http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-12-17

สามัญสำนึกกับกรณีชุดดำ โดย สุริวงค์, ระวัง! ชายชุดดำ

.
มีโพสต์บทความถัดมา
- ทั้งที่เป็นเดือนธันวาคม โดย วงค์ ตาวัน 09 ธันวาคม พ.ศ. 2554
- ปชป.บอกหน้าที่ของรบ.ต้องไม่ให้มีป่วนช่วงปีใหม่, พท.ฉุนปชป.จ้องยื่นถอด "ยิ่งลักษณ์"
- ผมสั่งเอง โดย สมิงสามผลัด 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554
- อย่าเล่นมุขเดิม ๆ โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน 09 ธันวาคม พ.ศ. 2554

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ** * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

สามัญสำนึกกับกรณีชุดดำ
โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน
ในมติชน ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 21:30:00 น.


เป็นธรรมดาสำหรับคนทุกคนที่จะต้องใช้สิทธิตามกฎหมายในการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความถูกผิดของตนเอง เมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีความ โดยเฉพาะถ้าเป็นคดีความร้ายแรง มีคนตายถึงเกือบ 100 ศพ

เพียงแต่ว่า ในท่ามกลางการใช้สิทธิตามกฎหมายนั้น จะต้องมีคำถามถึง "ความรับผิดชอบ" ว่ามีอยู่ในจิตสำนึกหรือไม่

บ้านเมืองเราผ่านเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงใหญ่ทางการเมือง แล้วลงเอยด้วยการใช้กำลังทหารเข้าปะทะกับผู้ชุมนุม จนล้มตายกลางเมืองเป็นจำนวนมากมาแล้วหลายครั้ง

สุดท้ายผู้มีอำนาจนั้นก็อยู่ไม่ได้

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ลงเอยรัฐบาลทหารนั้นต้องหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ

เหตุการณ์ 17 พฤษภาคม 2535 ลงเอยนายกฯต้องลาออก และวางมือจากการเมืองไปอย่างเด็ดขาด

แน่นอนว่าทั้ง 14 ตุลาคม 2516 และพฤษภาคม 2535 มีการปรากฏตัวของกองกำลังลึกลับ เข้ามาแทรกจนสถานการณ์ลุกลามขยายวง

ปี 2516 มีกองกำลังรหัสเทพ 333 เข้ามาจุดชนวนความรุนแรง

ปี 2535 มีหน่วยมอเตอร์ไซค์ออกตระเวนเผาสถานที่ราชการ

ผู้นำทั้งในยุค 14 ตุลาคม และยุคพฤษภาทมิฬ 2535 ก็พยายามเอ่ยอ้างถึงหน่วยลึกลับเหล่านี้

แต่ลงเอย ก็ต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์รุนแรงที่มีประชาชนล้มตาย เพราะเหตุเกิดภายใต้การควบคุมสถานการณ์ของตนเอง

จะยอมรับผิดชอบอย่างเต็มใจหรือไม่ก็ตาม

แต่ต้องรับผิดชอบ


เหตุการณ์ 10 เมษายน-19 พฤษภาคม 2553 มีคนตายมากกว่า 2 เหตุการณ์แรก คือตายถึง 91 ศพ

รัฐบาลในขณะนั้น เคยเรียกร้องรัฐบาลในยุคเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ว่าท่านต้องมีความรับผิดชอบทางการเมือง

แต่พอถึงยุคสมัยที่ตนเองมีอำนาจ กลับพูดถึงแต่กองกำลังชุดดำ โยนให้กองกำลังลึกลับ

ถึงวันนี้ก็ตั้งป้อมต่อสู้ทางกฎหมายอย่างไม่ลดละ

มีทนายความออกมาเตือนตำรวจว่า ไม่มีสิทธิฟ้องร้อง เพราะคดีนี้ต้องไปสู่ ป.ป.ช.อย่างเดียว

พูดได้ตามขั้นตอนกฎหมาย แต่ก็ให้รู้สึกได้ยินเสียงอภิปรายอย่างเด็ดเดี่ยวเรียกหา "ความรับผิดชอบทางการเมือง" ดังกึกก้องไปพร้อมๆ กันด้วย



หากใช้ "สามัญสำนึก" อันหมายถึงความสำนึกความเข้าใจที่คนโดยทั่วไปควรจะรู้ได้

สามารถตั้งข้อสงสัยกับกรณีชุดดำได้ว่า

1.เหตุใดหลังวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 รัฐบาลนั้นก็ยังมีอำนาจอยู่อีกถึงปีกว่า แต่ไม่เคยแสดงความมุ่งมั่นจริงจัง ในการใช้กลไกและกำลังที่มีอยู่เพื่อไล่ล่าจับกุมกองกำลังชุดดำมาดำเนินคดีให้ได้ ทั้งที่ระบุว่าเป็นกองกำลังที่เข่นฆ่าประชาชน แล้วโยนความผิดให้รัฐบาล

