http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2557-03-02

..เข้าสู่‘นาทีสุดท้าย’ จับสัญญาณ‘แตกหัก’ ?!

.

มติชนวิเคราะห์ ..นับถอยหลัง เข้าสู่‘นาทีสุดท้าย’ จับสัญญาณ‘แตกหัก’ ?!
ใน www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1393749699
. . วันอาทิตย์ที่ 02 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16:01:57 น.

( ที่มา: นสพ.มติชนรายวัน 2 มี.ค. 2557 )


วิเคราะห์

ยังอยู่ในเกมรอคอยมะม่วงหล่น ที่การเผชิญหน้าตึงเครียดมากขึ้นเป็นลำดับ

เสียงระเบิด เสียงปืน ประทัดยักษ์ ดังสนั่นใกล้บริเวณชุมนุม และอาคารสถานที่ต่างๆ ไม่เว้นแต่ละวัน

การจับกุมหน่วยซีลที่มารับจ๊อบเป็นการ์ดให้แกนนำม็อบ ก็ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเหล่าทัพกับม็อบ กปปส.



นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ประกาศไม่เจรจากับใครทั้งสิ้น เป็นสัญญาณที่ส่งตรงไปยังวงเจรจาที่่ถกกันเงียบๆ วางตัวนายกฯคนกลางและรัฐบาลกลาง
ทำเอาวงเจรจาต้องพักประเมินสถานการณ์


ก่อนที่นายสุเทพจะพลิกเกม หันมาเล่นเชิง ท้าให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเจรจาในสถานที่เปิดเผย คุยกันสองต่อสอง ถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์

ทางฝ่ายรัฐบาลไม่รับข้อเสนอนี้ เพราะตามรูปการณ์ ออกไปทาง "ดีเบต" มากกว่าที่จะเป็นการเจรจาหาทางออก



แรงบีบจากขั้วอำนาจตรงข้าม ต่อรัฐบาลเพื่อไทย หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะการเตรียมจะลงดาบฟัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในข้อหาละเลยเพิกเฉยให้มีการโกงจำนำข้าว ซึ่งคาดว่า จะทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯปลาย มี.ค.นี้

ทำให้พรรคเพื่อไทย ต้องงัดเอาข้อมูลความล่าช้าในการพิจารณาการระบายข้าวในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมัยเป็นนายกฯ ตั้งแต่ปี 2553 เวลาผ่านไป 4 ปียังไม่มีความคืบหน้า ขึ้นมาสู้


น.ส.ยิ่งลักษณ์เอง ออกมาตอบโต้แรงบีบแรงกดดัน ด้วยการประกาศว่าจะทำงานในหน้าที่จนนาทีสุดท้าย

รวมถึงที่ให้สัมภาษณ์เมื่อ วันที่ 28 ก.พ. ที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี อ.เมือง จ.เชียงใหม่

ต้องบอกว่าเราเป็นผู้รักษากติกา รักษาประชาธิปไตย ถ้าในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือเป็นทหารก็ต้องบอกว่าทหารต้องทำหน้าที่ของตนเองจนนาทีสุดท้าย ทหารต้องรักษาพื้นที่ ต้องตายสนามรบ วันนี้ดิฉันก็ต้องตายในสนามประชาธิปไตย

นี่คือหน้าที่ การที่ประเทศจะเป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นจากต่างชาติได้ ก็คือการที่เราต้องเดินตามกรอบของประชาธิปไตย ในฐานะที่เป็นผู้นำรัฐบาล ไม่สามารถบอกประเทศอื่นว่าตนเองจะไม่รักษาประชาธิปไตย จะให้คนอื่นมาฉีกรัฐธรรมนูญได้ เป็นใครที่อยู่ในหน้าที่ปฏิบัติก็ต้องทำหน้าที่ของตนเอง


เช่นเดียวกับทหารที่ต้องทำหน้าที่ของตนเองในสนามรบจนนาทีสุดท้ายเช่นเดียวกัน



และที่ทำให้สถานการณ์เข้มข้นขึ้นมาอีก ยังได้แก่ การเข้ามาสู่เกมของผู้สนับสนุนรัฐบาล รวมถึง แนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.

