.
ทางออกจากวิกฤต
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ใน www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1389008436
วันอังคารที่ 07 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 11:02:06 น.
(ที่มา : นสพ.มติชนรายวัน 6 มกราคม 2557 )
เรากำลังเผชิญกับวิกฤตทางการเมืองครั้งใหญ่สุด และเราจะออกจากวิกฤตนี้ได้อย่างไร
สิ่งที่ต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อนก็คือ วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความขัดแย้งกันทางการเมือง เพราะความขัดแย้งนี้ดำเนินมาในสังคมไทยกว่า 7 ปีแล้ว แม้ทำให้การเมืองไทยลุ่มๆ ดอนๆ แต่ทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ รวมแม้แต่การริเริ่มนโยบายใหม่เช่นปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายที่ครอบคลุมคนทั้งประเทศ อันอาจส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่
วิกฤตครั้งนี้เกิดจากการล้มล้างระเบียบกฎเกณฑ์ทั้งมวล ที่ช่วยกำกับความขัดแย้งไม่ให้เหลือแต่ใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกัน จะดีจะชั่ว สังคมไทยก็มีระเบียบกฎเกณฑ์หรือกฎหมาย ที่ทำให้เราต่างจากซ่องโจรที่คนกำปั้นใหญ่รวบอำนาจทั้งหมดไว้ในมือ หนักข้อกว่าการรัฐประหารของกองทัพเสียอีก
เมื่อกองทัพทำรัฐประหาร กฎหมายที่คณะรัฐประหารทุกคณะล้มล้างทันทีคือรัฐธรรมนูญ แต่ยังรักษากฎหมายอื่นๆ ไว้ทั้งหมด ในครั้งนี้ นอกจากม็อบสุเทพจะล้มล้างรัฐธรรมนูญแล้ว ยังละเมิดกฎหมายอื่นๆ อีกหลายมาตรา ขัดขวางการทำงานโดยปกติของรัฐ เช่นยึดที่ทำการของรัฐ ปิดล้อมมิให้โรงพักรับแจ้งความ ใช้อาวุธต่อสู้กับเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ขัดขวาง กกต.มิให้จัดการเลือกตั้งโดยสงบ ก่อวินาศกรรมกับรถตำรวจ ทำโจรกรรมในสถานที่ราชการที่ปิดล้อมไว้ ฯลฯ
ความขัดแย้งของกลุ่มการเมืองต่างๆ ซึ่งดำเนินมาหลายปี ได้แปรเปลี่ยนเป็นความขัดแย้งระหว่างอาชญากรกับรัฐ
ผมคิดว่าผิดถนัดที่หลายองค์กรมองวิกฤตครั้งนี้ เป็นเพียงความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองต่างกลุ่มเหมือนที่ผ่านมา การเสนอตัวเป็น "คนกลาง" เพื่อให้เกิดการเจรจาระหว่างอาชญากรและรัฐ เป็นการเสนอตัวที่หลงประเด็น เพราะรัฐหรือผู้ถืออำนาจรัฐแทนปวงชนชาวไทย ไม่มีอำนาจที่จะรอมชอมกับอาชญากรให้ละเมิดกฎหมายได้ตามใจชอบเช่นนี้ ทั้งกฎหมายและรัฐไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี ที่จะเอาไปยื่นให้แก่ใครเพื่อยุติความขัดแย้งได้ เช่นหาก ครม.ทั้งคณะยอมลาออก นอกจากละเมิดรัฐธรรมนูญซึ่งกำหนดให้ต้องทำหน้าที่จนกว่าจะมี ครม.ชุดใหม่แล้ว ยังเท่ากับยกประเทศไทยให้แก่อันธพาลการเมือง หักหลังประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งไม่ได้ให้อำนาจนั้นแก่นายกรัฐมนตรี