2.คดีคนตาย 91 ศพนั้น มีหน่วยงานดีเอสไอรวบรวมพยานหลักฐาน สามารถตั้งเป็นสำนวนได้หลายสิบคดี

แต่ทำไมทุกคดี จึงไม่มีความคืบหน้าเลย ในช่วงรัฐบาลนั้น


ถ้ามั่นใจว่าชุดดำมีจริง ชุดดำฆ่าผู้ชุมนุม ดังที่ปากของผู้นำรัฐบาลนั้นเอ่ยอ้างจริง

ทำไมไม่รีบทำคดีเพื่อพิสูจน์ความจริง

ไม่มีแม้แต่คดีเดียวใน 91 ศพ ที่รัฐบาลยุคก่อนแสดงความมุ่งมั่นเร่งรัดและรวดเร็วในการทำความจริงให้ปรากฏ

ด้วยสามัญสำนึกของมนุษย์ปกติ

น่าจะพบคำตอบได้ไม่ยากเกี่ยวกับ "ชุดดำ"



++

ระวัง! ชายชุดดำ
คอลัมน์ ในประเทศ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1635 หน้า 9


กรณีชายชุดดำ เป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์อีกครั้ง

หลังจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าให้การต่อพนักงานสอบสวนคดีชันสูตรพลิกศพ นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่น

1 ใน 16 ศพจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 10 เมษายน ต่อเนื่อง 19 พฤษภาคม 2553

"ผมมาให้ข้อมูล เอกสารหลักฐานเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน รวมถึงเอกสารหลักฐานว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างไร ผู้ดูแลในภาพรวม และพูดถึงความมุ่งหมายเรื่องขอคืนพื้นที่การจราจร "

" เจ้าหน้าที่หยุดเคลื่อนไหวในช่วงก่อนมืด พยายามจะออกมา แต่ถูกโอบล้อมและใช้อาวุธสงครามยิงเข้ามา ทำให้เกิดเหตุชุลมุน และมีภาพชายชุดดำปรากฏตัวในบริเวณใกล้ที่เกิดเหตุ "

ชายชุดดำยังปรากฏในคำให้การของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กรณีเดียวกัน

"การสั่งการวันที่ 10 เมษายน 2553 ผมเป็นผู้สั่งการแต่ผู้เดียว นายอภิสิทธิ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง สั่งการตามหน้าที่และตามที่กฎหมายให้อำนาจ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่รับคำสั่งก็ปฏิบัติงานอยู่ในกรอบคำสั่งที่ชอบทุกประการ"

ทั้งยังนำภาพมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ เป็นภาพนิ่งเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายชายชุดดำ และเป็นสาเหตุการบาดเจ็บล้มตายของประชาชนและเจ้าหน้าที่

เป็นชายชุดดำดั้งเดิมที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ระบุเป็นผู้ก่อการร้าย แฝงตัวในกลุ่มผู้ชุมนุม

และเป็นผู้ก่อเหตุยิงประชาชนและเจ้าหน้าที่ในเหตุการณ์ เมษายน-พฤษภาคม 2553


แต่คำถามชวนให้มึนงงก็คือ ตั้งแต่ถือกำเนิดวันที่ 10 เมษายน 2553 กระทั่งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ประกาศยุบสภาเดือนพฤษภาคม 2554 เป็นเวลากว่า 1 ปีเต็ม

ชายชุดดำกลับหายตัวอย่างไร้ร่องรอย รัฐบาลไม่สามารถจับกุมได้แม้แต่คนเดียว

จนดูเหมือนว่ากลุ่มชายชุดดำมีชีวิตกระโดดโลดเต้นก็แต่ในวาทกรรมของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเท่านั้น



ไม่เพียงมีบทบาทโดดเด่นในคำให้การของ " อภิสิทธิ์-สุเทพ "

ในยุคที่อำนาจการเมืองพลิกผันมาอยู่ในมือรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

เงาร่าง 'ชายชุดดำ' ยังหวนกลับมาปรากฏในคำให้สัมภาษณ์ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ไม่ว่าในกรณีลอบวางระเบิดหน้ากองสลากฯ วันที่ 6 ธันวาคม ที่ผ่านมา

ไม่ว่ากรณีเบื้องหลังการสังหาร พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง บริเวณแยกศาลาแดง ช่วงค่ำวันที่ 13 พฤษภาคม 2553

กรณีลอบวางระเบิดหน้ากองสลากฯ ในตอนแรก ร.ต.อ.เฉลิม ออกมากล่าวถึง 'กลุ่มพาร์กินสัน'

ประกอบด้วย 1.พวกมือสั่น 2.พวกช่างพูด พูดจนไม่มีคนฟัง 3.พวกได้เงินได้ทองจากการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 และ 4.พวกซุกซน ชอบกินข้าวแถวสุขุมวิท

ต่อเมื่อมีการตั้งข้อสังเกตว่าการออกมาพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม ดำเนินการไปในลักษณะของการ "ตีปลาหน้าไซ"