ด้วยการออกมาแสดงปฏิกิริยาต่อคำตัดสินของศาลแพ่ง ที่สั่งยกเลิกข้อห้าม 9 ข้อ จาก 12 ข้อ ในมาตรการตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

และไปชุมนุมปิดสำนักงาน ป.ป.ช. โดยใช้มุขเดียวกับ กปปส.ที่ไปปิดทำเนียบ สถานที่่ราชการต่างๆ

นปช.นัดชุมนุมประชาชนที่ทุ่งศรีเมือง อุดรธานี ในวันที่ 1 มี.ค. ก่อนจะปฏิบัติการย้อนเกล็ด กปปส. ด้วยเคลื่อนออกไปปิดหน่วยงานองค์กรอิสระ ที่มีสำนักงานในภาคอีสาน

และยังมีการเคลื่อนไหวของนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน ที่่ประกาศว่า จะระดมกองกำลังอาสาปกป้องประชาธิปไตย จำนวนนับแสนคน

เริ่มเปิดรับสมัครที่ภาคอีสาน ตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค.เป็นต้นไป



การปราศรัยของคนเสื้อแดง กล่าวถึงการปฏิบัติ 2 มาตรฐาน วิกฤตการเมืองที่ทำให้ความแตกแยกของประชาชนในแต่ละภาครุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ความเคลื่อนไหวของเสื้อแดง กลายเป็นประเด็นอ่อนไหวในเชิงความมั่นคง


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ได้สั่งการในฐานะรองผอ.กอ.รมน. ให้ผู้ว่าราชการทุกจังหวัด ติดตามความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ด้วยอาการซีเรียส
และให้สัมภาษณ์ถึงการเคลื่อนไหวของเสื้อแดง หลังเป็นประธานเปิดเวทีมวยลุมพินีแห่งใหม่ เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ว่า
ได้นำเรียนให้นายกรัฐมนตรีทราบแล้ว ในคำสั่งไม่ได้ให้จับตาใครเป็นพิเศษ ให้ดูแลทุกกลุ่มที่ฝ่าฝืนกฎหมายความมั่นคง รวมถึงการพูดจาว่าสิ่งไหนผิด บางอย่างต้องเข้าใจว่า เป็นคำพูด การกระทำยังไม่เกิด หากการกระทำที่สมบูรณ์ความผิดก็จะเกิดขึ้น และสามารถดำเนินคดีได้
ส่วนกรณีการสวนสนามตำรวจบ้านที่ จ.พะเยา โดยใช้ธงสีแดงแทนธงชาติไทยนั้น เรื่องนี้ได้เตือนไปหมดแล้วว่าอย่าทำอย่างนั้นอีก

และยังตอบคำถามเรื่องการปฏิวัติ ว่าการปฏิวัติที่ผ่านมาเพราะมีเหตุการณ์รุนแรง ความไม่เป็นธรรม แต่ในวันนี้โลกเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน ประชาชนก็เปลี่ยน พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ไปถึงตรงนั้นเพราะเป็นเรื่องที่อันตราย 
คงไม่สัญญาว่าการปฏิวัติจะมีหรือไม่มี แต่การดำเนินการดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในทางนิตินัย ซึ่งการปฏิวัติทุกครั้งเพื่อให้สถานการณ์ยุติ แล้วยุติได้หรือไม่ก็ต้องไปนั่งวิเคราะห์กัน ทุกสถานการณ์ต้องแก้ไขด้วยกฎหมาย หากแก้ไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีพิเศษ
ส่วนจะเป็นวิธีพิเศษอย่างไรก็ต้องไปว่ากัน --พล.อ.ประยุทธ์กล่าว



เมื่อต่างฝ่ายต่างระดม "ตัวช่วย" ออกมาเข้าแนวรบ ขณะที่วันชี้ชะตานายกฯและรัฐบาลใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เหมือนจะเป็นสูตรเดิมที่เคยใช้สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์


แต่ปัจจัยตัวแปร แตกต่างออกไป โดยเฉพาะท่าทีจากต่างประเทศ และขบวนการหนุนรัฐบาลในต่างจังหวัดที่ส่งสัญญาณเหมือนพร้อมแตกหัก

สถานการณ์จากนี้ไปน่าจะอ่อนไหวและหมิ่นเหม่มากขึ้น


ด้วยอุณหภูมิจากวิกฤตยืดเยื้อที่ร้อนระอุอยู่แล้ว

และจากการฉวยโอกาส การจ้องหาจังหวะป่วนของกลุ่มที่ยังหวังพึ่งพา "วิธีพิเศษ"




++

‘เสื้อแดง’เข้าโหมดสู้รบ นปช.ลั่นกลอง-จ่อกรุง? ดับเครื่องชน‘ม็อบสุเทพ’
ใน www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1393737723
. . วันอาทิตย์ที่ 02 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 12:41:03 น.