ผิดถนัดอีกเช่นกัน ที่ไปคิดว่าสภาพจลาจลซึ่งกลุ่มอันธพาลการเมืองก่อขึ้นในการบุกรุกเข้าไปในสถานที่รับเลือกตั้ง จนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้แก๊สน้ำตา เป็นความน่าอับอายและทำให้ภาพพจน์ของประเทศเสื่อมเสียในสายตาของต่างชาติ ตรงกันข้ามหากปล่อยให้อันธพาลเข้าไปยึดสถานที่ จนไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ต่างหาก ที่น่าอับอายและทำลายภาพพจน์ของสมรรถภาพของรัฐในการอำนวยความมั่นคงและปลอดภัยแก่สังคม ใครอยากมาเที่ยวในประเทศนี้ ใครอยากทำสัญญากับคนไทยซึ่งไม่มีรัฐให้หลักประกันใดๆ
เช่นเดียวกับสื่อกระแสหลักอีกมาก ที่รายงานข่าวฝ่ายอันธพาลทางการเมืองประหนึ่งวีรบุรุษ มองรัฐและกลุ่มอันธพาลว่ามีความชอบธรรมเท่ากัน หรือแม้แต่เห็นอันธพาลมีความชอบธรรมมากกว่า ทำให้สังคมหลงประเด็นว่า เรากำลังเผชิญทางเลือก 2 ทางที่มีความชอบธรรมเท่ากัน ทั้งๆ ที่ทางเลือกที่ฝ่ายอันธพาลการเมืองเสนอ ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นคำสั่งที่ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตามอย่างปราศจากเงื่อนไข โดยอาศัยฝูงชนเป็นเครื่องมือ ไม่ต่างจากในซ่องโจร ที่ผู้นำซึ่งรวบรวมกำลังโจรได้มากกว่า ย่อมสามารถประกาศิตความเป็นไปของซ่องโจรได้ตามใจตนเองแต่ผู้เดียวหรือฝ่ายเดียว
กลุ่มอันธพาลการเมืองเหล่านี้ไม่ได้ท้าทายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่ท้าทายกฎหมายและระเบียบแบบแผนทางการเมืองของสังคมไทยทั้งหมด
ที่น่าเศร้าก็คือ ประชาชนจำนวนมากในกรุงเทพฯ (และที่ขนกันมาจากภาคใต้) คิดว่า นี่คือการแสดงความรักชาติ
ชาติจะดำรงอยู่ได้อย่างไร หากพลเมืองของชาติไม่มีความเท่าเทียมกันทางการเมือง หากกฎเกณฑ์ระเบียบของชาติถูกทำลายลงหมด เพื่อสนองตอบความทะเยอทะยานทางการเมืองของคนกลุ่มเล็กๆ หากกลไกของชาติพอใจจะนั่งดูเฉยๆ (หรือแอบเข้าข้างอันธพาล) เพื่อรอเข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์กับฝ่ายชนะ นี่คือชาติที่มีแต่ปัจจุบัน ไม่มีอนาคต เพราะไม่มีใครมองไกลไปกว่าการยกระดับวันต่อวันของอันธพาลการเมือง
หนทางที่จะออกจากวิกฤตนี้แคบ ข้อจำกัดในการใช้อำนาจรัฐก็มาก (ทั้งที่ควรและไม่ควร) ยากที่จะฝ่าฟันออกไปได้ นอกจากได้รับความร่วมมือจากสังคมในวงกว้าง
และด้วยเหตุดังนั้น จึงทำให้บางคนคิดหาทางออกที่ลัดและมักง่าย นั่นคือทำรัฐประหาร แต่รัฐประหารคือทางตันไม่ใช่ทางออก นอกจากต้องเผชิญกับการต่อต้านจากคนจำนวนมาก กระทำในหลายรูปแบบ และบางรูปแบบก็อาจทำให้รัฐยิ่ง "ล้มเหลว" หนักขึ้นไปอีก
คิดง่ายๆ แค่ว่า คณะรัฐประหารจะจัดการกับอันธพาลการเมืองอย่างไร แต่ละคนมีคดีติดตัวหลายสิบคดี หากออกคำสั่งนิรโทษกรรมทั้งหมด คณะรัฐประหารจะจัดการอย่างไรกับการละเมิดกฎหมายของฝูงชนใหม่ที่ต่อต้านการรัฐประหาร ฆ่าเขาอย่างที่ได้ฆ่ามาใน 2553 ก็ยิ่งทำลายความชอบธรรมของคณะรัฐประหาร ปล่อยทิ้งไว้รัฐก็ล่มสลายไปในมือของคณะรัฐประหาร
