http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-12-17

มองเกม"พี่แม้ว" ผ่าน"เฉลิม"ถึง"น้องปู" แยกกองทัพจากอำมาตย์ . .

.
มีโพสต์ถัดมา
- ลึกแต่ไม่ลับ โดย จรัญ พงษ์จีน 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554
- รายงานพิเศษ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554 "แรง-ร้าว-ลึก จาก กลาโหม ถึง ทัพฟ้า เรื่องของ บิ๊กอ๊อด และ 2 โอ๋ และบิ๊กเฟื่อง กับ ตท.10"

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ** * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

มองเกม"พี่แม้ว" ผ่าน"เฉลิม"ถึง"น้องปู" แยกกองทัพจากอำมาตย์ "ยิ่งเลิฟ"หวาน ผบ.เหล่าทัพ อ่อนนุ่ม สยบปฏิวัติ
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1635 หน้า 14


แม้จะถูกมองว่าไม่ใช่นายกรัฐมนตรีตัวจริง และต้องพูดตามสคริปต์ และทำตามแผนที่วางเอาไว้ แต่เมื่อทีมกุนซือกระซิบให้ถึงเวลาที่ต้องแสดงบทดอกไม้เหล็กกลางดงรถถัง แล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิง ก็ย่างเหยียบเข้าเขตทหาร ด้วยมาดมั่น

แม้จะเป็นก้าวย่างเข้าสู่ดงปฏิวัติที่แสนช้าเนิบ ราวกับหวาดหวั่น ไม่มั่นใจนัก แต่ทว่าเธอก็บรรจงก้าวอย่างมั่นคง หนักแน่น และขบคิดในทุกภวังค์...

ด้วยเพราะเธอรู้ดีว่ากำลังเข้าถ้ำเสือ และกำลังเล่นกับไฟ ที่แม้มีอัตราเสี่ยงสูง แต่นาทีนี้ไม่เสี่ยงไม่ได้ ไม่เสี่ยงก็ไม่รอดไปจากวงจรอุบาทว์

เพราะกองทัพก็ยังคงเป็นกองทัพ ที่เป็นเครื่องมือหลักของอำมาตย์ ที่หากปล่อยให้กองทัพเป็นรัฐอิสระต่อไปเช่นนี้ ฝ่ายตรงข้ามก็จะดึงกองทัพเข้าร่วมขบวนการล้มรัฐบาล เฉกเช่นสถานการณ์ก่อนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 อีกเป็นแน่


แผนแรก คือการส่งบิ๊กอ๊อด พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร มาเป็น รมว.กลาโหม มาเป็นพี่ชายที่แสนใจดีของ ผบ.เหล่าทัพ ไม่ล้วงลูก ไม่แทรกแซง ไม่ก้าวก่าย เพื่อทำให้อุณหภูมิเยือกเย็นลง

แม้จะมีสายเหยี่ยว เชียร์ให้จัดการกองทัพขั้นเด็ดขาด จนถึงขั้นยุให้เปลี่ยนตัว รมว.กลาโหม ที่ใจถึง พึ่งได้ มากกว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ ที่กลายเป็นบิ๊กแหย ยอมกองทัพไปทุกเรื่อง หรือเชียร์ให้แก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม ปี 2551 เพื่อให้ฝ่ายการเมืองมีอำนาจในการโยกย้ายทหาร และปรับโครงสร้าง กอ.รมน. ใหม่ ยึดอำนาจคืนจาก ทบ.

แต่ที่สุดแล้วแผนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และทีมกุนซือทหารแตงโม ก็ต้องแปรเปลี่ยน จากที่จะเล่นบทแรงให้แตกหักกันไปข้างหนึ่ง ก็มาเป็นการผูกมิตรกับกองทัพ

ด้วยรู้ดีว่าฝ่ายอำมาตย์ หากไร้ซึ่งกองทัพแล้ว ย่อมเหมือนถูกตัดแขนตัดขา ภายใต้แนวทางปรองดอง ซึ่งมีข่าวสะพัดมาตลอด ถึงการต่อสายคุยข้ามประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ กับคีย์แมนฝ่ายอำมาตย์


ในระหว่างที่พรรคเพื่อไทย, แกนนำคนเสื้อแดง และตำรวจ เร่งเดินหน้าคดีกระชับพื้นที่คนเสื้อแดง ที่แม้จะโยงเกี่ยวกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในที่สุดก็ตาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็เปิดเกมรุกเดินเข้าหาทหาร อันเป็นห้วงที่เชื่อกันว่าการเมืองจะรุนแรงและเข้มข้นขึ้น ความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามคึกคักเพื่อล้มรัฐบาลในทุกวิถีทาง

เริ่มจากการไปตรวจเยี่ยมกระทรวงกลาโหม เมื่อ 9 ธันวาคม เป็นครั้งแรกตั้งแต่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อด้วยเยือนกองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) 13 ธันวาคม, เยือนกองทัพบก และประชุม กอ.รมน. ในฐานะ ผอ.รมน.14 ธันวาคม ต่อด้วยเยือนทัพฟ้า และปิดท้ายด้วยกองทัพเรือ 15 ธันวาคม ทั้งๆ ที่แผนเดิมที่วางไว้ก่อนน้ำท่วมนั้น เธอต้องการตรวจเยี่ยมแค่กลาโหม และ บก.ทัพไทย แล้วขอใช้สถานที่ บก.ทบ. ในการประชุม กอ.รมน. เท่านั้น ไม่ไปเยี่ยม 3 ทัพ

แต่มาตอนนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกกดปุ่มให้ทำใจดีสู้เสือบุกตะลุยไปเหยียบเยือนทุกเหล่าทัพ แบบเรียกว่าเคาะประตูบ้าน บุกเข้าประตูป้อมค่าย เลยทีเดียว แม้จะดูเคอะเขินอยู่ในที เพราะเดินไปทางไหนสายตาของทหารก็จับจ้องเธอทุกย่างก้าว ทุกอิริยาบถ แม้บางครั้งจะต้องแอบๆ มอง แอบๆ เม้าธ์ ในความงามของนายกฯ หญิงก็ตาม

แต่เธอก็ได้ทำให้เกิดภาพประวัติศาสตร์ ที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก เดินตัวตรงเป๊ะตรวจแถวทหารกองเกียรติยศสามเหล่าทัพ แม้ว่าจะมีอาการเกร็งและผิดคิวบ้างก็ตามที รวมทั้งบรรดา ผบ.เหล่าทัพ ต้องมาตั้งแถวยืนตะเบ๊ะ แต่ก็ทำให้ประเทศไทยดูเป็นสากล เป็นประชาธิปไตยขึ้นมาบ้าง