จึงได้มีการเปิดข้อมูลใหม่ว่าระเบิดหน้ากองสลากฯ มีส่วนเกี่ยวพันกลุ่มบุคคล 4 กลุ่ม

1. กลุ่มที่เคลื่อนไหวประจำ 2.กลุ่มผู้สูญเสียอำนาจ 3.กลุ่มตำรวจที่เคยผูกพันกับพรรคการเมืองบางพรรค และใส่ชุดดำไปไล่ยิงชาวบ้าน ยิงเสร็จก็เปลี่ยนจากชุดดำมาเป็นชุดตำรวจ 4.กลุ่มนักการเมือง

ลากเส้นจากกลุ่มที่ 3 ไปยังกลุ่มที่ 4 ก่อนลากโยงไปถึงกรณี เสธ.แดง

กล่าวได้ว่าที่มา 'ชายชุดดำ' จากการเปิดโปงของ ร.ต.อ.เฉลิม ไม่ได้เป็นเงาปริศนาเท่ากับในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์

เพราะเป็นกลุ่มตำรวจยศสูงพอสมควร จัดตั้งโดยนักการเมือง เคยไปยิงที่พัทยามาครั้งหนึ่ง เคยแต่งชุดดำตอนขี่ฮาร์เลย์ให้ผู้ใหญ่นั่ง

มีทั้งตำรวจยศนายพลจากภาคอีสาน ผู้กำกับยศพันตำรวจเอก เดิมเป็นร้อยตำรวจตรีอยู่บุรีรัมย์ พันตำรวจโท ชั้นประทวน และตำรวจส่วนกลางยศพลตำรวจโท

ตอนออกมาให้สัมภาษณ์เป็นการวางแผนล่อ เสธ.แดง ให้ออกมาเข้าคิลลิ่งโซน แล้วยิงด้วยสไนเปอร์

ไอ้กลุ่มนี้แหละยิง เสธ.แดง เป็นพวกชุดดำเดี๋ยวเดียว แป๊บแป๊บก็เป็นสีกากี



หากใครติดตามคำให้สัมภาษณ์ ร.ต.อ.เฉลิม อย่างต่อเนื่อง จะพบว่า

กลุ่มตำรวจในคราบ 'ชายชุดดำ' ที่ลงมือสังหาร เสธ.แดง ยังโยงใยไปถึงกลุ่มคนที่ลงมือสังหาร อ้วน บัวใหญ่ แกนนำเสื้อแดงโคราช

"กรณี อ้วน บัวใหญ่ เพราะได้ไปหาเสียงที่จังหวัดนครราชสีมา ผมรู้ นายพันขับรถ ลูกน้องคนยิง นายพลสั่งการใหญ่กว่านั้นรับรู้ "

อ้วน บัวใหญ่ หรือ นายศักดิ์นรินทร์ กองแก้ว ถูกยิงเสียชีวิตในเดือนมิถุนายน 2553 กระทั่งวันที่ 6 ตุลาคม 2554 ด.ต.ธีระศักดิ์ นพพิบูลย์ โผล่เข้ามอบตัวตามหมายจับ และถูกคำสั่งให้ออกจากราชการ

พร้อมกันนั้น ผบช.ภาค 3 ยังมีคำสั่งย้าย 1 พันตำรวจโท 1 ดาบตำรวจ และ 1 จ่าสิบตำรวจ ออกจากพื้นที่นครราชสีมา ระหว่างสอบสวนขยายผล

เส้นทางตำรวจทั้ง 4 นาย คือชุดเฉพาะกิจได้รับการแต่งตั้งเมื่อปี 2553 โดยนายตำรวจยศพลตำรวจตรี อดีตผู้การจังหวัดซึ่งมีความแนบแน่นกับนักการเมืองใหญ่ภาคอีสาน

"ส่วนชุดสีน้ำเงินที่พัทยาเอามาจากอุดรธานี หลายคนจะมาหาผม มาไถ่บาป ผมบอกว่าต้องรับบาปเพราะคนตายไปเยอะ"

ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553

" การยิงกันที่ซอยรางน้ำและบ่อนไก่ เป็นฝีมือตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งนั้น "

และยังมีที่ว่า

" มันเป็นพวกเหี้ยเฉพาะตัวและนักการเมืองจัญไรที่หนุนเนื่องกันมา ตำรวจกลุ่มนี้ได้ดีมาแบบขุดต้นไม้ไปขาย สมัยผมยังเป็นใหญ่ในราชการตำรวจ คนพวกนี้ยังยืนดูดไอติมริมถนนอยู่เลย "


ทั้งหมดไม่ว่ากรณี 'กลุ่มพาร์กินสัน' หรือ'กลุ่มตำรวจชุดดำ' ที่ได้รับจัดตั้งโดย 'นักการเมืองจัญไร' แล้วถือปืนออกมาไล่ยิงชาวบ้าน

เมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นผู้จุดพลุเปิดประเด็นเหล่านี้ขึ้นมาด้วยความร้อนแรงน่าติดตาม

จะเป็นเรื่องแปลกอย่างยิ่ง หากซีรี่ส์ชายชุดดำจะจบลงแบบห้วนๆ โดยไม่มีการสานต่อทางคดีอย่างถึงที่สุด

