http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-12-04

ความเอย ความรัก โดย คำ ผกา

.
ติดตามและแสวงหาทางต่อสู้ที่หลากหลายต่ออำนาจอธรรมกับ'คำ ผกา' เช่นที่ ประชาไท www.prachatai.com/journal/2011/12/38141
หรือ หัวข้อย่อยใน www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1322917257&grpid=01&catid=&subcatid=



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ความเอย ความรัก
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 02 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1633 หน้า 89


"พี่ทองคิดว่า ความรักคืออะไรคะ?" อยู่ๆ ทัดดาวก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

"ทัดดาวกำลังสงสัยว่า เราแยกแยะความรักของหนุ่มสาว ความรักของเพื่อน ความรักที่เจือความพิศวาส ความรักที่เรามีต่อพ่อและแม่ ความรักที่เรามีต่อญาติพี่น้อง ความรักที่เรามีต่อเพื่อนบ้าน ความรักที่เรามีต่อเพื่อนร่วมชาติ ไปจนถึงความรักที่เรามีต่อมนุษยชาติ เพื่อนร่วมโลก ฯลฯ พี่ทองคิดว่า ความรักต่างๆ นานาเหล่านี้ มันเกิดขึ้นกับเราได้ยังไงกัน? แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า อันความรู้สึก "รัก" ที่เรามีอยู่นั้นเป็นความรู้สึกที่ "จริง" เป็น "ธรรมชาติ" ไม่ใช่แค่ความรักที่เราเกิดมาแล้วถูกสอนว่า สิ่งนี้ควร "รัก" สิ่งนี้ควร "เกลียด" แล้วเวลาที่ใครสักคนบอกว่าเรารักอะไร เกลียดอะไร ทัดดาวอยากรู้ว่าคนเหล่านั้นเคยถามตัวเองหรือเปล่าว่า ความรักคืออะไร? ทำไมจึงรัก? ความรักที่มีต่อ พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน แฟน ที่รู้จักมักจี่กันอาจจะอธิบายง่าย แต่ความรักสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือใครสักคนอย่างบ้าคลั่งทั้งๆ ที่เกิดมาไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยคุยด้วย ไม่เคยสัมผัส แต่กลับรักและหลงจนหน้ามืดตามัว-อารมณ์ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไงกัน? "

พี่ทองกับทัดดาวหนีน้ำท่วมมาเที่ยวหัวหิน ไม่มีอะไรโรแมนติกที่นี่ เพราะดูเหมือนว่าหัวหินจะแออัดกว่าและจอแจกว่ากรุงเทพฯ เสียด้วยซ้ำ

อันที่จริงพี่ทองคิดถึงบ้านริมคลองที่พระนครศรีอยุธยา แต่ตอนนี้บ้านยังจมน้ำ

และยิ่งไม่เหลือความโรแมนติกใดๆ ให้คิดถึง อย่าว่าแต่ความหลังระหว่างพี่ทองและกะทิ



สาม-สี่ปีให้หลังมานี้ พี่ทองนึกถึง "ความโรแมนติก" ระหว่างพี่ทองกับกะทิอยู่เหมือนกัน ไม่นึกถึงเพราะโหยหาอาลัย แต่กำลังนึกถึงมันในแง่ที่ว่า "ความโรแมนติก" นั้นมีอยู่จริงหรือไม่

หรือเพียงแต่เป็นอารมณ์อันอ่อนไหววูบวาบจากการสร้าง ถักร้อยบรรยากาศแห่งความโรแมนติกนั้นผ่านความทรงจำและถ้อยคำของกะทิล้วนๆ จากฉากพายเรือตามหลวงลุงไปบิณฑบาตอันสามัญก็ถูกทาทาบด้วยแสงสีทองของพระอาทิตย์ยามเช้า กลิ่นอายสดชื่นของแม่น้ำในชนบท กลุ่มควันไฟจากเตาหุงหาอาหารของชาวบ้าน สีเหลืองมลังเมลืองของจีวรหลวงลุง ผิวสีเข้มอย่างเด็กบ้านนาของพี่ทองอันขัดแย้งผิวขาวอ่อนลออของลูกหลานผู้ดีอย่างกะทิ