จนถึงที่สุด ใครก็ตามที่ยังสามารถมองอะไรได้ไกลกว่าปลายจมูกของตนเอง จะให้การรับรองแก่การรัฐประหารที่ทำลายชาติให้ย่อยยับลงไปกว่านี้ได้
ทางออกเดียวที่เหลืออยู่จึงเป็นทางแคบ มีข้อจำกัดมาก ยากจะฝ่าฟันออกไป และต้องได้รับความร่วมมือจากสังคมในวงกว้าง และภาระเป็นของรัฐบาลรักษาการต้องทำให้สำเร็จ
คุณยิ่งลักษณ์ต้องแสดงการนำที่ชัดเจน และเข้มแข็ง ชัยชนะจากการเลือกตั้งที่จะมาถึงเพียงอย่างเดียวไม่พอ เพราะเงื่อนไขของวิกฤตครั้งนี้ ไม่ใช่การแข่งขันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นวิกฤตของชาติ จะรักษาชาติให้ดำรงอยู่สืบไปโดยไม่เสื่อมทรามลงเป็นซ่องโจรได้อย่างไร คุณยิ่งลักษณ์ต้องหวังว่าการนำของตนจะไม่ดึงเฉพาะคนไทยที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยมาร่วมรณรงค์เท่านั้น แต่ต้องรวมคนไทยทุกคนแม้แต่ที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคอื่นๆ ด้วย
ภาระสำคัญที่สุดของคุณยิ่งลักษณ์ก็คือ ต้องทำทุกวิถีทางมิให้รัฐ "ล้มเหลว" การยอมถอยให้แก่อันธพาลในการยึดถนนและยึดสถานที่ราชการนั้น พอรับได้ เพราะพื้นที่ทางการเมืองของสาธารณชนไทยมีจำกัด ในขณะที่แม้จะถูกยึดที่ทำการรัฐบาล แต่รัฐยังทำหน้าที่ของตนต่อไปได้ ยังแจ้งความได้ ยังจัดการจราจรได้ เด็กยังได้ไปโรงเรียน เจ็บป่วยก็เข้าโรงพยาบาลได้ ฯลฯ แต่เมื่ออันธพาลการเมืองปิดล้อมสถานที่เลือกตั้ง จนรัฐไม่สามารถจัดการเลือกตั้งตามกฎหมายได้ รัฐเริ่ม "ล้มเหลว" เป็นครั้งแรก คุณยิ่งลักษณ์ต้องใช้ทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ ทั้งโดยผ่านกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ และผ่านการใช้กองกำลังทั้งหมดของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายที่ไม่จำเป็น (ดังเช่นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำอย่างเหมาะสมในวันที่ 28 ธ.ค.) เพื่อประกันความปลอดภัยของผู้สมัครและกรรมการเลือกตั้ง จนทำให้กระบวนการรับสมัครดำเนินไปได้
กระบวนการเลือกตั้งเพิ่งเริ่มขึ้น รัฐบาลรักษาการต้องดูแลให้กระบวนการนี้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น แม้ต้องใช้มาตรการแข็งกร้าวก็ตาม (โดยระวังมิให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายเกินกว่าที่จำเป็น) ทุกคนมีสิทธิหาเสียงอย่างถูกกฎหมาย ทุกคนมีสิทธิเข้าคูหาเลือกตั้งอย่างปลอดภัย
สังคมไทยต้องมองเห็นอย่างชัดเจน ระหว่างทางเลือกการอยู่ในสังคมที่มีกฎหมาย และสังคมอันธพาล
ในการนี้ นายกรัฐมนตรีต้องออกหน้าแทนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เช่นนายกฯต้องมีคำสั่งอย่างชัดเจนว่า ต้องทำให้กระบวนการเลือกตั้งดำเนินไปได้โดยราบรื่น หากจำเป็นต้องใช้มาตรการที่รุนแรงเด็ดขาดก็ต้องใช้ (แต่อย่าทำ "เกินกว่าเหตุ") ตราบเท่าที่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานกระทำไปตามกฎหมาย เขาไม่ต้องรับผิดชอบ แต่นายกฯ ผู้ออกคำสั่งจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมาย หรือทางที่ถูกอันธพาลก่นด่า