ถ้าหากเป็นเช่นนั้น 'ชายชุดดำ' ในเวอร์ชั่นของ ร.ต.อ.เฉลิม ก็จะมีสภาพไม่ต่างจาก "ชายชุดดำ" ในเวอร์ชั่นของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ที่ได้รับการปั้นแต่งขึ้นมา

เป็นเครื่องมือทางการเมือง ใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น



++++

ทั้งที่เป็นเดือนธันวาคม
โดย วงค์ ตาวัน คอลัมน์ ชกคาดเชือก
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1634 หน้า 98


เดือนธันวาคม เป็นช่วงสำคัญของสังคมไทย ถือกันว่าเป็นเดือนมหามงคล เนื่องในวาระวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งการเฉลิมฉลองเพื่อเทิดพระเกียรติ ไม่เพียงแค่วันที่ 5 ธันวาคมเท่านั้น แต่ยังต่อเนื่องตลอดแทบทั้งเดือน

นอกจากธันวาคม จะเป็นเดือนแห่งการจงรักภักดี ทำให้ทั่วทั้งบ้านเมือง พยายามละเลี่ยงความขัดแย้งใดๆ ทั้งมวล เพื่อถวายแด่ในหลวงแล้ว

ยังเป็นเดือนแห่งความสุขของประชาชน ในฐานะเดือนแห่งเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

รวมทั้งเป็นเดือนแห่งการท่องเที่ยว สัมผัสอากาศหนาวเย็น แหล่งท่องเที่ยวตามภูดอย โดยเฉพาะในภาคเหนือ คึกคักสนุกสนานเป็นที่สุด

จึงกล่าวได้ว่า เดือนนี้เป็นเดือนที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทยที่จมปลักอยู่กับความขัดแย้งแตกแยกทางการเมืองมาตลอด 6-7 ปีนี้!

น่าจะเป็นช่วงที่ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจเพื่อหยุดปัญหาต่างๆ เอาไว้ก่อน

แต่เอาเข้าจริงๆ จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่??

เมื่อในวันที่ 6 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีการตรวจพบระเบิดที่ซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อผ้าสีดำ บริเวณเกาะกลางถนนราชดำเนินกลาง หน้ากองสลากกินแบ่งรัฐบาล

โดยมีพลเมืองดีไปพบกระเป๋าใบดังกล่าวเปิดวางอยู่ มองเห็นภายในส่อแสดงว่าเป็นการวางระเบิด จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเก็บกู้เอาไว้ได้ พบว่าเป็นระเบิดที่มีการติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ไว้ครบพร้อม มีนาฬิกาตั้งเวลาไว้ด้วย

แต่ก็มีข้อน่าสังเกตว่า การต่อวงจรไม่ครบพร้อม อาจเป็นการจงใจไม่เจตนาให้เกิดระเบิด ทั้งการเปิดกระเป๋าเอาไว้ เหมือนต้องการให้มีผู้พบเห็น เพื่อแจ้งตำรวจ

ต้องการให้เกิดเป็นข่าวมากกว่า

จุดสำคัญสุดคือในกระเป๋าระเบิดใบนี้ มีการใส่เสื้อยืดสีแดงเอาไว้ด้วย!



แน่นอนว่า คดีลอบวางระเบิดนั้น มักเป็นเรื่องยากในการหาตัวคนร้ายที่นำมาวาง เพราะจะลงมือวางก่อนหน้ามีผู้ไปพบหรือก่อนจะเกิดการระเบิด เป็นเวลานาน

ยากจะมีประจักษ์พยานเห็นรูปพรรณสัณฐานของผู้ที่นำระเบิดมาวางเอาไว้

ในชั้นต้นการประชุมวิเคราะห์ของตำรวจ ซึ่งมี พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร. ซึ่งเคยผ่านการสืบสวนคดีระเบิดมาหลายคดี มองว่าคนร้ายต้องการสร้างสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน

และจุดที่พอจะบอกได้ว่าคนร้ายเป็นพวกตรงข้ามกับรัฐบาลนี้ก็คือ การเลือกวางในวันที่ 6 ธันวาคม ทั้งที่เป็นช่วงวันมหามงคล การเลือกถนนราชดำเนินกลาง ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญในการเฉลิมฉลอง

แล้วยังจงใจนำเสื้อยืดสีแดงมาซุกเอาไว้อีก

ยิ่งชี้ได้ว่า คนร้ายต้องการให้พาดพิงถึงฝ่ายไหน!?


เหตุใดกลุ่มที่ก่อเหตุ จึงไม่ละเว้นทั้งที่เป็นเดือนซึ่งทุกฝ่ายรณรงค์ให้ลดละเลิกความขัดแย้งแย่งชิงอำนาจ

นั่นน่าจะเป็นเพราะ กลุ่มนี้ติดพันมาจากความพยายามจะเขย่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ในเหตุการณ์อภิมหาน้ำท่วมตลอดเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

ความที่รัฐบาลไม่สามารถคลี่คลายวิกฤตนี้ได้รวดเร็ว น่าจะเป็นเงื่อนไขอย่างดีในการโค่นให้ล้มลงกลางน้ำ!

