http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-06-30

ฯ มือที่มองเห็น...เลือกและตั้งรัฐบาล โดย มุกดา สุวรรณชาติ

.
ใส่ความหวังลงไปในบัตรเลือกตั้ง มือที่มองเห็น...เลือกและตั้งรัฐบาล
โดย มุกดา สุวรรณชาติ คอลัมน์ หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 01 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1611 หน้า 20


ที่ใช้คำว่าเลือกตั้ง ก็เพราะประชาชนคือผู้ไปเลือก บางประเทศก็เลือก ส.ส. บางประเทศก็เลือกประธานาธิบดี จากนั้น จึงมีการตั้งรัฐบาลมาบริหารประเทศตามเจตนารมณ์ของประชาชน ประชาชนจึงเป็นทั้งผู้เลือกตัวแทนหรือผู้นำและตั้งรัฐบาลผ่านตัวแทน

3 กรกฎาคม 2554 บัตร 2 ใบในมือที่มองเห็นของทุกคน เลือกได้ทั้งตัวแทนและรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน

ถ้าประชาชนเลือกมาอย่างหนึ่ง แล้วมีคนพยายามใช้อำนาจต่างๆ มาบิดเบือนเพื่อตั้งรัฐบาลอีกอย่างหนึ่งก็จะมีเรื่องวุ่นวายอย่างที่ผ่านมา

วิธีประกาศเจตนารมณ์ให้หนักแน่นคือออกมาเลือกตั้งให้มากที่สุด เลือกพรรคไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเลือกเฉพาะพรรคใหญ่



ประเทศไทยลงทุนมากมายกว่าจะมีเลือกตั้ง 2554

ถ้าคิดเรื่องระยะเวลา ผู้คนคาดหวังว่า 4 ปีจะมีเลือกตั้งครั้งหนึ่ง การเลือกตั้งในปี 2544 ประชาชนรอคอยตามระบบเพราะนายกฯ ชวน หลีกภัย ซึ่งได้เป็นนายกฯ (เนื่องจาก พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ลาออก เพราะวิกฤติเศรษฐกิจปี "40) ยุบสภาก่อนครบ 4 ปีเล็กน้อย

การเลือกตั้งครั้งนั้นพรรคไทยรักไทยชนะ ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ อยู่ต่อ 4 ปี มาเลือกตั้งใหม่ในปี 2548 ไทยรักไทยชนะอีกครั้ง แต่เป็นรัฐบาลได้แค่ปีเดียวก็ถูกกดดันจนต้องยุบสภา เลือกตั้งปี 2549 กกต. ให้เป็นโมฆะ (เพราะจัดคูหาเลือกตั้งหันหลังออกด้านนอก)

แล้วก็เกิดการรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 มาเลือกตั้งอีกครั้งภายใต้เงาของ คมช. และรัฐธรรมนูญใหม่ ในปลายปี 2550 แต่พรรคพลังประชาชนก็ยังชนะอีก คราวนี้ลงทุนยึดทำเนียบ ปิดสนามบิน ใช้ตุลาการภิวัฒน์มาล้มรัฐบาลพลังประชาชน จากนั้นก็ได้รัฐบาลเทพประทานซึ่งมีอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ

ถ้านับจากการเลือกตั้งปี 2550 ถึงวันที่ 3 กรกฎาคม ก็ยังไม่ครบ 4 ปี แต่สำหรับประชาชนดูเหมือนยาวนานมาก เพราะมีความวุ่นวายจากการต่อสู้ทางการเมือง ในที่สุดทุกฝ่ายก็ยอมรับกันว่าการเลือกตั้งและการยอมรับผลการเลือกตั้งน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ลงทุนน้อยที่สุด

และจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปรองดองซึ่งต้องทดสอบดูว่าจะร่วมกันทำได้สำเร็จหรือไม่



เลือกตั้งครั้งนี้
หวังจะแก้ไขปัญหาอะไร?

ถ้าพูดโดยรวมก็คือแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองกับแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เพราะความขัดแย้งทางการเมืองขยายตัวไปสู่การแย่งอำนาจที่ใช้ทุกวิถีทางนอกกฎกติกา ไม่คำนึงถึงความเสียหายและภาพพจน์ของประเทศ

แก้ไขความขัดแย้งหลัก (ถอนพิษ ของใครกันแน่)

ปมความขัดแย้งหลัก ในปัจจุบัน ไม่ใช่ทักษิณ และเงิน 46,000 ล้านกับกลุ่มอำนาจเก่า แต่เป็นเรื่อง ความยุติธรรม สองมาตรฐาน การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ที่มีคนตาย 91 คน บาดเจ็บ 2,000 ถูกขังอีกเป็นร้อย ที่คู่กรณีมีทั้ง รัฐบาล ทหาร และ กลุ่มคนเสื้อแดง

ในปี 2547-2548 คนเข้าใจว่าปมของความขัดแย้งหลักน่าจะมาจากทักษิณกับกลุ่มอำนาจเก่าและทุนเก่า ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อโค่นอำนาจทักษิณและสำเร็จโดยการรัฐประหารเดือนกันยา 2549 หลังจากนั้น ก็มีการยุบพรรค ดำเนินคดี ยึดทรัพย์ทักษิณ 4 หมื่น 6 พันล้าน

แต่หลังจากการเลือกตั้งปี 2550 ก็เกิดการประท้วงยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน จนถึงการประท้วงปี 53 ของคนเสื้อแดงซึ่งมีผู้เสียชีวิตไป 91 ศพ บาดเจ็บ 2,000 พอถึงตอนนี้ปมปัญหาก็ไม่ได้อยู่ที่ตัวทักษิณแล้ว

พิษร้ายที่ถูกฝังลงในประเทศนี้ตั้งแต่การรัฐประหาร 2549 ทำให้เกิดการต่อต้านจากกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมาก

เมษายน-พฤษภาคม 2553 พิษร้ายกระจายออกมีคนเสียชีวิตเพราะพิษนี้มากมาย จากการทวงคืนประชาธิปไตย ภายในปีเดียวพิษกระจายไปทั่วทั้งประเทศ

คนที่รู้จักพิษภัยพากันเรียกร้องประชาธิปไตย การเลือกตั้งและความยุติธรรมไม่มีใครเคยพูดถึงทรัพย์สมบัติของทักษิณ คนที่แพร่พิษเอง กระจายพิษเอง ยังไม่รู้ว่าเป็นพิษอะไร จะถอนพิษเวลานี้ช้าไปแล้ว ทักษิณก็ถอนไม่ได้ ต้องหายา (ปรอง) ดองมากิน ใช้เวลา และหาหมอเก่งๆ ช่วยกันรักษา

การเสนอว่าไม่ต้องมีการนิรโทษกรรมทุกกรณีเพราะกลัวทักษิณจะได้เงินคืน ไม่ใช่การถอนพิษแต่เป็นการหาเสียงแบบคิดเองเล่นเอง

เล่นเกมแบบนี้ ถ้าทักษิณเล่นด้วย อย่างมากทักษิณก็เสียสิ่งที่เสียไปแล้ว ถ้าเสียเพิ่มอีก ก็แค่ม้าตัวเดียวกับเบี้ยไม่กี่ตัว แต่อีกฝ่ายจะเสียทั้งกระดานไม่ใช่เพียงแค่ขุนหรือม้า จะเสียทั้งชื่อเสียง ลาภ ยศ แม้กระทั่งชีวิตเพราะโทษของการรัฐประหาร ยึดสนามบิน เผาบ้าน เผาเมือง ฆ่าคน 91 ศพ ล้วนแต่มีโทษหนักทั้งสิ้น ที่สำคัญมีคนเกี่ยวข้องมากมาย ทั้งพลเรือนและทหาร

ถึงตอนนี้ปัญหาขยายไปทั้งกว้างและลึก ลึกเข้าไปในใจคน กว้างไกลและไปเร็วเท่าอินเตอร์เน็ต

การหาเสียงแบบไม่สนใจการปรองดอง เหมือนมั่นใจว่าไม่มีใครแตะต้องได้ ดูเป็นการท้าทาย แต่เรื่องแบบนี้ทุกฝ่าย ควรใจเย็นใช้เวลาและความละเอียดในการแก้ไขเพราะนี่เป็นเรื่องของบ้านเมือง สำคัญกว่าคะแนนเสียงมากนัก ที่สำคัญต้องมีความยุติธรรม แต่คงแก้ไขไม่ง่าย

จำไว้ว่าคนตายไปแล้วรอคอยนานเท่าไรก็ได้ เพราะไร้ทุกข์ แต่ความทุกข์จะมาอยู่ที่คนเป็น ความยากจะตกหนักที่คนพยายามปรองดอง



แก้ไขเรื่องกระบวนการยุติธรรม

น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดเพราะตลอดสี่ปีที่ผ่านมาทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการถูกนำมาใช้อย่างไม่ถูกต้อง เพื่อจุดประสงค์บางเรื่อง ก็เลยไม่ได้รับการเชื่อถือ

อำนาจที่ได้รับจากประชาชนหรือมาจากการรัฐประหาร ถ้านำไปตั้งกฎออกกติการเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะเรื่องเพื่อคนบางกลุ่ม ยังไงก็ไม่ได้รับการยอมรับ

ดังนั้น เรื่องแบบนี้จะต้องได้รับการแก้ไข ต้องเริ่มที่การแก้กฎกติกาที่ไม่เป็นธรรมและกำหนด ขอบเขตของผู้มีอำนาจว่ามีมากแค่ไหน

มิฉะนั้นต่อไป ก็อาจจะมีคนออกกฎให้คน 5 คน - 10 คน มีอำนาจเลือก ส.ว. ได้ 100 คน หรือมีอำนาจตั้งรัฐบาลได้ ความยุติธรรมและความเสมอภาคก็จะไม่เกิดขึ้นในสังคม



แก้ไขเรื่องทหารกับการเมือง

ต้องเข้าใจว่าทหารซึ่งดูแล้วมีบทบาททางการเมืองในวันนี้ย้อนหลังไปก่อนรัฐประหาร 2549 พวกเขาไม่ได้อยากออกมายุ่งกับการเมือง แต่ก็มีคนทั้งผลักทั้งดัน ในที่สุดก็ออกมาทำการรัฐประหาร และถลำลึกเข้ามาเรื่อยๆ จนเกี่ยวข้องกับอำนาจทางการเมืองและมีบทบาทในการสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

แต่ถ้าพิจารณาจากทหารอาชีพส่วนใหญ่ พวกเขาไม่ได้ผลประโยชน์อะไรมากมายจึงไม่อยากยุ่งกับการเมือง ที่จะทำให้ตนเองต้องรับผิดชอบ และอาจจะทำให้ได้รับโทษต่างๆ ไปด้วย

ดังนั้น การกลับเข้ากรมกองของทหารจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่จะต้องตัดตอนไม่ให้มีพวกแอบอ้าง ยุแหย่

และถ้าใครอยากลงการเมืองก็ต้องลาออกมา แบบพลเอกชวลิต สมัยที่ตั้งพรรคความหวังใหม่



การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

มีเรื่องมากมายที่เป็นปัญหาในชีวิต

ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ทั้งเรื่องราคาอาหาร และค่าครองชีพ ที่พุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว

ปัญหาราคาน้ำมันและพลังงาน

ปัญหาเงินกู้หลายแสนล้าน ที่คนไทยต้องร่วมใช้หนี้ ซึ่งรายละเอียดคงต้องเอาไว้ถามรัฐบาลใหม่

แต่วันนี้ใครที่จะมาบริหารต้องมีความสามารถ ที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้



คน 37 ล้านไปเลือกตั้งเพราะอะไร

คนธรรมดามีเหตุผลต่างๆ กันที่ออกไปเลือกตั้ง พวกเขาไม่ได้กลัวเรื่องเสียสิทธิ์ทางการเมือง แต่ที่ไปเพราะเข้าใจดีว่าเป็นการทำหน้าที่ให้ตัวเองและให้ส่วนรวม

เหตุผลในการเลือกคนหรือเลือกพรรค มาจากความคิดเห็นที่เป็นทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก ทั้งอาจมีความเห็นแตกต่างกันเช่น

อยากให้บ้านเมืองสงบกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ ไม่อยากให้มี 2 มาตรฐานในระบบยุติธรรม ไม่อยากให้มีการรัฐประหารอีกแล้ว ไม่อยากให้มีการชุมนุมของทุกสี ควรนำปัญหาเข้าสู่สภาผู้แทนฯ กลัวคนเผาบ้านเผาเมือง อยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง 91 ศพ

อยากได้นายกฯ หล่อ อยากได้นายกฯ หญิง ฟังเขาพูดแล้วชอบ รู้สึกว่าดีไปหมด

โกงกันเยอะเหลือเกิน อยากหาคนซื่อสัตย์ อยากเลือกฝ่ายค้าน

อยากให้ปล่อยนักโทษการเมือง ไม่มีประเทศไหนที่จับคนไปขังไว้ โดยไม่สอบสวนและไม่นำไปขึ้นศาลเป็นปีๆ

ไม่อยากให้ประชาชนถูกฆ่ากลางเมืองอีกแล้ว อยากเลือกคนปรองดอง ไม่เลือกคนปองร้าย

เบื่อเรื่องทักษิณกับสมบัติของทักษิณ (เกี่ยวอะไรกับกูด้วยวะ) เมื่อไหร่จะเลิกพูดกันซักที

คิดถึงทักษิณ อยากให้ทักษิณกลับมา แต่บางคนกลัวทักษิณมากกว่าผีคอมมิวนิสต์

คนส่วนใหญ่มี 5-10 เหตุผล และมีความตั้งใจในการหย่อนบัตรครั้งนี้ แม้บางคนจะพูดว่า จะไปเลือกเพราะหมั่นไส้คนโกหก คนอะไรโกหกทุกเรื่อง นั่นก็เป็นเหตุผลเช่นกัน



สรุปสามแนวรบ อีกครั้งก่อนหย่อนบัตร

แนวรบทางอากาศ พรรคที่เก่ง ก็ยังเก่งกว่าเหมือนเดิม โฆษณานโยบายได้เหนือกว่าพรรคอื่น และมีข้อดีที่คนเชื่อว่าทำได้ จึงทำให้ได้เปรียบเรื่องกระแส อยู่จนถึงโค้งสุดท้าย

แนวรบภาคพื้นดิน หลังการหาเสียงได้ระยะหนึ่ง ทุกพรรคก็เข้ายึดจุดที่เป็นฐานที่มั่นและปกป้องไว้อย่างสุดชีวิต ถึงเวลานี้เหลือเขตที่แย่งชิงกัน ไม่ถึง 75 เขต จาก 375 เขต

แนวรบใต้ดินดูแล้วพรรคที่ยังอ่อนเรื่องเทคนิคก็ยังแก้เกมไม่ได้ จะเห็นได้จากเรื่องบัตรเลือกตั้ง เกมใต้ดินอื่นๆ ก็เป็นฝ่ายถูกโจมตี ถูกฟ้องร้อง แถมยังเจอการแจกซีดี แจกเอกสารโจมตี เชื่อว่าจะถูกโจมตีไปจนถึงวันเลือกตั้ง และในวันเลือกตั้งยังไม่รู้ว่าจะมีปัญญาสู้กับการโกงรูปแบบต่างๆ ได้แค่ไหน ถึงจะจัดคนควบคุมดูแลอย่างไรก็คงไม่ทั่วถึง แต่สถานการณ์ก็ดีกว่าการเลือกตั้งปี 2550 ใต้เงา คมช.