รวมทั้งออกคำสั่งให้กองทัพส่งกำลังอีกมาก มาเป็นผู้ช่วยตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ ต้องไม่อนุญาตให้กองทัพปฏิบัติงานโดยลำพัง เพราะกองทัพไม่มีสมรรถภาพในการควบคุมฝูงชน เขาไม่ใช่หน่วยงานที่มีภาระหน้าที่เช่นนี้ จึงไม่ถูกฝึกให้ทำเป็น สมรรถภาพของกองทัพอยู่ที่การทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างเฉียบพลันรุนแรง จึงไม่เหมาะที่จะปฏิบัติงานเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องอยู่ในบังคับบัญชาฝ่ายตำรวจ (เรื่องนี้ "เล็งเห็นผล" ได้ หากไม่โง่หรือโหดเหี้ยมจนเกินไป)
คำสั่งที่ให้แก่กองทัพเช่นนี้ ต้องประกาศให้สังคมรับรู้โดยทั่วกัน หากกองทัพไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ก็ต้องแจ้งให้สังคมรู้เช่นกัน คุณยิ่งลักษณ์อย่าคิดเป็นอันขาดว่า จะควบคุมกองทัพได้ด้วยตนเอง โดยปราศจากการหนุนหลังของสังคม
หากการปฏิบัติงานเพื่อรักษากฎเกณฑ์และระเบียบของบ้านเมือง เป็นเหตุให้ กกต.ลาออกเกิน 3 คน ผมไม่มีความรู้ทางกฎหมายว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่เชื่อว่าต้องมีช่องทางที่จะจัดการเลือกตั้งตามกฎหมายจนได้ มิฉะนั้นก็เท่ากับยกสังคมประชาธิปไตยของเราทุกคนให้แก่คนกะล่อนเพียง 3 คนเท่านั้น ใครก็ตามที่มีหน้าที่คัดสรรกรรมการของ กกต. ก็ควรรับผิดชอบต่อวิจารณญาณห่วยแตกของตนเองบ้าง
การปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเข้มแข็งดังกล่าวทั้งหมดนี้ จะทำได้สำเร็จก็ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนจากสังคมในวงกว้าง หากจำเป็นต้องใช้กฎหมายเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดแก่บ้านเมือง ก็ต้องใช้ เพื่อจะได้มีอำนาจในการควบคุมสื่อโดยเฉพาะโทรทัศน์ ใช้สื่อนั้นในการสื่อสารสถานการณ์ที่เป็นจริง และจุดยืนของรัฐที่จะรักษากฎระเบียบที่ขาดไม่ได้ของความเป็นชาติ
คุณสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อาจเป็น ผอ.ของ ศอ.รส.ต่อไปได้ แต่ต้องจัดทีมประชาสัมพันธ์ที่มีความสามารถขึ้น เพื่อสื่อสารกับสังคมวงกว้างในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองเรื่องเลือกตั้ง แต่เกี่ยวกับวิกฤตครั้งนี้ และความจำเป็นที่รัฐจะต้องนำสังคมฝ่าวิกฤตความชอบธรรมทางกฎหมายออกไปให้ได้ เพื่ออนาคตของชาติที่เป็นของเราทุกคน
หลังจากการถอยอย่างไม่มีหลักที่ผ่านมา (ตั้งกรรมการปฏิรูป, แสดงท่าทีพร้อมเจรจากับอันธพาล, และปล่อยให้อันธพาลปิดล้อมสถานที่รับสมัครเลือกตั้ง) จะสายเกินไปหรือไม่ที่จะพลิกนโยบายมาสู่การรักษา "ชาติ" ซึ่งต้องรวมถึงกฎกติกาของการอยู่ร่วมกัน ผมไม่แน่ใจ
แต่ในวิกฤตทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุดในครั้งนี้ ไม่มีอะไรที่สายเกินไป
.
