เรื่องอะไรกับบ้านเรา ทัดดาวเธอยังเด็ก เธอไม่รู้หรอกว่า ผู้ชายคนนั้นน่ะใช้เงินของเขาไปจ้างฝรั่งมาใส่ร้ายบ้านเมืองของเรา น่าละอายเป็นที่สุด รัฐบาลของเราก็มาจากการเลือกตั้ง นายกอภิสิทธิ์ของเราก็เป็น ส.ส. มาตลอด ไม่เคยสอบตกสักครั้ง แล้วจะมาว่า นายกฯ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งได้ไง เอาอะไรคิด คนพวกนี้ พี่สงสารรัฐบาลจริงๆ อุตส่าห์ทำงานหนัก ยังต้องมาโดนโจมตี โดนด่าทุกวัน ปีใหม่นี้ก็อุตส่าห์เอาของขวัญมาให้ประชาชนตั้งเก้าประการ โครงการประชาวิวัฒน์ น้องทัดดาวได้อ่านข่าวบ้างไหม ข่าวสร้างสรรค์แบบนี้หัดอ่านเสียบ้าง ไปอ่านแต่ข่าวที่ต่างชาติมันใส่ร้ายประเทศไทย แล้วนี่นะ ถ้าทหารไม่ออกมารัฐประหารช่วยชีวิตชาติบ้านเมืองเอาไว้ ป่านนี้ ประเทศของเราถูกผู้ชายคนนั้นเขมือบกินไปจนสิ้นชาติไปแล้ว ทหารเขาสู้เสียสละยอมถูกประณามว่าเป็นพวกล้าหลังตกยุค เปลืองตัวออกมาทำรัฐประหารก็เพราะรักชาติหรอก พี่บอกเธอกี่ครั้งแล้วว่าการเมืองน่ะมันซับซ้อนกว่าที่พี่ทองศาสดาองค์ใหม่ของเธอจำขี้ปากฝรั่งมาล้างสมองเธอมากนัก" ดาวพระศุกร์ใช้คำว่า "ผู้ชายคนนั้น" ด้วยรังเกียจเสียจนไม่อยากเอ่ยชื่อ

"พูดถึงของขวัญก็ตลกดีนะคะคุณพี่ รัฐบาลมีหน้าที่ต้องทำงานบริหารบ้านเมือง วันดีคืนดีมีมาตรการช่วยเหลือประชาชนนิดๆ หน่อยๆ ที่ยังไม่ได้พิสูจน์ผลงานเลยว่าดีจริงหรือเปล่า ก็มาเคลมเสียแล้ว นี่ไง รัฐบาลอุตส่าห์ทำนู่นทำนี่เป็นของขวัญให้ประชาชนนะจ๊ะ ประชาชนพึงขอบคุณและสำนึกในบุญคุณด้วย

มันคล้ายๆ อะไรล่ะ พี่ดาวพระศุกร์ลองนึกภาพคนทำงานในบ้านพี่เดินมาบอกว่า คุณดาวพระศุกร์คะ วันนี้หนูล้างส้วมแถมเก็บใบไม้ในสนามให้เป็นของขวัญแก่คุณแน่ะค่ะ ตลกจัง นี่ยังไม่ต้องมาพูดว่า เงินทองที่รัฐบาลนำมาใช้บริหารจัดการก็เป็นเงินภาษีของประชาชนทั้งนั้น แล้วยังสามารถมาอ้างว่า อุ๊ย นี่ชั้นให้ของขวัญพวกเธอนะยะ ทัดดาวก็แบบแหม...เอาเงินชั้นมาซื้อของขวัญให้ชั้น แถมยังเป็นของขวัญเห่ยๆ เนี่ยะนะ แล้วยังมาทวงบุญคุณ จะบ้าตาย"

"ทัดดาวมีแต่อคติ ไม่ดีเลย รัฐบาลเค้าอุตส่าห์หวังดี เธอก็จ้องไปจับผิดสถานเดียว อีหรอบนี้คนเค้าจะเอากำลังใจที่ไหนมาทำงาน ในภาวะที่บ้านเมืองเป็นแบบนี้ ใครขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็ต้องรับศึกหนัก ต้องเสียสละมหาศาล ถ้ารัฐบาลเค้าไม่ดีจริง ไม่เสียสละจริง ไม่อดทนจริงๆ คงอยู่ไม่ได้ เพราะพวกเสื้อแดงมันป่วนเหลือเกิน แต่เห็นไหมเล่าว่า ทองอยู่ที่ไหนก็เป็นทอง ต่อให้พวกเสื้อแดงออกมากี่หมื่นกี่แสนก็ทำอะไรรัฐบาลนี้ไม่ได้หรอก เพราะคนดีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมคุ้มครอง"