สำหรับคนเสื้อแดงที่ต้องการตรวจสอบความถูกต้อง ครั้งนี้เป็นการวัดกำลังความสามัคคี การสนับสนุนของแนวร่วม ในการจัดตั้งและปฏิบัติงาน เพื่อป้องกันการโกงในขอบเขตทั่วประเทศ และอีกส่วนหนึ่งจะต้องอธิบายการป้องกันไม่ให้บัตรเสียเนื่องจากการกาบัตรปาร์ตี้ลิสต์ผิดช่อง

พวกเขาจะต้องอธิบายให้คน 10 ล้านเข้าใจภายใน 10 วันเพราะ กกต. อนุญาตให้ทำได้แต่ต้องทำเอง



บทบาทของมือที่มองไม่เห็น
ในการเลือกตั้ง
และการจัดตั้งรัฐบาล

มือที่มองไม่เห็นหลายมือ ห็นด้วยกับวิธีการเลือกตั้ง เพราะเป็นการลดแรงกดดันและสามารถฟอกรัฐบาลให้สีสวยขึ้น มีกลิ่นหอมขึ้น

พวกเขารู้ดี ว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีวันขาวสะอาด ตอนที่ตัดสินใจยุบสภาก็เพราะสถานการณ์บังคับ กระแสปฏิวัติประชาธิปไตยในแอฟริกาเหนือก็กำลังลุกลาม

ดูการเลือกตั้งซ่อมรัฐบาลก็เป็นฝ่ายชนะ พรรคเพื่อไทยก็ยังหาหัวหน้าพรรคตัวจริงไม่ได้ ภายในพรรคก็ยังทะเลาะกันอยู่ ตอนยุบสภาจึงคิดว่าฝ่ายรัฐบาลสามารถชนะได้ไม่ยาก

แต่ไม่มีใครรู้ว่จะเกิดวิกฤติ การกักตุนน้ำมันพืชจนขาดตลาด ไข่แพง อาหารแพง และยังมีปัญหาอื่นอีกมากมาย แต่มือที่มองไม่เห็นทั้งหลายก็ยังเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลรวมกันแล้วก็ยังได้เกินครึ่งแน่นอน

แต่พอเริ่มออกสตาร์ต ปูที่คลานต้วมเตี้ยมอยู่ก็แปลงกาย เป็นโรด รันเนอร์ ออกวิ่งนำโด่งไปข้างหน้า ทั้งที่เพิ่งเปิดตัวได้อาทิตย์เดียว

หมาป่าใช้เล่ห์เหลี่ยม และอุปกรณ์ ตัวช่วยสารพัดแต่ก็สกัดไม่อยู่ ถึงตอนนี้ก็จะล้มเลือกตั้งไม่ได้แล้ว งานนี้เหมือนถูกหลอก (ที่จริงไม่ได้ถูกหลอก แต่ไม่เข้าใจประชาชน) แต่ถึงวันนี้พวกเขาก็ยังคิดว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส. ไม่ถึง 250 คน และพวกเขาจะสามารถรวมทุกพรรคมาตั้งรัฐบาลได้

แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามได้เกินครึ่งเล็กน้อย ก็หวังว่าจะมีใบเหลืองใบแดงออกมาสกัด แต่ทั้งหมดก็เป็นแค่ความหวัง

สรุปว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ มือที่มองไม่เห็นลงแข่งด้วยช่วยเต็มที่ แต่ถ้าแพ้ขาดก็ต้องยอมให้ฝ่ายตรงข้าม ตั้งรัฐบาล และหลังจากนั้นจึงจะมองหาจุดอ่อนเข้าโจมตี ซึ่งช่วงเวลานั้นจะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ เพราะครั้งนี้ ผู้ชนะก็จะได้แรงสนับสนุนมหาศาลจากประชาชน ถ้ามีใครทำอะไรที่ดูแล้วขัดต่อหลักความยุติธรรมอาจจะเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ที่ไม่มีใครกลัวใคร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมหรือกระบวนการนิติบัญญัติ แต่ถ้ารัฐบาลใหม่บริหารล้มเหลวก็จะได้รับแรงกดดันจากประชาชนจนล้มลงไปง่ายๆ เช่นกัน เพราะประชาชนตั้งความหวังไว้มาก


สัมผัสกับการเลือกตั้งมาทั้งวงนอกวงในไม่น้อยกว่า 35 ปี แต่วันนี้เพิ่งเคยเห็นผู้คนทั้งเดินทั้งวิ่ง 2-3 กิโลเมตร เพื่อไปลงคะแนนให้ทัน

นานมาแล้วที่เห็นผู้อาวุโสจากพรรคสังคมนิยมเสียน้ำตาในการพ่ายแพ้ก่อนอำลาวงการเมือง 33 ปีต่อมา เห็นน้ำตาคุณบรรหารครั้งแรกตอนถูกยุบพรรค

แต่เพิ่งเคยเห็นคนไปลงคะแนนไม่ทันแล้วร้องไห้ ไม่ใช่น้ำตานักการเมือง เป็นน้ำตาประชาชน ไม่น่าเชื่อว่าในบัตรเลือกตั้งครั้งนี้ จะมีคนใส่ หัวใจ กับความหวัง ลงไปด้วย จำนวนมากมาย...

มากเสียจนไม่แน่ใจว่าจะมีใครรับไหว


+ + + +

ยอมรับผลเลือกตั้ง บ้านเมืองก็ไม่มีปัญหา โดย ลม เปลี่ยนทิศ
..ประเภทที่คิดเข้าข้างตัวเอง เลือกตั้งแพ้ จะมีทหารออกมาปฏิวัติ ผมว่ามันหมดยุคแล้วที่จะคิดอย่างนี้ ทหารกลุ่มไหนออกมาปฏิวัติในช่วงนี้ ก็คงไม่มีใครในโลกยอมรับ มีแต่ทำให้ประเทศชาติล่มจมลงแน่นอน..
ใน ไทยรัฐออนไลน์ 27 มิถุนายน 2554, 05:00 น.
http://www.thairath.co.th/column/pol/thai_remark/181806

อนาคตประเทศคืออะไร โดย ลม เปลี่ยนทิศ
..นโยบายส่วนใหญ่มุ่งผลระยะสั้นและระยะกลาง มุ่งประชานิยมเพื่อหาเสียงมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการเรียนฟรี การประกันรายได้เกษตรกร หรือประชาวิวัฒน์ และในการหาเสียงโค้งสุดท้ายดูเหมือนว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ จากการตั้งรับมาเป็นการรุก ด้วยการโจมตีพรรคคู่ต่อสู้ เกี่ยวกับการเผาบ้านเผาเมือง และการนิรโทษกรรมล้างผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร..
..พรรคประชาธิปัตย์อาจจำเป็นต้องโจมตีคู่แข่ง ซึ่งเป็นการหาเสียงในเชิงลบ เพราะนายกรัฐมนตรีถูกกล่าวหาว่าสั่งฆ่าประชาชน แต่การตอบโต้คู่แข่งควรจะเป็นหน้าที่ของระดับรองๆลงไป ส่วนหัวหน้าพรรคซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี น่าจะหาเสียงในเชิงสร้างสรรค์ เน้นการแสดงภาวะผู้นำ แสดงวิสัยทัศน์ จะนำพาประเทศไปสู่ทิศทางใด ถ้าได้รับอาณัติให้บริหารประเทศอีก 4 ปี..
ใน ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 30 มิถุนายน 2554, 05:01 น.
http://www.thairath.co.th/column/pol/editor/182593

สอบตกยกทีม โดย แม่ลูกจันทร์
..การที่ กกต.ไม่ชี้แจงประเด็นนี้ให้ชัดเจน ได้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง เพราะทำให้ประชาชนต้องถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง (โดยไม่รู้ตัว) ถึงหนึ่งล้านหนึ่งแสนคน..
ใน ไทยรัฐออนไลน์ 29 มิถุนายน 2554, 05:00 น.
http://www.thairath.co.th/column/pol/greenhead/182311

ต้องเลยตามเลย โดย แม่ลูกจันทร์
..การตัดสินใจลาออกจากภาคีมรดกโลกของ “สุวิทย์ คุณกิตติ” หัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทย กลายเป็นเรื่องเข้าใจผิดในสาระสำคัญ..
ใน ไทยรัฐออนไลน์ 30 มิถุนายน 2554, 05:01 น.
http://www.thairath.co.th/column/pol/greenhead/182586

กำพร้าเพื่อน โดย แม่ลูกจันทร์
..รัฐบาลมีเวลา 2 ปีเต็มๆที่จะเดินสายล็อบบี้มิตรประเทศให้ช่วยสนับสนุนให้ “เลื่อน” การลงมติไปก่อน จนกว่าการปักปันเขตแดนจะเสร็จสิ้น แต่ 2 ปีผ่านไป ไทยไม่มีน้ำยาแสวงหามิตรประเทศเป็นแนวร่วมเพิ่มขึ้น..
http://www.thairath.co.th/column/pol/greenhead/182079


.

2554-06-29

ผอ.ยูเนสโกโต้สุวิทย์ พูดไปเอง ชี้ไม่มีวาระที่อ้าง

.
ผอ.ยูเนสโกโต้สุวิทย์ พูดไปเอง ชี้ไม่มีวาระที่อ้าง
สุรเกียรติ์ฟันธง ไทยพลาดแล้ว!
ข่าวสดรายวัน หน้า 1 วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7516


ยูเนสโกแถลงโต้ "สุวิทย์ คุณกิตติ" นำประเทศไทยถอนตัวภาคีมรดกโลก ออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์กังขาข้ออ้างที่นำมาเปิดเผย ยืนยันยูเนสโกและคณะกรรมการมรดกโลกไม่ได้หารือแผนบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหาร รวมถึงไม่ได้ขอรายงานเพื่อนำมาหารือ ยิ่งกว่านั้นก็ไม่เคยผลักดันให้มีการหารือในเรื่องแผนบริหารจัดการดังกล่าวด้วย ส่วนที่ไม่สามารถเลื่อนวาระได้เพราะสมาชิกไม่ยินยอม ด้านสุวิทย์กลับมาถึงไทยอ้างเหตุผลต้องถอนเพราะไม่อยากรับภาระความรับผิดชอบที่ตามมา

ด้านอดีตรมว.ต่างประ เทศ "สุรเกียรติ์ เสถียรไทย"ชี้ไทยไม่ได้ประโยชน์ -เสียโอกาสจากการกระทำดังกล่าว เพราะมีวิธีอื่นตั้งมากมาย เช่น วอล์กเอาต์ หรือให้ที่ประชุมบันทึกว่าไม่เห็นด้วย เพื่อจะได้มาเป็นเหตุผลในการโต้แย้งภายหลัง


"สุวิทย์"อ้างเหตุไทยลาออกภาคีมรดกโลก

เมื่อเวลา 05.50 น.วันที่ 27 มิ.ย. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หัวหน้าคณะผู้แทนการเจรจามรดกโลกฝ่ายไทย เดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ หลังตัดสินใจให้ประเทศไทยยื่นลาออกจากการเป็นภาคีคณะกรรมการมรดกโลก

นายสุวิทย์เปิดเผยว่า ถ้าหากไปเห็นชอบกับแผนบริหารจัดการหรือไม่เห็นชอบกับแผนบริหารจัดการ แต่กลับไปเห็นชอบกับข้อมติที่มีการซ่อนรายละเอียดเหล่านี้อยู่ข้างในจะเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการที่จะต้องสูญเสียอำนาจอธิปไตยและเขตแดนของไทย ถ้าหากคณะกรรมการเห็นชอบในร่างข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งเราก็ไม่ได้ความเห็นชอบด้วย แต่ศูนย์มรดกโลกผู้แทนผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก ก็พยายามผลักดันในเรื่องนี้และนำเสนอในที่ประชุมในลักษณะเร่งด่วน รวบรัด ซึ่งเราเองก็ได้ทักท้วงในที่ประชุมแล้วว่าควรจะให้มีกระบวนการในการเจรจามากขึ้น เพื่อจะได้หาข้อยุติร่วมกันให้ได้ แต่คณะกรรมการและศูนย์มรดกโลกไม่ได้ยอมขยายเวลาให้เราที่ขอขยายเวลาเพื่อที่จะได้พิจารณาเพื่อหาข้อยุติให้ได้ จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน หรือปัญหาผลกระทบกันบริเวณชายแดน แต่ในที่สุดที่ประชุมก็ยังยืนยันที่จะดำเนินการต่อ

"ถ้าเราปล่อยไปแล้วไปสู่ขบวนการและมีส่วนร่วมในการพิจารณาร่างดังกล่าวด้วยนั้น ก็จะทำให้เกิดปัญหาและก็ความผูกพันในฐานะที่เราไปร่วมพิจารณาถึงแม้จะไม่เห็นชอบด้วยแต่ที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นชอบด้วยก็จะทำให้เกิดปัญหาและเกิดการตีความขึ้นมา ดังนั้น เราจึงประกาศถอนตัวจากการเป็นภาคีสมาชิกอนุ สัญญามรดกโลก และก็ประกาศด้วยว่าจะไม่ร่วมพิจารณาในครั้งนี้ แล้วผลที่ออกมาใดๆ ก็ตามเราไม่เห็นชอบด้วย ขอยืนยันว่าการกระทำการใดๆ ของประเทศกัมพูชา องค์การยูเนสโกหรือว่าผืนมรดกโลกก็ตาม ในการที่ดำเนินการเกี่ยวข้องบริเวณรอบตัวปราสาทเขาพระวิหารที่อาจจะรุกล้ำอำนาจอธิปไตยในเขตแดนไทยเราไม่สามารถยอมรับได้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่รับผิดชอบการกระทำใดๆ ที่เกิดขึ้น ดังนั้น ประเทศไทยได้พิจารณาแล้วเห็นว่าศูนย์มรดกโลก คณะกรรม การมรดกโลกก็ดี ไม่ได้เห็นถึงความสำคัญของความละเอียดอ่อนเรื่องของปัญหาเขตแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชา" นายสุวิทย์ระบุ

อ้างไม่อยากผูกพัน-รับผิดชอบ

นายสุวิทย์กล่าวอีกว่า เมื่อเริ่มไม่มีความชัดเจนและสุ่มเสี่ยงทางประเทศไทยก็ได้ปรึกษาหารือ และตัดสินใจว่าขอถอนตัวจากการเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญามรดกโลก และไม่ขอร่วมการประชุมพิจารณาร่างข้อมติดังกล่าว เราจึงออกมา ซึ่งศูนย์มรดกโลกก็พยายามต่อรองว่าอย่ารีบยื่นหนังสือประกาศถอนตัวได้หรือไม่ ซึ่งตนนั้นได้ประกาศไปแล้วถ้าไม่ยื่นในวันเดียวกันนั้นถ้าหากมีการพิจารณาอะไรไปก็จะหาว่ามีส่วนร่วมในการพิจารณาและความเห็นชอบมติร่างข้อดังกล่าวด้วย อาจจะเป็นความผูกพันที่เราจะต้องรับผิดชอบด้วย ซึ่งตนไม่สามารถรับผิดชอบในส่วนนั้นได้ จึงได้ตัดสินใจว่าขอถอนตัวออกมา "วันนี้ก็ไม่มีคนไทยเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการมรดกโลกด้วย จึงขอเรียนถึงพี่น้องประชาชนคนไทยว่าคณะผู้แทนไทยพยายามทำหน้าที่ดีที่สุดแล้วในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาในการแก้ไขปัญหาที่เราไปเสียเปรียบทำให้ขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกได้ในช่วงปี พ.ศ.2551 และต้องมาแก้ไขปัญหาในวันนี้ เราไม่สามารถที่จะแก้ได้ หวังว่าพี่น้องประชาชนทุกคนคงเข้าใจ"

"มาร์ค"ซัดนพดล-ชี้สร้างปัญหา

ที่วัดศรีธาตุ จ.ยโสธร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงท่าทีของไทยหลังถอนตัวจากการเป็นคณะกรรมการมรดกโลกว่านายสุวิทย์จะรายงานในที่ประชุมครม. ซึ่งคงมีประเด็นที่จะให้หน่วยงานเร่งดูในข้อมติของมรดกโลกหลังจากเราเดินออกจากที่ประชุมแล้ว มันมีผลมีความหมายอย่างไร และขั้นตอนดำเนินการต่อจากการแสดงเจตนาของนายสุวิทย์จะเป็นอย่างไร เข้าใจว่าจะต้องเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่จะมาทำต่อ

ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังไทยถอนตัวมีผลกระทบต่อมรดกโลกของไทยที่ขึ้นทะเบียนไปแล้วหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ยัง เพราะขั้นตอนต่างๆ ยังมีอีกหลายขั้นตอน ฉะนั้นตรงนี้คือจุดที่จะให้ทุกหน่วยงานไปรวบรวมข้อมูลและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

เมื่อถามว่านายนพดล ปัทมะ ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และอดีต รมว.ต่างประ เทศ บอกว่าการทำแบบนี้เหมือนปิ้งปลาประชดแมวและจะกระทบกับส่วนอื่นๆ ที่ไทยจะขึ้นทะเบียนมรดกโลก นายกฯกล่าวว่า ผลกระทบทั้งหลายจะมีการพิจารณาอย่างถ่องแท้ แต่ผลกระทบต่อการขึ้นทะเบียนอะไรก็ไม่รุนแรง หากว่าถ้าว่าเราเสียดินแดน และนายนพดลน่าจะทราบว่า สิ่งที่ตัวเองทำไว้เมื่อปี พ.ศ.2551 สร้างปัญหามาอย่างไร ทำให้ทุกวันนี้ที่เราพยายามแก้มา 3 ปี ไม่ให้ไปเสนอแผนบริหารพื้นที่ มันจะคาบเกี่ยวกับพื้นที่ของเราเป็นปัญหามาตลอด อย่าลืมว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ไปเป็นที่ปรึกษาของสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา อยู่ช่วงหนึ่งด้วย

อ้างไม่กระทบมรดกโลกในไทย

เมื่อถามว่าทางพันธมิตรฯ ประกาศเป็นชัยชนะของเขา กรณีที่ไทยถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก นายกฯกล่าวว่า คิดว่าเป้าหมายไม่ได้อยู่ที่ถอนตัวหรือไม่ถอนตัว ชัยชนะอยู่ที่การรักษาอธิปไตย รักษาดินแดน ตนยินดีทำหน้าที่ตรงนี้ให้เต็มที่และพันธมิตรฯ ที่หวงแหนเรื่องนี้ต้องติดตามเรื่องต่อไป เพราะการถอนออกไปไม่ได้จบ ต้องช่วยกันรักษาดินแดน ป้องกันไม่ให้เดินเกมในลักษณะระหว่างประเทศ ที่มากระทบสิทธิ์ของไทย

เมื่อถามว่าตอนนี้ชายแดนทางกัมพูชาเริ่มเคลื่อนไหว นายกฯกล่าวว่า ตนได้คุยกับทางกองทัพตั้งแต่ก่อนถอนตัว ประมาณ 1-2 ชั่วโมง โดยสอบถามว่ามีการเฝ้าระวังแค่ไหน ซึ่งกองทัพยืนยันว่าเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลาและรายงานให้ตนทราบว่ามีการเคลื่อนไหวอย่างไร