Selected Messages & Good Article for People Ideas and Social Justice .. หวังความต่อเนื่องของพลังประชาธิปไตยและการเลือกตั้งของปวงชนอันเป็นรากฐานอำนาจอธิปไตย เพื่อกำกับกติกาและอำนาจการเมือง-อำนาจตุลาการ ไม่ว่าต่อคนชั่ว(เพราะใคร?) และคนดี(ของใคร?) ไม่ให้อยู่เหนือนิติรัฐของประชาชน
http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย
2557-01-07
2556-12-31
ปฏิวัติประชาชน โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
.

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ใน www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1388385118
วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 21:32:16 น.
( ที่มา : นสพ.มติชนรายวัน 30 ธ.ค.2556 )
( ภาพจาก http://pantip.com/topic/31411558 )
สภาประชาชนของ กปปส.ถูกอาจารย์ธีรยุทธ์ บุญมียกระดับขึ้นมาเป็นการปฏิวัติของประชาชนไปแล้ว
คำว่า "ประชาชน" นี้น่าสนใจเป็นพิเศษ และควรทำความเข้าใจให้ถ่องแท้เสียก่อน "ประชาชน" เป็นนามธรรม หมายถึงองค์รวมของคนทั้งหมดในชาติ ไม่ใช่คน 65 ล้านคนรวมกัน ซึ่งอาจแยกออกเป็นคนๆ ได้ และอาจตรวจวัดว่าแต่ละคนมีเจตจำนงทางการเมืองอย่างไรได้
ดังนั้น "ประชาชน" ที่เป็นนามธรรมจึงไม่มีเจตจำนงทางการเมืองของตนเอง ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถยึดกุม "ประชาชน" ที่เป็นนามธรรมนี้ แล้วอ้างเอาเจตจำนงทางการเมืองของตนไปเป็นเจตจำนงของ "ประชาชน" ที่อยู่ในหมอกควันนี้เท่านั้น
วิธีในการยึดกุมหมอกควัน "ประชาชน" นี้ ทำได้หลายอย่าง อาจารย์ธีรยุทธยกกรณีที่ประมุขแห่งรัฐให้การรับรอง ซึ่งก็ปรากฏอยู่บ่อยครั้งในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อกองทัพอ้าง "ข้าราชการทหาร พลเรือน พ่อค้า ประชาชน" เข้าไปยึดอำนาจรัฐด้วยการรัฐประหารในนามของ "ประชาชน" ที่เป็นแค่หมอกควัน นี่ก็เป็นวิธีการหนึ่งซึ่งคนไทยคุ้นเคย
แต่ยังมีวิธีการอื่นๆ อีกมาก เช่นตั้งกองกำลังติดอาวุธของตนเอง ทำสงคราม "ประชาชน" จนได้ชัยชนะแล้วก็สถาปนาระบอบปกครองของตนเองขึ้น ตามเจตจำนงของหมอกควัน "ประชาชน"
บางคนยังสามารถทำให้การอ้างของตนน่าเชื่อถือกว่านั้นอีก เช่น ฮิตเลอร์ชนะการเลือกตั้งในสมัยที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกฯ ด้วยการปราบปรามเข่นฆ่าศัตรูทางการเมืองของตนราบคาบไปแล้ว หรือ นโปเลียนจัดให้ลงประชามติหลอกๆ ว่า "ประชาชน" ในหมอกควันมีเจตจำนงที่จะให้เขาดำรงตำแหน่งจักรพรรดิ