แต่ที่อาจจะบาดใจฝ่ายตรงข้าม ก็คือ ภาพที่บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ซึ่งเป็นแกนนำในการปฏิวัติ 19 กันยายน และเหตุกระชับพื้นที่คนเสื้อแดงจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก รวมอยู่ในแถว ผบ.เหล่าทัพ ที่ต้องมายืนทำความเคารพ และมายืนอยู่แถวหลัง ให้นายกฯ หญิง เป็นผู้นำอยู่แถวหน้า แถมเธอยังนามสกุลชินวัตร อีกด้วย



การเริ่มต้นที่กลาโหม ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ไหวหวั่นนัก เพราะมี พล.อ.ยุทธศักดิ์ และ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกลาโหม ที่รู้จักสนิทสนม เป็นเสมือนพวกเดียวกัน อยู่เคียงข้างตลอด

ไม่ว่ามื้อกลางวันมื้อแรกที่เป็นอาหารจีน ของนายกรัฐมนตรีหญิง กับ ผบ.เหล่าทัพ จะอร่อย หรือคล่องคอหรือไม่ แต่สิ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดูจะมีคนกระซิบมาตั้งแต่แรกก็คือ การขอทานข้าวกลางวันกับผู้นำกองทัพทุกๆ 2 เดือน เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นในเรื่องต่างๆ นอกเหนือจากที่เชิญพบเชิญประชุมแบบรายวัน และโทรศัพท์สายตรงถึงตัว ผบ. แต่ละเหล่าทัพ ที่กระทำอยู่แล้ว

"ดิฉันชอบการพูดคุยแบบนี้ เป็นไดอะล็อกแบบนี้ มันเป็นการสื่อสารสองทาง" นายกฯ ปู พูดในที่ประชุม

ที่ตามมาด้วยเสียงฮือฮาว่า ถือเป็นการรื้อฟื้นประเพณีทานข้าวของนายกฯ กับ ผบ.เหล่าทัพ ขึ้นมาอีกครั้ง แต่อาจเป็นความถี่ที่ห่างกว่าในยุคป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ หรือ น้าชาติ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ทานข้าวต้มหรือโจ๊กตอนเช้ากันสัปดาห์ละครั้ง

ที่สำคัญ เป็นครั้งแรกที่มีประเพณีทานข้าวเช่นนี้ ระหว่าง ผบ.เหล่าทัพ กับนายกรัฐมนตรีพลเรือน แถมยังเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงอีกด้วย

ทีมกุนซือต้องการให้ นายกรัฐมนตรี ใกล้ชิดกองทัพ ใกล้ชิด ผบ.เหล่าทัพมากขึ้น ได้พบปูดคุยกันมากขึ้น เพื่อลดความหวาดระแวงหรือข่าวลือต่างๆ หรือหากมีอะไรก็สามารถพูดคุยโดยตรงกับนายกฯ ได้เลย

ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการเช็กชื่อ เช็กปฏิกิริยากองทัพได้ในอีกทางหนึ่ง เพราะหากเมื่อใดที่ ผบ.เหล่าทัพ เริ่มห่างหายไปจากโต๊ะอาหารกับนายกฯ ก็อาจเป็นดัชนีชี้วัดบางประการได้ แม้ว่าจะเสี่ยงกับภาพหลอนในอดีตที่มีการถูกจับตัวผู้นำ หากมีแผนปฏิวัติจริงก็ตาม

"เราไม่ทำอะไรกองทัพอยู่แล้ว อยู่ด้วยกันได้ อยากได้อะไรก็บอก ว่าอันไหนให้ได้ก็ให้ ให้เกียรติกันและกัน ไม่ก้าวก่ายกัน ทำหน้าที่ของตัวเอง" กุนซือนายกฯ เปรย

แต่ที่น่าจับตาคือ นี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการดึงกองทัพมาเป็นพวก หรือหมายถึงการแยกกองทัพออกจากแนวร่วมหรือพันธมิตรเดิมๆ

ทั้งการซื้อใจกองทัพในการไฟเขียวงบประมาณ 1.6 แสนล้าน และงบฯ ในการซ่อมฟื้นฟูหน่วยและยุทโธปกรณ์หลังน้ำลด 1.2 หมื่นล้าน นายกฯ ยิ่งลักษณ์ เองก็ให้เกียรติกองทัพ ทั้งด้วยวาจาที่เมื่อต้องเอ่ยพาดพิงเรื่องกองทัพ ก็จะใช้คำว่า "ขออนุญาตแตะ" และด้วยกิริยา ที่เมื่อเจอ ผบ.เหล่าทัพ ก็จะยกมือไหว้ และปราดเข้าไปทักทาย พร้อมยิ้มหวาน เรียก ท่าน ผบ. ทุกคำ

ในบางจังหวะเธอก็พูดคุยอย่างเป็นกันเอง ยิ่งหากในวงมี พล.อ.ยุทธศักดิ์ และ พล.อ.เสถียร ซึ่งสนิทสนมซี้ปึ้กกันมาก่อนแล้ว ก็จะยิ่งออกรสชาติ


ฝ่ายกองทัพก็ดูเหมือนจะใจอ่อน ให้เกียรติ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่น้อย เพราะขนาด พล.อ.ประยุทธ์ ยังสั่งทำพลับพลาพิธีไม้สักขึ้นมาใหม่ แบบล้านนาแกะสลักหยดย้อยพร้อมพู่ห้อยระย้า เพื่อต้อนรับนายกฯ หญิงชาวเชียงใหม่โดยเฉพาะ โดยให้บิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง ผบ.ทบ. เพื่อนรัก จอมกระชับพื้นที่ เป็นแม่งาน

ส่วนทัพเรือ บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. ที่ชื่นชมในความเป็นหญิงแกร่ง อดทน ของนายกฯ อยู่แล้ว ก็มอบพระบรมราชานุสาวรีย์จำลอง สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ให้ โดยไม่เกี่ยวกับความเชื่อบางแขนงที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวข้องกับ พระเจ้าตากฯ แต่เพราะเป็นที่นับถือของทหารเรือ

ขณะที่บิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. ที่แม้อาจจะงอนๆ กับการที่นายกฯ สั่งให้ปรับลดงบฯ ซ่อม ทอ. จากหมื่นล้านลงอีกกว่าพันล้านบาท แต่ก็ติดปีกนักบินกิตติมศักดิ์ ให้นายกฯ ปู ที่ไปเยือนทัพฟ้า


เหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับแผนปรองดอง กับกองทัพ โดยเฉพาะการให้ตำรวจทำเสมือนหนึ่งกันกองทัพไว้เป็นพยาน ในกรณี 91 ศพคนเสื้อแดง หรือแม้แต่กรณีที่แยกมาเป็น 16 ศพ ก็ตาม อันเป็นที่มาของการที่กองทัพให้ปากคำว่า ทำตามคำสั่งของ ศอฉ.