ดาวพระศุกร์พยายามนับหนึ่งถึงพันที่จะไม่ไล่ทัดดาวออกจากบ้าน ส่วนทัดดาวก็รู้สึกเห็นด้วยกับดาวพระศุกร์ในประเด็นที่เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์


"แล้วพวกคนเสื้อแดงน่ะเมื่อไหร่จะหยุดป่วนบ้านป่วนเมือง สงสารพ่อค้า นักธุรกิจที่ราชประสงค์จังเลย พวกเค้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรต้องมาเดือนร้อนเพียงเพราะพวกเสื้อแดงอยากออกมาร้องรำทำเพลงเรียกร้องความสนใจกลางถนน ไม่เคยคิดจะใส่ใจคนอื่นว่าจะเดือดร้อน จะค้าขายไม่ได้ ชาวบ้านชาวเมืองเค้าอยากออกมากินข้าว ช้อปปิ้ง ดูหนัง ก็ออกมาไม่ได้ บ้าสิ้นดี คนเห็นแก่ตัว"

"เอ...พี่ดาวพระศุกร์คะ พูดแบบนี้คนกรุงเทพฯจะเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า? คนเสื้อแดงเขายังไม่ได้รับความเป็นธรรม พี่น้อง พ่อแม่ ลูก หลานเค้า เจ็บ ตาย ติดคุก ปริศนาฆาตกรรมยังไม่ได้รับการคลี่คลาย พี่จะให้พวกเค้าเงียบไปดื้อๆ ก็คงแปลก ที่สำคัญพวกเขาต่อสู้เพื่อหวังจะเห็นสังคมใหม่ที่เป็นธรรมกว่าเดิม ถ้าพวกเขาชนะอีกหน่อยลูกหลานของพี่ดาวพระศุกร์ อีกทั้งคนกรุงเทพฯ ที่มาเชียร์ให้พวกเขาถูกฆ่า พ่อค้า นักธรุกิจที่ตอนนี้มาก่นด่าเรื่องไมได้ค้าขาย ก็จะพลอยสบายไปด้วยนะเนี่ยะ" ทัดดาวลืมไปเลยว่าตั้งใจจะปรองดองกับดาวพระศุกร์เพราะฟังๆ แล้วเลือดชักเข้าตา

"ต๊าย นี่ทัดดาวคิดว่าไพร่ฟ้าหน้าดำอย่างพวกคนเสื้อแดงจะนำสังคมใหม่มาให้เธอเหรอจ๊ะ นี่ถ้าพรุ่งนี้ "เจ้าฮะ" ของเธอลุกขึ้นมาฟ้องหย่า พี่จะไม่แปลกใจเลย แล้วพี่ขออวยพรให้เธอไปกัดก้อนเกลือกินกับพี่ทองของเธอให้มีความสุขในโลกอุดมคตินะจ๊ะ"

"พี่จะบอกอะไรให้นะทัดดาว พ้นจากสมัยจอมพลสฤษดิ์มาแล้วพี่ไม่เห็นรัฐบาลไหนจะเป็นรัฐบาลที่เป็นห่วงเป็นใยประชาชนขนาดนี้ อย่างเรื่องวัฒนธรรม ท่านก็อุตส่าห์ตั้งคณะกรรมการที่เสียสละมานั่งดูหนังที่เป็นภัยต่อศีลธรรมเพื่อจะคัดกรองให้เหลือแต่สิ่งบริสุทธิ์ผุดผ่องมาสู่สายตาของประชาชน พวกท่านน่าสงสารเหลือเกินที่จะต้องไปนั่งทนดูฉากเสื่อมๆ เนื้อเรื่องอุจาดในหนังเหล่านั้น โธ่...ศีลธรรมของพวกท่านถูกทำให้เสื่อมถอย ถูกทำร้าย ท่านเอาตัวของพวกท่านเข้าแลกเพียงเพื่อพิทักษ์ศีลธรรมของพวกเรา พวกท่านช่างกล้าหาญ ช่างเสียสละ ไม่ผิดอะไรกับทหารกล้าที่ยอมตายเพียงเพื่อพิทักษ์ชีวิตของประชาชนในชาติ พวกท่านคือนักรบทางศีลธรรม สมควรได้รับเหรียญหล้าหาญเสียนี่กระไร"

พูดมาถึงตอนนี้ ดาวพระศุกร์ก็น้ำตาซึม

"ไม่เพียงเท่านั้น นี่รัฐบาลกำลังจะออกกฎห้ามขายสุราหลังเที่ยงคืน..."