(ที่มา: มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 28 ก.พ. - 6 มี.ค.57 ปี34 ฉ.1750 หน้า11)


สถานการณ์การเมืองถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ

ภายหลังกลุ่ม กปปส. ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นำมวลชนปักหลักปิดกรุงเทพฯ ขับไล่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มานาน 4 เดือนเต็ม

เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ นปช.คนเสื้อแดงนัดรวมตัวแกนนำระดับภูมิภาคทั่วประเทศ ภายใต้ชื่อกิจกรรม "ลั่นกลองรบ"


นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. ประกาศจุดประสงค์การชุมนุม 3 ข้อ
เพื่อร่วมหารือแนวทางต่อสู้รักษาประชาธิปไตย สนับสนุนการเลือกตั้งให้เสร็จสมบูรณ์โดยเร็ว และกำหนดแนวทางเคลื่อนไหวมวลชน

เปิดโอกาสให้แกนนำแต่ละภูมิภาคปราศรัยเสนอแนะแนวทางต่อสู้

ก่อน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกล่าวสรุปว่า สถานการณ์ขณะนี้เข้มข้นและแหลมคมที่สุดตั้งแต่มีคนเสื้อแดงมา
เมื่อฝ่ายตรงข้ามกดขี่เหยียบย่ำ คนเสื้อแดงจึงไม่อาจนิ่งเฉย
เตรียมเข้าสู่สถานการณ์สู้รบร้อยเปอร์เซ็นต์

แกนนำ นปช. ประกาศยุทธศาสตร์ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

ระบุให้นายกรัฐมนตรียืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย อย่าลาออกเด็ดขาด และให้แสดงอารยะขัดขืน ไม่ยอมรับการวินิจฉัยใดๆ ที่ขาดความยุติธรรมและสองมาตรฐาน

อย่างไรก็ตาม ข้อที่ฝ่ายตรงข้ามนำไปโจมตีว่าต้องการแบ่งแยกประเทศคือ

ข้อที่แกนนำขอให้รัฐบาลพิจารณาสถานที่ทำงานที่จำเป็นในภาคเหนือหรืออีสาน จัดตั้งกองกำลัง เมื่อเกิดสถานการณ์คับขันและหากเลวร้ายถึงที่สุด

ให้จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นทันที



นอกจากยุทธศาสตร์ข้างต้น

แกนนำ นปช. ยังกำหนดแนวทางต่อสู้ 15 ข้อ ประกอบด้วย

ถ้ามีการนัดหมายเคลื่อนขบวน ให้คนเสื้อแดงเคลื่อนไหวแบบอิสระ เพราะศาลแพ่งวินิจฉัยในกรณีของกลุ่ม กปปส. แล้ว ซึ่งต้องคุ้มครองแนวทางของ นปช. ด้วย

จัดตั้งกองกำลังชายฉกรรจ์แต่ละจังหวัดไม่ต่ำกว่า 100 คน เพื่อดูแลความปลอดภัยประชาชน ประสานงานกับเครือข่ายประชาธิปไตยทุกกลุ่ม

ให้เผยแพร่รายชื่อผู้เป็นปฏิปักษ์กับประชาธิปไตย เพื่อโจมตีทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ

ให้ครอบครัวทหาร-ตำรวจเร่งทำความเข้าใจให้ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย จัดตั้งเครือข่ายลูกเมียทหาร-ตำรวจเพื่อทำงานสื่อสารมวลชนในที่ตั้งของตนเอง

ตั้งเวทีชุมนุมรอบปริมณฑลเพื่อกดดัน กปปส. ไม่ให้เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

จัดตั้งหน่วยนักรบไซเบอร์ เมื่อสถานการณ์คับขัน ต้องเข้ากรุงเทพฯ ให้ชัตดาวน์องค์กรอิสระทั้งหมด

จัดตั้งองค์กรเงาคู่ขนานไปกับองค์กรหลักที่รับใช้เผด็จการ ทำหน้าที่ตอบโต้ทุกประเด็น ตั้งคณะกรรมการส่งเสริมประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