แววตาประหม่าของพี่ทองกับประกายเจิดจรัสในดวงตาของกะทิที่เติบโตมาอย่างที่รู้ว่าด้วยสถานะทางสังคมเช่นนี้ ด้วยความรักอันมากมายจากคุณตา คุณยาย และผู้คนที่แวดล้อมเธอเอาไว้ เธอไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่มีอะไรต้องปิดบัง

เสน่ห์แรกของกะทิที่สะกดให้พี่ทองต้องแน่นิ่งคือ ความมั่นใจในตัวเองของกะทิ ความสบายอกสบายใจไร้กังวล การแสดงออกซึ่งอารมณ์ทุกอารมณ์อย่างเปิดเผยอย่างคนอารมณ์ดี และเห็นโลกสดใส กล้าสบตาคนอย่างเปิดเผย นั่นเป็นสิ่งที่พี่ทองไม่มี และเหมือนจะถูกสอนกลายๆ ว่า "ไม่พึงมี"


ในฐานะที่เป็นลูกชาวบ้าน ยากจน ในฐานะที่เป็น "เด็กวัด" - "ความรู้สึก" หรือ "อารมณ์" ที่พี่ทองถูกสอนให้พึงแสดงออกนั้นคือ "ความกลัวเกรง", "อาการเจียมเนื้อเจียมตน", "ไม่ตีเสมอ", "ไม่เบิกบานจนเกินกว่าเหตุในยามที่ได้รับเมตตา"

สอดคล้องกับคำพังเพยไทยที่บอกว่า "เล่นกับหมา หมาเลียปาก"

หลวงลุงสอนพี่ทองเสมอว่า เวลาที่ผู้ใหญ่อย่างคุณตาของกะทิเขาแสดงความรัก ความเอ็นดูลงมานั้น ให้สำนึกอยู่เสมอว่า "ท่านกรุณาให้ความเอ็นดู" อย่าได้ไปทำระริกระรี้ ตีเสมอ ยิ่งผู้ใหญ่เมตตาลงมาเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องเจียมตัวเจียมตนให้สมกับที่ท่านอุตส่าห์ลดตัวลงมาให้ความสำคัญกับเด็กบ้านนอกจนๆ อย่างพี่ทอง อย่าทำตัวเป็นหมาที่พอเจ้าของเขาเอ็นดูเข้าหน่อยก็ตีเสมอ ไปเลียปากเจ้าของเข้า

เมื่อพี่ทองโตขึ้นเลยได้เห็นอีกว่า บุคลิกเปิดเผย ร่าเริง สบตาคน เป็นตัวของตัวเอง และสบายๆ กับทุกอิริยาบถในทุกกาลเทศะนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ทั่วไปในบุคลิกภาพของเด็กโรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนสาธิต โรงเรียนเอกชนแพงๆ

ในขณะที่บุคลิก จ๋องๆ เก็บกด หลบตาผู้ใหญ่ ขี้อาย ไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่ผึ่งผาย ไหล่ค้อมพร้อมจะยอบตัว และบรรยากาศแห่งการเจียมตัวเจียมตนเพื่อให้ได้รับความรักและความเอ็นดูนั้นเป็นบุคลิกภาพที่มีร่วมกันของเด็กนักเรียนโรงเรียนรัฐบาลระดับที่เคยเป็นโรงเรียนแบบประชาบาลทั้งหลาย และบุคลิกที่เหมือนจะถูกปลูกฝังไว้ในจิตสำนึกที่ว่า พวกเราเกิดมาทำตัวให้ดีให้น่ารักเพื่อจะได้รับความเมตตาจากผู้ที่ "เป็นใหญ่" กว่าเสมอนั้นถูกส่งเสริมให้เห็นเด่นชัดมากขึ้นด้วยเครื่องแบบนักเรียนกับทรงผมอันอัปลักษณ์ (ผมม้าเสมอคิ้วพร้อมความยาวระดับติ่งหูเป๊ะของเด็กหญิง และผมเกรียนของเด็กผู้ชาย) เป็นการยืนยัน "อำนาจ" ที่สถาปนามาบนร่างกายของชนชั้นที่เกิดมาเป็นข้าราษฎร

ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับความโรแมนติกระหว่างพี่ทองและกะทิอย่างไร และมีสิ่งที่เรียกว่า "ความรัก" อยู่ระหว่างนั้นจริงหรือไม่? พี่ทองคิดถึงเรื่องนี้เพราะคำถามของทัดดาวแท้ๆ


ความโรแมนติกของรักข้ามชนชั้นนั้นเป็นสิ่งที่กำหนดขึ้นจากมโนทัศน์และข้อเขียนที่ส่งรหัสได้ตรงกันระหว่างกะทิและคนที่อ่านข้อเขียนของกะทิแท้ๆ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพี่ทองเลยแม้แต่น้อย พูดภาษาที่ใช้ในเฟซบุ๊กกันตอนนี้ก็อาจจะบอกได้ว่า "พวกมึงจะโรแมนติก ถามกูหรือยัง?"