ที่แรกเริ่ม เสธ.ไก่อู พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ทบ. ในฐานะโฆษก ศอฉ. ได้ประเดิมให้ปากคำตำรวจในแนวทางนี้มาก่อนแล้ว ตามด้วย ผบ.หน่วยที่ปฏิบัติการ

อันเป็นคำให้การที่จะโยนความรับผิดชอบให้กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ส่วนกองทัพรอด ลอยแพพรรค ปชป. จน พล.อ.ประยุทธ์ มองหน้าได้ไม่สนิทใจ

จนคาดกันว่า คดี 91 ศพ คนเสื้อแดง ที่พรรคเพื่อไทยจะฟ้องศาลโลก และให้ตำรวจเร่งดำเนินคดีนั้น อาจจบลงที่การนิรโทษกรรมทุกฝ่าย



ที่น่าจับตามองคือ หมากของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เล่นผ่าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่พยายามกระเถิบเข้ามาใกล้กองทัพ ตามประสาหมวดเหลิม อดีตสารวัตรทหารบกเก่า และคลุกคลีกับทหารมาไม่น้อย

ทั้งการให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ นัดแนะ พล.อ.ประยุทธ์ มานั่งทานข้าวพูดคุยกันที่กลาโหม เมื่อสัปดาห์ก่อน กับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร. โดยมี พล.อ.เสถียร ปลัดกลาโหม ร่วมวงด้วย เพื่อหวังประสานรอยร้าวในใจของทหารและตำรวจ ตั้งแต่การสลายม็อบเสื้อแดง ตำรวจมะเขือเทศ เรื่อยมาจนถึงเหตุสังหารลูกเรือจีน 13 ศพ ที่เชียงแสน ที่ทหารกองกำลังผาเมืองต้องเป็นผู้ต้องสงสัย จนตำรวจหมายจะตีเมืองขึ้นทหาร เสนอให้ยกเลิกกฎอัยการศึก เพื่อให้ตำรวจเข้าดูแลพื้นที่ด้วย รวมทั้งความพยายามของรัฐบาลนี้ ในการสร้างรัฐตำรวจ และบทบาทของตำรวจที่มากขึ้น

รวมทั้งการให้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ ซึ่งเป็นเพื่อน ตท.12 คอยต่อสายประสานเรื่องต่างๆ กับ พล.อ.ประยุทธ์ ตลอดเวลา

ที่สำคัญคือ การที่ ร.ต.อ.เฉลิม ออกมาช่วยทหารด้วยการอ้างว่า เหตุสลายชุมนุมคนเสื้อแดงนั้นกองทัพทำตามคำสั่ง ศอฉ. รวมทั้งการอ้างว่าเหตุการณ์ที่บ่อนไก่ หรือซอยรางน้ำ และลุมพินี เป็นฝีมือของตำรวจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การระบุว่ากองทัพไม่ได้ยิง เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แม่ทัพของคนเสื้อแดง แต่เป็นฝีมือตำรวจ ที่ถือว่าเป็นการช่วยกองทัพอย่างมาก

ทั้งๆ ที่ข้อมูลวงในทหาร รู้กันดีว่าเป็นฝีมือสิบเอก พ. ทหารรบพิเศษ แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ก็อ้างข้อมูลที่ลือกันแซดในวงการสีกากี ตั้งแต่ เสธ.แดง เสียชีวิตใหม่ๆ ว่าเป็นฝีมือของตำรวจยศสูง ที่รับใช้นักการเมือง

ด้วยเพราะในเวลานั้นมีข่าวว่า "พลตำรวจเอก อ." พร้อมทีมพระกาฬรวม 4 นาย ที่ไปอ้างผลงานกับนายสุเทพ เรื่องการเด็ดหัว เสธ.แดง โดยใช้หน่วยอรินทราช แต่ในวงการไม่มีใครเชื่อ เพราะคนทำมักไม่อ้างเป็นผลงานตัวเอง

ไม่แค่นั้น ร.ต.อ.เฉลิม ยังเอาใจ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เขาอ้างว่ารู้จักกันมานานตั้งแต่เป็นแม่ทัพภาค 1 แถมโยงไปถึงบรรพบุรุษที่มีที่ติดกันย่านบางขุนเทียน ด้วยการรับปากจะจัดการเรื่องเว็บไซต์หมิ่นสถาบันด้วยตนเอง

แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า ร.ต.อ.เฉลิม และ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังเล่นเกมไหน เพราะลำพัง พล.อ.ประยุทธ์ นั้น แม้จะไม่ได้ต้องการโยนความผิดให้ นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ เพราะไม่ใช่วิสัย แต่หากต้องทำเพื่อลูกน้อง จะได้ไม่ต้องมาคอยให้ปากคำหลายต่อหลายครั้ง กับหลายคณะไม่สิ้นสุดเสียที และอาจจบคดีนี้ไม่สวยงามนัก กลายเป็น การใช้ความรุนแรงเกินเหตุ ที่ไปๆ มาๆ ในฐานะรอง ผบ.ทบ. ที่มีบทบาทเคียงข้างบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ในเวลานั้น และในฐานะ ผบ.ทบ. เวลานี้ อาจต้องแสดงสปิริต ก็อาจทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ อาจต้องยอมปรองดองไปก่อน

แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามคาด เพราะแผนของแนวร่วมอำมาตย์กำลังเดินต่อไป...


จึงไม่แปลกที่ ร.ต.อ.เฉลิม จะปูดผู้อยู่เบื้องหลังระเบิด พาดพิง "พลเอก พ." ที่เป็นโรคพาร์กินสัน มือสั่นที่วงในรู้ดีว่าเป็นมหาอำมาตย์ ชื่อจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ ร่วมกับ ป.ฟันดำ และ "ป." แห่งสุขุมวิท ที่มีการหารือวางแผนล้มรัฐบาลอีกครั้ง พร้อมแผนสร้างความวุ่นวายและเงื่อนไขให้ทหารปฏิวัติ อีกครั้ง

โดยเฉพาะหลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) วันที่ 21 ธันวาคมที่พนมเปญ ที่จะหารือกันเรื่องมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ตามมติศาลโลก ในการถอนทหารและเขตปลอดทหาร ที่อาจทำให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ออกสู่ท้องถนนอีกครั้ง หลังจากที่บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. ออกมาส่งสัญญาณแล้วว่า "เป็นการเสียดินแดน โดยพฤตินัย" การนิรโทษกรรม และหาก พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศ

