http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-01-26

เปิดๆ ปิดๆ เต้าไทย เต้าฝรั่ง และเต้าแขก โดย เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์

.

เปิดๆ ปิดๆ เต้าไทย เต้าฝรั่ง และเต้าแขก
โดย เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ คอลัมน์ ปริศนาโบราณคดี
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1641 หน้า 76


มีคนเคยขอให้เขียนถึงเรื่องการเปิดๆ ปิดๆ นมต้มของผู้หญิงไทยมาหลายหนแล้ว ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร นับแต่เกิดกรณีสาวน้อยย่านสีลมเปลือยอกเล่นน้ำในงานสงกรานต์เมื่อปีกลาย แล้วถูกผู้ใหญ่เคร่งจารีตในกระทรวงวัฒนธรรมลุกขึ้นมาเต้นตาม

กระทั่งมาถึงประเด็นร้อนแรงราวสองเดือนก่อน ต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างโจ๋งครึ่มเรื่อง "ก้าวข้ามความกลัวด้วยหัวนม" ของ "คำ ผกา" ที่ถอดเสื้อเพื่อประท้วงกฎหมายมาตรา 112 ให้โลกรับรู้ว่ากรณีที่ศาลสั่งขัง "อากง" นานถึง 20 ปีแค่ส่ง SMS 4 ครั้งนั้นช่างเหี้ยมโหดเกินมนุษย์มนา

ตัดสินใจอยู่นานว่าจะเขียนเรื่องนมต้มให้ออกมาแนวไหนจึงจะไม่ดูเชย และซ้ำซากกับบทความของคนส่วนใหญ่ ที่มักหยิบสองประเด็นนี้มาใช้เป็นเครื่องมือแห่งอำนาจ นั่งเทศนาสั่งสอนศีลธรรมมนุษย์เสรีให้อยู่ในโอวาท จึงเลี่ยงบาลีหนีสีลมและ คำ ผกา

หันไปหยิบยกเรื่อง "บูรพาถัน" ทั้งของไทย ฝรั่ง แขก มาเปรียบเทียบกันแทนดีกว่า


เต้าไทย เต้าฝรั่ง
จากตะวันตกสู่ตะวันออก
จากตะวันออกสู่ตะวันตก

การเปลือยอกของผู้หญิงในช่วงร้อยปีเศษๆ นั้นสามารถหาดูได้จากภาพถ่ายเก่าสมัยรัชกาลที่ 4-5 ภาพเขียนลายเส้นประกอบหนังสือของนักผจญภัยชาวยุโรป รวมทั้งจิตรกรรมฝาผนังตามวัดต่างๆ ที่หลงเหลืออยู่มากมาย

ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องยืนยันว่าผู้หญิงสยามในอดีตนั้นไม่ว่าอยู่ในภูมิภาคไหน ภาษาชนเผ่าชาติพันธุ์ใด ไพร่ชาวบ้านหรือพวกผู้ดีแปดสาแหรก ไปจนถึงสนมในรั้วในวัง แทบไม่มีใครได้สวมเสื้อแน่นอน

นอกจากอากาศจะร้อนร้ายแล้ว การเปลือยนมเดินโทงเทงยังถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ เต้านมเป็นแค่เพียงอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย จะใหญ่จะเล็กจะยานเท้งเต้ง หัวนมดำหัวนมแดง ไม่ใช่เรื่องปมด้อยหรือปมเขื่องที่ต้องไปเสริมอึ๋มจนซิลิโคนเล่นงานกลายเป็นมะเร็งตามที่เป็นข่าวฮ็อต

ในทางตรงข้าม การเปิดนมกลับเอื้อประโยชน์ ใช้เป็นสัญลักษณ์สื่อให้ผู้ชายรู้ว่า หากเต้าไหนยังเป็นบัวตูม แสดงว่าฉันยังเอ๊าะอยู่นะจ๊ะ หรือเต้าไหนใหญ่เบ้อเร่อเบ้อร่า หากยังโสดก็อาจเนื้อหอมหน่อย เพราะแสดงว่าน่าจะเป็นแม่พันธุ์ที่ดีมีน้ำนมอุดมสมบูรณ์เลี้ยงลูกเต้าได้เป็นโหล เต้าไหนหย่อนคล้อยก็แสดงว่ามีลูกมีผัวแล้ว ก็แค่นั้น