ในขณะที่กะทิหล่อเลี้ยงความรักระหว่างกะทิกับพี่ทองผ่านข้อเขียนและการร้อยเรียงภาพอันอวลไปด้วยกลิ่นอายของความโรแมนติกออกสู่สาธารณชนโดยไม่ได้ถามพี่ทองสักคำว่า พี่ทองรู้สึกอย่างไร รู้สึกอย่างเดียวกันไหม

พี่ทองอาจจะตื่นตาตื่นใจกับความสดใส และปลาบปลื้มที่ลูกหลานผู้ลากมากดีอย่างกะทิกรุณามอบมิตรภาพให้กับผู้ต้อยต่ำอย่างพี่ทอง

ทว่า อารมณ์ ความรู้สึก ความรัก ความชอบ ความตื่นเต้น ความตื่นตาตื่นใจอันบังเกิดกับมนุษย์ไม่เสถียรสถิตสถาพร แต่แทนที่กะทิจะใส่ใจกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างกะทิกับพี่ทอง กะทิกลับไปหล่อเลี้ยงความโรแมนติกระหว่างตัวเธอกับพี่ทองกับคนที่อ่านข้อเขียนของเธอ

ผ่าน "ตัวหนังสือ" นั่นเอง ที่กะทิ เชื่อเสียแล้วว่าความรักระหว่างเธอกับพี่ทองนั้นนอกจะเป็นอมตะแล้ว มันจะมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่าน "ตัวหนังสือ" นั่นเอง ที่ผู้อ่านของกะทิก็พลอยเชื่อว่าความรักระหว่างกะทิกับพี่ทองจะไม่มีวันแตกสลาย แถมยังแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทุกคนอยู่กับ "ความจริง" ใน "ตัวหนังสือ"

แต่ไม่มีใครตั้งคำถามว่า พี่ทองกับกะทิ มีชีวิตของตนเองอันอยู่นอกเหนือการควบคุมของ "ตัวหนังสือ" หรือแม้กระทั่งพี่ทองอาจได้มีโอกาสไปอ่าน "ตัวหนังสือ" อื่นๆ ที่ไม่ได้เขียนโดยกะทิ และนั่นทำให้พี่ทองได้เห็นมุมอื่นๆ ของโลกและชีวิตบ้าง

เมื่อพี่ทองรู้จักกะทิมากขึ้นๆ วันหนึ่งพี่ทองอาจพบว่าตัวเองไม่ได้รักกะทิอีกต่อไปแล้ว วันหนึ่งพี่ทองอาจพบว่า กะทิไม่ใช่คนที่พี่ทองอยากใช้ชีวิตด้วยไปจนวันตาย และพี่ทองก็เชื่อว่าการที่เราเลิกรักใครสักคนมันไม่ใช่อาชญากรรม!

หรือแม้แต่การที่เราไม่รักใครสักคนในโลกนี้ก็ย่อมไม่ใช่อาชญากรรม!



คําถามง่ายๆ ของทัดดาวที่ว่า "ความรักคืออะไร?" จึงยากที่จะตอบ เพราะในเกือบทุกกรณีมนุษย์ในโลกรู้จัก "ความรัก" ผ่านประสบการณ์ที่คนอื่นสร้างให้เรา อาจจะโดยคำสอนของพ่อแม่ สุภาษิต คำพังเพย ตำนาน เทพปกรณัม คัมภีร์ คาถา พิธีกรรม บทกวี เพลง ละคร หนัง นวนิยาย ไดอารี จดหมาย ฯลฯ เมื่อเป็นดังนั้น ความรักย่อมหลากหลายแตกต่าง อีกทั้งแปรสภาพ เปลี่ยนวิถีไปตามยุคสมัย ภูมิศาสตร์ การเมือง และอำนาจ