รวมทั้งการปลุกกระแส คดี "อากง" หมิ่นสถาบัน ภายในหมู่คนเสื้อแดง ก็อาจทำให้กองทัพไม่พอใจบทบาทของรัฐบาลในการจัดการขบวนการล้มเจ้า และเว็บไซต์หมิ่นสถาบัน รวมทั้งบรรดาญาติคนเสื้อแดงที่เสียชีวิต จะยอมกับการ "ฮั้ว" กันของกองทัพกับรัฐบาลหรือไม่ ที่อาจทำให้เกิดความวุ่นวาย แต่ถ้าไม่มี "ใบสั่ง" ให้ปฏิวัติ ก็เชื่อว่าทหารจะไม่ทำ แต่หากมีรัฐประหาร ก็ต้องจบด้วยเหตุการณ์นองเลือด

ดังนั้น จึงต้องแยกกองทัพ แยก ผบ.เหล่าทัพ ออกจากพรรคประชาธิปัตย์ และมหาอำมาตย์ใหญ่ ซึ่งแผนของพี่แม้ว-น้องปู ครั้งนี้ ดูจะเป็นจังหวะที่ดี เนื่องจากเป็นยุคที่บทบาทและบารมีของป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ลดน้อยลงไป แถมมีระยะห่างของ ผบ.เหล่าทัพ กับ ป๋าเปรม มากขึ้น ทั้งโดยวัยและสายสัมพันธ์ที่ห่างรุ่น แถมเกรงถูกรัฐบาลและหน่วยข่าวกรองสอดแนมอีกด้วย

แต่ทว่า ฝ่ายอำมาตย์ก็พยายามจะหาช่องโหว่ เพื่อถ่างให้เกิดความแตกแยกปริแตกในทุกโอกาส อันเป็นเกมถนัดของพรรค ปชป.


แผนเหนือเมฆของกุนซือแม้ว ที่มีนายกฯ ปู เป็นตัวเดินเกมหมากนี้ จึงน่าจับตามอง ว่าความสวย อ่อนโยน แบบสาวชาวเหนือ กับกลยุทธ์หญิงแค่ไม่กี่เล่มเกวียน จะสามารถเปลี่ยนใจขุนทหาร ที่เคยเกลียดพี่ชาย ให้กลับมารักและเอ็นดูน้องสาวคนนี้ ได้หรือไม่

เพราะมีบิ๊กบางคนพูดโจ๊กๆ ว่า เคยปฏิวัติล้มพี่ชายมาแล้ว จะจัดให้น้องสาวมีจุดจบเหมือนกัน ก็คงไม่แปลก และอาจเจอแผนลับลวงพราง ของกองทัพ ที่จะแสร้งยอมปรองดองไปก่อน

นาทีนี้ กระบี่ต้องอยู่ที่ใจนายกฯ ยิ่งลักษณ์ แล้วล่ะ



++

คอลัมน์ ลึกแต่ไม่ลับ โดย จรัญ พงษ์จีน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1635 หน้า 8


"สภาผู้แทนราษฎร" มีกำหนดจะเปิดประชุมสมัยนิติบัญญัติ เป็นฤดูกาลประชุมเพื่อพิจารณาว่ากันด้วยเรื่องกฎหมายเพียวๆ กับวาระงบประมาณรายจ่าย ในวันที่ 21 ธันวาคม 2554 ตามแผนเดิม "พรรคเพื่อไทย" มีเผือกร้อนเตรียมนำเสนอเข้าสู่การพิจารณา กองอยู่ 3 ประเด็นใหญ่ด้วยกัน คือ

1. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม 2.แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และ 3.พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการสภากลาโหม เสนอโดย "นายไพจิต ศรีวรขาน" ส.ส.นครพนม

ทั้ง 3 กรรม 3 วาระ เป็นที่รู้กันดีว่า นำเข้าที่ประชุมสภาฯ เมื่อไหร่ ไฟพะเนียงเมืองจะระเบิดสนั่นเสียงกัมปนาทขึ้นอีกรอบ เมื่อนั้น กลุ่มผู้ต่อต้านที่เวลานี้ "ทัพแตก" แยกกันเดิน จะรวมตัวกันเพื่อทำการขับเคลื่อนได้อีกครั้ง เพราะถูกตั้งข้อครหาว่า ทั้ง 3 เงื่อนไขล้วนมีธงเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับคนคนเดียว ชื่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ผู้เป็นนายใหญ่

กรณีแก้รัฐธรรมนูญ กับพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม มิต่างอะไรกับขนมจีนผสมน้ำยา ปลุกกระแสให้ฝั่งตรงข้ามทุกเครือข่าย หันหน้ามาผนึกกำลังกันได้อีกวาระ และจะค่อยๆ ขยายเพดานมวลชนกว้างใหญ่ไพศาลมากขึ้นในลำดับถัดไป


ขณะที่ "พ.ร.บ.จัดระเบียบสภากลาโหม" จุดมุ่งหมายของ "ภาคการเมือง" เพื่อต้องการแก้ไข พ.ร.บ.สภากลาโหม ที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขเมื่อ พ.ศ.2550 สมัยรัฐบาล "พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์" เป้าหมายเพื่อทลายโครงสร้าง 7 เสียง จาก 1.รัฐมนตรีว่าการกลาโหม 2.รัฐมนตรีช่วย 3.ปลัดกระทรวง 4.ผู้บัญชาการทหารสูงสุด 5.ผู้บัญชาการทหารบก 6.ผู้บัญชาการทหารเรือ 7.ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้ราพณาสูร และกลับไปใช้รูปลักษณ์เดิม

เปิดพื้นที่ให้ฝ่ายบริหารเข้าไปมีบทบาทจัดการในการโยกย้ายในเหล่าทัพ อิทธิฤทธิ์ไม่ควรอยู่ในอาณัติผู้บัญชาการเหล่าทัพเหมือนปัจจุบัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือนายกฯ ไม่มีอำนาจอะไรเลยในการแต่งตั้ง-โยกย้าย

จุดนี้เชื่อขนมกินล่วงหน้าได้ว่า รอยร้าวระหว่าง รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" กับผู้นำ 3 เหล่าทัพ ต้องขยายเพดานแตกหักสูงขึ้น และน่าจะวิกฤตรุนแรงกว่าครั้งก่อนๆ

เมื่อนำโจทย์ 3 ข้อมากองรวมในเข่งเดียวกัน คือ แก้รัฐธรรมนูญ-พ.ร.บ.นิรโทษกรรม-พ.ร.บ.สภากลาโหม เท่ากับว่ารัฐบาล "ปู-ยิ่งลักษณ์" เปิดประตูให้ข้าศึกกรูเข้ามารุมกินโต๊ะได้ในหลายภาคส่วน รวมมิตรกันอีกที ทั้ง "สีเหลือง-สีขาว-สีเขียว-สีกากี" ย่อมมีสิทธิ์ตายลูกเดียว

"นายใหญ่ดูไบ" ดีดลูกคิดคำนวณผลดี-ผลเสียแล้ว ถือว่าหมากเกมนี้เสี่ยงต่อการลงทุน และดีไม่ดีจะถูกถล่มพรุน ต้องปิดกิจการหนีอีกทีย่อมเป็นไปได้สูง จึงส่งสัญญาณถอยกรูดทั้ง 3 ประเด็น โดยประกาศเป็นนโยบายพรรค "เพื่อไทย"