รณรงค์ต่อต้านรัฐประหารเต็มรูปแบบ จัดตั้งหน่วยเฝ้าระวัง ติดตามพฤติกรรมรอบค่ายทหาร จัดหาสถานที่หลบภัยในยามตั้งรับถอยร่น

ให้คนเสื้อแดงสู้เต็มที่ เตรียมทุกสิ่งให้พร้อมสรรพ ทุกสิ่งที่ควรมี ต้องมีและจำเป็นต้องมี ตามความเหมาะสมของสถานการณ์




แกนนำวิเคราะห์การเมืองว่า

ฝ่ายอำมาตย์ มีความมุ่งมั่นไปสู่จุดแตกหักเพื่อทำลายล้างตระกูลชินวัตร พรรคการเมือง และ"ระบอบทักษิณ"ทั้งหมด

ต้องการทำลายล้างกระบวนการประชาธิปไตย โดยเฉพาะการเลือกตั้งที่ฝ่ายอำมาตย์ไม่สามารถเอาชนะได้ ดังนั้น ถ้าจะขจัดอิทธิพลทักษิณ จะมีเลือกตั้งไม่ได้

การเสนอให้"ปฏิรูป"ก่อนเป็นกลลวงเพื่อหยุดยั้งกระบวนการประชาธิปไตย หยุดการเลือกตั้ง

และเนื่องจากการทำรัฐประหารโดยกองทัพถูกต่อต้านจากประชาชนและสังคมโลก จึงต้องยึดอำนาจโดยวิธีอื่น

เป็นที่มาของการเสนอยุทธศาสตร์"ปฏิวัติประชาชน-ปฏิรูปประเทศไทย" ใช้มวลมหาประชาชนยึดอำนาจรัฐ

แต่ก็ยังต้องการให้ทหารสนับสนุนทั้งทางตรง คือ ทำรัฐประหารเอง

และทางอ้อม คือ คุ้มครองประชาชนที่ลุกขึ้นสู้

ไม่ร่วมมือกับรัฐบาลควบคุมสถานการณ์ ช่วยสนับสนุนทางลับ เช่น เป็นการ์ดคุ้มกัน คุ้มครองมวลชนลุกขึ้นสู้ในเมือง กดดันรัฐบาลยาวนาน รอคอยโอกาสเกิดความรุนแรง

การใช้องค์กรอิสระบวกกระบวนการยุติธรรมอื่นๆ กำจัดฝ่ายประชาธิปไตย เป็นเครื่องมือที่ได้ผลมาร่วม 10 ปี และยึดโยงกับเครือข่ายอำมาตย์แน่นหนาลึกซึ้ง

เมื่อไม่สามารถยึดอำนาจได้ก็ใช้ทฤษฎี "มะม่วงหล่น" ยึดฐานที่มั่นในเมือง รบแบบจรยุทธ์ สะสมอาวุธและยกระดับมวลชน

การอ้างเป็นขบวนการสงบ สันติ ทั้งที่โจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยอาวุธ เป็นกลยุทธ์ป้องกันฝ่ายต่างๆ ไม่ให้ใช้ความรุนแรงกับตนเอง

พร้อมกันนั้นก็ยิงนก 2 ตัวด้วยกระสุนนัดเดียว คือให้ทหารคุ้มครองตนเองด้วย และอาจได้นกตัวที่ 3 ถ้าหากสถานการณ์บานปลาย

กองทัพก็จะออกมาทำรัฐประหาร



สําหรับฝ่ายประชาธิปไตย หลังชนะเลือกตั้ง ความพยายามเปิดเกมรุกทางการเมืองไม่เคยสำเร็จ เพราะถูกสกัดการใช้อำนาจโดยองค์กรอิสระและตุลาการ

ฝ่ายประชาชนถูกคุมขังยาวนาน
ฝ่ายประชาธิปไตยเปลี่ยนสถานะจากรุกมาเป็นรับและถอยร่น ต้องยุบสภาและเผชิญคดีความหนักหน่วง

ขณะที่ฝ่ายอำมาตย์เตรียมตัวสู้รบใหม่ทันทีหลังแพ้เลือกตั้ง แต่ฝ่ายประชาธิปไตยไม่คิดถึงการต่อสู้ในลักษณะสู้รบแตกหัก ยังคิดลักษณะประนีประนอม ใช้การเจรจาเป็นหลัก


