http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2557-02-14

พลวัตการเมืองไทย โดย วีรพงษ์ รามางกูร

.

พลวัตการเมืองไทย
โดย วีรพงษ์ รามางกูร

ใน www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1392304989
. . วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 08:05:00 น.

( ที่มา: นสพ.มติชนรายวัน 13กุมภาพันธ์2557 )  


หลายๆ คนมองการเมืองไทยโดยส่วนรวมว่า การเมืองไทยที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้เหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง วนไปวนมาหาทางออกไม่ได้ แต่ความจริงการเมืองเป็นสิ่งมีชีวิต มีวิญญาณ เปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลา ไม่ได้นิ่งอยู่กับที่ หลายๆ คนจึงมองไปพบแต่ทางตัน หาทางออกไม่ได้

การเมืองขณะนี้เป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเรามาถึงทางตันแล้ว เพราะหลังจากการยุบสภาการเลือกตั้งมีปัญหา การจัดเลือกตั้งทำให้เรียบร้อยไม่ได้เพราะมีฝ่ายต่อต้าน มีการขัดขวางไม่ให้มีการรับสมัคร 28 เขตเลือกตั้ง บางเขตเลือกตั้งมีผู้สมัครเพียงคนเดียว บางเขตเลือกตั้งผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ได้ ดังนั้น จึงควรให้รัฐบาลนี้ออกไป จัดตั้งรัฐบาลคนกลางที่เป็น "คนดี" เข้ามาบริหารประเทศ เข้ามาปฏิรูปการเมือง ถ้าให้มีการเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งก็จะเหมือนเดิม แต่ก็ไม่มีการพูดตรงๆ ว่าอยากให้มีการรัฐประหารขับไล่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยให้พ้นไป แล้วจัดการปฏิรูป ขจัดพรรคเพื่อไทยให้พ้นไปก่อนจะมีการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยจะได้ไม่ชนะการเลือกตั้ง

ส่วนพรรครัฐบาล พรรคเพื่อไทยก็ทราบดีฝ่ายทหารมีข้อจำกัด ไม่สามารถจะทำรัฐประหารได้อย่างราบรื่น เหมือนกับการทำรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย.2549 เนื่องจากข้อจำกัดทั้งภายในและภายนอกประเทศ จึงต้องเดินตามแนวทางประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ

การณ์จึงปรากฏว่า ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลกระทำการทุกอย่างที่ขัดกับวิถีทางหลักการประชาธิปไตย และขัดกับกฎหมาย ตั้งแต่การชุมนุมที่ว่าเป็นการชุมนุมที่สงบและปราศจากอาวุธ ไม่ละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นก็ไม่ใช่ เพราะการขู่เข็ญตัดน้ำตัดไฟ ปิดสถานที่ราชการ ขัดขวางการเลือกตั้ง ขู่เข็ญเอาชีวิตผู้อื่น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยวิถีทางสันติประชาธิปไตยและกฎหมายทั้งสิ้น

ขณะเดียวกัน ฝ่ายรัฐบาลก็ยึดรัฐธรรมนูญ ยึดกฎหมาย ไม่ใช้ความรุนแรง เจ้าหน้าที่ก็ไม่ให้ติดอาวุธ เพราะเกรงว่าถ้ามีการเสียเลือดเนื้อแล้วจะ "เข้าทาง" ฝ่ายประท้วง เป็นข้ออ้างให้ทหารทำการปฏิวัติ เมื่อฝ่ายรัฐบาลหลีกเลี่ยงการปะทะ ไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดอาวุธ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ย่อมจะไม่สามารถดำเนินการบังคับใช้กฎหมายได้

เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่สามารถดำเนินการบังคับใช้กฎหมายได้อำนาจรัฐก็ดูอ่อนแอลงในแง่การป้องกันและปราบปรามผู้ชุมนุมที่กระทำการขัดต่อหลักประชาธิปไตยและกฎหมายแต่การบริหารราชการแผ่นดินก็ยังคงดำเนินต่อไปได้ไม่ขาดตอน แม้จะดูขลุกขลักไปบ้าง เช่น การให้บริการของรัฐบางอย่าง เช่น การทำหนังสือเดินทาง การออกใบอนุญาต แต่ในที่สุดก็สามารถดำเนินการต่อไปได้