อ้างว่า สถานการณ์ในขณะนี้ ไม่เหมาะ เพราะประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการเยียวยา ฟื้นฟู ผลเสียหายที่เกิดจากอุทกภัย ไม่ควรหยิบประเด็นการเมืองมาป่วนสถานการณ์



การมีมติชะลอนำ 3 เผือกร้อนเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ "เพื่อไทย" จะอ้างว่าประเทศอยู่ระหว่างการเดินหน้าฟื้นฟู เยียวยา แต่มี "นัย-ยะ" อื่นแอบแฝง

ตามข่าวระบุว่า "นายใหญ่" กำลังเดินเกมใหม่ เล่นบท "ถอย" ไม่บุกแบบบ้าเลือดเหมือนเดิม สั่งเบรกทุกเกมที่เป็นปัญหา เป็นต้นว่า 'การที่กระทรวงการต่างประเทศ จะหาทางคืนพาสปอร์ตเพื่อเป็นของขวัญช่วงเทศกาลปีใหม่' ก็ไม่เอา

อ้างว่าในเวลานี้เกือบทุกประเทศทั่วโลกเปิดประตูต้อนรับ ไม่ตกระกำลำบากเหมือนรัฐบาลสมัยพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่อนาทรร้อนใจอะไร ไม่ว่าถือหรือไม่ถือพาสปอร์ตของประเทศไทย

ขณะเดียวกัน วิกฤตน้ำท่วมรับขวัญรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" มีการวัดเรตติ้งดูแล้ว ปรากฏว่ากระแสนิยม ยังคงนิ่งเหมือนเดิม ยังตรึงสภาพ "ภาคนิยม" ในภาคอีสาน และเหนือ "เพื่อไทย" ยังนอนมา ขณะที่ "ภาคใต้-กทม." น้ำจะท่วมหรือไม่ท่วม ประชาธิปัตย์ ก็ยังครองแชมป์ แบ่งภูมิภาคกันชัดเจน ยังไงก็ไม่เปลี่ยนแปลง

หลังน้ำลด "ทักษิณ" มองว่า "น้องปู" กล้าและแข็งแรงขึ้น มั่นใจตัวเองสูงขึ้น ต้นเดือนมกราคม 2555 ปรับ ครม. สูตร "ปรับใหญ่" หน้าตารัฐบาล "ปู 2" จะช่วยตอกย้ำกระแสให้กระเตื้องขึ้น โอกาสที่จะประคองรัฐนาวาไปได้เรื่อยๆ มีเปอร์เซ็นต์สูง หากโรคการเมืองนอกรัฐสภาไม่แทรกซ้อน การถอย 3 เผือนร้อน คือ ยาอายุวัฒนะ


ประกอบกับ "ทักษิณ" มองว่า เมื่อเหลียวหลังไปดูซีก "ประชาธิปัตย์" หลังแพ้ศึกเลือกตั้งเป็นต้นมา ยังตั้งหลักทำอะไรไม่ถูก การที่ประชาธิปัตย์ ขาด "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ที่ลาออกจากเลขาธิการพรรค เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ "เฉลิมชัย ศรีอ่อน" มาทำหน้าที่แม่บ้านใหญ่สืบแทน ทำให้ขาดพลังและสีสันลงไปมาก

จะเห็นได้ว่า ระยะหลังๆ ประชาธิปัตย์ตกจากเวทีข่าวไปมาก เทียบกับเมื่อครั้ง "เทพเทือก" เป็นแม่บ้านไม่ติดเลย

หาก "ยิ่งลักษณ์" ปรับ ครม. เป็น "ปู 2" ตกแต่งหน้าตาโฉมหน้าให้ดูดีกว่า "ปู 1" และ การเมืองภายนอก ว่าด้วยเรื่อง "ทักษิณ" ไม่มีอะไรมาเขย่าสถานการณ์

และหากโชว์ผลงาน ว่าด้วยเรื่องแผนฟื้นฟู และเยียวยาพี่น้องประชาชนที่ถูกน้ำท่วมเข้าตาและเป็นที่พอใจ เชื่อว่าจะเดินได้อีกหลายก้าว



++

แรง-ร้าว-ลึก จาก กลาโหม ถึง ทัพฟ้า เรื่องของ บิ๊กอ๊อด และ 2 โอ๋ และบิ๊กเฟื่อง กับ ตท.10
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1634 หน้า 16


หลังน้ำลด กระแสการปรับคณะรัฐมนตรี ก็กลับมาคุกรุ่น โดย 1 ในนั้น ถูกจับตามองว่าบิ๊กอ๊อด พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม จะถูกเขี่ยออกหรือไม่ เนื่องจากไม่สามารถจัดแถวทหารและขุมกำลังในกองทัพใหม่ได้

เรียกว่า "เอาไม่อยู่" เพราะกองทัพยังคงเป็นอิสระ และยึดกุมอำนาจขุมกำลังทั้งหมดไว้ได้ตามเดิม

แม้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ จะอ้างว่ามี พ.ร.บ.กลาโหม ปี 2551 เป็นเกราะป้องกันอยู่ และไม่มี "ใบสั่ง" มาให้จัดการอะไร จึงต้องทำหน้าที่ของ "พี่อ๊อด" ผู้ใจดี แถมใกล้ชิดสนิทสนมน้องๆ ผบ.เหล่าทัพ อย่างมาก จากที่เคยเจอลูกขู่ตอนทำโผโยกย้าย แต่ตอนนี้มาเจอลูกป้อยอเอาใจ ให้เกียรติ ของบิ๊กๆ กองทัพด้วยแล้ว บิ๊กอ๊อด ยิ่งใจอ่อน

แต่ทว่า มีแกนนำ ตท.10 ไปฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงในต่างแดนเสมอๆ เรื่องพฤติกรรมของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ พร้อมเสนอให้เปลี่ยนตัว รมว.กลาโหม เพราะได้ถูกกองทัพกลืนไปแล้ว เพราะเลือดข้นกว่าน้ำ เลือดทหารข้นกว่าการเป็นนักการเมือง


ยิ่งเมื่อมักมีข่าวกองทัพวิจารณ์รัฐบาลและนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสมอๆ ทั้งความล้มเหลวในการแก้ปัญหาน้ำท่วม ภาวะผู้นำ และน้ำตาของนายกฯ หญิงออกมาเสมอๆ ก็ยิ่งทำให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ถูกมองว่า เอากองทัพไม่อยู่ คุมไม่ได้