แต่เอาเข้าจริงๆ ประชาชนก็ก่นด่ารัฐบาล เพื่อต้องการให้เร่งเข้ามาช่วยเหลือ ไม่ได้คิดจะขับไล่

ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ชาวบ้านมีแต่ต้องการมือจากรัฐบาล ด่าไปพร้อมๆ กับหวังไป

ไม่มีใครคิดจะเปลี่ยนรัฐบาลกลางน้ำท่วม

ครั้นสุดท้ายรัฐบาลก็พอจะผ่านพ้นวิฤตนี้ไปได้ ผลสำรวจโพลหลายสำนักชี้ว่าคนไม่พอใจผลงาน ไม่เชื่อถือ ศปภ. แต่ก็ยังขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ ต่อไป

ส่วนหนึ่งเพราะได้แสดงความทุ่มเทให้ปรากฏ และยังเป็นนายกฯ ที่ได้รับความยอมรับจากมิตรประเทศ ทำให้การช่วยเหลือหลั่งไหลมามากมาย รวมทั้งสนับสนุนให้รัฐบาลนี้อยู่ต่อไป

สำคัญสุด เพราะเป็นรัฐบาลที่ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งโดยเสียงคนส่วนใหญ่ มีภาพเป็นประชาธิปไตยแท้ๆ

เอาเข้าจริงรัฐบาลนี้เพิ่งได้รับเลือกจากประชาชนกว่า 15 ล้านเสียง เมื่อ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมานี้เอง

จะมาคิดเปลี่ยนรัฐบาลโดยไม่เกรงใจคนกว่า 15 ล้านกันเลยหรือ


เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ผ่านช่วงวิกฤตน้ำมาได้ในที่สุด กลุ่มที่คิดจะโค่นล้มอาจผิดหวัง แต่ก็ยังเคลื่อนไหวติดพัน

โดยเปลี่ยนประเด็นมาหยิบเอาบรรยากาศช่วงเดือนมหามงคล จ้องเฟ้นความผิดพลาดบางอย่าง หวังขยายผล ด้วยวิธีการดั้งเดิม คือ การโจมตีเรื่องความไม่จงรักภักดี

ดังนั้น ระเบิดเมื่อ 6 ธันวาคม บนถนนราชดำเนิน พร้อมเสื้อยืดสีแดง

จึงน่าจะบ่งบอกชัดเจนว่า เจ้าของกระเป๋าซุกระเบิดใบนี้ ต้องการทำให้รัฐบาลขาดความน่าเชื่อถือช่วงวันสำคัญและต้องการพาดพิงเสื้อแดง

ก่อนหน้านี้แกนนำเสื้อแดง โดยเฉพาะ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้เคยระบุเอาไว้เมื่อเดือนสองเดือนที่แล้วว่า ให้จับตาเดือนธันวาคม ทราบมาว่ามีคำสั่งให้เตรียมการล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้ได้



ขณะเดียวกัน อีกเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นอีกเหตุปัจจัย ก็คือ การรุกคืบของพนักงานสอบสวนตำรวจ ภายใต้รัฐบาลใหม่ ในการเดินหน้าหาคนผิดคดี 91 ศพ

โดยจะเห็นบรรยากาศความร่วมมือของฝ่ายกองทัพเป็นอย่างดี เมื่อบรรดานายทหารระดับคีย์แมน ตบเท้าเข้าให้การกับตำรวจ ด้วยทิศทางเดียวกัน

นั่นคือ กองทัพเข้ามาปฏิบัติการพร้อมอาวุธในใจกลางเมืองหลวง ไม่ใช่ด้วยอำนาจของกองทัพ แต่มาจากอำนาจพิเศษของ ศอฉ. และคำสั่งของ ศอฉ.

จึงทำให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้ออกคำสั่งตั้ง ศอฉ. และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. ถูกหมายเรียกตัวไปสอบปากคำในที่สุด!

น่าคิดว่าคดี 91 ศพ ที่เริ่มคืบหน้ามาก จะทำให้กลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ แสดงการดิ้นรนต่อต้านรัฐบาลนี้รุนแรงขึ้น


ระเบิดหน้ากองสลากเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม กำลังได้รับการตรวจพิสูจน์

ตำรวจเน้นนำไปเปรียบเทียบกับลักษณะระเบิดทางการเมืองในช่วงก่อนหน้านี้

ขณะเดียวกันทำให้หลายคนต้องนึกถึงเหตุการณ์สยองขวัญชาวกรุง การลอบวางระเบิดซึ่งได้เกิดระเบิดขึ้นพร้อมกันหรือใกล้เคียงกันว่า 10 จุด ทั่ว กทม. ในคืนส่งท้ายปีเก่า 31 ธันวาคม 2549 ก่อนเข้าสู่ปีใหม่ 1 มกราคม 2550

ระเบิดที่เกิดอย่างรุนแรง กระจายทั่วกรุง ทำให้มีคนเจ็บตายไปไม่น้อย และส่งผลสะเทือนขวัญต่อประชาชนอย่างมาก

แม้ตำรวจจะตรวจพบเบาะแสสำคัญ โดยในกล้องวงจรปิดบางจุด มองเห็นคนร้ายที่นำระเบิดมาวางไว้ก่อนจะเกิดระเบิดขึ้น

ทำให้พอมองออกว่า น่าจะเป็นกลุ่มคนในสังกัดไหน!?