พี่ทองคงตกอยู่ในภวังค์นานไปหน่อย ทัดดาวเลยหงุดหงิดอย่างแรง

"พี่ทอง ทัดดาว ถามแค่เนียะ อึ้งไปเลยเหรอ ทำไม? หรือว่า คำถามนี้ไปสะกิดต่อมคิดถึงแฟนเก่า ถามจริงๆ ที่พี่มารักทัดดาวก็แค่สถานการณ์การเมืองมันพาไปเท่านั้นเอง ลึกๆ แล้วพี่ทองยังรักยังคิดถึงกะทิอยู่ใช่ไหม?"

พี่ทองเจอคำถามนี้เข้าไปก็ออกมาจากภวังค์แทบไม่ทันและกำลังคิด 'หรือตรูจะหนีกลับเข้าไปอยู่ในภวังค์ใหม่ดีกว่า' เพราะคำถามของทัดดาวก็ชวนให้คิดได้อีกว่า "นั่นสิ เรารักทัดดาวจริงหรือเปล่า?" หรือนี่ไม่ใช่ความรัก เราแค่พึงใจในกันและกันเพราะสถานการณ์ทางการเมืองชักนำให้เราเห็นอกเห็นใจกัน เพราะการมีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกัน ความปรารถนาในร่างกายอันเป็นความกระสัน กิเลส ตัณหาสามัญที่เกิดขึ้นกับเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ทำให้อยากร่วมเพศกัน เป็นดังนั้นเราจึงจับทุกสิ่งทุกอย่างยัดเข้าไปในคำว่ารัก จากนั้นก็เป่ามนต์มหาละลวยใส่สมองตัวเองว่า "นี่ไง เรารักกัน เราอยากอยู่ด้วยกัน"

"ที่อึ้งไปนานเพราะคำถามของทัดดาวทำให้คิดเรื่อง "ความรัก" ว่าที่ผ่านมา คนอย่างเราปฏิบัติต่อความรักแบบที่คิดว่า - มันเป็นของมันอย่างนั้น เป็นความรู้สึกตามธรรมชาติ เรา take ความรัก for granted - จากนั้นเราก็พูดเรื่องความรักกันพร่ำเพรื่อ ฟูมฟาย แจกจ่ายความรักกันอย่างไร้ขีดจำกัด ตั้งแต่การรักหมา รักแมว รักสรรพสิ่งสรรพสัตว์ รักคนจน รักธรรมชาติ ภูเขา น้ำตก เสียงจิ้งหรีด เรไร รักเด็ก รักคนจน รักเสียจนสามารถประณาม ทำลาย เหยียดหยาม ด่าทอ และถึงที่สุดสามารถเกลียดชัง แม้กระทั่งฆ่าคนที่ไม่รักสิ่งเดียวกับที่เรารัก - ทัดดาวคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าขื่นขันขนาดไหน หากว่า ทัดดาวเป็นคนที่รักแมวมาก มากเสียจนเกลียดคนที่ไม่รักแมวน่ะ"

มันคงยากที่เราจะสกัดเอาความรู้สึกที่ "แท้" แท้ในที่นี้อาจเป็น genuine หรือจะเรียกว่าเป็น authentic ก็ตามแต่ แต่ว่าเราจะแยกมันออกจากความรู้สึกที่เป็นประสบการณ์ทางวัฒนธรรมได้อย่างไร และหากในความรักนั้น ครึ่งหนึ่งมันอาจเป็นเพียงประสบการณ์ทางวัฒนธรรม อาจเป็นอุปาทาน อาจเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการอ่าน การฟัง การถูกหล่อหลอมให้รัก หรือแม้กระทั่งการถูกหลอกให้รัก แล้วเหตุไฉนมนุษย์เราจะต้องเอาเป็นเอาตายกับความรักมากถึงขนาดนั้น

ใครก็ตามที่คิดว่า "ความรัก" คือเครื่องมือที่จะช่วยรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ให้ยั่งยืน คนคนนั้นคิดผิด ใครก็ตามที่คิดว่าจะใช้ความรักเป็นเกราะป้องกันภัย คนคนนั้นคิดผิด เพราะในโลกนี้ไม่มีอะไรเปราะบางและเปลี่ยนแปลงง่ายทั้งอ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อมภายนอกได้มากเท่ากับความรักอีกต่อไปแล้ว เพราะความรักนั้นยืนอยู่บนฐานของการใช้อารมณ์ ความรู้สึกทั้งง่ายต่อการผละออกไปจากเหตุผล