โดยเฉพาะเมื่อบิ๊กอู้ด พล.ต.วลิต โรจนภักดี รองแม่ทัพภาค 1 แกนนำบูรพาพยัคฆ์ ติง และตั้งข้อสงสัยในความผิดพลาดหรือจงใจ ที่เฟซบุ๊กส่วนตัวของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ขึ้นพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 8 ในการถวายพระพรวันเฉลิมพระชนมพรรษาในหลวงรัชกาลที่ 9 เพราะระดับนี้แล้ว แถมขึ้นภาพอยู่นานหลายชั่วโมง แม้ว่าจะทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษแล้วก็ตาม

แม้ว่า พล.ต.วลิต จะโวยว่าเป็นการพูดคุยกับนักข่าว ไม่ได้เป็นการให้สัมภาษณ์ แถมถูกใส่สีต่อเติมคำพูดและให้นำข่าวออกจากข่าวออนไลน์ทันทีก็ตาม แต่ด้วยสถานะของทหารเสือราชินีและบูรพาพยัคฆ์ ที่เป็นแกนนำ ทบ. ทำให้เขาถูกมองว่าถูกสะกิดมาหรือไม่ หรือว่าเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริงในหัวใจทหารรักษาพระองค์

ที่ไม่ใช่แค่ พล.ต.วลิต เท่านั้น แต่ทหารไม่น้อยที่กังขา เพราะปมในใจเรื่องล้มล้างสถาบัน คนเสื้อแดงและแกนนำพรรคเพื่อไทยและผู้ที่อยู่เบื้องหลังอีกมากมาย ยังคงคาใจทหาร ต่อให้ทีมงานเฟซบุ๊กของนายกฯ อาจเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่รู้ประวัติศาสตร์หรือเลือกภาพผิดก็ตาม เพราะขบวนการล้มเจ้ามีความพยายามจะฟื้นปมกรณีสวรรคตของ ร.8 มานานแล้ว ซึ่งอาจเป็นแนวคิดบางอย่างที่ฝังหัวทีมงานหรือไม่

แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ เองก็ยังสงสัย แต่ขอที่จะไม่พูด แต่วงในนั้นเขาตั้งข้อสังเกตหลายประการ ราวกับไม่เชื่อว่าเป็นความผิดพลาด และจะคาใจไปตราบนาน



สภาพกองทัพที่เป็นรัฐอิสระ เป็นกล้ามเนื้อนอกบังคับของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ พล.อ.ยุทธศักดิ์ เช่นนี้ จึงทำให้กระแสเด้ง รมว.กลาโหม แรงขึ้น

แต่ดูเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ จะยังนิ่งๆ เพราะยังไม่เห็นว่าใครจะเหมาะสมเท่า และตัวเลือกที่มีอยู่ก็ "แรง" เกินไป และยังไม่ถึงเวลา คาดว่าก่อนการโยกย้ายใหญ่ในปลายปีหน้า หากว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ ไม่ทำอะไรให้เข้มแข็งเด็ดขาดกว่านี้

ด้วยเพราะเวลานี้ ทางกลาโหม และพรรคเพื่อไทย ก็แอบซุ่มเงียบตั้งคณะทำงานแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม ปี 2551 และ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อหวังจะเข้าแชร์อำนาจในการโยกย้ายทหารและในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)

แต่กระแสปรับ ครม. ปรับบิ๊กอ๊อด ก็ทำให้บิ๊กทหารหลายคนมีความหวัง และส่งผลให้หลายคนถูกจับตามอง ทั้งบิ๊กเถียร พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกลาโหม ว่าจะเป็นตัวเลือกหนึ่งที่สดใหม่ เพราะเขามีความใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย อย่างมาก รวมทั้งกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อันเป็นเหตุผลที่ทำให้โผทหารต้องถูกแก้ไข เปลี่ยนชื่อจากบิ๊กอู้ด พล.อ.วิทวัส รัชตะนันทน์ รองปลัดกลาโหม มาเป็น พล.อ.เสถียร ที่เป็นปลัดกลาโหม ในการโยกย้ายที่ผ่านมา

โดยเฉพาะบทบาทของ คุณอู๊ด-ณัฐณิชาช์ เพิ่มทองอินทร์ ภริยาสุดเปรี้ยว นายกเทศมนตรีใหญ่แห่งอุบลฯ ที่เดินเกมในทางการเมือง

ดังนั้น จึงอย่าแปลกใจที่ทำไม พล.อ.เสถียรและภริยา จึงลุยเดี่ยวไปเยี่ยม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่นอนป่วยท้องเสียที่โรงพยาบาล ด้วยความมั่นใจ พูดคุยนานกว่าครึ่งชั่วโมง ทั้งๆ ที่ ผบ.เหล่าทัพอื่นก็ส่งแค่กระเช้าดอกไม้หรือแจกันดอกไม้เยี่ยม เป็นมารยาทเท่านั้น

จนถูกมองว่า พล.อ.เสถียร อาจไม่ได้เป็นปลัดกลาโหมจนเกษียณกันยายนปีหน้า หรือใกล้ๆ จะเกษียณ อาจลาออกไปเป็น รมว.กลาโหม หรือร่วม ครม. ในตำแหน่งอื่นๆ หรืออาจเล่นการเมืองหลังเกษียณก็ได้ เพราะมีภริยากรุยทางอยู่แล้ว

ขณะที่ชื่อของบิ๊กโอ๋ พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต ที่วันนี้เป็นหัวหน้าคณะนายทหารฝ่าย เสธ.ประจำ รมว.กลาโหม ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือก เพราะนอกจากเป็นเพื่อนรัก ตท.10 แล้ว ครอบครัวและลูกๆ ต่างสนิทสนมกัน

แถมทั้งตอนนี้ พล.อ.พฤณท์ ทำหน้าที่เสมือนฝึกงานเป็น รมว.กลาโหม อยู่แล้ว เพราะทำหน้าที่คุมและกลั่นกรองงานทั้งหมดให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ จนถูกซุบซิบว่า ยึดอำนาจ ยึดกลาโหม เพราะเอาเพื่อน ตท.10 มาช่วยงานเต็มกระทรวง จนเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกับทีมงานส่วนตัวของ พล.อ.ยุทธศักดิ์

จนในเวลานี้ พล.อ.พฤณท์ ถูกแซวเสมอว่าจะไม่ได้เป็นทหารจนเกษียณกันยายนปี 2555 เพราะอาจต้องมาเป็นเจ้ากระทรวงกลาโหม ในไม่ช้า



ในขณะเดียวกัน ชื่อของนายพลอากาศโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เพื่อน ตท.10 อีกคน ก็มีชื่อเป็นตัวเลือก แม้ว่าวันนี้จะเป็น รมว.คมนาคม กระทรวงอันดับหนึ่งด้านผลประโยชน์ เพราะความใกล้ชิดกับทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ บ้านจันทร์ส่องหล้า และตัวนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เองด้วย