แต่สุดท้ายก็จับกุมใครไม่ได้เลย เพราะไม่มีพยานหลักฐานชัดเจน

กระนั้นก็ตาม ในทางการสืบสวนก็พบข่าวสารที่น่าเชื่อว่า กลุ่มที่ลงมือก็คือทีมปฏิบัติการที่มีศักยภาพสูงสุด มีความพร้อมมากที่สุด

ทั้งยังมีอำนาจอย่างมากในขณะนั้นด้วย!

เจตนาต้องการตอกย้ำให้ประชาชนเเข้าใจไปว่า มีผู้สูญเสียประโยชน์ที่ยังดิ้นรนจะกลับมาครองอำนาจอีก

เรื่องนี้เกี่ยวพันมาจากการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 เพื่อล้มรัฐบาลทักษิณนั่นเอง


ตัดภาพมาในปีนี้ 2554 ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งและน้องสาวของทักษิณขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ

ผู้ป่วยเป็นโรคหวาดระแวงทักษิณจึงเก็บอาการไม่อยู่

ระเบิดที่ไม่ระเบิดเมื่อ 6 ธันวาคม เป็นสัญญาณเตือนว่ากลุ่มเดิมๆ เริ่มเล่นเรื่องเดิมๆ

ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้ อาจต้องระวังทีมระเบิดเมื่อปี 2549 หวนกลับมาอีก!



++++

ปชป.บอกหน้าที่ของรบ.ต้องไม่ให้มีป่วนช่วงปีใหม่
จากข่าวด่วน เนชั่น http://breakingnews.nationchannel.com/home/read.php?newsid=544383&lang=T&cat=
21:13 น. วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2554

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่า

จะเห็นว่ามีการบอกว่าเป็นเรื่องของคนที่มีอุดมการณ์ทางการเมือง ซึ่งรัฐบาลพยายามส่งสัญญาณตลอดว่าเรื่องของผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองไม่ใช่ความผิดทางอาญา ซึ่งจะทำให้บ้านเมืองวุ่นวายสับสน ดังนั้นรัฐบาลต้องตั้งหลักใหม่ ส่วนที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ออกมาพูดไปต่างๆนานา ก็อย่าไปถือสาอะไรมาก และที่บอกว่าจับกุมผู้ต้องสงสัย ซึ่งเป็นฝ่ายล้มล้างรัฐบาลก็ไม่ตรงกับที่พูด เพราะตอนนี้สื่อมวลชนก็รายงานว่าเป็นคนเสื้อแดงหรือว่าคนเสื้อแดงกำลังจะล้มรัฐบาลหรือไม่ต้องถามร.ต.อ.เฉลิม

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงที่มีการส่งสัญญาณว่าอาจมีเหตุการณ์ระเบิดในช่วงปีใหม่ว่า รัฐบาล นายกฯ รองนายกฯ และผบ.ตร. มีหน้าที่ที่จะไม่ให้เกิดขึ้น และยืนยันว่าพวกตนที่อยู่ฝ่ายค้านไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง ดังนั้นขอให้รัฐบาลรักษาความสงบเรียบร้อย อย่าสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง หรือส่งสัญญาณให้การกระทำเหล่านี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา

20:52 น.
อภิสิทธิ์ย้ำ"ปึ้ง-สุรพงษ์"ต้องแจงให้ชัดคืนพาสพอร์ตให้แม้ว
20:21 น.
มาร์คย้ำรัฐบาลต้องออกมาชี้แจง กม.มาตรา112
19:59 น.
มาร์คถามแก้รธน.เพื่ออะไร แนะทำตามที่หาเสียงดีกว่า
19:58 น.
มาร์คทำพิธีสะเดาะห์เคราะดวงเมืองให้พ้นภัย

* * * * * * * * *

พท.ฉุนปชป.จ้องยื่นถอด "ยิ่งลักษณ์"
จากข่าวด่วน เนชั่น http://breakingnews.nationchannel.com/home/read.php?newsid=544309&lang=T&cat=
11:55 น. วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2554

ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ คืนหนังสือเดินทางให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ข้อเท็จจริงเรื่องนี้โฆษกกระทรวงต่างประเทศแถลงขั้นตอนการออกหนังสือเดินทางว่า เป็นไปอย่างถูกต้องตามระเบียบกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งสมัยนายกษิต ภิรมย์ เป็นรมว.ต่างประเทศ ก็ใช้อคติทางการเมือง ใช้กระทรวงต่างประเทศเป็นเครื่องมือออกระเบียบเรียกคืนหนังสือเดินทางของพ.ต.ท.ทักษิณ