เมื่อถามว่าช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลตรงนี้จะทำให้เป็นปัญหาต่อการดูแลแนวชายแดนกัมพูชา หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า คงเป็นช่วงสั้นๆ ตนถึงอยากบอกว่าถ้าเลือกตั้งเสร็จทำอย่างไรเพื่อให้มีการตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เราจะได้มาสะสางปัญหานี้ต่อไป และขอยืนยันว่าถ้ามีความชัดเจนว่าเรามีรัฐบาลที่เข้มแข็งในการปกป้องอธิปไตยอย่างต่อเนื่อง คิดว่าทางกัมพูชาจะปรับท่าที เพราะบางครั้งกัมพูชาพยายามจะดูเงื่อนไขการเมืองภายในประเทศ บางทีลุ้นอยู่ว่าถ้าเปลี่ยนแปลงรัฐบาลจะหารัฐบาลที่พูดคุยกันง่ายกว่าหรือเปล่า เขาจึงดำเนินงานอย่างที่เราเห็น

เมื่อถามย้ำว่าจะกระทบต่อมรดกโลกที่ขึ้นทะเบียนไปแล้วหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ยัง เพราะมติที่ออกมาในท้ายที่สุดยังไม่มีการพูดถึงการไปอนุมัติหรือเห็นชอบกับแผนบริหารจัดการ ฉะนั้นตนมองว่าสถานะของการขึ้นทะเบียนเหมือนเดิม คือยังไม่สมบูรณ์ ยังมีปัญหาอยู่ และเรากำลังให้หน่วยงานไปดูข้อมติอย่างละเอียด เพราะในข้อมติการอ้างอิงต่ออนุสัญญาและข้อบังคับอะไรต่างๆ ตรงนี้ให้ไปดูให้ละเอียด ซึ่งในที่ประชุม ครม.ในวันที่ 28 มิ.ย.คงจะรับทราบสิ่งที่นายสุวิทย์ได้ไปดำเนินการมาภายใต้มติ ครม.เดิม และขั้นตอนที่จะทำต่อไป


ยูเนสโกแถลงโต้สุวิทย์บิดเบือน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางอิรินา โบโกวา ผู้อำนวยการใหญ่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก แถลงการณ์ผ่านทางเว็บไซต์ของยูเนสโก แสดงความเสียใจต่อการที่ไทยถอนตัวออกจากการเป็นภาคีคณะกรรมการมรดกโลก โดยระบุว่า อนุสัญญามรดกโลกปี 2515 ไม่ได้เป็นเครื่องมือในการอนุรักษ์และปกป้องสมบัติโลกทั้งด้านธรรมชาติและด้านวัฒนธรรม ซึ่งมีคุณค่าในทางสากลแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเครื่องมือพัฒนาความร่วมมือและการเจรจานานาชาติด้วย

นอกจากนั้น นางโบโกวา ยังชี้แจงข้อมูลที่ตรงกันข้ามกับประเด็นที่นายสุวิทย์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไทย โดยยืนยันผ่านแถลงการณ์ว่า คณะกรรมการมรดกโลกไม่ได้หารือถึงแผนบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และคณะกรรมการมรดกโลกก็ไม่ได้ขอรายงานเพื่อนำมาหารือ ยิ่งกว่านั้นคณะกรรมการมรดกโลกต้องการสร้างความกระจ่างว่าศูนย์มรดกโลกของยูเนสโก ไม่เคยผลักดันให้เกิดการหารือในเรื่องแผนบริหารจัดการดังกล่าว

ชี้คำร้องขอเลื่อนไม่มีผู้สนับสนุน

การตัดสินใจเพียงประการเดียวของคณะกรรมการมรดกโลก ในเรื่องปราสาทพระวิหารที่เป็นมรดกโลก คือ ยืนยันถึงการปกป้องและอนุรักษ์ปราสาทพระวิหารจากอันตรายใดๆ และคณะกรรมการมรดกโลกสนับสนุนทั้งไทยและกัมพูชาให้ใช้อนุสัญญาปี 2515 เป็นเครื่องมือสนับสนุนการอนุรักษ์ การพัฒนาอย่างยั่งยืนและการเจรจา คณะกรรมการมรดกโลกอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์ หลังจากไทยวอล์กเอาต์ ส่วนคำขอของไทยที่ให้เลื่อนการพิจารณาออกไป ไม่ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกในที่ประชุมคณะกรรม การมรดกโลก

"มรดกโลกไม่ควรนำมาใช้เป็นเครื่องมือสร้างความขัดแย้ง แต่เป็นเครื่องมือสำหรับการเจรจาและการสร้างความปรองดอง" นางโบโกวา ย้ำ

ทั้งนี้ เมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา นางโบโกวาเคยส่งนายโคอิชิโร มัตซึอุระ เป็นผู้แทนพิเศษมายังไทยและกัมพูชา หลังทั้งสองประเทศปะทะกันใกล้กับปราสาทพระวิหาร และนางโบโกวายังเคยช่วยอำนวยความสะดวกให้ไทยและกัมพูชาในระหว่างการหารือที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา และนางโบโกวาแสดงความหวังว่าไทยจะพิจารณาอย่างรอบคอบและเคารพอนุสัญญา อีกทั้งจะให้ความร่วมมือในการปกป้องมรดกโลกต่อไป


"สุรเกียรติ์"ชี้ไทยเสียประโยชน์

ที่โรงแรมสยามซิตี นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีไทยยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกและกรรมการมรดกโลกว่า ตนยังไม่เห็นข้อมูลทั้งหมด และยังไม่ชัดเจนว่าการถอนตัวจากการเป็นกรรมการมรดกโลกจะเป็นประโยชน์อะไรกับประเทศไทย เพราะการกำหนดจุดยืนของไทยในกรณีที่ไทยไม่เห็นด้วยในประเด็นต่างๆ ก็สามารถทำได้ในหลายลักษณะและทั่วโลกก็ใช้วิธีนี้ เช่น วอล์กเอาต์ หรือขอให้ที่ประชุมบันทึกว่าไม่เห็นด้วยในประเด็นไหน ซึ่งสามารถหยิบยกขึ้นมากล่าวอ้างคัดค้านในอนาคตได้

"ตอนนี้ยังไม่เห็นเหตุผลทั้งหมดของคณะเจรจา แต่เท่าที่ฟังการให้สัมภาษณ์ การประชุมเป็นการเสนอระเบียบวาระ แต่ยังไม่ได้เป็นการพิจารณาในรายละเอียด และคณะกรรมการก็ถอนคำที่ทางฝ่ายเราคัดค้าน ดังนั้น ผมจึงไม่เห็นประโยชน์ที่เราไปถอนตัวจากการเป็นภาคี และคิดว่า หลังเลือกตั้ง ฝ่ายไทยคงต้องกลับมาพิจารณาให้รอบคอบ เพราะกระบวนการถอนตัวที่จะมีผลสำเร็จใช้เวลาหลายเดือน ซึ่งตอนนี้มีคำถาม 3 ข้อ คือ 1.ยังไม่เห็นที่กัมพูชาเสนอเกินเข้ามาในร่างข้อมติชัดๆ 2.ยังไม่เห็นร่างข้อมติว่า อะไรที่เรารับไม่ได้แน่ๆ 3.สังคมยังไม่ได้ถกเถียงเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง" นายสุรเกียรติ์กล่าว

นายสุรเกียรติ์กล่าวว่า คณะกรรมการมรดกโลกไม่ได้เป็นองค์กรที่เกี่ยวกับการปักปันเขต แดน แต่บางครั้งองค์กรที่เกี่ยวกับเรื่องเขตแดน ก็อาจจะยกมติมากล่าวอ้างบ้าง แต่ตนเห็นไปใน ทางที่ว่า ถ้ายังอยู่ข้างในภาคีและสู้ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อปกป้องจุดยืน จะดีกว่าอยู่ข้างนอก เพราะถ้าออกมาอยู่ข้างนอกแล้วฝ่ายไทยจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่า มีใครทำอะไรไปบ้าง แต่อยู่ข้างในยังคัดค้านได้ ฉะนั้น หลังเลือกตั้งก็ยังมีเวลาพิจาร ณาทบทวนกันได้ว่า จะออกจริงหรือไม่ออก ถ้าพิจารณาแล้วเห็นพ้องยืนยันว่าจะออก ก็แล้วแต่รัฐบาล แต่ถ้าคิดว่าการตัดสินใจครั้งนี้ยังไม่รอบ คอบ เป็นการตัดสินใจอย่างกระชั้นชิด ใกล้ช่วงเวลาเลือกตั้ง ก็พิจารณาใหม่ได้ และสามารถขอ กลับไปใหม่ได้ ขึ้นกับนโยบายของรัฐบาลใหม่

ระบุการเมืองภายในไทยชี้นำ

เมื่อถามว่า การตัดสินใจถอนตัวเป็นผลจากปัจจัยการเมืองภายในด้วย นายสุรเกียรติ์กล่าวว่า น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะอีกอาทิตย์เดียวก็เลือกตั้งแล้ว ตนยังไม่อยากวิจารณ์มาก แต่หลังเลือกตั้ง เรายังมีเวลาก็ค่อยเอาที่กัมพูชาเสนอมาดูว่าเป็นอย่างไรแน่ และวาระที่บรรจุเข้าที่ประชุมเป็นอย่างไร

เมื่อถามว่า กรณีนี้จะส่งผลความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชามากขึ้นหรือไม่ นายสุรเกียรติ์กล่าวว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาเป็นเรื่องทวิภาคี แต่การแก้ปัญหาไปอยู่ในระดับพหุภาคี ถ้าความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านเป็นปกติ ก็แก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ แต่แน่นอนว่า ก็ต้องรักษาอธิปไตย ดังนั้น รัฐบาลใหม่ต้องมียุทธศาสตร์ระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศเพื่อนบ้านที่ชัดเจน จึงจะแก้ปัญหาพิพาทได้ ส่วนเรื่องนี้จะมีผลต่อกรณีที่กัมพูชายื่นเรื่องให้ศาลโลกพิจารณาข้อพิพาทเขตแดนหรือไม่นั้น ตนยังตอบไม่ได้ ต้องดูรายละเอียดทั้งหมดก่อน อย่างไรก็ดี เรื่องการต่างประเทศต้องมีวุฒิภาวะในการตัดสินใจใดๆ ไม่ใช่ว่า ปีที่ผ่านมาฝ่ายไทยไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วพอประชุมก็ไปล็อบบี้กรรมการจากต่างประเทศ พอกรรมการไม่ทำให้ ก็โวยวายชวนตี ดังนั้น อย่าให้ต่างชาติมองแบบนี้ ต้องมาคิดว่า ทำไมต่างชาติที่เป็นกรรมการมรดกโลกหลายสิบประเทศ ทำไมไม่เอากับฝ่ายไทยเลย ก็ต้องทบทวน

เมื่อถามถึงผลกระทบต่อมรดโลกแห่งอื่นๆ ของไทย นายสุรเกียรติ์กล่าวว่า ความเป็นมรดกโลกคงยังอยู่ และตามอนุสัญญาก็ไม่ได้ห้ามให้ไทยเสนอแห่งใหม่ๆ เข้าไป แต่เป็นเรื่องแปลกแน่นอนที่ว่า ไทยไม่ได้เป็นภาคีแล้วแต่จะเสนอสถานที่เข้าไปให้กรรมการมรดกโลกพิจารณา


ผบ.ทบ.เผยเป็นแผนเตรียมไว้

ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ไทยถอนตัวจากการเป็นสมาชิกภาคีมรดกโลก ว่าไม่มีปัญหาอะไร เป็นมาตรการหนึ่งที่เราได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์นี้จะทำ อย่างไรต่อไป ซึ่งการประชุมภาคีมรดกโลกครั้งนี้มีปัญหาเกิดขึ้นในเรื่องของการเสนอวาระเข้าไปในการประชุม เท่าที่ตนทราบจากการรายงานในชั้นต้นเดิมจะขอเลื่อนไปก่อน แต่ปรากฏว่าเขาจะนำเข้าไปในวาระและจะพิจารณาเลย ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็คงต้องหาทางแก้ปัญหากันต่อ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สำหรับการเตรียมการดูแลตามแนวชายแดนเราก็ปฏิบัติเหมือนที่ผ่านมา และเราก็ทำเป็นปกติอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่มีการปะทะกันมา เราได้มีการเตรียมการเพิ่มเติม ปรับกำลัง จัดที่กำบังต่างๆ ให้ปลอดภัย ซึ่งเราจะเตรียมการป้องกันเป็นหลัก เราไม่ต้องการรุกรานใครทั้งสิ้น และที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้เริ่มต้นสถานการณ์ก่อน อย่างไรก็ตามจะติดตามสถานการณ์ต่อไป ทหารจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แต่ในเรื่องนี้ต้องแยกประเด็นออกจากกัน เพราะเราได้ถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกภาคีมรดกโลก ไม่จำเป็นต้องมาพูดให้เป็นประเด็นอีกแล้ว คงต้องไปดูในเรื่องของศาลโลกต่อไป ว่าจะตัดสินให้คุ้มครองตามคำร้องของประเทศกัมพูชาหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ตนคิดว่าในส่วนของรัฐบาลและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

จับมือแสดงความยินดีกับสุวิทย์

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีได้ปรึกษาเรื่องการดูแลตามแนวชายแดนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว นายกรัฐมน ตรีได้สั่งการผ่านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และได้สั่งการให้เข้มงวดตามแนวชายแดนตั้งแต่พื้นที่ของกองทัพภาคที่ 1 คือด้านจันทบุรีและตราด ตลอดแนว การสัญจรไปมาของประชาชนและงานด้านการข่าว ส่วนการเพิ่มเติมกำลังในพื้นที่ฝ่ายตรงข้าม เรื่องนี้ ทาง กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ เตรียมพร้อมมาโดยตลอด เราทั้ง 3 เหล่าทัพจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

"วันนี้ คงต้องมีการพูดคุยกันแล้วในระดับสูง เพราะระดับล่างยังคุยอะไรกันไม่ได้ ต้องดูข้างบนว่าจะให้ทำอย่างไรต่อไป ในเรื่องของมาตรการต่างๆ จะเข้มงวดแค่ไหน ต้องพูดคุยกันอีก แต่สิ่งหนึ่งที่พบว่าทั้งสองประเทศไม่ต้องการให้เกิดการสู้รบ เพราะจะทำให้ประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายเดือดร้อน" ผบ.ทบ.กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์เสร็จ ได้เดินมาจับมือกับนายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทย ที่เพิ่งแถลงข่าวเสร็จเช่นเดียวกัน โดยทั้งสองฝ่ายมีสีหน้ายิ้มแย้ม และนายสุวิทย์ได้พุดคุยกับ ผบ.ทบ.ว่า"เมื่อวานมันเอาหมดทุกอย่างเลย" และผบ.ทบ.ได้ตอบกลับไปว่า "ไม่เป็นไร ท่านรมว.กลาโหมได้โทรศัพท์สั่งการมาที่ผม และผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ต้องห่วง"

ประวิตรพร้อมดูแลอธิปไตยไทย

ที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก(อผศ.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์การดูแลบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ทุกอย่างเป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจง ส่วนความรับผิดชอบของทหารตนได้สั่งการไปแล้วในเรื่องการดูแลอธิปไตย ทุกอย่างที่เป็นของประเทศไทยตามแนวชายแดน และเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น ดังนั้น ไม่มีปัญหา อะไรที่เป็นของเราก็ยังเป็นของเรา

เมื่อถามว่าการถอนตัวจากการเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกจะทำให้สถานการณ์ไทย-กัมพูชาตึงเครียดเพิ่มขึ้นหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า แล้วแต่คนจะคิด แต่ตนคิดว่าเราต้องดูแลอธิปไตยทุกอย่างที่เป็นของเรา เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหา เมื่อถามว่า นายกฯได้กำชับในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ท่านให้ดูแลพื้นที่และประชาชนตามแนวชายแดน ให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เมื่อถามว่า หากเกิดเหตุรุนแรงขึ้นอีกครั้งมีการเตรียมแผนอพยพอย่างไร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เราเตรียมการไว้แล้ว เวลานี้เรามีความพร้อมในการป้องกัน การให้ความปลอดภัยกับประชาชน เมื่อถามว่ากัมพูชามีการเคลื่อนกำลังบริเวณชายแดนหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่มี ตนเชื่อว่าไทยและกัมพูชาคงไม่อยากรบกัน คงต้องมีการพูดจากัน

เทือกชี้จำเป็นต้องถอน-เลี่ยงไม่ได้

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงการตัดสินใจถอนตัวจากการเป็นสมาชิกภาคีคณะกรรมการมรดกโลกว่า เป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความจริงจุดยืนของรัฐบาลไทยต้องการที่จะร่วมมือกับฝ่ายต่างๆ ในเวทีโลกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องอธิปไตยของชาติ พื้นแผ่นดินของเราตารางนิ้วเดียวเราก็ยอมไม่ได้ จึงถือเป็นหน้าที่ของเราที่จะปกป้องอธิปไตยของเรา

"คณะกรรมการมรดกโลกเมื่อไม่ฟังเหตุผลของเรา ทั้งที่เรื่องการปักปันเขตแดนกำลังดำเนินการอยู่ และยังจะพิจารณาอะไรที่เป็นการข่มเหงเรา เราก็รับไม่ได้" นายสุเทพกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าการตัดสินใจเช่นนี้ จะส่งผลไปถึงปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา เกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงตามแนวชายแดนหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องนี้ทหารได้ส่งกำลังดูแลอยู่อย่างแข็งแรงและมั่นคง มั่นใจว่ากองทัพไทยจะรักษาอธิป ไตยของเราได้อย่างสมภาคภูมิ ไม่ต้องให้ประชา ชนกังวลใจ ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้น เชื่อว่าหลังเลือกตั้งทุกอย่างจะคลี่คลาย ขณะนี้มันสอดรับกันอยู่ เมื่อเลือกตั้งแล้วทุกอย่างก็จะเรียบร้อยได้

