http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-08-11

ธรรมชาติเปลี่ยน..คนเปลี่ยน วิธีการต่อสู้ฯก็เปลี่ยน โดย มุกดา สุวรรณชาติ

.

ธรรมชาติเปลี่ยน..คนเปลี่ยน วิธีการต่อสู้ของคนก็เปลี่ยน
โดย มุกดา สุวรรณชาติ คอลัมน์ หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1669 หน้า 20


มีคนแบ่งการต่อสู้ในโลกนี้เป็น 2 แบบ
แบบแรกคือการต่อสู้ระหว่างคนกับธรรมชาติ 
แบบที่สองคือคนกับคน


คนสะสมประสบการณ์ สร้างความรู้ทางวิทยาศาสตร์และผลผลิตจากธรรมชาติขึ้นมาเพื่อเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิต ต่อมาก็กลายเป็นสินค้า ผลประโยชน์มีมากขึ้นจนต้องต่อสู้แย่งชิงกัน ทั้งในระดับคนต่อคน ชนเผ่าต่อชนเผ่าและประเทศต่อประเทศ
วันนี้การต่อสู้ของกลุ่มอำนาจเก่ากับกลุ่มอำนาจใหม่ในชาติเราจึงเป็นเรื่องปกติ 
การเกิดข้อพิพาทขึ้นเพื่อแย่งชิงหมู่เกาะและพื้นที่ทับซ้อนในทะเลจีนใต้ก็เป็นเรื่องปกติ

แต่การเปลี่ยนของสภาพภูมิอากาศ และเปลือกโลกไม่เป็นปกติแล้ว


ธรรมชาติกำลังเปลี่ยนไปสู่สภาพที่
จะเป็นปัญหากับการดำรงชีวิต


สัญญาณเตือนจากธรรมชาติถูกส่งมานานแล้ว ล่าสุดคือข่าวการละลายของแผ่นน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่กรีนแลนด์ จาก 40% ละลายเกือบหมด แผ่นน้ำแข็งซึ่งบางส่วนหนาถึง 3,000 เมตร ละลายต่อไปถึง 97 เปอร์เซ็นต์ใน 4 วัน เร็วกว่าในอดีตอย่างมาก
ในระยะ 3 ปีมานี้ เกิดแผ่นดินไหวติดต่อกันเกือบตลอดตามแนวรอยเลื่อนทั่วโลก เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ สภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวนอย่างหนัก เกิดพายุ ฝนตกน้ำท่วม มากกว่าเดิมและหนักกว่าเดิม 
ในการต่อสู้ระหว่างคนกับธรรมชาติ คนรุกทุกแนวรบ ธรรมชาติก็ตั้งรับมาโดยตลอดนานนับพันๆ ปี เริ่มจากความต้องการของคนที่จะมีชีวิตอยู่รอดและพัฒนามาเป็นความต้องการมีชีวิตที่สุขสบาย จากนั้นก็ขยายเป็นความโลภ ต้องการสะสม เลยกลายเป็นการแสวงหาทรัพยากรจากทุกมุมโลกขึ้นมาผลิตเป็นสินค้า สร้างความร่ำรวย
บนผืนแผ่นดินมีการทำลายล้าง ป่าไม้ ภูเขา ป่าชายเลน ชายหาด เกาะแก่งต่างๆ คนสามารถบุกรุกลงไปในมหาสมุทร ทะเล และห้วงน้ำต่างๆ ทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งพืชสัตว์และธรรมชาติ เช่น หินผาต่างๆ 
แม้ใต้พื้นผิวดินก็ถูกขุดเจาะเพื่อหาแร่ธาตุและแหล่งพลังงานเช่นน้ำมัน

อากาศและบรรยากาศก็ถูกทำลายจากการปล่อยมลภาวะ แม้จะมีการเตือนเรื่องสภาวะโลกร้อน แต่การทำลายล้างก็ยังไม่หยุด
สำหรับธรรมชาติ นิ่งเงียบมานาน ปล่อยให้คนใช้ความโลภขุดหลุมฝังตัวเอง พอถึงวันนี้ขยับตัวแต่ละครั้งแผ่นดินสะเทือนพายุถล่ม มาทั้งดินน้ำลมไฟ ในขณะที่ผู้คนลงไปแก่งแย่งกันอยู่ที่ก้นหลุม ไม่มีโอกาสปีนกลับขึ้นมา 
คงได้แต่รอ วัน เวลา ที่ความหายนะจะมาเยือน