แม้ว่า "ประชาชน" ที่เป็นนามธรรมเป็นเพียงหมอกควันที่ไม่มีใครจับต้องได้ แต่คำนี้กลับมีพลังไพศาล เพราะมันเกิดความชอบธรรมใหม่สำหรับอำนาจทางการเมือง ที่ทำลายล้างความชอบธรรมของอำนาจทางการเมืองแบบเก่าไปหมด นับตั้งแต่ปฏิวัติฝรั่งเศสในปลายศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา คำ "ประชาชน" ที่เป็นนามธรรมนี้ก็ถูกนักการเมืองแย่งยื้อกัน เพื่อแปรเจตจำนงของ "ประชาชน" ที่เป็นนามธรรมให้ออกมาเป็นรูปธรรม
ในหมู่คนทั่วไป พลังของคำนี้อยู่ที่ตัวเขาเองถูกนับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรัฐเป็นครั้งแรก ฉะนั้นแม้เป็นหมอกควัน แต่ก็เป็นความมัวซัวที่มีตัวเขาอยู่อย่างเด่นชัดในนั้น
ดังนั้น ใครก็ตามที่ใช้คำ "ประชาชน" ที่เป็นนามธรรมนี้ โดยแบ่งแยกคนจำนวนมากให้กลายเป็นคนนอก เพราะมีการศึกษาต่ำ ถูกซื้อเสียง หรือยากจน (sans-culottes-ไร้สมบัติ) คาถา "ประชาชน "ของเขาจึงไร้มนตร์ขลัง ที่จะปลุกคนส่วนใหญ่ให้ลุกขึ้นมาร่วม "ปฏิวัติ" ด้วย
ก่อนที่คำนี้จะมีความหมายเป็นนามธรรม เราใช้คำว่า "ราษฎร" มาก่อน และนั่นคือที่มาของคณะราษฎรซึ่งทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศไทย เพื่อประกาศว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศเป็น "ราษฎร" ไม่ใช่ "ข้าราษฎร" และคำนี้หมายรวมถึงทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยก
หลังการปฏิวัติฝรั่งเศสอีกเช่นกัน ที่เกิดการ "ปฏิวัติประชาชน" ตามมาอีกมากมาย อันที่จริง แม้แต่ก่อนปฏิวัติฝรั่งเศส คำนี้ก็ถูกใช้มาแล้วในการปฏิวัติของอเมริกัน เพียงแต่การเคลื่อนไหวต่อต้านอังกฤษถูกมองว่าเป็นสงคราม "ประกาศอิสรภาพ" มากกว่าการ "ปฏิวัติประชาชน" เท่านั้น สงครามกู้เอกราชของนักชาตินิยมซึ่งเริ่มในละตินอเมริกามาก่อนใคร ก็เป็น "ปฏิวัติประชาชน" เหมือนกัน เพราะนักชาตินิยมอ้างเจตจำนงของ "ประชาชน" ที่เป็นนามธรรมนี้เช่นกัน ลัทธิชาตินิยมขยายไปทั่วโลก นำไปสู่"ปฏิวัติประชาชน"ในทุกทวีปของโลกต่อมา
"ปฏิวัติประชาชน" จึงไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยาก ตรงกันข้าม เกิดขึ้นบ่อยทั่วทั้งโลก และ (เท่าที่ผมนึกออก) การ "ปฏิวัติประชาชน" ทุกครั้ง หากทำสำเร็จก็มักจบลงที่คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง สามารถยึดกุมอำนาจไว้เหนือผู้คนทั้งหมด ด้วยข้ออ้างว่าพวกเขาเท่านั้นที่เป็นตัวแทนของเจตจำนงของ "ประชาชน" ที่เป็นหมอกควัน