ในเมื่อทุกคนต่างเปิดนมกันทั่วบ้านทั่วเมืองให้เห็นกันจะๆ แบบนี้ จนกลายเป็นเรื่องปกติ แสดงว่าคนยุคโบราณย่อมไม่ได้มองหน้าอกหน้าใจว่าเป็นเครื่องเย้ายวนกามารมณ์ และใช่เพียงแค่ผู้หญิงชาวอุษาคเนย์เท่านั้น หากมันยังเป็นวิถีชีวิตของชาวพื้นเมืองทั่วเอเชีย แอฟริกา อเมริกาใต้ อีกด้วย


กระทั่งถึงยุคพระนางเจ้าวิกตอเรียราชินีแห่งอังกฤษนี่แหละ ความคิดที่รู้สึกขยะแขยงอวัยวะส่วนที่เรียกว่าหัวนมนั้นพวยพุ่งขึ้นจนแทบจะปรี๊ดแตก ภายใต้คำว่า "สุภาพสตรีชั้นสูง" ต้องรู้จักรักนวลสงวนนม การปกปิดทรวงอกเริ่มแพร่หลาย ถึงขั้นออกกฎหมายให้พสกนิกรบ่าวไพร่สวมเสื้อกันถ้วนหน้า

หากใครไม่ปฏิบัติตาม ก็ถือว่าป่าเถื่อน ลามกอนาจาร!

ความคิดนี้ข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาสู่ราชสำนักสยามในสมัยรัชกาลที่ 4 ยุคที่อังกฤษกำลังล่าอาณานิคมแถบเอเชีย เลดี้ทั้งหลายที่เป็นหม่อมห้ามนางในสมัยก่อนอาจห่มผ้าสไบผืนน้อยปกปิดเนินถันกัน แม้ไม่มิดชิดนัก คือพอเห็นเต้าวับๆ แวมๆ อยู่บ้าง ก็ต้องพลอยพยักเพยิดสวมเสื้อยุโรปแขนหมูแฮมระบงระบายลูกไม้ตั้งแต่คอปกเสื้อยันข้อมือกันอย่างประดักประเดิด ดูอย่างไรก็ไม่เข้ากันเลยสักนิดกับทรงผมดอกกระทุ่มที่ตัดสั้นจู๋ระต้นคอ คล้ายกับเอาเด็กนักเรียนที่ไว้ผมบ็อบติดกิ๊บปิ๊กแป๊กที่เราเรียกว่าทรงเด็กหญิงสมศรีไปใส่ชุดดรัมเมเยอร์ไม่มีผิด

บันทึกของ คาร์ล บ็อก นักธรรมชาติวิทยาชาวนอร์เวย์ที่เดินทางมาสำรวจแผ่นดินสยาม ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้กล่าวถึงเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ว่ามีผู้หญิงล้านนาคนหนึ่งถูกข่มขืนทารุณโดยขุนนางชาวสยาม เหตุเพราะไม่สวมเสื้อ คาร์ล บ็อก ใช้มุมมองแบบคนตะวันตกยุควิกตอเรียสรุปว่า จากนั้นมาสตรีล้านนาจำต้องป้องกันตัวเองให้พ้นจากบุรุษภัยด้วยการสวมเสื้อ

ค่านิยมเรื่องการปิดท่อนบนของสตรีสยามค่อยๆ ลุกลามจากกรุงเทพฯ สู่ชนบท จากราชสำนักสู่ชาวบ้าน ไม่นานเลยแค่เปลี่ยนยุคสมัยจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ยุคราชาธิปไตยชาตินิยม เผลอแผล็บเดียวความคิดนี้ได้กลายเป็นจารีตที่รับใช้อำนาจเผด็จการ เอะอะอะไรก็สั่งให้ปิดลูกเดียว ทั้งปิดหู ปิดตา ปิดปาก ห้ามแสดงออก ไปจนถึงปิดหัวนม