พูดยังไม่ทันขาดคำ ทัดดาวก็ขัดจังหวะขึ้นมาว่า "อันนั้นพี่ดาวพระศุกร์คงไม่เดือดร้อน เพราะแม้ว่าพี่ดาวพระศุกร์จะชอบตื่นมาจิบไวน์ตอนเที่ยงคืนถึงตีสามตีสี่อยู่บ้างกฎหมายนี้ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไร เพราะบ้านคนมีกะตังค์อย่างพวกเราตุนเหล้า เบียร์ ไวน์ แชมเปญไว้ชนิดที่กินไปอีกชาติหนึ่งก็ไม่หมด ฮ่าๆๆๆ" ทัดดาวหัวเราลั่นอย่างสุขใจที่ไม่อดกินเหล้า

"เอ๊ะ ทัดดาวนี่ ยิ่งนานวันยิ่งเซี้ยวขึ้นทุกที พี่กำลังจะชี้ให้ทัดดาวเห็นว่ารัฐบาลนี้รักและหวังดีต่อประชาชนแค่ไหน ไม่อยากให้คนไทยเป็นขี้เหล้า เมาหยำเป เป็นโรคตับแข็ง เป็นหนี้ เสียสติ ผิดศีลห้า"

"แต่ทัดดาวแปลกใจว่า บรรดา "ท่านท่าน" ที่คิดออกกฎหมายเหล่านี้มา ท่านท่านก็ล้วนแต่กินเหล้ากินไวน์กันเป็นลังๆ กินมากกินแพงกินหรูกินหนัก ไม่นับกินแต่ที่หนีภาษีเสียด้วย แล้ว ท่านท่าน จะมาห้ามประชาชนไม่ให้กิน มันแปลกๆอยู่นาพี่ดาวพระศุกร์"

"แหม จะให้เหมือนกันได้ยังไงคะ พวกเราน่ะกินแบบคนมีความรู้ กินแบบมีสติ กินแบบผู้ดี ไม่เหมือนชาวบ้าน กินแล้วสร้างความเดือดร้อน กินแล้วไปขับรถ เป็นอันตรายต่อตัวเองและผู้อื่น กินแล้วทุบตีลูกเมีย กินแล้วไม่ทำงาน กินแล้วเป็นหนี้ กินแล้วตีกัน รัฐบาลทำถูกแล้วค่ะ ประเทศเรา ชาวบ้านยังโง่ เราปล่อยให้พวกเค้าทำอะไรตามใจชอบไม่ได้หรอก

นี่แค่เรื่องกินเหล้า สูบบุหรี่ ดูหนังเรายังต้องควบคุมดูใกล้ชิด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะให้ไปเลือกผู้ทงผู้แทน โอ๊ย ชาวบ้านเรายังโง่ ไม่ประสีประสาขนาดนี้ ปล่อยให้ไปเลือกต้ง เลือกตั้ง ตามใจชอบไม่ได้หรอก

เมื่อไหร่ทัดดาวจะเข้าใจเสียทีว่า คนเราน่ะมันรู้ไม่เท่ากัน ฉลาดไม่เท่ากัน เป็นหน้าที่ของพวกเราที่รู้แล้ว รวยแล้ว ฉลาดแล้ว มีการศึกษาแล้ว จะต้องคอยดูแลชาวบ้านที่ไม่รู้เท่าเรา ไม่ให้พวกเขาออกนอกลู่นอกทาง คนฉลาดกินเหล้า กับคนโง่กินเหล้ามันไม่เหมือนกันนะ เพราะฉะนั้นเราจะปล่อยให้ชาวบ้านโง่ๆ จนๆ กินเหล้าเหมือนพวกเราได้อย่างไร คนพวกนี้ไม่ค่อยมีความยับยั้งชั่งใจ แบบว่า ...พวกเราน่ะมีวิวัฒนาการความเป็นมนุษย์สูงกว่าพวกเค้าไง เราต้องรอให้เค้าฉลาดเท่าเรา เราค่อยให้เขาทำอะไรเหมือนเราได้ เข้าใจไหม?