สิ่งที่จะหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์หรือรักษาสถานะของสิ่งใดหรือคนใดไว้ให้อยู่ยั้งยืนนานจึงไม่ใช่ความรัก แต่เป็นการอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพต่อการมีอยู่ของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งต้องหล่อเลี้ยงไว้ด้วยความจริงใจ ไม่เอารัดเอาเปรียบอีกฝ่ายหนึ่งจนเกินพอดี ไม่ทรยศ หักหลัง - ทัดดาวคิดดูว่า มีด้วยหรือที่เราจะหล่อเลี้ยงความรัก ความเคารพต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยความฉ้อฉล เอารัดเอาเปรียบ โกหก หลอกลวง

พี่ทองเชื่อว่า คนจำนวนไม่น้อยในโลกนี้ไม่ได้ตระหนักถึงความเปราะบางของการเกาะเกี่ยวสถานะของตนเองเอาไว้บนสิ่งที่เรียกว่า "ความรัก" อีกทั้งยังหลงคิดว่า การป้อยอ หลงคลั่ง ไร้เหตุผล ปกป้องมิให้สิ่งที่ตนเองรักต้องแปดเปื้อนหรือดุด่าว่ากล่าว นั่นคือความรัก ยิ่งไปกว่านั้น ยังเชื่อว่ามนุษย์เราสามารถหล่อเลี้ยงอายุของความรักไว้ด้วยการขู่เข็ญบังคับให้หวาดกลัว

ถึงที่สุดความรักก็อาจยั่งยืนได้บนฐานของการแลกเปลี่ยนทางผลประโยชน์ที่ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจ และเคารพในหลักการที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ในเบื้องต้น แต่ที่แน่ๆ ความรักไม่อาจได้มาด้วยการขู่ฆ่า การกรรโชก การเรียกค่าไถ่ - ความรักมันอาจจะง่ายๆ แค่นี้เอง ไม่จำเป็นต้องฆ่าแกงกัน ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังบังคับเรียกร้องให้รัก ไม่ต้องป่าวประกาศโฆษณาคุณงามความดี ยิ่งไม่ต้องพูดการป่าวประกาศที่เกินจริง

แต่ก็นั่นแหละพี่ทองคิดว่าพวกเราต้องตระหนักว่าสิ่งที่อายุสั้นที่สุดในโลกนี้คือความรักโรแมนติก ความรักแบบลุ่มหลง ความรักแบบคลั่งไคล้ รักโดยปราศจากเหตุผล ไม่เพียงแต่อายุสั้น ความรักแบบนี้ยังมีอานุภาพในเชิงทำลายล้าง คนเราฆ่าตัวตาย ฆ่าคนอื่นตาย ก็ด้วยอารมณ์รักแบบนี้



พี่ทองไม่รู้ว่าจะมีคำตอบให้กับทัดดาวหรือไม่ในเรื่องความรัก แต่อยากจะบอกว่า ในทุกความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นบุคคลต่อบุคคล บุคคลกับชุมชน บุคคลกับสังคม บุคคลต่อสถาบันต่างๆ ในสังคม - มีแต่การสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในความสัมพันธ์เท่านั้นที่จะหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์นั้นให้ยั่งยืนได้ ไม่ใช่ความรัก"

ทัดดาวไม่ได้ตอบอะไร พี่ทองนั่งจิบกาแฟต่อ ส่วนทัดดาวกำลังอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์

"พี่ทองอ่านข่าวเรื่องอากง หรือยัง?"

เออ...ผู้หญิงนี่ก็แปลก ช่างเปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนบทสนทนา เปลี่ยนความสนใจได้เร็วจริง พี่ทองรำพึง



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

อ่านบทความของคำ ผกา เกี่ยวกับความรัก

ความรักทำให้คนตาบอด โดย คำ ผกา
http://botkwamdee.blogspot.com/2011/02/blog-post_19.html

.., ป๊อบใสๆ กรุ่นกลิ่นอายความรัก (1,2) โดย คำ ผกา
http://botkwamdee.blogspot.com/2011/08/kam-21aug.html



.