ค่านิยมว่าหัวนมคือเรื่องต้องห้ามและน่าอับอายทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าสู่ยุคการสร้างภาพลักษณ์ของความเป็นกุลสตรีไทยผู้เรียบร้อยและแสนดี ในยุคที่พลตรีหลวงวิจิตรวาทการกำลับดูแลกระทรวงวัฒนธรรม ขึ้นชื่อว่าเกิดมาเป็นสตรีศรีสยามแล้วต้องรักนวลสงวนตัว ไม่นุ่งกางเกงขาสั้น เปิดเอวเปิดไหล่ชะเวิบชะวาบ หรือใส่เสื้อคอลึกเห็นร่องอก อย่าไปเอาอย่างพวกฝรั่งมังค่าเขา

อ้าว! ไหนกลายเป็นซะงั้น ก็เพิ่งบอกอยู่หยกๆ มิใช่หรือว่าเราเอาวัฒนธรรมการสวมเสื้อมาจากตะวันตก ช่างกระไรนี่! พอสิ่งใดที่คิดว่าไม่ดีกลับโทษฝรั่งอีก ทีจุดเริ่มต้นของความหวงแหนหัวนมนั้นฝรั่งเขาเป็นต้นคิดแท้ๆ แต่เรากลับไม่ให้เครดิต แกล้งมาทำเนียนว่าเป็นธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ

ครั้นพอฝรั่งสายมะริกันนึกเบื่อจารีตอันคร่ำครึของผู้ดีอังกฤษ จึงลุกขึ้นมาขบถ แก้ผ้าแก้ผ่อนย้อนยุคกลับไปเหมือนกับสาวอุษาคเนย์ในอดีตบ้าง แทนที่จะมองว่านี่คือสัจธรรมแห่งการตีย้อนกลับของกระแสวัฒนธรรม ที่เมื่อเดินทางมาถึงจุดอิ่มตัวเดินต่อไปไม่ไหวแล้วก็มักสวิงกิ้งกลับไปสู่ขั้วตรงข้ามเสมอ

ก็ใครจะไปทนไหวเล่า กับกฎเกณฑ์ของผู้ดีตะวันตกที่ขีดเส้นให้สุภาพสตรีสูงศักดิ์ ต้องสวมชุดรัดเอวกิ่วคอดผูกเชือกแน่นกับกระโปรงสุ่มไก่ทั้งหนักทั้งบานขนาดนั้น หวังว่ายังจำนางเอกหนังเรื่องไททานิกกันได้นะ

คือคนไทยแยกไม่ออกระหว่างวัฒนธรรมต้นแบบของการสวมเสื้อกับวัฒนธรรมเปลื้องผ้า ว่าอันไหนเป็นของเราอันไหนเป็นของฝรั่ง เวลาจะบริภาษจึงด่าแบบผิดฝาผิดตัว เรามักคิดว่าเราขี้อายเป็นผู้ดีแต่ฝรั่งหน้าด้าน

แท้จริงแล้วกลับตาลปัตรกัน เรานั่นแหละที่เป็นสุดยอดแห่งความโป๊เปลือยตัวแม่ ในขณะที่ฝรั่งเพิ่งจะกล้าเดินตามรอยเราเมื่อไม่นาน



เต้าแขก
สตรีลังกากับผ้าทอเมืองกาสี

ลองหันมาดูเพื่อนบ้านแถบเอเชียใต้ว่าจะเปิดเปลือยหน้าอกเหมือนชาวอุษาคเนย์ไหม จึงนึกถึงภาพจิตรกรรมเขียนสีบนฝาผนังถ้ำที่เขาสีคิริยะ ศิลปะลังกาในสมัยราชวงศ์อนุราชปุระขึ้นมา เป็นภาพหญิงสาวยืนเป็นคู่ๆ ถือดอกบัวบานเตรียมไปบูชาพระ

ที่น่าประหลาดใจก็คือ บรรดาเจ้านางกลับโป๊ดูเหมือนไม่สวมเสื้อ แต่สาวใช้ที่ถือถาดเดินตามต้อยๆ กลับแต่งตัวมิดชิดมีผ้ารัดอกคาด ไฉนจึงเป็นเช่นนี้เล่า?