เมื่อถามว่านายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วย เพราะจะไม่สามารถนำโบราณสถานอื่นๆ ขึ้นเป็นมรดกโลกได้และจะมีผลกับนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวในประเทศไทย นายสุเทพกล่าวว่า ไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่ไม่น่าแปลกใจที่นายปลอดประสพไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล เพราะไม่เห็นด้วยทุกเรื่องอยู่แล้ว แต่ถ้าเห็นด้วยถึงจะเป็นเรื่องแปลก ส่วนเรื่องนักท่องเที่ยวไม่ต้องกังวล เพราะประเทศไทยยังเป็นประเทศที่คนสนใจมาเที่ยวติดอันดับโลกอยู่ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา เห็นข่าวไทยติดอันดับ 3 ของโลกที่น่าเที่ยว ขออย่างเดียวว่าอย่าให้มีพวกมาเผาบ้านเผาเมือง หรืออย่ามาก่อเหตุจลาจลอย่างที่เคยทำมาอีก คนเขาก็มาเที่ยวแล้ว


เผยบัวแก้วท้วงสุวิทย์ไม่ให้ถอน

รายงานข่าวจากกระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยบรรยากาศการหารือ ก่อนที่นายสุวิทย์ จะถอนตัวจากสมาชิกภาคีมรดกโลก ทั้งที่ความเป็นจริงเรื่องดังกล่าวมีแนวโน้มที่ไทย-กัมพูชา สามารถหาทางออกร่วมกันได้ โดยไทยเสนอให้ร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์ปราสาทพระวิหาร แลกกับการเลื่อนการพิจารณาพื้นที่รอบปราสาท 4.6 ตร.ก.ม. นอกจากนี้ ไทยและยูเนสโกได้ใช้เวลาพิจารณาในส่วนของถ้อยคำที่จะระบุอยู่ในข้อมติของคณะกรรมการมรดกโลก เช่น protection and conservation แทนคำเดิมที่ได้ระบุก่อนหน้านี้แล้ว อีกทั้งไทยไม่ต้องการให้กัมพูชาขยายความคำว่าบูรณะว่าต้องทำอย่างไร

รายงานข่าวกระทรวงต่างประเทศระบุด้วยว่า ผลการเจรจาดังกล่าวเป็นที่น่าพอใจ เพราะกัมพูชายอมรับข้อเสนอของไทย แต่นายสุวิทย์กังวลว่าทางกัมพูชาอาจสอดแทรกแผนบริหารเข้ามาในข้อมติดังกล่าว ซึ่งทางกระทรวงได้ท้วงติงความคิดของนายสุวิทย์ว่าการเจรจาระดับพหุภาคีจะไม่มีการกระทำดังกล่าวแน่นอน เพราะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติจะเจรจาในเรื่องที่หยิบยกมาเท่านั้น อย่างไรก็ดี สิ่งที่นายสุวิทย์กระทำลงไปถือว่าไม่รักษามารยาททางการทูต เพราะเป็นการแสดงความไม่เชื่อมั่นในคู่เจรจา และตีความไปก่อนหน้า จนนำไปสู่การตัดสินใจบอกล้างอนุสัญญามรดกโลก 1972 ทั้งที่ไม่มีความจำเป็น เพราะมีทางเลือกอีกหลายแนวทาง ซึ่งทางกระทรวงก็ได้รายงานไปก่อนหน้านี้แล้ว

วันเดียวกัน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รมว. วัฒนธรรม กล่าวถึงกรณีไทยประกาศถอนตัวจากภาคีอนุสัญญามรดกโลกว่า นางโสมสุดา ลียะวณิช อธิบดีกรมศิลปากร ได้โทรศัพท์มารายงานการลาออกจากภาคีมรดกโลกของไทย ยังไม่มีผลทันที รัฐบาลต้องส่งหนังสือยืนยันแจ้งการลาออกอย่างเป็นทางการกลับไปยังยูเนสโก เมื่อครบ 1 ปีการลาออกจึงจะมีผลสมบูรณ์ ส่วนตำแหน่งคณะกรรมการมรดกโลก 21 ประเทศนั้น นางโสมสุดาต้องส่งหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการเช่นกัน ซึ่งต้องหารือว่าจะดำเนินการอย่างไรอีกบ้าง เพราะที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเหตุการณ์ลักษณะอย่างนี้



+ + + +

ณ ประเทศโคตรอินดี้: เมื่อสู้เขาไม่ได้ก็ถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก โดย นายปราบ รักไฉไล
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1309259817&grpid=&catid=02&subcatid=0207
ลาออกจากมรดกโลก: บนความสูญเสียของใคร? โดย พวงทอง ภวัครพันธุ์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1309247610&grpid=01&catid=02&subcatid=0207
หัวจิตหัวใจ โดย ฐากูร บุนปาน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1309260372&grpid=&catid=02&subcatid=0207
"นพดล"โต้กลับ"อภิสิทธิ์"ใส่ร้ายป้ายสีกรณีปราสาทพระวิหาร ลั่นพร้อมอโหสิ จวกหนีไม่พ้นกฎแห่งกรรม
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1309232642&grpid=00&catid=01&subcatid=0100
"มาร์ค"เผยผ่านเฟซบุ๊ก"จากใจนายกฯตอน 8" อัด"นพดล"ควรหุบปากเรื่องไทย-กัมพูชา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1309230949&grpid=00&catid=01&subcatid=0100


.

2554-06-28

ร่ำไห้บุกประชิดอภิสิทธิ-แม่ทวง 91ศพ

.
ร่ำไห้บุกประชิดอภิสิทธิ-แม่ทวง 91ศพ
เย้ยมาร์ค เฟซบุ๊กมั่ว เชื่อคนบ้า
ข่าวสดรายวัน หน้า 1 วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7516


ทวง91ศพ - นางคำจันทร์ แสง จันทร์ ชาวอ.ปทุมราชวงศา จ.อำนาจเจริญ แม่เหยื่อ 1 ใน 91 ศพ ร่ำไห้เข้าสอบถามนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าใครฆ่าลูกชาย ระหว่าง ที่นายอภิสิทธิ์ไปหาเสียงใกล้บ้าน เมื่อ 27 มิ.ย.

"ณัฐวุฒิ" โต้เฟซบุ๊กมาร์ค ที่แท้ชายสติไม่สมประกอบให้ข้อมูล เห็นชายชุดดำฆ่าแล้วลากศพไปเผาในวัดปทุมฯ ยันผลตรวจสอบกับตร. และดีเอสไอ ไม่พบหลักฐานฆ่าเผา จับผิดได้คาเฟซบุ๊ก โกหกคนทั้งประเทศ



มาร์คเจออีก ขณะหาเสียงอำนาจเจริญ เจอแม่หนุ่ม เสื้อแดงที่ถูกยิงตายย่านบ่อนไก่ ร้องไห้โฮบุกประชิดถาม ลูกตายมาเป็นปี ทำไม

นายกฯ ไม่ดูแล ไม่รับผิดชอบ หรือพูดความจริง ทำเอามาร์คสีหน้าไม่สู้ดี อ้างสงสัยโดนลูกหลง ก่อนปัดให้ "สาทิตย์" รมต.สำนักนายกฯ เร่งตามคดี และช่วยเหลือ

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 27 มิ.ย. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยคณะเดินทางมาเปิดเวทีปราศรัยหาเสียงที่วัดชมภู่ อ.ปทุมราชวงศา จ.อำนาจเจริญ ปรากฏว่าเมื่อรถจอด และนายอภิสิทธิ์เดินไปด้านหลังเวที มีนางคำจันทร์ แสงคำ อายุ 48 ปี ชาวบ้าน อ.ปทุมราชวงศา สวมเสื้อยืดสีดำ ร้องไห้โฮวิ่งเข้ามาหานายอภิสิทธิ์ทันที ท่ามกลางความตกใจของรปภ.ที่ขวางไม่ทัน เพราะนางคำจันทร์ไม่ได้สวมเสื้อแดง หรือมีสัญลักษณ์อะไรที่บ่งบอกว่าเป็นคนเสื้อแดง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่ประชิดตัว นางคำจันทร์สอบถามนายอภิสิทธฺ์ด้วยน้ำเสียงสะอื้นน้ำตานองหน้าว่า "ลูกชายเสียชีวิตมานานมากแล้ว มีรายชื่ออยู่ในผู้เสียชีวิต 91 ศพ แต่ทำไมนายกฯ ไม่ดูแล ตายมาเป็นปีแล้ว ทำไมไม่มีใครออกมารับผิดชอบ หรือพูดความจริง" ก่อนจะชี้แจงรายละเอียดว่า เป็นแม่ของนายวุฒิชัย วราห์คำ อายุ 22 ปี ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์กระชับพื้นที่บริเวณแยกบ่อนไก่ กรุงเทพฯ เมื่อเดือนพ.ค.2553 โดยนายวุฒิชัยเพิ่งกลับจากเกณฑ์ทหาร เป็นช่างในอู่รถแท็กซี่

"แม่เสียใจมากๆ เหตุการณ์เกิดขึ้นนานแล้ว ตอนแรกคิดว่าทำไมนายกฯ ไม่มาดูแลพวกฉันบ้าง เวลาผ่านไปนานแล้ว ทำไมไม่ออกมา อยากมาต่อว่าตรงนี้แค่นั้น ไม่ได้มีอะไร เพราะแม่เป็นผู้สูญเสีย ก็เสียใจมาก ตอนแรกแม่ชั่งใจอยู่นานเหมือนกันว่าจะออกมาดีหรือไม่

แต่ไหนๆ นายกฯ ก็มาถึงบ้านแล้วก็ขอถาม เพราะวันนี้ยังเสียใจอยู่ อยากให้รัฐบาลทำงานให้มันเร็วกว่านี้ ที่มาวันนี้นั้นเพราะอยากรู้

ความจริงว่า ลูกของฉันที่ตาย เหตุมันเกิดจากอะไรกันแน่ แม่อยากถามท่านนายกฯ ตรงนี้ เพราะเราเป็นฝ่ายสูญเสีย อยากรู้ว่าที่รัฐบาลจับผู้กระทำผิดได้บ้างหรือเปล่า และคดีคืบหน้าไปแค่ไหน" นางคำจันทร์ กล่าว

แม่ของเหยื่อในเหตุการณ์สลายม็อบ 91 ศพ กล่าวต่อว่า มีลูก 5 คน นายวุฒิชัยเป็นคนที่ 4 เสียชีวิตโดยไม่รู้สาเหตุ ยังไม่ได้รับคำตอบอะไรเลยจากรัฐบาล พอทราบว่านายกฯ มาถึงที่ อ.ปทุมราชวงศา เลยอยากมาถาม ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการมาสร้างเงื่อนไข หรืออุปสรรค เมื่อฟังจากปากนายกฯ ว่ากำลังติดตามอยู่พอจะเข้าใจได้ สิ่งสำคัญอยากรู้ว่าชายชุดดำที่ฝ่ายรัฐบาลกล่าวหานั้น มาจากไหน และเป็นใคร

"ถึงวันนี้ถ้าถามว่ายังโกรธรัฐบาลหรือไม่ ก็ยอมรับว่ายังโกรธอยู่ เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตที่แม่ยอมรับไม่ได้ วันนี้ก็ยังโกรธ ตรงที่ว่าทำ ไมท่านไม่ออกมาดูตั้งแต่ตอนแรก ว่าประชาชนที่สูญเสียเขาเป็นอย่างไร อยากพูดกับนายกฯ ตรงนี้ แต่เมื่อเราได้พูดกันแล้วก็รู้สึกดีขึ้น อยากให้นายกฯ รับทราบบ้างว่า คนต่างจังหวัดเขาเป็นอย่างไร รู้สึกกันอย่างไร" นางคำจันทร์ ร่ำไห้กล่าว

ต่อข้อถามว่าคิดว่าลูกชายเสียชีวิตจากชายชุดดำ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ นางคำจันทร์ กล่าวว่า ถ้าให้พูดจากใจ นายกฯ เป็นคนที่สูงกว่าทุกอย่าง สามารถสั่งการหรือทำอะไรได้ ถ้าไม่ออกมาตรงนั้น แล้วทหารมาจากไหน และทหารมีจำนวนมาก เท่าที่ดูข่าวเห็นว่ามีแต่ทหาร ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เลยไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกับทหาร หรือชายชุดดำ ที่ผ่านมาได้เงินช่วยเหลือจากบ้านราชวิถี 400,000 บาท ได้รับการประสานจากกระทรวงยุติธรรม ลูกชายยังไม่มีครอบครัว แต่ยังไม่เคยได้รับความกระจ่างจากนายกฯ หรือรัฐบาลเลย


จากนั้นนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ผู้สูญเสียสามารถมาต่อว่าได้ สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจหรือวางเฉย ดำเนินการเป็นกรณีๆ ไป รัฐบาลพยายามเยียวยาอย่างเต็มที่ สำหรับข้อเท็จจริงก็พยายามสอบกันอยู่ มีการแยกคดีออกมาว่าใครเกิดเหตุที่ไหน

อย่างไร สั่งการให้ติดตามอยู่แล้วในทุกกรณี แต่มันไม่ง่าย เนื่องจากเหตุการณ์ชุลมุนมาก อีกทั้งเมื่อได้ข้อมูลมา ก็ต้องมาชั่งน้ำหนัก ทั้งข้อมูลและพยานหลักฐาน กรณีบ่อนไก่และเสียชีวิตระหว่างมีเหตุการณ์ปะทะกัน แม่ของผู้เสียชีวิตอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงอยากให้เร่งรัดสอบสวนว่าเสียชีวิตอย่างไร เหตุการณ์น่าจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 14-18 พ.ค. เขาก็อยากรู้ความจริง และเท่าที่ฟังน่าจะได้รับเงินช่วยเหลือจากการเยียวยาจากบ้านราชวิถี น่าจะเป็นส่วนของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ

นายกฯ กล่าวต่อว่า ผู้เสียชีวิตน่าจะเป็นชาวชุมชนบ่อนไก่ เหตุการณ์น่าจะเกิดช่วงที่ทหารเข้าไปปิดล้อมไม่ให้คนเข้าไป เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ต้องการเข้าไปสลายการชุมนุม เพราะกลัวว่าจะมีการปะทะกัน ช่วงเวลานั้นมีด่าน 4 ด้าน และมีอยู่ที่จุดพระราม 4 ซึ่งจุดดังกล่าวมีคนมาปะทะกับทหาร มีการยิงกัน เกิดไฟดับ ตอนนี้ก็พยายามตามอยู่ ส่วนการช่วยเหลือนั้นรัฐบาลตามมาตลอด และดูว่าได้รับการช่วยเหลือครบถ้วนหรือยัง อย่างเงิน 400,000 บาทที่ได้รับ ก็น่าจะเป็นส่วนของรัฐบาล

"ความจริงผมได้อ่านรายงานอยู่ แต่ไม่มีโอกาสได้มาพบ ใจของผมจริงๆ อยากมาพบ แต่ส่วนใหญ่จะมีปัญหา เพราะกลุ่มคนเสื้อแดง เขาก็ไม่อยากให้พบ เพราะเขามีปัญหากับผม มาวันนี้ก็ขอแสดงความเสียใจ ยืนยันได้ว่าสำหรับผมและรัฐบาล มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำ ให้คนไทยด้วยกันต้องมาเสียชีวิต เท่าที่ฟังผู้ตายน่าจะโดนลูกหลงมากกว่า เพราะอาศัยอยู่ที่บ่อนไก่ ผมจะติดตามและเร่งรัด แต่จะให้ผมไปยุ่งกับการสอบมากไม่ได้ เพราะเดี๋ยวก็จะมากล่าว หาผมว่าไปสั่งอีกก็จะทำให้มันยาก แต่รับปากว่าจะตามเรื่องให้ เพราะเรื่องนี้ต้องค้นหาความจริงต่อเนื่องต่อไป" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดการพูดคุย นาง คำจันทร์ร่ำไห้ตลอดเวลา ทำให้นายอภิสิทธิ์มีสีหน้าไม่สู้ดี พยายามปลอบด้วยการจับมือให้กำลังใจ ก่อนพยายามชี้แจงถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ และสั่งการให้นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ เร่งติดตามผลคดี และการช่วยเหลือ


ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการลงพื้นที่ปราศรัยหาเสียงย้อนรอยพื้นที่ที่เกี่ยวกับคนเสื้อแดงในจุดต่างๆ ว่า เราไปปราศรัยทุกแห่ง ที่เห็นว่าสมควรที่จะไป กรณีที่แยกราชประสงค์เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องไปเปิดปราศรัย เพราะมีกระบวนการของพรรคเพื่อไทย ที่ทำหลายอย่างสอดประสานกัน ทั้งมวลชนเสื้อแดงที่จัดตั้งไว้ ทั้งสื่อมวลชนบางฝ่ายที่รับจ้างมากล่าวหานายกฯ สั่งฆ่าประชาชน เป็นฆาตกร ดังนั้น จึงไม่มีจุดไหนที่จะแสดงความจริงได้ชัดเจน เท่ากับสถานที่ที่เขาอ้างว่าเป็นที่เกิดเหตุ เราจึงต้องไปใช้พื้นที่นั้น

เลขาฯ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า การปราศรัยที่ผ่านมา ได้รับตอบรับจากประชาชนดีขึ้นมาก เพราะบางคนก็ลืมเหตุการณ์นั้นไปแล้ว สิ่งที่ปราศรัยไปนั้น ไม่เคยพูดว่าไม่รับผิดชอบ รัฐบาลรับผิดชอบอยู่แล้ว ด้วยการดำเนินคดีบุคคลชุดดำ 15 คน ที่จับกุมได้พร้อมหลักฐาน คนที่ยุยงส่งเสริม ทุกอย่างว่าไปตามกระบวน การของกฎหมาย นอกจากนี้ ยังดูแลเยียวยาผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต รวมทั้งตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลาง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด สิ่งเหล่านี้เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล ส่วนที่ยังมีการทวงถามไม่เลิกรานั้น เป็นสมุนบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เขาต้องทำเป็นเรื่อง เข้าใจได้ชัดเจน และตนเองก็พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม


วันเดียวกัน เวลา 09.30 น. ที่ศาลอาญา ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก นายประสงค์ มณีอินทร์ และนายโกวิทย์ แย้มประเสริฐ จำเลยที่ 1 และ 2 ในความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศ พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 คนละ 8 เดือน, ฐานร่วมกันลักทรัพย์ด้วยการทำลายสิ่งกีดกั้น คนละ 5 ปี, ฐานมีวัตถุระเบิด คนละ 6 ปี, ฐานมีวิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับ 6,000 บาท, และพาอาวุธไปในที่สาธารณะ ปรับ 100 บาท รวมจำคุกจำเลยทั้ง 2 เป็นเวลา 11 ปี 8 เดือน ปรับ 6,100 บาท และให้ริบของกลาง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีดังกล่าว ทางพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ สรุปฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2553 จำเลยทั้ง 2 กับพวกร่วมกันชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และมั่วสุมขณะที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยจำเลยที่ 1 ขับรถกระบะ จำเลยที่ 2 นั่งไปด้วย เข้าไปในเส้นทางที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จำเลยทั้ง 2 ร่วมกันมีวัตถุระเบิด และเครื่องวิทยุคมนาคมชนิดมือถือ โดยไม่ได้รับอนุญาต หกพาวัตถุระเบิดและอาวุธต่างๆ ไปในเมือง หมู่บ้าน โดยไม่มีเหตุอันสมควร นอกจากนี้ ยังงัดประตูร้านค้าเซเว่นอีเลฟเว่น เข้าไปลักทรัพย์ 60 รายการ เป็นเงิน 38,251 บาท เหตุเกิดที่แขวง ลุมพินี เขตปทุมวัน และแขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กทม.