ดังนั้นเมื่อมาถึงรัฐบาลเพื่อไทยก็ต้องคืนความเป็นธรรม ไม่ใช่ให้เฉพาะพ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว แต่รวมถึงคนไทยทุกคน การที่พรรคประชาธิปัตย์คุ้มคลั่ง จะยื่นถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง เป็นความผิดปกติทางจิตอย่างรุนแรงของคนที่หลุดจากอำนาจ แพ้เลือกตั้ง จึงเอาแต่จ้องดิสเครดิตนายกฯ ขอเรียกร้องให้ตรวจสอบอย่างสร้างสรรค์ ใช้ช่องทางสภาเช่น ตั้งกระทู้ถามสดในสภาให้รมว.ต่างประเทศชี้แจง ไม่ใช่ยื่นถอดถอนซ้ำซาก เลิกเล่นการเมืองยุคเก่า อย่างไรก็ตาม หากยื่นถอดถอนด้วยข้อความเป็นเท็จ พรรคจะฟ้องกลับคนที่ยื่นถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ข้อหาแจ้งความเท็จ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องกระทรวงต่างประเทศ ไม่ใช่นายกฯ อย่ามามั่ว



++++

ผมสั่งเอง
โดย สมิงสามผลัด คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ใน นสพ.ข่าวสดรายวัน วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7681 หน้า 6


การเข้าให้ปากคำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ด้านความมั่นคงและอดีต ผอ.ศอฉ.ที่ บช.น. ในคดีเจ้าหน้าที่ฆ่า 16 ศพเสื้อแดง

เป็นที่จับจ้องของสังคมเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะญาติพี่น้องผู้เสียชีวิตทั้ง 91 ศพและบาดเจ็บอีกกว่า 2 พันคนจากเหตุการณ์สลายม็อบแดง

เพราะนอกจากจะเป็นก้าวแรกนำไปสู่คดี 91 ศพ ยังเป็นการให้ปากคำครั้งแรกของอดีต ผอ.ศอฉ. หลังเหตุการณ์ 10 เม.ย. - 19 พ.ค.53

การสอบสวนครั้งนี้จะคลี่คลายว่า เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งใคร!?

ก็ตามที่คาดการณ์กันไว้ นายสุเทพให้การด้วยมุขเดิมๆ "ชายชุดดำ" เป็น ตัวการฆ่าทั้ง 16 ศพ

รวมถึงเรื่องอำนาจขอบเขตของ ศอฉ.ที่อยู่ภายใต้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน

เหมือนที่เคยพูดมาตลอด 1 ปี 8 เดือน

แต่ความจริงก็คือ 16 ศพที่ตำรวจสอบสวนครั้งนี้มีการสรุปแล้วว่าเป็นความตายที่เกิดขึ้นจากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ

ไม่ใช่ฝีมือของ "ชายชุดดำ"

ฉะนั้น มันคนละประเด็นกัน


อีกทั้งการสอบสวนทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์กระชับวงล้อมก็ไม่มีใครยืนยันว่าเห็นชายชุดดำ บอกด้วยว่าเรื่องชายชุดดำเป็นเพียงคำบอกเล่าต่อๆ กันมาเท่านั้น

นอกจากนี้ นายสุเทพยังให้การว่า เป็นคนสั่งการทุกอย่างในฐานะ ผอ.ศอฉ. พร้อมรับผิดชอบทุกอย่างเอง

แถมยังปกป้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าไม่ได้ร่วมสั่งการใดๆ ทั้งสิ้น

ในส่วนของนายสุเทพก็ต้องรับผิดชอบไปตามฐานะ ผอ.ศอฉ. ฐานะผู้ออกคำสั่งปฏิบัติการอยู่แล้ว


แต่จะบอกว่านายอภิสิทธิ์ไม่เกี่ยวข้องด้วยคงไม่ได้

เพราะก่อนหน้านี้ พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำ พ.อ. สรรเสริญ แก้วกำเนิด อดีตโฆษก ศอฉ. และนายทหารใน ศอฉ.แล้วยืนยันตรงกันว่า ศอฉ. ไม่ใช่องค์กรที่เกิดขึ้นเอง แต่มีขึ้นโดยคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ นายกฯ ขณะนั้น

โดยมีเอกสารมีลายเซ็นเป็นหลักฐาน

ดังนั้น นายอภิสิทธิ์ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการปฏิบัติการของ ศอฉ.ด้วยเช่นกัน

เพราะคำสั่งแต่งตั้ง ศอฉ.มันชัดเจนอยู่แล้ว

เอกสารโกหกใครไม่ได้!?



++++

อย่าเล่นมุขเดิม ๆ
โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12
ในมติชน ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 20:00:00 น.