แต่ทว่า ด้วยนิสัยใจนักเลงตรงไปตรงมา และเชื่อมั่นในตัวเองสูง ทำให้ พล.อ.อ.สุกำพล เกิดปัญหาขัดแย้งในคมนาคม เพราะรวบอำนาจไว้ทั้งหมด จนเกิดกระแสข่าวว่าจะย้ายมากระทรวงกลาโหม

แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความเป็นคน "แรง" ของ พล.อ.อ.สุกำพล ก็ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ คิดหนัก เพราะถ้ามาอยู่กลาโหม กองทัพต้องกระเพื่อมอย่างแรงแน่ เพราะโดยนิสัยแล้ว บิ๊กโอ๋ฟาดไม่เลี้ยงไม่ว่าเหล่าทัพไหน

โดยเฉพาะกองทัพอากาศ เพราะความขัดแย้งดั้งเดิมที่มีกับบิ๊กต๋อย พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข อดีต ผบ.ทอ. ที่วันนี้เป็นองคมนตรีไปแล้ว และเลยมาถึงบิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. ที่เป็นทายาทอำนาจ ที่ส่งผลให้ทัพฟ้าเกิดเสียงคำรามจากความขัดแย้งภายในเสมอๆ

ตั้งแต่การโยกย้ายที่ผ่านมา พล.อ.อ.สุกำพล และแกนนำ ตท.10 ทหารอากาศ ต่างจับมือกันที่จะเด้ง พล.อ.อ.อิทธพร พ้นเก้าอี้ ผบ.ทอ. แล้วให้บิ๊กโต พล.อ.อ.พิธพร กลิ่นเฟื่อง ประธานที่ปรึกษา ทอ. แกนนำ ตท.10 ขึ้นเป็นแทน

แต่ด้วยเพราะมี พ.ร.บ.กลาโหม และ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ไม่กล้าทุบโต๊ะ แถมให้ท้ายว่า ผบ.ทอ. ไม่ได้มีความผิดอะไร จึงทำให้ พล.อ.อ.อิทธพร นั่งเป็น ผบ.ทอ. ต่อเป็นปีที่ 3 ซึ่งเป็นปีสุดท้าย จะเกษียณกันยายนปีหน้า

แต่เขาก็ตกเป็นเป้าหมายของการถูกแซะเก้าอี้ตลอด ยิ่งเมื่อเหตุน้ำท่วมใหญ่ กองบัญชาการกองทัพอากาศ จมไปทั้งทุ่งเกือบ 300 ไร่ โดยเฉพาะเมื่อกลาโหมเสนอของบประมาณ 12,288 ล้านบาท ในการฟื้นฟูแต่ละเหล่าทัพ และพบว่าใช้งบฯ มากถึง 10,563 ล้านบาท ในการกู้ ฟื้นฟู และซ่อมแซม ทอ. เหล่าเดียว

ทุกเหล่าทัพมีแผนป้องกันน้ำท่วมอย่างดี เช่น บก.ทบ. ของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่เตรียมกระสอบทรายกว่า 3 หมื่นใบ เครื่องสูบน้ำ และทำทางเข้า-ออก ที่ยกขึ้นสูงและแผนต่างๆ พร้อมสรรพ แม้ว่า ทบ. จะต้องระดมกำลังว่า 6 หมื่นคนไปช่วยประชาชนก็ตาม ใช้งบประมาณแค่ 1,273 ล้านบาทเท่านั้น ในการซ่อมยานพานะ

ส่วนกองทัพเรือ ทั้งๆ ที่อยู่ริมฝั่งเจ้าพระยา แต่ก็กลับรอด เพราะมีระบบป้องกันไว้พร้อม จึงไม่มีน้ำเข้ามาได้สักหยด เพราะบิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. ให้ความสำคัญ วางแผนพร้อมทั้งกลางวันกลางคืน

แถมทั้งย้ายจากบ้านน้ำท่วมมานอนที่บ้านรับรอง ทร. ที่ริมเจ้าพระยา แล้วออกมาดูระดับน้ำด้วยตนเองและประชุมกับกรมอุทกศาสตร์ ทร. และทีมงานตลอด จึงรับมือได้ และไปทุ่มเทสู้น้ำที่ทวีวัฒนา ที่ ทร. ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบเต็มที่ โดย ทร. ใช้งบฯซ่อมแซมยุทโธปกรณ์และยานพาหนะที่ไปช่วยประชาชน 312 ล้านบาท

นี่เองที่ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากภายนอก และปัญหาคลื่นใต้น้ำภายในก็ถาโถมใส่ พล.อ.อ.อิทธพร ในฐานะแม่ทัพฟ้า ที่เสมือนว่า ประมาท ไม่ได้เตรียมพร้อมในการป้องกันหรือโยกย้ายอุปกรณ์ต่างๆ จนต้องจมน้ำไปต่อหน้าต่อตา ส่งผลให้ประเทศต้องเสียงบประมาณอีกกว่าหมื่นล้านโดยใช่เหตุ

จนเกิดกระแสย้าย ผบ.ทอ. หรือกดดันให้แสดงสปิริต แล้วให้ พล.อ.อ.ศรีเชาวน์ จันทร์เรือง รอง ผบ.ทอ. รักษาการ ผบ.ทอ.แทน


ด้วยความขัดแย้งภายในของ ตท.10 สาย ทอ. ทั้ง พล.อ.อ.สุกำพล และ พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี ประธานบอร์ดการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) แกนนำ ตท.10 ซี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กับ พล.อ.อ.อิทธพร ก็ยิ่งทำให้มีการโยนความผิดกันไปมา ถึงเหตุที่น้ำท่วม ทอ. และสนามบินดอนเมือง

พล.อ.อ.อิทธพร ก็ระบุว่า มีแผนในการดูแลในส่วนพื้นที่ ทอ. อยู่แล้ว แต่เนื่องจากพื้นที่ติดกับทางสนามบินดอนเมือง ซึ่งทางการท่าฯ ดูแล ทำให้ป้องกันไม่ได้ เพราะน้ำมาจากทางฝั่งดอนเมืองก่อน อีกทั้งมีบึงใหญ่ในสนามบินฝั่ง ทอ. ที่ยากแก่การกั้นน้ำ แถมน้ำก็มาจากใต้ดินอีก

แต่เสียงวิจารณ์จากอีกฝ่ายหนึ่ง แถมมีเอกสารใบปลิวออกมาโจมตีว่าบิ๊กเฟื่องประมาท ไม่ได้เตรียมตัวเท่าที่ควร เพราะแค่เตรียมแนวกระสอบทรายไม่พอ เพราะกระสอบทรายกั้นน้ำไม่ได้ แค่ชะลอน้ำเท่านั้น มีแผนแค่เพียงการให้เครื่องบินที่ บน.6 บินไปอยู่ตามกองบินต่างๆ แต่กลับไม่มีแผนในการย้ายอุปกรณ์ขนาดใหญ่ เช่นเครื่องมือช่าง อุปกรณ์สื่อสาร และระบบป้องกันภัยทางอากาศ (RTADS) ที่ต้องจมน้ำ ส่งผลให้เสียหายอย่างรุนแรง