แต่เอาเข้าจริงๆ คนเรามันฉลาดเท่ากันไมได้หรอก ชาติที่แล้วทำบุญมาไม่เท่ากัน คนพวกนี้เขาเกิดมาเพื่อให้พวกเราปกครองดูแล มีหน้าที่ใช้แรงงาน ทำงานหนัก ส่วนพวกเราทำบุญมาเยอะกว่า ก็มีหน้าที่ใช้สมอง ถ้าคนเราเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้ สังคมไทยจะสงบสุขขึ้นอีกเยอะ

พวกคนที่บุญน้อย เกิดมาจนและโง่ ก็เหมือนเด็กอายุไม่ถึง 18 นั่นแหละ เราเป็นผู้ใหญ่ก็มีหน้าที่ดูแลไม่ให้เขาทำอะไรไม่ดีไม่งาม เพราะเขายังเด็กยังคิดเองไม่เป็น รัฐบาลเลยจะควบคุมไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดออกจากบ้านหลังสี่ทุ่ม ทำแบบนี้ได้รับรองบ้านเมืองเราจะสงบเรียบร้อยเพราะพ่อแม่ต้องทำหน้าเป็นตำรวจคอยควบคุมพฤติกรรมลูก ช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาลไปได้อีกเยอะ โอ๊ย ทัดดาวจ๋า เธอจะไม่ให้พี่รักรัฐบาลนี้ยังไหว นี่! รัฐบาลที่ดีจริง กล้าจริง มันต้องให้ได้อย่างนี้ ไปทำครอบครัวให้เป็นเอเยนต์ของฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลไปในตัว โอ๊ย ฉลาดจริงๆ ฮ่าๆๆ"

ดาวพระศุกร์หัวเราะพลางแสยะริมฝีปาก


"เอ่อ พี่ดาวพระศุกร์ไม่คิดเหรอว่า พี่กำลังถูกลิดรอนสิทธิ เสรีภาพในฐานะที่เป็นมนุษย์ ทัดดาวหมายความว่าในฐานะที่เป็นมนุษย์ เราน่าจะเลือกได้ว่าเราจะอยู่ไหน อย่างไร กี่โมง แบบว่า เราคิดเองได้น่ะค่ะ เรามีสมอง ไตร่ตรองได้ด้วยตนเอง แล้วทัดดาวว่า อยู่ๆบนถนนในประเทศไทยหลังสี่ทุ่มจะมีแต่คนอายุสิบแปดปีขึ้นไป เท่านั้นที่มีสิทธิออกมาเดิน มาทำกิจกรรม อุ๊ย นึกภาพแล้วขนลุกออกคะ มันจะดูหลอนๆ ดูเป็นประเทศผีดิบไปป่าวคะ? ทัดดาวเคยไปญี่ปุ่น ดึกๆ เด็กยังออกมาเดินเล่น มาปั่นจักรยานริมแม่น้ำ น่ารักออก" ทัดดาวพยายามจะให้เหตุผลอย่างสิ้นหวังและหมดแรง

"อุ๊ย เธอไม่ต้องมาโรแมนติก เด็กบ้านเราน่ะเหรอ จะมาเดินริมแม่น้ำ มันจะออกมาแว๊น มามั่วสุม มาเสพยา มาขายตัวกันน่ะสิ"

ทัดดาวเงยหน้าขึ้นไปสบตากับดาวพระศุกร์ เห็นแต่ดวงตากระด้างไร้แวว หน้าซีด ผอมซูบเซียวเหมือนคนไม่เคยเห็นแสงแดด และถูกดูดเอาพลังออกไปจากตัวจนหมด พลันขนลุก

เป็นครั้งแรกที่ทัดดาวตระหนักว่าเพื่อนของเธอไม่ได้เป็นมนุษย์แต่ถูกทำให้กลายเป็นผีดิบไปแล้วโดยสิ้นเชิง


++

คนไทยเห็นด้วยกับพี่ทอง
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 04 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1590 หน้า 89


" พี่ทองคะ ทัดดาวชักสงสัยว่ากระแสเขาพระวิหารเนี่ยะ มันยังปลุกขึ้นอีกเหรอ? " ทัดดาวขับรถมาเยี่ยมพี่ทองถึงอยุธยา เพราะอยู่กรุงเทพฯ แล้วไม่รู้จะคุยกับใคร