แม้แต่การปฏิวัติอเมริกัน ก็มีคนอเมริกันอีกมากในช่วงนั้นที่ไม่ต้องการเป็นกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน เฉพาะคนจำนวนหนึ่งเท่านั้น ที่ผลักดันให้แยกตัวจากอังกฤษ ชนชั้นนำเหล่านี้เป็นใคร มีการตีความของนักประวัติศาสตร์ไว้หลายอย่าง นับตั้งแต่เจ้าที่ดินรายใหญ่ ไปจนถึงพ่อค้าในเมืองใหญ่ และพวกเคร่งศาสนา เป็นต้น
ไม่จำเป็นต้องพูดถึงการ "ปฏิวัติประชาชน" ในที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง เช่นรัสเซีย, จีน, ละตินอเมริกา, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแอฟริกา มีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่อ้างหมอกควัน "ประชาชน" เข้ามายึดกุมอำนาจเด็ดขาดทางการเมือง เพื่อชนชั้นของตน, ตระกูลของตน, หรือพรรคของตน
มีตลกอเมริกันที่เล่ากันว่า มัคคุเทศก์ซึ่งนำคณะทัวร์เที่ยวมหานครนิวยอร์ก ประกาศว่า บัดนี้เราเริ่มเข้าสู่มหานครนิวยอร์กแล้ว ระวังกระเป๋าสตางค์ของท่านให้ดี ผมจึงอยากสรุปอย่างเดียวกันว่า เมื่อไรได้ยินใครอ้างถึง "ประชาชน" ในความหมายนามธรรม จงระวังสิทธิเสรีภาพของท่านให้ดี
"ประชาชน" ในความหมายหมอกควันเช่นนี้มีใช้ในระบอบเสรีประชาธิปไตยหรือไม่ ก็มีใช้เหมือนกัน แต่ในความหมายตามหลักการบางกรณี เช่นในการฟ้องร้องคดีอาญาของสหรัฐ โจทก์จะเป็น"ประชาชน"เสมอ เป็นคดีระหว่าง"ประชาชน"กับนาย ก. นาย ข. เพราะความผิดทางอาญา คือการล่วงละเมิดต่อ "ประชาชน" ในความหมายที่เป็นนามธรรมเช่นนี้ ในอังกฤษซึ่งมีกษัตริย์เป็นประมุข ใช้คำว่า The Crown แทน แต่ก็ไม่ได้หมายถึงองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ แต่หมายถึงสถาบันที่มีอำนาจหน้าที่ใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชน
"ประชาชน" ในความหมายเชิงนามธรรมเช่นนี้ หากเป็นกรณีประเทศไทย ก็ต้องหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นกัน แต่มิใช่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หากหมายถึงอธิปไตยของปวงชน ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นผู้ใช้ตามบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เช่นทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติ ผ่านสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่อาจทรงใช้ผ่านสภาเทือกตั้งได้
ส่วนใหญ่ของ "ประชาชน" ที่ใช้ในระบอบเสรีประชาธิปไตย จึงหมายถึงอะไรที่เป็นรูปธรรม เช่นกลุ่มคนทั้งหมดที่เป็นพลเมืองของรัฐ กลุ่มคนทั้งหมดที่ชุมนุมกันอยู่ ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หรือกลุ่มคนทั้งหมดที่เป็นเหยื่อของรถติดในกรุงเทพฯ