การสะสมทรัพย์สมบัติของคน...
ความโลภที่ไม่สิ้นสุด


คนสร้างวัฒนธรรมในการสะสมขึ้นมา เริ่มจากเสบียงอาหาร ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นสิ่งสมมุติ เช่น เงิน ทอง แต่เมื่อระบบเศรษฐกิจพัฒนา คนที่รวยก็มีมากมาย จนไม่สามารถสะสมเป็นรูปเงินหรือทองคำได้ วันนี้คนที่สะสมได้มากจึงทำได้ เพียงแค่มองเห็นตัวเลขในหน้าจอและรู้ว่าตัวเองมีเท่านั้นเท่านี้ 
ต่อให้มีชีวิตไปจนถึงวันตายก็ไม่สามารถเห็นทรัพย์สมบัติของตัวเองได้ทั้งหมด 
ไม่ต้องไปพูดถึงการได้สัมผัสลูบคลำ แต่ผู้คนในโลกก็ยังนิยมสะสมทรัพย์สมบัติกันต่อไป ไม่ว่าสิ่งนั้นจะได้มาด้วยวิธีการที่ต้องทำลายมนุษย์ไปกี่คน ทำลายธรรมชาติไปกี่แห่ง

เมื่อสะสมมากก็มีการลงทุนเพิ่มเพราะความโลภ แต่กำลังของคนไม่สามารถขยายทันความอยากได้อยากมีของตนเอง โดยเฉพาะคนจน คนชั้นกลาง ต้องกู้เงินจากอนาคตมาใช้และเมื่อหมุนคืนไม่ทัน ไม่เพียงฝันของผู้คนสลาย บ้าน รถและอนาคตหายไป แต่มันได้ลากระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันให้ล้มลงด้วย
เช่น ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจของอเมริกาซึ่งบัดนี้ยังไม่สามารถแก้ไขให้ฟื้นได้ ความล้มเหลวของเศรษฐกิจยุโรปก็ตามมาทีละประเทศ และทำท่าจะหนักกว่า ซึ่งจะส่งผลสะเทือนทางเศรษฐกิจไปทั่วทั้งโลกอย่างแน่นอน


การต่อสู้ระหว่างคนกับคนดำเนินต่อไป...
แม้โลกจะพังทลาย


ข่าวการปฏิวัติและการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในแอฟริกาเหนือยังคงมีอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดก็ลามข้ามไปประเทศซีเรียซึ่งบัดนี้การต่อสู้ได้แปรสภาพเป็นสงครามกลางเมืองไปแล้ว 
ประธานาธิบดีอัสซาดแห่งซีเรียได้ใช้อาวุธหนักเข้าปราบปรามประชาชน 
ข่าวว่า 17 เดือนที่ผ่านมา น่าจะมีผู้เสียชีวิตเกือบ 2 หมื่นคนแล้ว 
ในประเทศไทยก็จะมีการต่อสู้ไปเรื่อยๆ 
แต่นี่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของการต่อสู้ เพื่อชิงอำนาจแบบโบราณกับสมัยใหม่


หลักการชิงอำนาจและปกครองยุคโบราณของไทย

1.ใช้กำลังอาวุธ เข้าแย่งชิงอำนาจ 
2. แต่งตั้งและกำหนดตัวผู้ปกครองและแต่งตั้ง โดยไม่ต้องฟังความเห็นจากประชาชน 
3. ร่างกฎกติกาให้เป็นประโยชน์ต่อคนเองและพรรคพวกเพื่อทำการปกครองและรักษาอำนาจ บังคับให้ทุกคนยอมรับและทำตามกฎนี้ 
4. สร้างระบบยุติธรรมที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ปกครอง ซึ่งจะใช้บังคับให้คนเคารพและเชื่อฟังกลุ่มผู้ปกครอง 
5. การกำหนดนโยบายในการบริหาร กำหนดโดยคณะผู้ปกครอง 
6. ผู้ที่ต่อต้านหรือมีความเห็นขัดแย้งจะต้องถูกลงโทษเช่นถูกฆ่าหรือจับไปขัง


แม้สิ่งเหล่านี้ยังดำรงอยู่ แต่ก็กำลังจะเปลี่ยนไป เพราะการไม่ยอมรับการรัฐประหารในระดับสากล ทำให้การชิงอำนาจ ต้องเปลี่ยนไปตามยุคสมัย และสังคมไทยก็ก้าวตามยุคสมัยไปด้วย นั่นคือการสู้กันด้วยข้อมูลและเหตุผล


แนวรบที่เปลี่ยนอย่างสมบูรณ์

การเปลี่ยนแปลงที่ชี้ว่าสังคมไทยได้ก้าวขึ้นบันไดไปอีกขึ้นหนึ่งแล้ว เช่นการพัฒนาระบบโทรศัพท์มือถือ การเพิ่มปริมาณผู้ใช้จานดาวเทียม การแจกTabletเด็กนักเรียนทั่วประเทศ 
และล่าสุดคือการเปิดบริการ Wireless Fidelity (Wi-Fi) 200,000 จุดทั่วประเทศ