ยังจำคำสอนของ ศ.มจ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ที่นักศึกษาชาวโบราณคดีนิยมเรียกว่า ท่านอาจารย์ หรือท่านสุภัทร ได้ดี ตอนที่ท่านฉายสไลด์ภาพนี้ ท่านอาจารย์ไขปริศนาว่า เหตุที่ผู้หญิงสูงศักดิ์ชาวลังกาหรืออินเดียดูคล้ายว่าโป๊นั้น แท้จริงแล้วไม่ได้โป๊ แต่เป็นการสวมผ้าทอเนื้อดีชั้นเยี่ยมซึ่งมีแหล่งทอจากเมืองกาสีในอินเดียต่างหาก ทำให้ผ้ามีลักษณะโปร่งใสบางเบา คือใส่แล้วเหมือนไม่ได้สวมอะไรเลย

ท่านสุภัทรยังกล่าวเชื่อมโยงถึงพระพุทธรูปอินเดียสมัยคุปตะที่ส่งอิทธิพลมายังสมัยทวารวดีในประเทศไทยด้วยว่า หากสังเกตให้ดีพระพุทธรูปเหล่านี้ก็ครองจีวรด้วยผ้าที่ทอมาจากเมืองกาสีเช่นกัน พระวรกายจึงเรียบเกลี้ยง คล้ายกับว่าจีวรที่ห่มคลุมนั้นบางแนบเนื้อจนมองเห็นพระถันนูน โชว์เอ็นกระดูกกล้ามเนื้อภายในชัดเจนทุกสัดส่วน แต่โชคดีที่มหาบุรุษเป็นเพศบริสุทธิ์จึงไม่มีการแสดงออกซึ่งองคชาต

ไม่ทราบเหมือนกันว่าโรงทอผ้าเนื้อดีที่สุดในโลกของเมืองกาสีประเทศอินเดียนั้นตั้งอยู่ที่ไหน ยุบกิจการไปแล้วหรือยัง เพราะเปิดโรงงานมานานแล้วกว่า 2,500 ปีตั้งแต่ยุคพุทธกาล เดาว่ายุคนั้นจะต้องเป็นโรงทอผ้าที่หัวกระไดไม่แห้งทีเดียว


แสดงว่าชนชั้นสูงทั้งชายหญิงในอินเดีย-ลังกายุคก่อน แม้นมีการสวมเสื้อผ้าอยู่จริง แต่ก็ให้คุณค่ากับเนื้อผ้าที่สามารถทอได้บางนุ่มเนื้อใสเนียนแบบซีทรู คือทะลุมองผ่านเห็นภายใน ชาวภารตะคงไม่ได้มองว่าอวัยวะภายใต้ผ้าผืนนั้นเป็นสิ่งควรสงวนต้องปกปิดหรือน่าอับอาย ตรงกันข้ามกลับมีความภูมิใจที่จะได้โชว์ "สรีระกล้ามเนื้อ" อันงดงามนั้นผ่านแพรพรรณเนื้อดี

ส่วนพวกไพร่ทาสวรรณะต่ำต้อย ไม่มีปัญญาจะเสาะหาผ้าเนื้อวิเศษราคาแพงจากเมืองกาสีมาสวมใส่เหมือนคนวรรณะสูง ก็จำต้องก้มหน้าก้มตาปกปิดนมต้ม ใส่ผ้าทอเนื้อหยาบหนาดูสากกระด้างกันไปตามมีตามเกิด


คุยเรื่องเต้าแขก ขอวกกลับมาที่เต้าไทย เมื่อเรามองเห็นเต้าสวยๆ อย่างสาวเล่นสงกรานต์ย่านสีลม หรือเต้าแขกของ คำ ผกา ("แขก" เป็นชื่อเล่นของเธอ) อันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดานั้น แทนที่จะรุมประณามหรือแจ้งตำรวจมาปรับ 500 บาท ข้อหาอนาจาร

ทำไมจึงไม่คิดใหม่ว่า สิ่งที่เรามองเห็นนั้นแท้จริงมีผ้าผืนบางๆ เนียนๆ ที่ใส่แล้วเหมือนไม่ได้ใส่อะไรเลยห่มคลุมอยู่ด้วยต่างหาก

อันเป็นผ้าที่ทอมาจากเมืองกาสี เมืองที่สาวๆ วรรณะล่างอย่างพวกเธอถูกกีดกันผลักไสไล่ส่งและหมดสิทธิ์จะฝันถึง



.