เพราะเป็นรูปธรรม จึงอาจนับหัวได้ แม้ว่าอาจนับยาก แต่ก็นับได้หากอยากนับ ระบอบเสรีประชาธิปไตยวางอยู่บนหัวของคน ซึ่งนับได้ กิจการสาธารณะใดๆ ย่อมตัดสินใจกันที่จำนวนของหัว เสียงข้างมากจึงมีความสำคัญในระบอบเสรีประชาธิปไตย และการเลือกตั้งอย่างเสรีและอิสระจึงเป็นกระบวนการที่ขาดไม่ได้ของระบอบปกครองนี้
เสียงข้างมากอาจไม่ใช่เสียงที่มีคุณภาพที่สุด ตราบที่เรายังเป็นมนุษย์ปุถุชน เราย่อมเห็นผิดได้เสมอ รวมทั้งเห็นผิดพร้อมกันจำนวนมากๆ จนกลายเป็นเสียงข้างมากก็ได้ เสรีประชาธิปไตยจึงต้องเป็นระบบที่เปิดให้เสียงข้างน้อย ได้แสดงออกอย่างอิสระเสรีภายใต้ขอบเขตของกฎหมายและประเพณี เพื่อจะได้ขี้แจงแสดงเหตุผล จนทำให้คนส่วนใหญ่ที่หลงผิด คิดใหม่และตัดสินใจใหม่จากข้อมูลและเหตุผลที่ดีกว่า
เสียงข้างน้อยของประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก เคยทำอย่างนี้สำเร็จมาไม่รู้จะกี่แห่งแล้ว แต่ที่จะทำอย่างนี้ได้สำเร็จ ต้องมีความเคารพและเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน จึงมีความอดทนที่จะชี้แจงแสดงเหตุผล ทำให้เห็นจุดอ่อนจุดแข็งของนโยบายที่แตกต่างกัน
เสียงข้างน้อยที่ปราศจากความเชื่อมั่นศรัทธาต่อศักยภาพของมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน จะไม่มีความอดทนเช่นนี้ หันไปใช้การขว้างเก้าอี้และเข้าของในสภา หรือลาออกจากสมาชิกภาพ หรือบอยคอตการเลือกตั้ง เพราะเชื่อเสียแล้วว่า ถึงพูดไปคนส่วนใหญ่ซึ่งโง่เง่ากว่าพรรคพวกของตนก็ไม่มีวันเขัาใจ
การสงวนกระบวนการปฏิรูปไว้ในมือคนกลุ่มน้อย ก็มาจากความไม่เคารพในศักยภาพอันเท่าเทียมกันของมนุษย์นั่นเอง เพราะกระบวนการปฏิรูปในระบอบประชาธิปไตย คือการต่อรองกันของคนกลุ่มต่างๆ ด้วยเหตุผลและข้อมูลที่พิสูจน์ได้ ไม่ควรมีคนกลุ่มใดมีอำนาจสั่งให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงไปตามผลประโยชน์ของตนเองเพียงฝ่ายเดียว
แต่เพราะต้องการยึดกุมอำนาจไว้กับกลุ่มของตนเพียงฝ่ายเดียวต่างหาก จึงเหยียดหยามดูถูก "ประชาชน" ในความหมายที่เป็นรูปธรรม แต่ยกย่องสรรเสริญ "ประชาชน" ที่เป็นนามธรรม เพราะ "ประชาชน" ประเภทหลังนี้แหละที่คนกลุ่มนี้สามารถอ้างตนเองเป็นตัวแทนได้ โดยไม่ต้องพิสูจน์ สามารถจัดการประโยชน์สาธารณะให้เข้ามือตนเองฝ่ายเดียวได้ง่าย การปฏิรูปของพวกเขา (ซึ่งถูกอาจารย์ธีรยุทธยกระดับขึ้นมาเป็นการปฏิวัติไปแล้ว) โดยเนื้อแท้แล้วคือการปล้นกันกลางวันแสกๆ นี่เอง
. . . . . . . . . .
.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)