กล่าวกันว่า ฝ่ายต่อต้านทักษิณ ซึ่งตอนนี้ย้ายเป้ามาอยู่ที่รัฐบาลของน้องสาวทักษิณ เหมือนจะไม่สรุปบทเรียนเอาเสียเลยว่า วิธีการที่ทำทุกวิถีทาง อย่างหน้ามืดตามัว ไม่ว่าจะใต้ดินบนดิน เพื่อจะล้มอำนาจทักษิณและเครือข่ายให้ได้นั้น

ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย ไม่เห็นชอบด้วย

สุดท้ายก็เสียเวลาเปล่า

ถ้าสรุปบทเรียนได้ ก็จะไม่ใช่วิธีเดิมๆ เพื่อมาจัดการน้องสาวทักษิณอีก

แต่นี่หาเป็นเช่นนั้นไม่

การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นหนึ่งในกลเกมที่งัดออกมาเพื่อหยุดอำนาจทักษิณ แล้วผลที่ตามมาเป็นอย่างไร เลือกตั้งอีกกี่ครั้งพรรคการเมืองที่ทักษิณอยู่เบื้องหลังก็ยังชนะทุกครั้ง

แม้แต่หนล่าสุดเมื่อ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งที่ประชาธิปัตย์เป็นผู้กุมอำนาจรัฐ เป็นคนเลือกวันเวลายุบสภา และเป็นคนกุมความได้เปรียบทางอำนาจในช่วงระหว่างเลือกตั้ง

แต่คนกว่า 15 ล้านเสียงก็เทคะแนนให้พรรคเพื่อไทย เลือกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเป็นนายกฯ

นั่นแสดงให้เห็นว่า การสร้างม็อบชุมนุมเป็นปี ด่าว่าทักษิณทุกขุมขน ขุดคุ้ยลากไส้ทุกขด

โหมสร้างกระแสให้เห็นว่าทักษิณเลวร้ายสุดสุด ทุจริตคดโกงโคตรๆ เหิมเกริมอยากเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ถ้าสังคมส่วนใหญ่ไม่รู้สึกคล้อยตามก็ไร้ประโยชน์

แถมยิ่งจะทำให้ประชาชนที่ยังสนับสนุนพรรคของทักษิณมองว่า กลวิธีต่างๆ ที่เล่นงานทักษิณดังกล่าว เป็นการรังแกกันอย่างไร้ความเป็นธรรม

แถมใช้อำนาจนอกระบบปฏิวัติรัฐประหารเสียอีก

ยิ่งทำให้ผู้คนแสดงออกเพื่อสนับสนุนทักษิณมากยิ่งขึ้น



ทั้งที่ความจริงแล้ว ทักษิณมีข้อด้อยมากมาย แต่ถ้าใช้เวลาในการทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจและสุกงอม

ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติที่เป็นจริง ไม่นานนักหรอก ประชาชนจะมองเห็นด้านมืด ยอมรับด้วยสายตาตัวเอง

ถึงเวลาเลือกตั้ง เสียงส่วนใหญ่คงไม่เทให้พรรคของทักษิณอีก

จาก 19 กันยายน 2549 มาพิสูจน์ให้เห็นความจริงว่าเป็นเช่นไร ในการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554

แทนที่จะยอมรับความจริงว่า ต่อให้มีอำนาจพิเศษเช่นไร ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วยก็เป็นไปได้ยาก

แต่นี่ก็ยังใช้วิธีจ้องโจมตีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ทุกลมหายใจ จับผิดคำพูดคำจา

รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ารับงานไม่กี่วัน มีน้ำท่วมใหญ่ ก็เฮโลจะโค่นล้มให้ได้ โดยไม่นึกว่าคน 15 ล้านกว่าเสียงที่เขาเพิ่งเลือกรัฐบาลนี้เข้ามา จะยอมให้เป็นเช่นนั้นหรือ


พอผ่านวิกฤตน้ำ โดยยิ่งลักษณ์ก็รอดพ้นวิกฤตไปด้วย ก็มานั่งขบคิดหาเรื่องใหม่มาเล่นงาน

ย่างเข้าสู่เดือนมหามงคล กลับหยิบเอาบรรยากาศดีงามสูงส่ง มาเป็นเครื่องมือหวังล้มยิ่งลักษณ์อีก

ทั้งที่เป็นมุขเดิมแบบที่เคยเล่นงานทักษิณมาแล้ว และล้มเหลวมาแล้ว

หากคิดจะหยุดอำนาจทักษิณและเครือข่าย ก็ต้องหันมาสู้กันตามกรอบกติกา

ใช้ข้อมูลหลักฐานที่ถูกต้อง อธิบายถึงด้านไม่ชอบมาพากลอย่างตรงไปตรงมา ใช้เวลาให้ประชาชนได้ศึกษาและได้บทสรุป

โดยไม่ใช่ข้อมูลจับแพะชนแกะในสังคมออนไลน์

หรือจับผิดจุกจิกไร้สาระ

ต้องล้มกันตามหนทางประชาธิปไตย ไม่ใช่พึ่งอำนาจพิเศษและกลวิธีหน้ามืดตามัว



.