บันไดหลายขั้นนี้ถูกก่อสร้างมาหลายปีด้วยการพัฒนาของมนุษย์ มีคนจำนวนหนึ่งก้าวขึ้นไปแล้ว บางส่วนผ่านเลยไปไกลแล้ว แต่คนส่วนใหญ่เพิ่งจะได้สัมผัส 
การพัฒนา Hardware ทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องมือสื่อสารต่างๆ สูงขึ้นมาก แต่ราคาถูกลงทำให้แต่ละคนหรือแต่ละครอบครัว มีโอกาสสื่อสารกันได้ ทั้งด้วยโทรศัพท์มือถือ, Tablet, คอมพิวเตอร์, ระบบโทรทัศน์ที่เชื่อมกับระบบสื่อสารอื่นๆ การพัฒนาระบบส่งข้อมูล ข่าวสาร ปัจจุบัน

นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนา Software ให้เหมาะสมกับ Hardware ที่มีหลายรูปหลายแบบ และสามารถสร้างระบบส่งข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วและทั่วถึง  
ทำให้ทุกวันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกสามารถรับข่าวสาร หรือสามารถทั้งรับและส่ง ผ่านดาวเทียม ผ่าน Internet การสร้างเครือข่าย Wi-Fi 200,000 จุดในประเทศไทยจะสอดรับกับสภาพความเป็นจริงทางสังคมและเศรษฐกิจที่ประชาชนส่วนใหญ่มีโทรศัพท์มือถือใช้

อาจกล่าวได้ว่า โทรศัพท์มือถือเป็นอวัยวะ ชิ้นที่ 33 ที่งอกขึ้นมาเมื่อเราเติบโตขึ้น ราคาของโทรศัพท์และ Tablet ที่จะถูกลงอย่างมากในอนาคต
และการแจกTabletเด็กนักเรียนเป็นล้านเครื่องทั่วประเทศ จะทำให้ผู้คนเข้าถึง ข่าวสาร ความรู้ ความบันเทิง ได้แทบทุกจุด ทุกเวลา

แนวรบที่เปลี่ยนอย่างสมบูรณ์จะมีผลให้ 
1. การควบคุมข่าวสาร หรือการกำหนดข่าวสารป้อนให้คนเฉพาะกลุ่มทำไม่ได้อีกแล้ว จำนวนคนที่เข้าถึงข่าวสารจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า เช่น มติชนรายสัปดาห์ มีคนอ่าน 2 แสนคน เมื่อไปผ่านระบบออนไลน์ก็เพิ่มขึ้น ยิ่งบางคอลัมน์ไปปรับเข้ากับระบบทีวีดาวเทียมที่เพิ่งเปิดก็จะมีผู้ชมเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย  
2. การหลอกคนให้รักหรือหลอกคนให้เกลียด ด้วยการโฆษณาอย่างไร้เหตุผล จะทำไม่สำเร็จ 
3. ระบบซุบซิบนินทา วิพากษ์ วิจารณ์แบบไร้สายและแบบออนไลน์จะเกิดขึ้น และพัฒนาไปสู่การวิเคราะห์และกลั่นกรองข้อมูล ซึ่งสุดท้าย จะมีเหตุผลและข้อเท็จจริง มากกว่าสังคมยุคเก่า เพราะนี่จะเป็นระบบที่ได้ข้อมูลมาจากหลายด้าน ผ่านการโต้แย้ง และมีข้อสรุป  
4. การตัดสินชี้ขาดทางการเมืองจะสามารถใช้เหตุผลข้อเท็จจริงมาต่อสู้กัน และฝ่ายที่ถูกต้องก็จะได้รับชัยชนะ 
5. ความคิด คำพูด การกระทำ ของบุคคลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ จะถูกถ่ายทอดไปทั่วและถูกบันทึกไว้ จะไม่มีใครสามารถปฏิเสธ ความเลวในอดีตได้อีก


ความขัดแย้งการเมืองของเราในวันนี้ ไม่จบง่าย มีคนค้านว่าการใช้อาวุธยังเป็นจุดชี้ขาดชัยชนะ  
แต่ผู้ที่สนับสนุนความถูกต้องกล่าวว่าที่สำคัญของการต่อสู้คือจะต้องช่วงชิงมวลชน ถ้ามีเหตุผลและเป็นฝ่ายถูกต้อง ผู้คนย่อมสนับสนุนมากกว่า

ถ้าเกิดสถานการณ์สงคราม ที่จำเป็นต้องใช้อาวุธ ก็ย่อมมีกำลังทหารที่มากกว่า เพราะไม่มีข้อกำหนดว่าฝ่ายที่ถูกต้องจะต้องใช้มือเปล่าไปสู้กับอาวุธในสถานการณ์สงคราม 
แต่ที่กำลังเกิดขึ้นคือการปิดปากคนไม่ให้พูดด้วยการขังคุก 
การต่อสู้ด้วยระบบใหม่จึงต้องดุเดือดขึ้นแน่นอน

ในช่วงเวลาที่ใกล้สว่าง แสงทองทำให้เกิดเงามากมาย อย่าไปกลัว สิ่งที่เป็นของปลอม ไม่ว่า พลทหาร ร้อยตรี หรือนายกฯ ก็เป็นเพียงเงา

ถึงเวลาแดดส่องแรงก็จะพบกลุ่มตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง



.