ไม่สนับสนุนฝ่ายประชาชนให้เข้มแข็ง ไม่เฉลียวใจว่าที่ผ่านมาเป็นเพียงชัยชนะในศึกเลือกตั้ง ไม่ใช่ชัยชนะในสงครามใหญ่

ฝ่ายประชาชนผู้รักประชาธิปไตยถูกทำให้อ่อนพลังสู้รบ 


เนื่องจากชัยชนะในการเลือกตั้งและได้จัดตั้งรัฐบาล นักต่อสู้ส่วนหนึ่งกลายเป็นนักการเมืองและหัวคะแนน แตกแยกกันเนื่องจากผลประโยชน์  ทั้งยังถูกทำให้อ่อนแรงด้วยกลยุทธ์จัดตั้งซ้อนจัดตั้ง ด้วยการจัดตั้งองค์กรอื่นซ้อนเข้ามาในหมู่เสื้อแดงสมาชิก นปช. พยายามแย่งชิงการนำ ทำให้ นปช. อ่อนแอ

การทบทวนยุทธศาสตร์ยุทธวิธีเฉพาะหน้าในสถานการณ์วิกฤตจึงจำเป็น

ที่มีอยู่เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว เป็น 2 ขาที่ผูกติดกับพรรคการเมือง ขาดลักษณะสู้รบ ขาดการเป็นฝ่ายกระทำ ไม่อาจสร้างภาวะการนำได้อย่างอิสระ
และถูกหยุดยั้งด้วยฝ่ายการเมืองซึ่งมียุทธศาสตร์เจรจาประนีประนอมเป็นหลัก

ฉะนั้น เมื่อเกิดยุทธการปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปประเทศไทยของนายสุเทพและ กปปส. ที่มีประชาชนเข้าร่วมจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องเรียกร้องต่อผู้รักประชาธิปไตย จะต้องยกระดับต่อสู้ทางการเมือง

เพื่อเปลี่ยนจากรับ เป็นรุก




ต่อมาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ นางธิดา ถาวรเศรษฐ แถลงความคืบหน้าการลั่นกลองรบ ว่า 
ถึงเวลาประชาชนต้องออกมาดูแลประชาธิปไตยเอง กำหนดเคลื่อนไหว 1 มีนาคม ณ ทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี ก่อนเคลื่อนไปอีกหลายจังหวัดภาคอีสานและภาคเหนือ

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่า ขอให้คนเสื้อแดงพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง รอสัญญาณเข้ากรุงเทพฯ
ไม่เพียงการจัดทัพจาก นปช.ส่วนกลาง

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ยังรวบรวมแกนนำเสื้อแดงอีสาน 20 จังหวัด กว่า 500 คน ตั้งกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ
เปิดรับอาสาสมัครใน 20 จังหวัดอีสาน ตั้งเป้า 200,000 แสนคน พร้อมจัดเตรียมยุทธวิธีจัดการกลุ่มมุ่งทำลายประชาธิปไตย

ด้านกลุ่มอดีต ส.ส.อีสาน พรรคเพื่อไทย นำโดย นายไพจิต ศรีวรขาน นายพีรพันธุ์ พาลุสุข นายขจิต ชัยนิคม นายอดิศร เพียงเกษ จัดตั้งกลุ่ม"ขบวนการคนอีสานปกป้องประชาธิปไตย"
ประกาศไม่ยอมให้กลุ่มขบวนการที่กระทำขัดกฎหมาย มากำหนดทิศทางประเทศไทย และรับไม่ได้หากมีการจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากระบอบประชาธิปไตย
จะไม่ยอมรับทุกเงื่อนไขหากไม่ใช่วิธีการเลือกตั้ง คนอีสาน 20 จังหวัดพร้อมออกมาต่อสู้


นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ระบุ

ปัญหาขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่นายสุเทพแค่คนเดียว แต่อยู่ที่เครือข่ายอำมาตย์ทั้งหมด

การกระทำตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 การล้อมปราบในปี 2552 และ 2553 เป็นตัวละครเดียวกันทั้งสิ้น

ถ้าไม่สู้ เราก็ตาย ถ้าอยากให้บ้านเมืองมีความยุติธรรมเป็นประชาธิปไตย ก็ต้องออกมาสู้ จะได้รู้ว่าประชาชนของจริงเป็นอย่างไร

จากนี้เข้าสู่สถานการณ์สู้รบแล้ว


..................



.