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามวันเวลาที่ฟ้อง มีการประกาศใช้พ.ร.ก. ห้ามใช้เส้นทางตามที่กำหนด ห้ามชุมนุม แต่ปรากฏว่าจำเลยทั้ง 2 ขับรถกระบะผ่านไปยังด่านตรวจค้น ที่ตำรวจตั้งด่านสกัดอยู่ เมื่อตรวจค้นพบวัตถุระเบิด มีด ขวาน วิทยุสื่อสาร นอกจากนี้ ยังพบบุหรี่ สุรา อาหารแห้ง และบัตรเติมเงินโทรศัพท์ ที่จำเลยทั้ง 2 ลักทรัพย์มาจากร้านเซเว่นฯ โดยจำเลยทั้ง 2 ยอมรับว่ากำลังเดินทางกลับจากการเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มนปช. ที่แยกราชประสงค์ แม้จะให้การปฏิเสธ แต่จากคำเบิกความของพยานโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ขณะตั้งด่านตรวจค้น มีเจ้าหน้าที่ร่วมจับกุมหลายนาย ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่า จะเบิกความปรักปรำให้จำเลยทั้ง 2 ได้รับโทษ เชื่อว่าจำเลยทั้ง 2 กระทำผิดตามฟ้อง พิพากษาลงโทษจำคุกดังกล่าว


ต่อมาเวลา 11.45 น. ที่ศาลอาญา ศาลอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของกลุ่มนปช.ทราบ กรณีที่นาย จตุพร พรหมพันธุ์ ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และนายนิสิต สินธุไพร แกนนำนปช. จำเลยคดีร่วมกันก่อการร้าย ยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์ พิจารณาเพื่อมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว หลังจากศาลอาญาไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้ง 2 มาก่อนหน้านี้

ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ความผิดที่ถูกกล่าวหามีโทษสถานหนัก พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง มีเหตุอันควรเชื่อว่า หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้ง 2 ระหว่างพิจารณา จำเลยอาจก่อให้เกิดอันตรายกระทบต่อความสงบเรียบร้อย จึงยังไม่มีเหตุสมควรปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง


ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชี รายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. แถลงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เขียนข้อความในเฟซบุ๊ก ว่ากลุ่มชายชุดดำฆ่าประชาชน และนำศพไปเผาภายในวัดปทุมวนาราม ว่าข้อความดังกล่าวถูกเขียนขึ้นโดยบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ เมื่อนายอภิสิทธิ์ระบุเช่นนี้ จึงไปตรวจสอบและพูดคุยกับตำรวจ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยได้ข้อมูลว่ารายละเอียดในเรื่องนี้ เป็นเพียงคำบอกเล่าของชายที่สติไม่สมประกอบ และไม่มีพยานหลักฐานอื่นมารองรับ

นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังตรวจสอบไปที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไม่พบหลักฐานในเรื่องนี้เช่นกัน จึงสรุปได้ว่านายอภิสิทธิ์ต้องการคะแนนเสียง จึงกล่าวหาใส่ร้ายการต่อสู้ของประชาชนอย่างโหดร้าย รวมทั้งยังนำคำบอกเล่าของคนสติไม่ดี และไม่น่าเชื่อถือมากล่าวอ้าง ทำให้ไม่ทราบว่า ระหว่างนายอภิสิทธิ์กับชายคนดังกล่าว ใครสติไม่ดีกว่ากัน เรื่องนี้เป็นการโกหก

คนไทยทั้งประเทศ และถือเป็นการจับผิดได้คาเฟซบุ๊ก อีกทั้งนายอภิสิทธิ์ก็ยังไม่ได้ออกมาชี้แจงแต่อย่างใด คนที่เป็นผู้นำประเทศต้องมีความรับผิดชอบมากว่านี้


ขณะที่ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง กล่าวว่า มีสมาชิกที่ไปจับตาดูการเลือกตั้งล่วงหน้า พบการทุจริต หรือกลโกงในรูปแบบต่างๆ โดยบันทึกภาพไว้ได้จากมือถือ และส่งหลักฐานเข้ามายังศูนย์เฝ้าระวังการโกงเลือกตั้ง 54 ของตนเป็นจำนวนมาก อยู่ระหว่างการตรวจสอบคลิป จากนั้นจะส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง เพื่อให้พิจารณาต่อไป

นายสมบัติ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เตรียมหาเสียงโค้งสุดท้ายและมีข่าวว่าจะไปตั้งเวทีที่แยกคอกวัวนั้น ไม่รู้ว่านายสุเทพและนายอภิสิทธิ์ จะมาบีบน้ำตาอีกหรือไม่ ที่ผ่านมาที่นายสุเทพยืนร้องไห้บนเวทีปราศรัยที่ราชประสงค์ ขณะชี้แจงเหตุการณ์สลายม็อบเสื้อแดง ก็ยังสงสัยว่าน้ำตาที่นายสุเทพบีบออกมามีเหตุผลอะไร หากเป็นน้ำตาที่เกิดจากความเสียใจ ที่เป็นผู้สั่งการให้ใช้กำลังเข้าปราบปรามประชาชน อยากถามว่าแล้วทำไมช่วงที่สลายการชุมนุมที่สี่แยกคอกวัว แล้วมีคนตายจำนวนมาก นายสุเทพถึงไม่สั่งให้เจ้าหน้าที่หยุดเดินหน้า แต่กลับสั่งเดินหน้าปราบปรามประชาชน จนล่วงเลยมาถึงวันที่ 19 พ.ค. สงสัยว่าน้ำตาของนายสุเทพอยู่ในประเภทไหน

"การเสียชีวิตของประชาชนทั้ง 2 เหตุการณ์ 10 เม.ย. และ19 พ.ค. จะต้องมีคนรับผิดชอบ รัฐบาลใหม่ที่กำลังจะมาจะต้องเร่งสะสางปัญหานี้อย่างเร่งด่วน และนำตัวผู้กระทำผิด ผู้สั่งการในครั้งนั้น เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยเร็ว เพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียชีวิตเหล่านั้น" แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง กล่าว



+ + + +

พล.อ.สมเจตน์นำกลุ่มสยามสามัคคีรณรงค์"ไม่เลือกคนเผาบ้านเผาเมือง"
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1309251994&grpid=00&catid=&subcatid=
ส.ว.ซัดปชป.-พท.นำวาทกรรม"เผาบ้านเผาเมือง-91ศพ"ซดกัน ชี้อย่าเอาชนะไม่นึกถึงปท.หลังเลือกตั้ง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308558908&grpid=03&catid=00
"ชวน"หาเสียงขอนแก่น บอกไม่ให้เลือกพวกเผาบ้านเผาเมือง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308486556&grpid=03&catid=01
"ชูวิทย์"ห่วง 2 พรรคใหญ่หาเสียงรุนแรง ถึงขั้นเผาบ้านสร้างสถานการณ์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308308637&grpid=03&catid=00
กองเชียร์"อภิสิทธิ์"ตะโกนไล่เสื้อแดง หาเสียงกระทุ่มแบน ชูป้าย"ไม่เอาพวกเผาบ้านเผาเมือง"
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1307852569&grpid=03&catid=80
"สุเทพ"เมินสร้างละครปรองดองของ"เติ้ง" แขวะพวกเผาบ้านเมืองทำตัวเป็นพระเอกหลับหูหลับตาเชียร์กัน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1307430692&grpid=03&catid=01
เผาบ้าน เผาเมือง วาทะ"บูมเมอแรง" "ผังล้มเจ้า"โอละพ่อ เสื้อแดงลุยทวง 91 ศพ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1307112329&grpid=no&catid=50
"หมอเหวง" แจ้งกองปราบจับ "สุเทพ" กล่าวหาแกนนำแดงเผาบ้านเมืองเป็นผู้ก่อการร้าย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1306313013&grpid=02&catid=19
แกนนำแดงยื่นกกต.เอาผิด"สุเทพ-ธาริต"ใส่ร้ายเผาบ้านเผาเมืองสกัดสมัครส.ส.พท.
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1306140442&grpid=03&catid=80
"ยิ่งลักษณ์"ตีปี๊บทูตสหรัฐห่วงปฏิวัติ ปัดทาบ"พล.อ.ประวิตร"นั่ง รมว.กลาโหม
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1309243905&grpid=00&catid=&subcatid=
ยิ่งลักษณ์โกอินเตอร์ อภิสิทธิ์โกหก? โดย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1309181657&grpid=01&catid=&subcatid=

.

2554-06-27

เอกสารเสนาธิปัตย์ ยุทธการกระชับวงล้อม 14-19 พ.ค.53 ฯ

.
เอกสารลับ ยุทธการกระชับวงล้อม 14-19 พ.ค.53 ( ตอน 1)
"มาร์ค"สั่งกระชับวงล้อมเพื่อ"ยุติ"ไม่ใช่"เจรจา"
ในมติชน ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 23:20:49 น.


บทความชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสารเสนาธิปัตย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ปีที่ 59 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2553 เป็นบทความที่เขียนขึ้นเพื่อประกอบการจัดทำ“เอกสารแนวทางในการปฏิบัติทางทหาร: กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเมือง” จากความริเริ่มของพล.ท.สิงห์ศึก สิงห์ไพร เพื่อกำหนดบทบาทของกองทัพบกในการแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบในเมืองรูปแบบใหม่

ผู้เขียนใช้นามแฝงว่า“หัวหน้าควง”เป็นจปร.32 (เหล่าทหารราบ) เป็นนายทหารปฏิบัติการประจำกรมยุทธศึกษาทหารบก

เนื้อหาในบทความนี้เป็นมุมมองของนายทหารที่ปฏิบัติการณ์สลายการชุมนุมของ“คนเสื้อแดง”ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่สรุปบทเรียนจาก“ความสำเร็จ”ในการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์

มีเนื้อหาหลายช่วงตอนที่น่าสนใจ เช่น

1.ในขณะที่“สุเทพ เทือกสุบรรณ”รองนายกรัฐมนตรี ปราศรัยบนเวทีราชประสงค์ยืนยันว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้ร่วมสั่งการในการสลายการชุมนุม โดยนายสุเทพประกาศว่าเขาเป็นคนสั่งการเอง

ผมเรียนกับพี่น้องครับ นายกฯ อภิสิทธิ์ ไม่ได้ร่วมสั่งการใด ๆทั้งสิ้น ผมเป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. ผมเป็นคนสั่งการทุกอย่าง แล้วผมรับผิดชอบ เขากล่าวหาว่า ทำให้คนตาย ผมไปมอบตัวแล้ว ผมเรียนกับพี่น้องครับ ผมพร้อมที่จะสู้คดีพิสูจน์ความถูก ความต้อง ผมไม่หนีไปต่างประเทศเหมือนทักษิณ

แต่ในบทความชิ้นนี้ ระบุชัดว่า“นายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุม ศอฉ. ในวันที่ 12 พฤษภาคม ให้ฝ่ายทหารเริ่มต้นปฏิบัติการตามแผนยุทธการที่วางไว้ ”


นอกจากนั้นยังระบุด้วยว่า นโยบายรัฐบาลชัดเจนมาตลอดที่จะใช้มาตรการทางทหารกดดันม็อบกลุ่มนปช. ความชัดเจนก็คือนโยบายกระชับวงล้อมเพื่อ"ยุติการชุมนุม" ไม่ใช้การกระชับวงล้อมเพื่อ"เปิดการเจรจา"

และนั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ข้อเสนอเป็นตัวกลางในการเจรจาของ "วุฒิสมาชิก"ในคืนวันที่18 พฤษภาคมถูกปฏิเสธ

ยุทธการกระชับวงล้อมแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ 1. ช่วง 14 พฤษภาคม 2.ช่วง 15-18 พฤษภาคม และ 3 ช่วงวันที่ 19 พฤษภาคม ตั้งแต่เวลา 03.00 จนกระทั่งแกนนำประกาศยุติการชุมนุม 13.20 น.


2.“หัวหน้าควง”สรุปว่าเหตุผลหนึ่งที่ประสบชัยชนะในการกระชับวงล้อมมาจากการถอนตัวของนายวีระมุสิกพงศ์ ประธานกลุ่มนปช. และการเสียชีวิตของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง เพราะทำให้นปช.ไม่มีหัวในระดับยุทธศาสตร์ทางการเมือง และไม่มีหัวเสธ.ระดับยุทธศาสตร์ทางทหารในการวางแผนตั้งรับ

ก่อนหน้านี้นายสุเทพ ปราศรัยว่าเขาสงสัยว่าพวกของนายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นฝ่ายยิงเสธ.แดง


3.เอกสารชุดนี้บอกชัดเจนถึงแผนยุทธการทั้งหมด และหน่วยทหารที่ใช้ในครั้งนี้ มีการยอมรับในเอกสารถึงการใช้“หน่วยสไนเปอร์” เป็นหน่วยแรกในการเข้าสลาย โดยยึดพื้นที่สูงคืออาคารเคี่ยนหงวน และอาคารบางกอกเคเบิ้ล

และมีหลายช่วงตอนที่พุดถึง“หน่วยสไนเปอร์” ที่ระดมพลแม่นปืนเท่าที่มีอยู่ในกองทัพบกเข้าประจำพื้นที่ เพื่อต่อต้านการซุ่มยิงของกลุ่มนปช.ทั้งบนอาคารสูงและพื้นที่สูงข่ม


4.มีการพูดถึงการสั่งการให้ใช้“กระสุนจริง”และระบุว่า“แผนยุทธการครั้งนี้เป็นการวางแผนการปฏิบัติรบเต็มรูปแบบ เหมือนการทำสงครามรบในเมือง ใช้กำลังขนาดใหญ่ถึง 3 กองพล”และ“ยิ่งมีการสั่งการให้ใช้กระสุนจริงกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายผู้ถืออาวุธและเพื่อป้องกันตัวเองได้ ทำให้ทหารที่สูญเสียความเชื่อมั่นจากเหตุการณ์ 10 เมษายน มีจิตใจรุกรบมากขึ้น”

และ“ปรับการยิงกระสุนยางจากปืนลูกซองเป็นการใช้กระสุนจริงจากอาวุธประจำกาย”


5.จากหน่วยข่าวศอฉ. เชื่อว่ามีผู้ก่อการร้ายที่แอบแฝงในกลุ่มนปช.เป็นกองกำลังติดอาวุธประมาณ 500 คน มีอาวุธซุ่มยิง อาวุธสงคราม เช่น M 79 M16 AK 47 และ Travo-21

6.ในส่วนของ“ข้อเสนอแนะทางยุทธวิธี” มีข้อหนึ่งที่ระบุว่า “ผู้บังคับบัญชาหน่วยระดับยุทธวิธีควรปฏิบัติภายใต้การรักษาชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธ์เป็นที่สำคัญที่สุด และต้องควบคุมการลั่นไกกระสุนจริงโดยมีสติ และมีเจตนารมณ์ อย่าให้กำลังพลปฏิบัติด้วยความโมโห หรือการแก้แค้นเป็นอันขาด”

และ“ควรมีการศึกษาค้นหาตัวแบบที่เหมาะสมในการกำหนดพื้นที่ที่ใช้กระสุนจริง เพราะปัจจุบันยังไม่ทราบว่ามีประเทศใดในระดับนานาชาติที่ได้นำมาปฏิบัติในการสลายการชุมนุมที่ได้รับการยอมรับ ”


และนี่คือรายละเอียดของบทความชิ้นนี้โดย"มติชนออนไลน์"แบ่งเนื้อหาดังกล่าวเป็น 3 ตอน

.......................................................................