การเรียกร้องให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พร้อมกันหยุดงานโดยการออกคำสั่งของผู้นำการชุมนุมก็ไม่เป็นผล ราชการก็ยังดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งเป็นการแสดงถึงความแข็งแกร่งและมั่นคงของระบบราชการไทยที่ไม่โอนเอียง ไม่อ่อนแอไปตามกระแสของการเมือง แม้จะมีการตัดน้ำตัดไฟบ้างหรือการหยุดงานของพนักงานรัฐวิสาหกิจบางส่วน แต่ระบบขนส่ง ระบบโทรคมนาคม ระบบคอมพิวเตอร์ ระบบจัดเก็บภาษี ระบบการเบิกจ่ายเงินของทางราชการ ระบบการชำระเงินของสถาบันการเงิน ก็ยังสามารถดำเนินการไปได้อย่างปกติ ระบบการส่งออกสินค้าและบริการก็ยังดำเนินการไปตามปกติ สามารถกล่าวได้อย่างชัดเจนว่าโดยรวมแล้วทุกอย่างยังดำเนินไปได้อย่างเป็นปกติ


แต่ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการทั้งคนไทยและคนต่างประเทศมีน้อยลงเงินทุนจึงไหลออกจากตลาดทุนเช่น ตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตรและตลาดทุนอย่างอื่น บัดนี้ผลก็ปรากฏขึ้นมาแล้วและอาจจะลุกลามต่อไปถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์และอื่นๆ ถ้าโชคไม่ดี เศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น จีน ขยายตัวในอัตราช้าลง หรืออินโดนีเซีย มีปัญหาทางการเงิน เศรษฐกิจของเราแม้ว่าจะมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง เพราะมีทุนสำรองระหว่างประเทศเพียงพอ ก็อาจจะมีปัญหาได้แต่ขณะนี้ยังไม่มีปัญหา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าปล่อยให้ดำเนินไปตามธรรมชาติในกรอบของประชาธิปไตยและกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าฝ่ายทหารไม่อาจจะทำการปฏิวัติรัฐประหารได้แล้ว ฝ่ายอำนาจรัฐเก่า อันได้แก่ องค์กรอิสระ กระบวนการยุติธรรมต่างๆ ยอมเปลี่ยนท่าที กลับมาตั้งสติใหม่ ว่าวิธีการที่เคยกระทำมาในรอบเกือบหนึ่งทศวรรษใช้ไม่ได้ผล รังแต่จะสร้างความเสียหายกับเศรษฐกิจของชาติ รังแต่จะได้รับการต่อต้าน คัดค้านจากประชาคมระหว่างประเทศ แม้จะปลอบใจตนเองว่าต่างชาติไม่เข้าใจความสลับซับซ้อนของโครงสร้างอำนาจของ "รัฐไทย" นั่นเป็นการหลอกตัวเอง สื่อมวลชนต่างชาติเข้าใจความสลับซับซ้อนของโครงสร้างอำนาจของรัฐไทยดีกว่าคนไทยเสียอีก เพราะเขาไม่ต้องเซ็นเซอร์ตัวเองเหมือนกับสื่อมวลชนของไทย



การที่มีคน "ชั้นสูง" กลุ่มนั้น กลุ่มนี้ ออกมาเสนอความเห็นหรือทางออก โดยให้รัฐบาลถอยออกไป เพื่อให้เกิดทางตัน จะได้จัดตั้งรัฐบาลนอกรัฐธรรมนูญ เพื่อมาปฏิรูปการเมือง ปรับปรุงกฎหมาย ปรับปรุงรัฐธรรมนูญ รวมทั้งกฎหมายเลือกตั้งหรือกฎหมายอื่นๆ แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ พรรคเพื่อไทยจะได้ไม่ชนะการเลือกตั้ง จึงเป็นการพายเรือในอ่าง เป็นข้อเสนอที่ไร้ประโยชน์ ปฏิบัติไม่ได้ รังแต่จะสร้างความเสียหาย รังแต่จะทำให้ขบวนการประชาชนและพรรคเพื่อไทยเข้มแข็งยิ่งขึ้น ทำให้การอยู่ในอำนาจของพรรคเพื่อไทยยืนยาวยิ่งขึ้น
ถ้าเราปล่อยให้ประชาธิปไตยพัฒนาตัวเองไปโดยธรรมชาติ ไม่มีขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตย ไม่มีรัฐประหาร 19 กันยา 49 ไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ไม่มีขบวนการล้มรัฐบาลนอกกรอบรัฐสภาและรัฐธรรมนูญ ไม่มีการปลุกระดมชุมนุมต่อหลังประสบชัยชนะในการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย ไม่มีข้อเสนอเรื่องนายกฯคนกลางที่ดีแต่ไร้สาระ ขณะเดียวกันพรรคฝ่ายค้าน คือพรรคประชาธิปัตย์ก็ทำการปฏิวัติปฏิรูปตัวเอง เปลี่ยนผู้นำพรรค เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนทัศนคติ หันมายึดมั่นในวิถีทางประชาธิปไตย เข้าถึงประชาชนรากหญ้าในภาคอื่นๆ นอกจากกรุงเทพฯและภาคใต้ คนที่ยังเลือกพรรคประชาธิปัตย์ก็เพราะเคยเลือกกันมา ไม่ใช่เพราะชื่นชมในผลงานหรือเชื่อมั่นในนโยบายพรรคว่าจะทำให้ชีวิตดีขึ้น