ดาวพระศุกร์ก็ตาลอย คล้ายจะเป็นผีดิบ ว่ากันว่า คนที่ได้รับสารกล่อมประสาทอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายสิบปี หากไม่ฉุกคิดว่าทำไมตัวเองถึงดวงตาพร่ามัว เห็นอะไรไม่ค่อยชัด หม่นๆ มัวๆ ใครเอาอะไรมาให้ดูว่าสวยใสไร้ตำหนิ นานวันเข้าก็จะดูเหมือนคนสมองเสื่อม ย้ำคิดย้ำทำ ปิดกั้นตนเองจากโลกภายนอกอย่างที่ดาวพระศุกร์เป็นอยู่ตอนนี้

และที่น่ากลัวคือเพื่อนทัดดาวเกือบทุกคนออกอาการคล้ายๆ ดาวพระศุกร์ หรือเพื่อนอีกจำนวนหนึ่งออกอาการเหมือนคนถูกป้อนยานอนหลับมาตั้งแต่เกิด

นั่นคือ ต่อให้เดินลืมตาก็เหมือนหลับ ไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตราบใดที่ยังมีหนังให้ดู มีห้างฯ ให้เดิน คนที่ถูกเป่ามนต์ป้อนยานอนหลับเหล่านี้ไม่มีแม้แต่ความทะเยอทะยานที่จะอยาก มีห้างสรรพสินค้าที่ดีกว่าที่มีอยู่ด้วยซ้ำไปกระมัง

ยิ่งคิดยิ่งเพลีย อีกใจหนึ่งทัดดาวก็รู้สึกว่าตัวเองไม่น่าจะต้องมารู้จักกับพี่ทอง อันที่จริง ชีวิตก่อนหน้านี้ของทัดดาวก็ออกจะมีความสุขสบายใจ กะอีแค่กินยากล่อมประสาทกับยานอนหลับต่อเนื่อง มีพี่ดาวพระศุกร์เป็นเพื่อนไปเรื่อยๆ

เฮ้อ-ไม่น่าริอ่านมาทำตาสว่างกับใครเค้าเล้ย

วันนี้แทนที่จะขับรถไปหาพี่ทองที่อยุธยา ทัดดาวน่าจะไปทดลองชิมนิพพานจำลองที่สวนโมกข์กรุงเทพฯ มากกว่านะเนี่ย


"ปัญหาเรื่องชาตินิยมแบบที่จะไปรบกับประเทศเพื่อนบ้านของไทยมันน่าจะยุติไปตั้งนานแล้ว อย่างที่เรารู้กันว่า ในระดับที่เลวร้ายที่สุดในกรณีของประเทศไทยมันก็แค่คนไทยถูกหล่อหลอมกล่อมเกลามาด้วยความรู้ทางประวัติศาสตร์ฉบับราชการชุดหนึ่งที่เป็นเรื่องเท็จอย่างสมบูรณ์แบบ ความรู้ทางประวัติศาสตร์ชุดนี้จะถูกเขียนขึ้นมาด้วยเหตุผลและความจำเป็นของชนชั้นนำหรืออะไรก็แล้วแต่

มรดกทางอุดมการณ์ที่มันตกผลึกอยู่ในจิตสำนึกคนไทยคือ สำนึกที่เชื่อว่าตนเองเป็นชนชาติ เชื้อชาติ ประเทศชาติ ที่มีความเหนือกว่าประเทศเพื่อนบ้านในทุกมิติ เริ่มตั้งแต่สามารถมีชัยชนะหรือประเทศเพื่อนบ้านในการศึกสงคราม บอกว่าตนเป็นชาติที่รู้รักสามัคคี ส่วนเพื่อนบ้านล้วนเต็มไปด้วยคนคิดคดทรยศ ต่อมาด้วยเรื่องของการไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร ในขณะที่เพื่อนบ้านต้องเผชิญกับภาวการณ์ตกเป็นอาณานิคม ถูกกดขี่ เผชิญศึกสงคราม กลายเป็นคอมมิวนิสต์