บทเรียนยุทธการกระชับวงล้อม พื้นที่ราชประสงค์ 14-19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ( ตอน 1 )


ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์การกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ครั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ทางการเมือง ตั้งแต่ระดับนโยบาย คือคณะรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความมีเอกภาพของรัฐบาลกับกองทัพ

กล่าวนำ

สืบเนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติแดงทั้งแผ่นดิน (นปช.)กับรัฐบาล โดยกลุ่ม นปช.ได้มีการชุมนุมเกินขอบเขตของกฎหมายอย่างต่อเนื่อง มาตั้งแต่ 12 มีนาคม จนถึง 18 พฤษภาคม 2553 และกลุ่ม นปช.ได้เคลื่อนย้ายมวลชนมาปักหลักตั้งเวทีปราศรัยถาวรที่บริเวณพื้นที่สี่แยกราชประสงค์สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนในกรุงเทพฯส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล และได้สร้างผลเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างร้ายแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.เพื่อการแก้ไขปัญหาการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยมีกองทัพบกเป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหาและกองทัพบกได้นำ กำลังพลเข้าแก้ไขปัญหาในเหตุการณ์สำคัญ ๆ 3 เหตุการณ์ คือ เหตุการณ์ 10 เมษายน พื้นที่สี่แยกคอกวัว เหตุการณ์การรักษาพื้นที่สีลม เหตุการณ์สลายการเคลื่อนไหวกลุ่ม นปช. พื้นที่อนุสรณ์สถาน ดอนเมือง

บทความฉบับนี้เขียนขึ้นเพื่อประกอบการจัดทำ "เอกสารแนวทางในการปฏิบัติทางทหาร : กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเมือง" ตามดำริของเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก พล.ท.สิงห์ศึก สิงห์ไพร เพื่อกำหนดบทบาทของกองทัพบกในการแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบในเมืองรูปแบบใหม่

เมื่อรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนในการกระชับวงล้อมพื้นที่ชุมนุมราชประสงค์ศอฉ. ผ่านการสั่งการมายังกองทัพบกก็ได้จัดกำลังเปิดยุทธการกระชับวงล้อม โดยแบ่งการปฏิบัติออกเป็น 3 ห้วงเวลา กล่าวคือ ห้วงแรก เป็นการกระชับวงล้อมขั้นต้น ในวันที่ 14 พฤษภาคมพ.ศ. 2553 ห้วงที่ 2 เป็นการถอยร่นเพื่อสถาปนาแนวตั้งรับเร่งด่วนในวันที่ 15-18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 และห้วงสุดท้ายการกระทบวงล้อมขั้นสุดท้ายในวันที่ 19 พฤษภาคม ตั้งแต่เวลา 03.00 น. จนกระทั่งแกนนำประกาศยุติการชุมนุมบนเวทีราชประสงค์ เมื่อเวลา 13.20 น.

บทความนี้จะได้นำเสนอบทเรียนแบบความสำเร็จของยุทธการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ในระดับยุทธ์ศาสตร์ยุทธการ และยุทธวิธี

พร้อมด้วยข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล ศอฉ. กองทัพบก และหน่วยปฏิบัติระดับยุทธวิธีเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป


ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ : การกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์

การแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ เมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ภายหลังทหารประสบความสำเร็จในการปฏิบัติการ "ยุทธการกระชับวงล้อม" ในเวลา 10 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความพอใจผลงานยุติม็อบว่า "...เป้าหมายของ ศอฉ.เพื่อกระทบวงล้อม เพื่อให้เกิดการยุติการชุมนุมโดยเร็วที่สุด เรายึดหลักสากล ทำให้เกิดความพอใจ..." คำพูดไม่กี่คำของนายกรัฐมนตรีภายใต้สถานการณ์วิกฤตครั้งนี้ ทำให้ทหารและกองทัพที่เป็นหมัดสุดท้าย ซึ่งเป็นกลไกบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลที่มีอยู่รู้สึกมั่นใจและเชื่อมั่นถึงยุทธศาสตร์ทางการเมืองของยุทธการครั้งนี้

ความสำเร็จในยุทธศาสตร์ทางทหารยุทธการกระชับวงล้อม เมื่อ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เป็นผลจากความชัดเจนทางการเมืองสำคัญ

ได้แก่

1.นโยบายรัฐบาลชัดเจนมาตลอดที่จะใช้มาตรการทางทหารกดดันม็อบกลุ่ม นปช. ความชัดเจนก็คือนโยบายกระชับวงล้อม เพื่อการยุติการชุมนุมไม่ใช้การกระชับวงล้อมเพื่อเปิดการเจรจา ดังนั้นถ้าการเดินทางยุทธศาสตร์ทหารนั้น ถ้าเป้าหมายทางการเมือง (Political will )ชัดเจน การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทางการทหารก็ไม่ยากและเมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุม ศอฉ.ในวันที่ 12 พฤษภาคมให้ฝ่ายทหารเริ่มต้นปฏิบัติการตามแผนยุทธการที่ได้วางไว้

2.สำหรับสัญญาณทางการเมืองที่ส่งไปยังสังคมได้ส่งผลของจิตวิทยาระดับยุทธศาสตร์คือการใช้ภาษาคำว่า "การกระชับวงล้อม" ไม่ใช่ "การสลายม็อบ" คือ "การปราบม็อบ" หรือ "การปิดล้อม" จากภาษาที่สื่อดังกล่าวสังคมรับได้ และรู้สึกผ่อนคลาย ทั้งคาดหวังว่าเหตุการณ์จะสงบโดยเร็ว และอาจมีการสูญเสียชีวิตประชาชนบ้าง แต่ไม่มากมายเหมือนเช่นในอดีต

3.มาตรการตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดโทรศัพท์ ตัดระบบการส่งกำลังบำรุง และการตัดการเติมคนเสื้อแดงเข้าไปในราชประสงค์เป็นมาตรการระดับยุทธศาสตร์ ที่รัฐบาลภายใต้การอำนวยการของ ศอฉ.ได้สร้างแรงกดดันให้ม็อบราชประสงค์ ถูกบีบกระชับวงล้อมทั้งทางกายภาพและทางจิตใจ อย่างไรก็ตามมาตรการนี้ได้ส่งผลข้างเคียงต่อชุมนุมผู้อาศัยโดยรอบพื้นที่การชุมนุม ถ้าปล่อยไว้นาน อาจส่งผลทำให้เกิดกระแสตีกลับ มาขับไล่รัฐบาลได้

4.ความมีเอกภาพของรัฐบาลกับกองทัพ แม้ว่าจะมีกระแสข่าวความไม่ลงรอยกันบ้างในการแก้ปัญหาเนื่องจากการใช้กำลังทหารขอคืนพื้นที่ เพราะบทเรียนวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 บริเวณสี่แยกคอกวัวจะตามมาหลอกหลอนผู้นำกองทัพอยู่เสมอ ๆ แต่เมื่อได้ประเมินทางยุทธศาสตร์เพื่อมีความคุ้มค่าและมองเห็นความสำเร็จรัฐบาลกับกองทัพก็หันมาร่วมมือกันเปิดยุทธการครั้งนี้อย่างมั่นใจ

รวมไปถึงความร่วมมือของทุกกองกำลังของทุกเหล่าทัพ ก็เป็นการแสดงถึงความมีเอกภาพ

5.ปัจจัยเวลาในกรอบการปฏิบัติงานก็เป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากความล้มเหลวในการรุกเข้าขอคืนพื้นที่ใน14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ทำให้หน่วยทหารทั้งในส่วนพื้นที่ถนนพระราม 4 บ่อนไก่ และถนนราชปรารภ (สามแยกดินแดง) ต้องตรึงกำลังให้อยู่กับที่ หรือแทบจะเรียกได้ว่าถอยร่นออกมาจากระยะยิงของสไนเปอร์จากการ์ด นปช. แต่เมื่อรัฐบาลเข้าใจว่าต้องให้เสรีในการปฏิบัติเรื่องเวลา รัฐบาลจึงมีมติผ่าน ครม. ประกาศให้พื้นที่ กรุงเทพมหานคร หยุดราชการเป็น 2 ช่วง คือ ช่วง 17-18 พฤษภาคม และ 19-21 พฤาภาคม ทำให้ทหารไม่มีแรงกดดันเรื่องเวลาเหมือนเช่นเหตุการณ์ 10 เมษายนที่ผ่านมา

6.ประสิทธิภาพของการทำงานปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations) ได้ผลทางยุทธศาสตร์ ทั้งในส่วนของกรมประชาสัมพันธ์ผ่านโทรทัศน์ NBT และการแถลงข่าวของ ศอฉ.โดยโฆษกของ ศอฉ. สามารถตอบโต้กลุ่ม นปช.และตอบข้อสงสัยของสังคม ผู้ชุมนุม ผู้ได้รับความเดือดร้อนรอบพื้นที่ชุมนุม ประชาชนในส่วนที่เหลือของประเทศ ยกเว้นพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือที่มีมวลชนเป็นสีแดงเข้มก็ไม่ได้ผล รวมทั้งการสื่อสารกับนานาชาติในระดับโลก ก็ถือว่าได้ผลระดับหนึ่ง ผ่านทางรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกรัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศ

7.การปรากฏตัวทางยุทธศาสตร์ ศอฉ. ได้ใช้ประโยชน์จากการที่สามารถควบคุมสื่อสารโทรทัศน์ในเวลาแถลงข่าวของผู้นำทหารในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นรองเสนาธิการทหารบก ผช.เสธ.ฝยก. แม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.พลหน่วยปฏิบัติ ทำให้กำลังพลมีความเชื่อมั่น

การปฏิบัติการยุทธการกระชับวงล้อม มีการวางกำลังทางทหารและมีผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นรับผิดชอบอย่างชัดเจน สังคมและประชาชนก็มั่นใจว่า น่าจะมีความสำเร็จสูง

8.การชี้แจงทำความเข้าใจของการใช้อาวุธ ตามหลักสากล มีกฎการใช้กำลัง การยิงกระสุนจริง การใช้หน่วยสไนเปอร์ ก็ถือว่ากระทำได้อย่างทันท่วงที เพื่อตอบโต้กับภาพข่าวทั้งในและต่างประเทศ เพราะถ้าไม่มีการแก้ข่าวทุกวัน ข่าวความห่วงใยเหล่านี้ได้ไต่ระดับถึงเลขาธิการสหประชาชาติ เลขาธิการอาเซียน ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากของปัญหามากยิ่งขึ้น จนกระทั่งรัฐบาลไม่สามารถรับมือกับต่างประเทศได้

9.การควบคุมการติดต่อสื่อสารทุกระบบ ก็ถือว่าเป็นงานระดับยุทธศาสตร์ที่สำคัย เมื่อกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสั่งปิดเว็บไซต์ เฟซบุ๊ค และทวิสเตอร์ของเครือข่ายอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ช่องทางสื่อสารถูกตัดขาดลง

10.การทำงานที่สอดคล้องกันระหว่างมาตรการตัดน้ำตัดไฟ กับมาตรการของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในเรื่องการประกาศงดทำธุรกรรมทางการเงินของผู้ต้องสงสัยที่ต่อท่อน้ำเลี้ยงให้กับกลุ่ม นปช. คือการตัดแหล่งทุนสำคัญของการเคลื่อนไหวลงได้ระดับหนึ่ง

11.การนำคดีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงกับคดีการก่อการร้ายมาเป็นคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผลให้การทำคดีมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดความเข้มข้นในการสืบสวนสอบสวน ตามกระบวนยุติธรรมและมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากถึง 11 หน่วยงาน มาช่วยกันทำคดีการก่อการร้าย ก็ถือว่าเป็นการสร้างความเข้มข้นของการบังคับใช้กฎหมายอย่างมาก

12.จุดอ่อนทางยุทธศาสตร์ของกลุ่ม นปช.ที่กลายเป็นจุดแข็งของรัฐบาล คือ การถอนตัวของนายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานกลุ่ม นปช.และการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้มีความเชี่ยวชาญทางทหารที่มีส่วนดูแลและวางแผนการรักษาความปลอดภัยของการ์ด นปช. ถือว่าเป็นสัญญาณแห่งความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ เพราะกลุ่ม นปช.ไม่มีหัวในระดับยุทธศาสตร์ทางการเมือง คือ นายวีระ มุสิกพงศ์ และไม่มีหัวเสธ.ระดับยุทธศาสตร์ทางทหารในการวางแผนตั้งรัฐ ในกรณีที่ทหารจะเข้าสลายม็อบ นปช.


สรุปได้ว่า ความสำเร็จทางยุทธการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ครั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ทางการเมือง

ตั้งแต่ระดับนโยบาย คือ คณะรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ความมีเอกภาพของรัฐบาลกับกองทัพ การที่ทหารสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ทางทหารที่ชัดเจนได้ก็เนื่องจากการเมืองของรัฐบาลที่ชัดเจน

และที่สำคัญดังที่ซุนวูกล่าวไว้ว่า "ชัยชนะย่อมเกิดจากฝ่ายตรงข้ามหรือข้าศึกตกอยู่ในสถานการณ์พ่ายแพ้เอง"นั่นคือสภาพการแตกแยกทางความคิดของกลุ่มแกนนำหลัก และการสูญเสียมือวางแผนระดับเสนาธิการ ทำให้สถานการณ์ของกลุ่ม นปช.เริ่มเพลี่ยงพล้ำทางยุทธศาสตร์มาตามลำดับ



แผนยุทธการและหน่วยรับผิดชอบการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์

แผนยุทธการสลายม็อบราชประสงค์ถูกกำหนดดีเดย์ไว้ตั้งแต่ตี3 ครึ่งวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 หน่วยแรกที่เข้าปฏิบัติการคือ

หน่วยสไนเปอร์ เพื่อยึดพื้นที่สูงข่มของตึกบนถนนวิทยุ (อาคารเคี่ยนหงวน) และสะพานแยกสารสิน(อาคารบางกอกเคเบิล)โดยที่อาคารสูงบนถนนวิทยุถูกยึดได้ก่อนตี 5 ครึ่ง ส่วนตึกสูงด้านถนนสารสินยังเข้าไม่ได้


หลังจากนั้นทหารจาก พล.ม.2 รอ.ได้แยกกำลังรุกเข้าไป 3 ทิศทาง ตามเส้นทางถนนวิทยุ ถนนสีล้ม และถนนสุรวงศ์ มีการเคลื่อนรถหุ้มเกราะปฏิบัติพร้อมทหารเดินเท้าอาวุธเต็มอัตราศึกเป็นรูปขบวนการรบที่คุ้นตาสำหรับการปฏิบัติการของยานยนต์รบกับหน่วยของการยุทธรบในเมือง


แต่กว่าที่ภาพรถหุ้มเกาะจะค่อยๆ บดทับและพังทลายป้อมค่ายป้องกันของ นปช. ที่ศาลาแดงได้นั้น ได้มีการวางแผนปรับแผนส่วนหน้ามาแล้วเป็นเดือนโดยใช้บทเรียน 10 เมษายน เป็นสมมติฐาน ดังนั้นแผนยุทธการครั้งนี้จึงมีการวางแผนอย่างรัดกุมและตั้งอยู่บนสถานการณ์ที่เป็นไปได้มากที่สุด และจะเห็นได้ว่ายุทธการครั้งนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางการทหารและยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่กล่าวมาแล้วข้างต้น



ขั้นการปฏิบัติยุทธการกระชับวงล้อม

จากการประมวลภาพการแถลงข่าวของศอฉ. และภาพข่าวของสื่อมวลชน แผนยุทธการน่าจะประกอบด้วยขั้นการปฏิบัติ 4 ขั้นตอน ได้แก่

1.ขั้นการกระชับวงล้อมขั้นต้น เพื่อทดสอบกำลังเข้าควบคุมพื้นที่ขั้นต้น ใช้เวลา 1 วัน (14 พฤษภาคม)

2.ขั้นการวางกำลังตรึงพื้นที่รอบนอก เพื่อป้องกันการเติมคนของกลุ่ม นปช. อาจเรียกได้ว่าเป็นการกลับหลังหันรบ 180 องศา มาตั้งรับ

ใย 3 พื้นที่หลัก ได้แก่ บ่อนไก่ ถนนราชปรารภ และสามย่าน ขั้นนี้ต้องใช้ความอดทนอย่างสูวสุด ควบคุมสถานการณ์ให้นิ่งให้ได้ รอฟังคำสั่งต่อไปใช้เวลา 4 วัน (15-18 พฤษภาคม)

3. ขั้นการสลายม้อบภายหลังจากปฏิบัติการในขั้นที่ 2 ที่ต้องใช้เวลา 4 วัน เพื่อเช็คข่าวการวางกำลังและอาวุธสงครามในพื้นที่สวนลุมพินี การวางกำลังหลังแนวด่านตรวจ นปช.โดยรอบพื้นที่ราชประสงค์ การเช็คที่ดั้งจุดใช้อาวุธ M 79 การตรวจสอบกองกำลังกลุ่มก่อการร้ายจำนวน 500 คนว่าวางกำลังพื้นที่ใด เมื่อทุกหน่วยเข้าที่พร้อม การปฏิบัติการก็เริ่มต้นในเช้าตรู่วันที่ 19 พฤษภาคม โดยให้เสร็จสิ้นภารกิจภายใน 1,800 ของวันเดียวกัน