ส่วนคนกรุงเทพฯก็เลือกพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้วเพราะถูกกับรสนิยมของคนเมืองกรุงคนกรุงเทพฯไม่ต้องพึ่งประชาธิปไตยไม่ต้องพึ่งผู้แทนราษฎร

สำหรับคนภาคใต้ ดูจะเสียเปรียบกว่าคนภาคอื่น เพราะการที่เลือกพรรคฝ่ายค้านอยู่ตลอดเวลา ทำให้ความกระตือรือร้นของผู้แทนของตนเฉื่อยชาในการดึงงบประมาณมาพัฒนาจังหวัดของตน เราจึงเห็นได้ชัดว่าเครือข่ายคมนาคม ถนนหนทาง ระบบไฟฟ้า น้ำประปา โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ในภาคใต้พัฒนาได้น้อยและช้ากว่าภาคอื่นๆ มาก


เหตุการณ์การเมืองครั้งนี้ ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง อย่างแรกลำพังกระแสการล้มรัฐบาลของคนกรุงเทพฯและคนภาคใต้ส่วนใหญ่คงทำไม่สำเร็จ หากปราศจากการแทรกแซงของกองทัพเข้ามาปิดเกม ทำปฏิวัติรัฐประหาร ประการที่สองทหารมีข้อจำกัดมากขึ้นในการทำปฏิวัติรัฐประหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการรวมตัวจัดตั้งของคนในต่างจังหวัด การคัดค้านอย่างเปิดเผยของประชาคมโลก การเปิดตัวอย่างสมบูรณ์ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อย่างที่สามเป็นการพิสูจน์แล้วว่า การทำปฏิวัติเงียบขององค์กรในขบวนการยุติธรรมนั้นไม่ได้ผล นอกจากไม่ได้ผลแล้วยังก่อให้เกิดความเสียหายกับตนเองและประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ผู้ที่ยังเรียกร้องในแนวทางนี้ควรจะเลิกคิด แล้วมาช่วยกันทำการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงในแนวทางประชาธิปไตย ในระบบการปกครองด้วยกฎหมาย ยอมรับเสียงส่วนใหญ่จะดีกว่า

ในขณะที่ยังปฏิวัติรัฐประหารไม่ได้ องค์กรอิสระทำงานไม่ได้ผล แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็กำลังเปลี่ยนไป พรรคการเมือง เช่น ประชาธิปัตย์ก็ดี พรรคเพื่อไทยก็ดี พรรคอื่นๆ ก็ดี ต่างก็มีความคิดความเห็นใหม่ๆ เกิดขึ้นในพรรค ความคิดความเห็นเปลี่ยนไปหลายเรื่อง
การเป็นรัฐบาลโดยเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาด (absolute majority) ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรได้ทุกอย่าง การดำเนินการทางการเมืองข้างถนนก็ทำสำเร็จไม่ได้

สังคมก็ดี การเมืองก็ดี คนในกรุงก็ดี คนต่างจังหวัดก็ดี ล้วนเป็นสังคมที่มีชีวิต ย่อมเติบโตเปลี่ยนแปลงเป็นพลวัตอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครหยุดยั้งได้แม้แต่กระบอกปืน

ปล่อยสังคมเติบโตตามธรรมชาติไปเองเถิด

............



.