ผลอันเลวร้ายที่สุดที่ประวัติศาสตร์ชุดนี้กระทำต่อคนไทยคือ ทำให้คนไทยเป็นคนหลงตนเอง ไม่สนใจประวัติศาสตร์ ภาษา ศาสนา วรรณกรรม ของประเทศเพื่อนบ้าน นำมาสู่การดูถูก ลาวคือความเชย สะเหล่อ บ้านนอก พม่าคือผู้รุกรานในอดีตที่ตอนนี้ต้องมารับผลกรรมที่เคยทำกับเมืองไทยเอาไว้ เขมรก็คือผู้คิดคดทรยศจนถึงขั้นต้องเจาะกบาลเอาเลือดมาล้างตีน เหล่านี้ ทำให้คนไทยกลายเป็นคนที่โลกทัศน์แคบ เหมือนอึ่งอ่างพองลม แต่เข้าใจว่าตัวเองยิ่งใหญ่เปี่ยมอิทธิฤทธิ์เสียเต็มประดา ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที คนไทยจะพบว่าในขณะที่คนมีการศึกษาของลาวสามารถพูดภาษาไทย ลาว ฝรั่งเศส รัสเซียได้ คนไทยยังพูดเป็นภาษาไทย ที่รู้เรื่องกันแค่คนไทย"

"แต่เรื่องเขากระวิหารเนี่ยะ ทัดดาวรู้มาว่ามันตัดสินเด็ดขาดตามคำพิพากษาของศาลโลกไปตั้งแต่ปี 2505 ไปแล้วนี่นาพี่ทอง แล้ว MOU ปี 2543 สมัยที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ตอนที่ลงนามกันนั้น ก็ไม่เห็นมีใครออกมาคัดค้าน"

"ก็นี่จะช่วยตอบคำถามของทัดดาวว่ากระแสเขาพระวิหารจะปลุกขึ้นหรือไม่ขึ้น" พี่ทองตอบพลาง ยิ้มแบบเหนื่อยๆ


"ปัญหา เรื่องพรมแดนเป็นปัญหาของชาตินิยมตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 ถ้าคนไทยยังบ้าบออยู่กับแนวคิดชาตินิยมชุดนี้ก็ต้องเริ่มไปรบเอาดินแดนที่เชื่อว่าสูญเสียไปคืนมาให้หมด ตั้งแต่เชียงตุง เมืองลา มะริด ทวาย ตะนาวศรี ปีนัง เผลอๆ อาจจะต้องไปชิงเอาเทือกเขาอัลไตกลับมาเป็นของไทยเลยก็ได้ แหม...พี่อยากให้กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติเขาขยายขอบเขตการเรียกร้องให้ไกลกว่านี้อีก ไปนู่นเลย ไปรบเอาเทือกเขาอัลไตกลับมาเป็นของเรา

แต่ที่มันไม่เป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่าปัญหาเรื่องพรมแดน เส้นเขตแดนมันยุติไปตั้งนานแล้ว หลังสงครามเย็น ใครๆ ก็อยากจะทำมาค้าขาย โลกทั้งโลกก็พยายามจะสลายสำนึกเรื่องเขตแดน และสำนึกเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยแบบเดิม อะไรที่เอามาพัฒนาทำมาหากินกันได้ ที่ไหนๆ เค้าก็ทำกันทั้งนั้น พื้นที่ 43 ตารางกิโลเมตรที่จะได้มาหรือเสียไป มันไม่ได้ทำให้เราร่ำรวยขึ้นหรือยากจนลง ไม่ได้ทำให้ขวานทองของเราแหว่งวิ่นไปจนเหลือแต่สันขวานซะเมื่อไหร่ ก็แจ่มแจ้งกันมาตั้งนานแล้ว

ศักดิ์ศรีนั้นกินไม่ได้ สู้มาพัฒนาเขตเศรษฐกิจ ทำมาหากินร่วมกัน มีความสุขกว่าตั้งเยอะ

และนั่นคือเหตุผลที่ว่า ไม่มีใครคัดค้านที่เราจะพัฒนาเขาพระวิหารร่วมกับเขมรให้กลายเป็นสถานที่ท่อง เที่ยว และทัดดาวจำเรื่องสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจสมัยนายกฯ ชาติชายได้ไหมเล่า สมัยนั้นก็เห็นตื่นเต้น กระดี๊กระด๊า ชอบอกชอบใจกันจะตายไป

และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการนี่แหละที่เป็นแนวหน้า กระจายความคิดเรื่องโลกานุวัตน์ก่อนที่จะกลายมาเป็นโลกาภิวัตน์กันอยู่ตอนนี้ และมีนักวิชาการแนวหน้าในสมัยนั้นออกมาวิพากษ์แนวคิดเรื่องชาตินิยมล้าหลังกันอย่างคับคั่ง และเครือผู้จัดการนี้เองที่ขยายธุรกิจสิ่งพิมพ์สู่ตลาดของเอเชีย ขนาดทำหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษรายสัปดาห์แข่งกับเอเชียวีคกันเลยทีเดียว