4. ขั้นการกระชับวงล้อมขั้นสุดท้าย เพื่อตรวจสอบค้นหาหลักฐาน อาวุธสงครามและสิ่งผิดกฎหมาย เริ่มปฏิบัติการในวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2553 สาเหตุที่ไม่สามารถทำได้ในวันบุกสลายการชุมนุมในขั้นที่ตอนที่ 3 เพราะกลุ่ม นปช.ได้วางเต้นท์และที่พักเป็นจำนวนมาก และตั้งแต่บ่ายของวันที่ 19 พฤษภาคม มวลชนเสื้อแดงได้ก่อการจลาจลในพื้นที่ราชประสงค์ และทั่วกรุงเทพฯ


หน่วยรับผิดชอบวางกำลังยุทธการกระชับวงล้อม

เป็นการปฏิบัติการร่วม3 เหล่าท้พคือ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ โดยกำลังหลักที่ใช้ปฏิบัติการเป็นกำลังของกองทัพบกจำนวน 3 กองพล ได้แก่

กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.ร.1รอ.) ใช้กำลัง 3 กรม หลักคือ ร.1 รอ. ร.11 รอ.และ ร.31 รอ.ให้ ร.1 รอ กับ ร.11 รอ. วางกำลังพื้นที่ดินแปลง พญาไทราชปรารภ ร.31 รอ.เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว พร้อมปฏิบัติการพิเศษ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) มีหน้าที่ดูแลพื้นที่ถนนวิทยุ บ่อนไก่ ศาลาแดง ลุมพินี สามย่านกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) มีหน้าที่ดูแลพื้นที่อโศก เพลินจิต ชิดลม

นอกจากนี้ยังมีกองกำลังพร้อมสนับสนุน คือ พล.ร.2 รอ.กำลังของหน่วยอากาศโยธิน (อย.) ของกองทัพอากาศสแตนด์บายพร้อมออกปฏิบัติหน้าที่ 24 ชั่วโมง และมีหน่วยปฏิบัติการทางอากาศพร้อมขึ้นบินเหนือพื้นที่ราชประสงค์ ขณะที่กองทัพเรือรับภารกิจพิเศษอารักขาสถานที่สำคัญ โดยเฉพาะบริเวณโรงพยาบาลศิริราช

ทั้งนี้ การปฏิบัติภารกิจของกองทัพจะมีสัญญาณบอกฝ่าย เป็นสัญลักษณ์แถบสี ติดหัวไหล่ แขนขวา โดยจะมีการเปลี่ยนสีทุกวัน แต่เมื่อการปฏิบัติภารกิจเต็มขั้นในวันที่ 19 พฤษภาคม กำลังทุกหน่วยจะใช้แถบสีชมพูเป็นสัญลักษณ์บอกฝ่าย ติดไว้บริเวณหลังหมวกเหล็กทุกนาย

( ติดตาม ตอน 2, 3 )


+ + + +

เอกสารลับ ยุทธการกระชับวงล้อม 14-19 พ.ค.53 ( ตอน 2)กระสุนจริงและสไนเปอร์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308976398&grpid=01&catid=&subcatid=
เอกสารลับ ยุทธการกระชับวงล้อม 14-19 พ.ค.53 ( ตอน 3)"ลั่นไกหนึ่งนัด อาจจะทำให้รัฐบาลล่มได้"
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1309070742&grpid=01&catid=&subcatid=

ผู้พันไก่อู แจง 7 บทเรียนกระชับวงล้อมเป็นมุมมองส่วนตัว ยัน"เสนาธิปัตย์"ไม่ใช่เอกสารลับ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1309171538&grpid=&catid=01&subcatid=0100


′ราชประสงค์′ โดย วรศักดิ์ ประยูรศุข
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308752100&grpid=&catid=02&subcatid=0207
หลัง ′ราชประสงค์′ โดย ปราปต์ บุนปาน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308830237&grpid=&catid=02&subcatid=0207
สุเทพ เทือกสุบรรณ" น้ำตาไม่แก้ปัญหาใจ โดย การ์ตอง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1309062110&grpid=&catid=02&subcatid=0200
"อภิสิทธิ์" ให้สัมภาษณ์บีบีซี เตือนประเทศไทยจะ "ไร้เสถียรภาพ" หาก "ทักษิณ" กลับมา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1309142363&grpid=01&catid=&subcatid=
ยิ่งลักษณ์โกอินเตอร์ อภิสิทธิ์โกหก? โดย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1309181657&grpid=01&catid=&subcatid=

.

2554-06-26

ประวัติศาสตร์ อำนาจ และความทรงจำในวาระครบรอบ 79 ปี "24 มิ.ย. 2475"

.

ประวัติศาสตร์ อำนาจ และความทรงจำ ในวาระครบรอบ 79 ปี "24 มิ.ย. 2475"
ในมติชน ออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 09:30:00 น.


24 มิถุนายน พุทธศักราช 2554 79 ปีให้หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร นิสิตกลุ่มเล็กๆ ในนาม "ชมรมประวัติศาสตร์" คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดเสวนาขึ้นในหัวข้อ “24 มิถุนา: ประวัติศาสตร์ อำนาจ และความทรงจำ” โดยมี ดร. ณัฐพล ใจจริง คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา, ดร. เกษม เพ็ญภินันท์ ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมด้วย นายณัฐวร ตรีพรชัยศักดิ์ นิสิตกลุ่มประชาคมจุฬาฯเพื่อประชาชน เป็นผู้ร่วมเสวนา ณ อาคารมหาจักรีสิรินธร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



ดร. ณัฐพล กล่าวว่า ภาพทิวทัศน์ทางประวัติศาสตร์ไทยในสมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ได้ถูกบิดเบือนให้กลายเป็น "ทัศนะอุจาด" บนภูมิทัศน์ประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม โดยชนชั้นนำจากระบอบเก่า

นอกจากนี้ ประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ของคณะราษฏรยังได้ถูกความพยายามที่จะฝังกลบความทรงจำดังกล่าวโดยกลุ่มรอยัลลิสต์ เช่น ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ในนวนิยายเรื่องโด่งดังอย่าง "สี่แผ่นดิน" ซึ่งเป็นนวนิยายที่สะท้อนให้เห็นถึงความ "มลังเมลือง" ของชีวิตในวังในสมัยการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และมีกลิ่นอายของความ "ถวิลหาอดีต" ซึ่งในที่นี้หมายถึงการปกครองในระบอบเก่า

นอกเหนือไปจากกลุ่มรอยัลลิสต์แล้ว กลุ่มมาร์กซิสต์ ก็ร่วมด้วยช่วยกันในการฝังกลบความทรงจำดังกล่าว ด้วยการโจมตีว่า การปฏิวัติ 2475 นั้น "เป็นการปฏิวัติของพวกกระฎุมพี" เป็นต้น การปฏิวัติแบบครึ่งๆกลางๆ หรือการให้ภาพว่าการปฏิวัติ 2475 เป็นการปฏิวัติของทหารบ้าง เป็นการ "ชิงสุกก่อนห่าม" บ้าง

แต่ภายหลัง พ.ศ. 2520 หรือหลังสมัย "ป่าแตก" ได้มีการขุดแต่งบูรณะประวัติศาสตร์ 2475 เสียใหม่ มีการเริ่มพูดถึงการปฏิวัติ 2475 ในแง่บวกมากขึ้น มีการเริ่มโจมตีการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ 2475 ของมาร์กซิสต์ มีการจัดงาน "ฉลอง 50 ธรรมศาสตร์" และการจัดงาน "วันเกิด" ให้กับการปฏิวัติ 2475 รวมทั้งมีการท้าทายงานประวัติศาสตร์นิพนธ์แบบเดิม ซึ่งจะเห็นได้ในงานของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล หรือธงชัย วินิจจะกูล

ต่อมาในปัจจุบัน การปฏิวัติ 2475 ได้ถูกนำมาขยายต่อและถูกฟื้นฟูให้มีสถานะที่สูงขึ้น โดยการปฏิวัติ 2475 ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง และกลายเป็นภาพสกรีนบนเสื้อยืดที่ขายและสวมใส่กันในการชุมนุมของคนเสื้อแดง การปฏิวัติ 2475 ได้ปรากฏขึ้นบนถนนราชประสงค์ และตามหัวเมืองใหญ่น้อยในอีสานและภาคเหนือ และหลังรัฐประหารใน พ.ศ. 2549 กลุ่มที่ต่อต้านและประชาชนที่ไม่พอใจการรัฐประหารได้หันมาให้ความสำคัญกับการพลิกฟื้นประวัติศาสตร์การปฏิวัติ 2475 มากยิ่งขึ้น



ดร. เกษม กล่าวว่า จากการที่ตนไปสำรวจ "เรื่องเล่า" การปฏิวัติ 2475 ในเวอร์ชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเว็บไซต์ของสถาบันพระปกเกล้า ในตำราเรียนของกระทรวงศึกษาฯ หรือตามเว็บไซต์อื่นๆ ก็ดี ตนพบว่า ในเว็บไซต์ของสถาบันพระปกเกล้านั้นมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไทยทุกอย่าง ยกเว้นแต่ ประวัติศาสตร์การปฏิวัติ 2475 หรือในตำราเรียนหรือในเว็บไซต์ส่วนใหญ่นั้น เรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ดังกล่าวจะจบแบบ "ด้วยพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร ไม่ต้องการให้เสียเลือดเนื้อ และบ้านเมืองต้องได้รับความเสียหาย อีกทั้งพระองค์เองก็ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่ทรงขัดความปรารถนาของคณะราษฎรที่ได้กราบบังคมทูลเชิญเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ"

ซึ่งจากเรื่องเล่าดังกล่าวที่ว่ามาทำให้เห็นว่า การสร้างความรับรู้และความเข้าใจในการ 2475 ในปัจจุบันนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงไป โดยวันที่ 24 มิ.ย. ซึ่งเป็นวันที่คณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นถูกลดทอนคุณค่าและไม่ได้ถูกให้ความสำคัญ หากแต่วันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่พระปกเกล้าฯทรงพระราชธรรมนูญฉบับถาวรกลับถูกหยิบยกมาให้ความสำคัญแทน นอกจากนี้ ตัวเอกในเรื่องเล่าดังกล่าวก็มิใช่กลุ่มคณะราษฎรแต่อย่างใด

ดร. เกษม ยังได้พูดถึงประเด็นทางวัฒนธรรมบนถนนราชดำเนิน ว่าสถาปัตยกรรมเชิงกายภาพของการปฏิวัติ 2475 นั้นได้ถูกไล่รื้อและเปลี่ยนแปลงไปเป็น "ศิลปะแบบจารีต" แทน เช่น ความพยายามทำให้ถนนราชดำเนินกลายเป็นถนน "ชองป์เซลิเซ่" รวมถึงความพยายามในการเปลี่ยนวันชาติในสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

ดร. เกษม กล่าวปิดท้ายในตอนหนึ่งว่า "ผมคิดว่า ความเข้าใจในวันที่ 24 มิถุนาและคณะราษฎร เป็นความเข้าใจที่ถูกจัดวางให้เป็นผู้ร้ายในการเมืองไทย"



นายณัฐวร นิสิตจุฬาฯ กล่าวถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ในสายตาของเยาวชนคนรุ่นใหม่ว่า การรับรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของคนรุ่นใหม่นั้นมีช่องทางหลักอยู่ที่ตำราที่ใช้ในห้องเรียน และจากสถาบันการศึกษา ซึ่งการเรียนในห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทยก็มิใช่การเรียนประวัติศาสตร์แบบวิพากษ์วิจารณ์ หากแต่เป็นการเรียนแบบท่องจำตามตำราประวัติศาสตร์ของทางราชการ และแม้แต่ในมหาวิทยาลัยเองก็ตาม จนทำให้เกิดความสงสัยว่า บางที มหาวิทยาลัยก็ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งที่รับใช้อุดมการณ์ของฝ่ายอำนาจนิยมเองด้วยซ้ำ

อนึ่ง แม้ว่าหลายคนจะไม่ค่อยแน่ใจนักว่า "หมุดคณะราษฏร" ที่ฝังอยู่กับพื้นลานพระบรมรูปทรงม้า คือสัญลักษณ์ของวันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย หรือจะเป็นเพียง "ฝาปิดท่อน้ำ" อย่างที่นิสิตคนหนึ่งกระทบกระเทียบไว้หรือไม่ก็ตาม แต่ภายในห้องสัมมนาเล็กๆบนอาคารเรียนชั้น 5 คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้ก็ได้พยายามที่จะหยิบยกประเด็นประวัติศาสตร์ดังกล่าวขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง

ท่ามกลางความเงียบงันของประวัติศาสตร์ ที่กำลังถูกกาลเวลาและอำนาจทางการเมืองลบเลือนหายไป


+ + + +

บทความช่วงรำลึก 79 ปี การเปลี่ยนแปลงการปกครอง และกำเนิดรัฐธรรมนูญไทย 2475

ผังล้มเจ้า โดย ฐากูร บุนปาน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1306847208&grpid=no&catid=02&subcatid=0207
นโยบายสาธารณะเพื่อความสุข...สิ่งที่ขาดหาย ! โดย ดร. เสาวลักษม์ กิตติประภัสร์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308731306&grpid=&catid=02&subcatid=0200
รู้จัก "พระยาสุริยานุวัตร" ผู้เขียน "หนังสือต้องห้าม" และผู้ปฏิเสธสินบนจากรัสเซีย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308645366&grpid=&catid=02&subcatid=0202
สโลแกน ดีแต่พูด ความสำเร็จทาง "สังคม" ในการจุดกระแส
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308916362&grpid=&catid=02&subcatid=0207
นายกรัฐมนตรีที่หายไป โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308915736&grpid=no&catid=02&subcatid=0207

.

2554-06-25

"เด็ดขาด"ไปเลย โดย สรกล และ ศึกษาอดีตฯ..มาถึง 2550

.
"เด็ดขาด" ไปเลย
โดย สรกล อดุลยานนท์ คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12
ในมติชน ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 20:00:00 น.



" ขอให้พี่น้องตัดสินใจโดยเด็ดขาดเถอะครับวันนี้ และบอกทุกคนที่พี่น้องรู้จัก ตัดสินใจให้เด็ดขาดไปเลย "

" อย่าไปคิดเป็นอย่างอื่น เลือกประชาธิปัตย์หรือเลือกเพื่อไทยให้มันเด็ดขาดกันไปข้างหนึ่ง จะได้รู้ว่าจะเดินไปทางไหน "

เป็นคำประกาศของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" บนเวทีราชประสงค์

ในเชิงกลยุทธ์ "ประชาธิปัตย์" ต้องการดึงเสียง "แฟนเก่า" ใน กทม.ที่หนีไปลง "โนโหวต-ชูวิทย์-ปุระชัย" ให้กลับมาเลือก "อภิสิทธิ์" อีกครั้งหนึ่ง

เขาปลุกกระแส "เผาบ้านเผาเมือง" และ "ผีทักษิณ" ขึ้นมา เพื่อให้คนที่เคยรัก "ประชาธิปัตย์" แต่เบื่อ "อภิสิทธิ์" กลับมาเลือกเบอร์ 10 อีกครั้ง

ใช้ความกลัวความเกลียดมาเป็น "แม่เหล็ก"

ประมาณว่า "ไม่เลือกเรา เขามาแน่"

เพราะการเปลี่ยนใจคนเสื้อแดงหรือคนที่เลือก "เพื่อไทย" ไปแล้วคงเป็นเรื่องยาก

ง้อ "แฟนเก่า" ง่ายกว่า


"บรรหาร ศิลปอาชา" นั้นฟันธงว่ากลยุทธ์นี้คือ "ไพ่" ใบสุดท้ายของ "ประชาธิปัตย์" และหวังกลุ่มเป้าหมายใน กทม.มากกว่า

เพราะในต่างจังหวัดไม่มีแรงกระเพื่อมอะไรเลย

ถ้าเป็นยุทธวิธีทางทหารก็ต้องบอกว่า "อภิสิทธิ์" ติด "ดาบปลายปืน" แล้ว

เพราะยิงกระสุน "นโยบาย" แล้วสู้ไม่ได้

ถล่มสู้กันมาประมาณ 1 เดือนแล้ว ดูโพลไหน "ประชาธิปัตย์" ก็พ่ายเรียบ

"ทักษิณ ชินวัตร" นั้นพูดมาตลอดตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน จนมาถึงเพื่อไทยว่าการเลือกตั้งต้องสู้ด้วย "นโยบาย"

เพราะนี่คือ "จุดแข็ง" ของ "ทักษิณ"

นอกจากนั้นเขายังมั่นใจว่าผลงานในอดีตสมัย "ไทยรักไทย" ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ "เชื่อมั่น" ว่านโยบายที่ประกาศไปแล้ว ทำได้จริง

"ความเชื่อมั่น" เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเกม "นโยบาย" หรือ "การขายฝัน"

พูดเพราะ พูดเก่ง ไม่สำคัญเท่ากับ "ความเชื่อมั่น"



เมื่อสู้เรื่องนโยบายไม่ได้ "ประชาธิปัตย์" ก็งัดเอา "วิชาก้นหีบ" ที่ถนัดที่สุด มาใช้ในการหาเสียงโค้งสุดท้าย

นั่นคือ การทำลาย "คู่แข่ง"

ถามว่า มีผลไหม

ตอบได้เลยว่า "มี"

แต่มากแค่ไหน ไม่แน่ใจ


การต่อสู้ในสนามเลือกตั้งเป็นเรื่องปกติที่ทุกฝ่ายจะพยายามดึงเกมให้เข้าทางของตัวเอง