ยิ่งภาพเครื่องบินทหารจมน้ำ อยู่ที่ท่าอากาศยานทหาร บน.6 แม้จะแค่ลำเดียว แต่ก็เสียหายต่อภาพพจน์ฐานทัพอากาศไทย อย่างแรง

แม้ ทอ. ระบุว่าเป็นเครื่องบินที่เสีย รออะไหล่ซ่อม ยิ่งบินหนีน้ำไปไม่ได้ แต่เสียงวิจารณ์ก็ติงว่าน่าจะล้อมกระสอบทรายแล้วใช้เครื่องปั๊มใหญ่ๆ ดูดน้ำออกตลอดเวลา ก็น่าจะดีกว่าการปล่อยให้น้ำท่วมและสนิมกิน

ทอ.ถูกวิจารณ์หนัก เพราะขนาดรถเกราะป้องกันฐานบินของหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน (อย.) เกือบ 20 คัน ก็ต้องวิ่งหนีน้ำมาขอจอดบนโทลล์เวย์แทบไม่ทัน ที่แสดงว่าไม่มีแผนใดๆ หรือแม้มีแผนแต่ก็ไม่มีการสั่งการที่จริงจังและทันท่วงที เพราะชะล่าใจว่า เอาอยู่

แต่ภาระใหญ่ทั้งหมดไปตกอยู่ที่บิ๊กจิน พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผช.ผบ.ทอ. ที่ถูกวางตัวเป็น ผบ.ทอ. ต่อในปลายปีหน้า ที่เป็นประธานคณะกรรมการในการฟื้นฟู ทอ.



ภาพพจน์ของ ทอ. ในวิกฤติน้ำท่วมนี้ นอกจากไม่ได้ออกไปช่วยเหลือประชาชน เพราะกลายเป็นผู้ประสบภัย ที่นอกจากต้องช่วยตัวเองและให้เหล่าทัพอื่นมาช่วยแล้ว ผบ.ทอ. ยังจมหายไปพร้อมกับน้ำ เพราะแม้จะมาต่อสู้แก้ไขเมื่อน้ำท่วมสูงแล้ว แต่ก็ไม่อาจสู้ไหว บิ๊กเฟื่อง เองก็ไม่หนีไปไหน อยู่บ้านรับรอง ทอ. ที่น้ำท่วม นั่งเรือมาทำงานทุกวัน

พล.อ.อ.อิทธพร นั้น รู้ดีว่าเขากำลังสู้กับใคร แล้วใครเป็นศัตรู เพราะตั้งแต่เปลี่ยนรัฐบาลเขาก็เก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ เพราะด้วยความเป็นคนตรง พูดไปก็เปลืองตัว เลยขออยู่เงียบๆ แต่พอน้ำท่วมก็กลับเงียบอีก จนพลิกกลับตัวแทบไม่ทันต้องมาออกสื่อในตอนท้ายๆ ของน้ำท่วม โชคยังดีที่เพราะ ทอ. ต้องดูแลและฟื้นฟูเขตพระราชฐานใน ทอ. ด้วย จึงทำให้ไม่มีใครกล้ายุ่ง แต่เสียงวิจารณ์ขรม

อีกทั้ง ผบ.เหล่าทัพ คนอื่นๆ คงไม่ยอมปล่อยให้บิ๊กเฟื่องถูกรังแก หรือถูกรุม เพราะในยามที่มีบิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. นำแท็กทีมอย่างเป็นเอกภาพและแข็งปึ้กเช่นนี้ ย่อมต้องเป็นแบ๊กอัพให้ ผบ.ทอ. อย่างเต็มที่ ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยแล้ว หากเจอแบบนี้ ยิ่งไม่ยอม และให้กำลังใจ พล.อ.อ.อิทธพร เสมอๆ

จึงไม่แปลก ที่นายทหารอากาศร่างเล็กผู้นี้ กล้าที่จะประกาศว่า "จะไม่ยอมเป็นแพะ" ที่ต้องถูกโยกย้ายหรือโจมตีเพราะปล่อยให้น้ำท่วม ทอ. แต่จะขอเป็น "แพะที่มีเขา" นั่นหมายถึงความพร้อมที่จะต่อสู้ กับความแค้นและอาถรรพณ์แห่งทุ่งดอนเมือง ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง และเล่นการ "แรง" มาตลอดหลายทศวรรษ

ไม่แค่นั้น เกิดข้อกังขาที่ว่าที่ดอนเมืองมี "ฐานบัญชาการลับ" หรือ "คุกลับ" ของซีไอเอ ตามที่เคยมีสำนักข่าวต่างประเทศรายงานไว้จริงหรือไม่ เพราะสหรัฐอเมริกาส่งเจ้าหน้าที่และทหารอเมริกัน 30 นาย มาช่วยกู้ ทอ. ทันทีหลังจากที่ ครม.อนุมัติ แต่ทว่าเป็น ภารกิจลับ

แต่ผลพวงที่ตามมานั้น ไม่ใช่เก้าอี้ ผบ.ทอ. ของบิ๊กเฟื่อง ร้อน แต่เป็นความขัดแย้งแตกแยกอย่างรุนแรง ที่ผุดขึ้นมาจากใต้น้ำ และทะลุลงมาจากผืนฟ้าสู่ตึกแปดแฉก ที่จะทำให้ลูกทัพฟ้าอยู่กันไม่สุขนับจากนี้ เพราะอาถรรพณ์แห่งความขัดแย้งจากรุ่นสู่รุ่น จากยุคหนึ่งสู่อีกยุคหนึ่ง ไม่เคยหมดไปจากทุ่งดอนเมืองเลย อาจมีแค่บางช่วงที่เจือจางลงไปเท่านั้น

กองทัพจึงร้อนระอุทันทีที่น้ำลด ตั้งแต่กลาโหม ไปถึง ทบ. และ ทอ. เลยทีเดียว เพราะอำนาจ เป็นสิ่งหอมหวาน ที่ใครได้ลิ้มลองแล้วย่อมเสพติด

ส่วนคนที่สูญเสียอำนาจ ก็พยายามต่อสู้ไขว่คว้าให้ได้อำนาจกลับคืนมา โดยเฉพาะคนที่ต่อสู้กันนั้นเป็นทหาร ที่แม้จบจากสถาบันเดียวกันก็ตาม

เพราะศึกแย่งอำนาจนั้นไม่มีคำว่า เพื่อน พี่ หรือน้อง



.