หลังจากนั้น คนไทยไม่มีใครพูดเรื่องชาตินิยมแบบเก่าอีก พ่อแม่คนไทยกระสันอยากจะเอาลูกไปไว้ในโรงเรียนอินเตอร์กันจนเนื้อเต้นระริก ไม่เห็นใครพูดอะไรเชยๆ แบบว่า มึงไม่เรียนภาษาไทย มึงชายชาติ

การที่ลูกหลานชนชั้นกลางไปจนถึงชนชั้นสูงมีคนรัก มีผัว มีเมีย เป็นคนต่างชาติ ก็ไม่ใช่เรื่องที่พ่อแม่ต้องเอาปี๊บคลุมหัวด้วยความอับอายอีกต่อไป มีแต่จะอ้าขาอ้าซ่าต้อนรับคำว่า "โกอินเตอร์" กันทั้งนั้น"

" อ้าว แล้วอยู่ๆ พวกเราถอยกลับไปอยู่ในคอนเซ็ปต์ล้าหลังคลั่งชาติของลัทธิสร้างชาติศตวรรษที่สิบเก้าได้ไงเนี่ยะ " ทัดดาวได้แต่นั่งทำตาแป๋ว ฟังพี่ทองอ้าปากค้าง ชักเสียดายแทนกะทิ ที่ตัดความสัมพันธ์กับพี่ทอง แอบถอนหายใจนิดๆ เฮ้อ ถ้าทัดดาวจะหลงรักพี่ทองมันจะเป็นอะไรหรือเปล่า กะทิจะคิดว่าทัดดาวเป็นมือที่สาม ทัดดาวจะถูกแบนถูกกดดันให้ออกจากวงการบันเทิง จะโดนแฟนคลับกะทิตั้งเพจด่าในเฟซบุ๊ก "มั่นใจว่าคนไทยหนึ่งล้านคนเกลียดทัดดาว" โอย ...แค่คิดก็เครียด

พี่ทองถอนหายใจ ทำหน้าตาแก่กว่าวัยไปประมาณสิบห้าปี หมดหล่อไปเยอะ และทัดดาวเกือบเปลี่ยนใจ

"พี่อาจจะผิดก็ได้ หรืออาจจะดูหนังมากไป อาจจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไป แต่กระแสเขาพระวิหารไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า มันถูกจุดชนวนขึ้นมาทุกครั้งที่มีอาการอยากไล่รัฐบาล และข้อหาคลาสสิคที่กลุ่มผู้ปกครองตัวจริงใช้อยู่อย่างสม่ำเสมอโดยไม่เคยแคร์ ว่ามันจะทำงานได้หรือไม่ หรือว่ามันล้าหลังตกยุคไปแล้ว นั่นคือ ข้อหา "ขายชาติ""

"อ้าว...พี่ทองกำลังจะบอกว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์วันนี้กำลังโดนข้อหาเดียวกับที่ไทยรักไทยโดน คือ ข้อหาขายชาติ ผิดกันแต่ว่าคราวนี้ไม่มีคดีเทมาเสกพ่วงมาด้วยเหมือนเมื่อครั้งไทยรักไทย โดน-น่าคิด น่าคิด"

พี่ทองจ้องลงไปในดวงตาของทัดดาวอย่างชั่งใจ ทัดดาวมาหาเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจหรือว่ามีใครส่งมาสืบสำรวจพฤติกรรมของประชาชน

พี่ทองรู้สึกว่าการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยทุกวันนี้มันยากขึ้นทุกที เพราะรัฐสร้างความกลัวให้เกิดขึ้นกับประชาชน ไม่ว่าโทรศัพท์ของเราจะถูกดักฟังหรือไม่ แต่เราถูกทำให้เชื่อไปแล้วว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้

คอมพิวเตอร์ของเราจะถูก hack เข้ามาเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ วันๆ หนึ่งรัฐบาลปิดเว็บไซต์อะไรไปบ้าง นั่งๆ อยู่ในบ้าน วันดีคืนดีอาจจะมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาอุ้มทั้งตัวเราและคอมพิวเตอร์ของเรา ไปสอบสวน และวันหนึ่งเราอาจจะต้องไปสารภาพว่าทุกอย่างที่เราพูด คิด เขียน ออกไปนั้น ก็เพียงเพราะว่า เราเสียสติ และเป็นบ้าไปชั่วคราว

บางครั้งพี่ทองก็คิด หากวันนั้น แค่พี่ทองยังรักกะทิเหมือนที่เคยรัก เห็นกะทิเรียบง่าย งดงามเหมือนที่เคยเห็น ยังสำนึกในบุญคุณของคุณตาของกะทิอย่างปราศจากคำถาม วันนี้พี่ทองคงได้เข้าไปในทำงานในคณะของคุณตา

ได้รู้สึกว่าได้ช่วยเหลือประเทศชาติบ้านเมือง

ได้ไปทำแผนลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท ระหว่างคนมั่งมีกับคนจน

บางทีหนทางนั้นจะน่าเดินกว่าหรือเปล่าพี่ทองก็ไม่แน่ใจ เพราะเหมือนว่าตนเองได้ทำงานที่เป็นประโยชน์ ทั้งไม่ต้องเป็นปฏิปักษ์กับอำนาจรัฐ ทั้งได้รับเงินเดือน ค่าตอบแทน ทั้งได้เส้นสาย เครือข่าย เอาไว้ทำมาหากินในอนาคตอีกเพียบ

เผลอๆ ได้ทุนไปเรียนต่อเมืองนอกอีกรอบ

"นั่นเป็นแค่ข้อสมมุติฐาน แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือ งานนี้ เรื่อง "ชาติ" ไม่ใช่เรื่องชาติแบบที่มันเกิดขึ้นในสมัยศตวรรษที่สิบเก้าที่สมัยของการสร้างชาติจริง คำว่า "ชาติ" และ "รักชาติ" เป็นแค่เครื่องมือทางการเมืองที่กลุ่มการเมืองในประเทศใช้เพื่อช่วงชิงอำนาจ นี่ไม่ใช่เรื่องของไทยกับเขมร แต่เป็นเรื่องระหว่างคนไทยด้วยกันเอง แต่ที่น่ากลัวคือ พวกเค้าจะใช้เครื่องมือนี้อย่างยืดเยื้อ บานปลายแค่ไหนอย่างไรเท่านั้น"

"แต่ทัดดาวกลับรู้สึกว่ามันปลุกไม่ขึ้นนะคะพี่ทอง"

"หวังจะให้มันเป็นอย่างนั้น อย่างน้อยสังคมไทยก็ไม่ตอบรับข้อเรียกร้องของจำลองที่ยุให้ทหารเอา F16ไปถล่มเขมร และฝ่ายขวาจัดของไทยที่ยังยืนยันจะใช้วิธีการล้าหลังด้วยการยุยงให้เกิดสงครามอันเนื่องมาจากความรักชาติ น่าจะได้รับบทเรียนว่า โลกเปลี่ยนไปแล้ว เทคโนโลยีเปลี่ยนไปแล้ว ประชาชนได้รับการศึกษาที่อยู่นอกตำราเรียนมากขึ้น วิธีการโกหกพกลมแบบเก่าๆ เริ่มไม่ได้ผล การปลุกเร้าให้เกิดสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อสร้างสถานการณ์วุ่นวายทาง การเมืองในประเทศ และทำให้ประชาชนรู้สึกว่าการเมืองตามระบบปกติเริ่มไม่ได้ผล มันอาจจะเป็นเครื่องมือที่หมดอายุไปแล้ว"

"ในฐานะที่เคยเป็นสลิ่มที่มีชีวิตวนเวียนอยู่กับการบริโภค ทัดดาวว่าแค่ใช้สามัญสำนึกก็น่าจะรู้ได้ว่าสินค้าที่ยิ่งใกล้เสื่อมความนิยม ยิ่งต้องโหมโฆษณา ยิ่งโฆษณา อวดอ้างสรรพคุณมากยิ่งน่าสงสัย ไม่น่าเชื่อถือ คนไทยที่เสพยานอนหลับกับยากล่อมประสาทอย่างต่อเนื่องจะรู้สึกอะไรอย่างนี้ บ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ"

"พี่คงตอบคำถามนี้ให้ทัดดาวไม่ได้ เพราะมีแต่พวกเราประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดวันหมดอายุของเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐ"

ทัดดาวขับรถกลับกรุงเทพฯ พร้อมฟังรายการถ่ายทอดสดทาง ASTV และอยากจะกลับไปเปิดเพจ "มั่นใจว่าคนไทยเกินหนึ่งล้านคนเห็นด้วยกับพี่ทอง"