ตอนนี้ "ประชาธิปัตย์" พยายามดึง "เพื่อไทย" ให้มาเล่นเกมฟื้นอดีต "พฤษภาคม 2553"

เตรียมเปิดวาทกรรม "ถอนพิษทักษิณ"

แต่ "เพื่อไทย" ก็รู้ทัน

การปราศรัยใหญ่ที่สนามราชมังคลากีฬาสถานในวันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม "เพื่อไทย" ใช้คำว่า "ฟังปราศรัย วิสัยทัศน์ประเทศไทย 2020"

ไม่ใช่แค่เล่นเกมนโยบายธรรมดาแล้ว

แต่ก้าวข้ามไปถึงขั้นแสดงวิสัยทัศน์มองไปถึงปี 2020 เลย

เหมือนจะย้ำให้คนไทยรู้สึกว่าจะยังคงอยู่กับ "อดีต" หรือจะคิดถึง "อนาคต"

สนุกครับ การเลือกตั้งครั้งนี้


รักใครชอบใครก็เลือกให้ "เด็ดขาด" กันไปเลยตามคำขอร้องของคุณอภิสิทธิ์

จะได้รู้ว่าประเทศชาติจะเดินไปทางไหน




++

ศึกษาอดีต เข้าใจปัจจุบัน การแปรเปลี่ยน กรุงเทพมหานคร จาก พ.ศ.2522 มาถึง 2550
คอลัมน์ รายงานพิเศษ
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1610 หน้า 8


ต้องยอมรับว่า พื้นที่กรุงเทพมหานครมากด้วยความแปรปรวน ยากยิ่งต่อการคาดคะแนน

เห็นได้จากเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน 2522 หลังสถานการณ์เดือนตุลาคม 2519 พรรคประชากรไทยอันเป็นพรรคเกิดใหม่ได้ 29 จากจำนวนทั้งสิ้น 32

ที่เหลือแบ่งให้พรรคกิจสังคม 2 พรรคประชาธิปัตย์ 1


จากเดือนเมษายน 2522 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2531 พรรคประชากรไทยยังครองฐานะนำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในลักษณะผลัดกันรุก ผลัดกันรับกับพรรคประชาธิปัตย์

แต่ที่น่าสนใจก็คือ พรรคพลังธรรม โผล่มาแย่งชิงไปถึง 10

การเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2535 หลังสถานการณ์นองเลือดเดือนพฤษภาคม พรรคพลังธรรมขึ้นครองแชมป์ ได้รับเลือก 32 จากจำนวนทั้งสิ้น 35

ที่เหลือเป็นของพรรคกิจสังคม 2 พรรคประชาธิปัตย์ 1


พรรคพลังธรรมครองสถานะนำอยู่จนถึงเดือนกรกฎาคม 2538 ก็เริ่มถดถอย และเมื่อถึงการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน 2539 พรรคประชาธิปัตย์หวนกลับมาครองแชมป์อีกวาระหนึ่งด้วยจำนวน 29 จากทั้งหมด 37

แต่เมื่อถึงการเลือกตั้งเดือนมกราคม 2544 พรรคไทยรักไทยก็ยึดไป 28 จากจำนวนทั้งสิ้น 37 แบ่งให้พรรคประชาธิปัตย์เพียง 9

ยิ่งการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2548 พรรคไทยรักไทยยึดไป 32 จาก 37 ที่เหลือเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ 4 พรรคชาติไทย 1

การเลือกตั้งเดือนธันวาคม 2550 พรรคประชาธิปัตย์ได้ 27 พรรคพลังประชาชนได้ 9



อาจกล่าวได้ว่า สถานะนำจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2550 เป็นของพรรคประชาธิปัตย์
พรรคเพื่อไทยอันเป็นความต่อเนื่องจากพรรคพลังประชาชนเป็นรอง

มาถึงการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังเชื่อมั่น

เป็นความเชื่อมั่นจากฐานเดิมเมื่อเดือนธันวาคม 2550 เป็นความเชื่อมั่นเนื่องจากกรุงเทพมหานครเป็นฐานที่มั่นพื้นฐานของพรรคประชาธิปัตย์

ที่สำคัญเป็นอย่างมาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โตจากกรุงเทพมหานคร

กระนั้น ชะตากรรมของพรรคประชากรไทย พรรคพลังธรรม ก็เป็นบทเรียนอันทรงความหมายยิ่งของการพลิกผันแปรเปลี่ยน

พลิกผันแปรเปลี่ยนของคน กทม.


.

2554-06-24

ทบทวนประวัติศาสตร์: บนถนน 2475 ฯ โดย ณัฐพล พึ่งธรรม

.

เวทีอภิปราย “1 ปี เหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค. 53 ความยุติธรรมที่หายไป
วันเสาร์ที่ 25 มิ.ย. 54 ห้อง 103 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
http://ilaw.or.th/node/1025
www.facebook.com/event.php?eid=218672168164831


ทบทวนประวัติศาสตร์: บนถนน 2475 : ก่อนวันนั้นจะมาถึง

โดย ณัฐพล พึ่งธรรม


24 มิ.ย. 2554


บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อฉายภาพเส้นทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองในสยามก่อนจะดำเนินมาถึงวันที่ คณะราษฎรได้ร่วมกันอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ จึงขอร่วมรำลึกเหตุการณ์นี้ในวาระครบ 79 ปี การปฏิวัติ 2475 มา ณ โอกาสนี้

*****

ศตวรรษที่ 19 คลื่นจักรวรรดินิยมพร้อมทั้งกระแสทุนนิยมจากโลกตะวันตกเดินทางมาถึงโลกตะวันออก สยามในฐานะ“รัฐกษัตริย์”ซึ่งปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตย เริ่มสั่นคลอนและจำต้องปรับตัวเพราะไม่สามารถทัดทานกระแสทุนนิยมอันเป็นวิวัฒนาการของสังคมตะวันตกได้ก้าวไปถึงแล้ว

รัฐบาลสยามยอมเสียเปรียบลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษ ในปี 2398 และได้กลายเป็นต้นแบบให้ชาติตะวันตกอีก 13 ประเทศ เข้ามาเจรจาทำสัญญาในแบบเดียวกัน นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่สยามต้องรับมือกับคลื่นจักรวรรดินิยมและกระแสทุนนิยมที่ถาโถมเข้าใส่

ล่วงถึงสมัยรัชกาลที่ 5 อธิปไตยของสยามถูกท้าทายอย่างมาก จนราชสำนักได้ตระหนักถึงความด้อยกว่าทั้งความรู้และความคิด จึงได้พยายามปรับตัวโดยจัดรูปแบบของรัฐใหม่ตามแบบแผนตะวันตกและไม่ลืมที่จะผสานจารีตการเมืองดั้งเดิมของชนชั้นนำเอาไว้บางอย่าง

ในรัชสมัยนี้เองที่อุดมการณ์ประชาธิปไตยเริ่มเข้าสู่สังคมสยามอย่างค่อนข้างชัดเจน เริ่มจากชนชั้นสูงกลุ่มหนึ่งมีทั้งเจ้านายและขุนนางที่ไปศึกษาและปฏิบัติราชการในยุโรป ได้ออกมาเคลื่อนไหวครั้งแรกในร.ศ.103(พ.ศ.2427) คณะเจ้านายและขุนนางกลุ่มหนึ่ง อาทิ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ มีหนังสือกราบทูลรัชกาลที่ 5 มีสาระสำคัญเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy) โดยเห็นว่าเป็นทางออกเดียวที่จะทำให้สยามรอดพ้นภัยคุกคามจากตะวันตกได้ และเป็นครั้งแรกที่มีการกล่าวว่า “แผ่นดินสยามเป็นของชาวสยามทั้งหมด”


รัชกาล ที่ 5 ทรงปฏิเสธและตอบกลับไปว่า พระองค์ไม่เคยคิดที่จะหวงแหนอำนาจไว้เลย แต่ติดขัดที่สถานการณ์ขณะนั้นยังไม่เหมาะสม เพราะขาดคนมีความรู้ความสามารถและความกล้าที่จะทำหน้าที่นิติบัญญัติเพื่อถ่วงดุลกับอำนาจบริหารที่ของกษัตริย์

ทว่าหลังจากนั้น ก็มีการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินตามแนวทางของพระองค์เอง กล่าวคือ การสถาปนาอำนาจส่วนกลางภายใต้รัฐบาลแบบสมัยใหม่ที่รวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลางแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เป็นการก่อร่างสร้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (absolute monarchy) โดยมีกษัตริย์เป็นองค์อธิปัตย์สูงสุด มีอำนาจสมบูรณ์และแบ่งแยกไม่ได้ คงสถานะความศักดิ์สิทธิ์เหนือประชาชนเช่นเดียวกับยุคศักดินา และในสมัยนี้นอกจากกลุ่มชนชั้นสูงแล้ว ยังมีสามัญชนหัวก้าวหน้าอย่าง “เทียนวรรณ” และ ก.ศ.ร. กุหลาบ ที่ได้พยายามนำเสนอแนวคิดท้าทายและกล้าวิพากษ์วิจารณ์การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ด้วยสำนึกถึงความเป็นมนุษย์ที่ต้องมีสิทธิ ความเสมอภาค คนทุกคนควรมีโอกาสเท่าเทียมกัน ดังที่เทียนวรรณ ได้แต่งบทประพันธ์ขึ้นตอนหนึ่งว่า

“...ไพร่เป็นพื้นยืนร้องทำนองชอบ
ตามระบอบปาลิเมนต์ประเด็นขำ
แม้นนิ่งช้าล้าหลังยังมิทำ
จะตกต่ำน้อยหน้าเวลาสาย...”

แม้การเปลี่ยนแปลงยังมิได้เกิดขึ้นตามข้อเรียกร้อง แต่ก่อนที่รัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต ทรงมีพระราชดำรัสอันเปรียบเหมือนคำมั่นสัญญาว่า "จะให้ลูกวชิราวุธมอบของขวัญให้แก่พลเมืองไทยทันทีที่ขึ้นสู่ราชบัลลังก์...จะให้เขามีปาลิเมนต์และคอนสติติวชั่น"



ถึงต้นศตวรรษที่ 20 หลังจากรัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้าวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมารก็เสด็จขึ้นครองราชย์ กล่าวได้ว่าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 มิได้มีปรากฏการณ์ใดที่จะแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโดยแท้จริง ทรงมุ่งสร้างความมั่นคงให้กับรัฐตามแนวทางชาตินิยมและอนุรักษ์นิยม ทรงริเริ่มตั้งเมืองสมมุติ“ดุสิตธานี” จำลองรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตย และให้มีหนังสือพิมพ์วิพากษ์วิจารณ์และเสนอข่าวด้วย มีคนบางกลุ่มวิจารณ์ว่า ดุสิตธานีเป็นเพียงการละเล่นของกษัตริย์และไม่ได้ตั้งใจก่อตั้งรูปการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างจริงจัง

ก่อนหน้านั้นช่วงต้นรัชกาลมีเหตุปฏิวัติโค่นล้มระบอบกษัตริย์ขึ้นในจีน ตุรกีและโปรตุเกส เหตุการณ์เหล่านี้มีอิทธิพลมาถึงการเรียกร้องประชาธิปไตยในสยาม นั่นคือ เหตุการณ์ รศ.130 กลุ่มนายทหารและปัญญาชนวางแผนปฏิบัติการโดยหมายให้กษัตริย์พระราชทาน รัฐธรรมนูญและเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่แผนการรั่วไหลเสียก่อนจึงถูกจับกุมเสียก่อน

หลังการก่อการครั้งนี้ รัชกาลที่ 6 ยังทรงยืนยันหนักแน่นว่า ราษฎรยังไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตย “ระบอบกษัตริย์ทรงอำนาจสูงสุดนั้นดีแล้ว ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับประเทศสยามเพราะราษฎรไม่มีความรู้” พร้อมกับทรงเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองดังที่เกิดในหลายประเทศ เช่น “การปฏิวัติทั้งในจีนและโปรตุเกส เป็นสิ่งไม่ถูกต้องเพราะนำมาซึ่งความวุ่นวาย”


เหตุการณ์ปฏิวัติจีน ปี 1911 (พ.ศ.2454) ขบวนการปฏิวัติภายใต้การนำของดร.ซุน ยัตเซ็น หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งได้เคยเดินทางเคลื่อนไหวทางการเมืองในหลายประเทศรวมทั้งสยาม ได้ปฏิวัติโค่นล้มอำนาจการปกครองระบอบจักรพรรดิของราชวงศ์ชิงได้สำเร็จและ เปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ

ปี 2457 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังจากนั้นก็มีเหตุปฏิวัติล้มล้างระบอบกษัตริย์เกิดขึ้นอีกหลายประเทศ ทั้งในรุสเซีย เยอรมนี และออสเตรีย-ฮังการี ขณะที่ภายในประเทศก็มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองเมื่อสามัญชนเริ่มตื่นตัว และแสดงออกทางการเมืองกว้างขวางขึ้น เช่น หนังสือพิมพ์ “จีนโนสยามวารศัพท์” ของนายเซียวฮุดเสง ที่เผยแพร่โฆษณาความคิดเชิงประชาธิปไตย จนกระทั่งรัฐบาลไม่พอใจถึงกับออกกฎหมายควบคุมและให้รัฐมีอำนาจสั่งปิดได้ นับเป็นกฎหมายเซ็นเซอร์สิ่งพิมพ์ฉบับแรกในประวัติศาสตร์ไทย



ห้วงเวลาสู่วิกฤต

สถานการณ์ช่วงปลายรัชกาลที่ 6 ย่ำแย่ลงเมื่อความขัดแย้งทางการเมืองที่รุมเร้าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และราชสำนักยิ่งซับซ้อนมากขึ้น สืบเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจของชาติตั้งแต่ พ.ศ.2465เป็นต้นมา งบประมาณแผ่นดินขาดดุลอย่างหนัก ต้นพ.ศ.2467 ใกล้สิ้นรัชกาล สถานการณ์ยิ่งทรุดหนัก และคนจำนวนหนึ่งได้พุ่งเป้าไปที่การใช้จ่ายเงินเกินตัวของราชสำนักเวลานั้น จนกระทั่งเงินคงคลังเหลือน้อยจนรัฐบาลเกือบอยู่ในสภาพล้มละลาย วิกฤตการณ์ในรัชสมัยนี้มีส่วนสำคัญต่อสถานะของระบอบกษัตริย์ที่กำลังสั่นคลอน

พันธบัตรที่รัฐบาลรัชกาลที่ 6 ออกจำหน่ายในตลาดยุโรป ปี 1922 (พ.ศ.2465) เพื่อกู้ยืมเงิน 2 ล้านปอนด์ มาใช้คืนเงินคงคลัง แก้ปัญหาเสถียรภาพทางการคลัง ท่ามกลางภาวะขาดดุลงบประมาณอย่างหนักช่วงปลายรัชกาล


เมื่อเข้าสู่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสถียรภาพของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เริ่มวิกฤต ดังเห็นได้จาก"บันทึกเรื่องการปกครอง" (23 กรกฎาคม-1สิงหาคม 2469) ที่ รัชกาลที่ 7 ทรงเขียนถึง ดร.ฟรานซิส บี แซร์(พระยากัลยาณไมตรี)อดีตที่ปรึกษาราชการต่างประเทศฯสมัยรัชกาลที่ 6 เนื้อความที่ปรากฏในบันทึกนี้สะท้อนถึงสถานะของราชสำนักสยามในเวลานั้นได้อย่างชัดเจน

"..ในรัชสมัยที่เพิ่งสิ้นสุด(รัชกาลที่ 6) หลายสิ่งหลายอย่างได้ทวีความเลวร้ายไปมาก เนื่องจากเหตุหลายประการซึ่งข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเล่า ด้วยท่านเองก็ทราบดีแก่ใจเพียงพอแล้ว พระเจ้าแผ่นดินกลายเป็นผู้ที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของข้าราชการบริพารคนโปรด ข้าราชการทุกคนถูกเพ่งเล็งมากบ้างน้อยบ้างในด้านฉ้อราษฎรบังหลวง หรือเล่นพรรคเล่นพวก ยังนับเป็นโชคดีที่พระบรมวงศานุวงศ์ยังเป็นที่เคารพยกย่องว่า เป็นคนซื่อสัตย์ สิ่งที่เป็นที่น่าเสียใจยิ่งคือ พระราชสำนักของพระองค์เป็นที่เกลียดชังอย่างรุนแรง และในตอนปลายรัชสมัยก็ถูกเลาะเลียนเยาะย้อย กำเนิดของหนังสือพิมพ์ฟรีเพสทำให้สถานการณ์ในขณะนั้นขยายตัวเลวร้ายมากขึ้น ฐานะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นสิ่งหนึ่งที่ตกอยู่ในสภาวะลำบาก ความเคลื่อนไหวทางความคิดในประเทศแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ระยะเวลาของระบอบเอกาธิปไตยเหลือน้อยลงเต็มที..."

และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก รัฐบาลสยามแก้ปัญหาขาดดุลการคลังด้วยการปลดข้าราชการออกจำนวนมาก ปัญหาเศรษฐกิจได้ขยายวงสู่ความขัดแย้งในวงของผู้บริหารจนกระทั่งถึงขั้นมีการลาออกของเสนาบดี รัฐบาลดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่อนุรักษ์นิยมเน้นการจัดงบประมาณให้เข้าดุล จึงต้องตัดงบประมาณรายจ่าย ลดเงินเดือน ลดจำนวนข้าราชการพร้อมกับเก็บภาษีในรูปใหม่ซึ่งกระทบคนชั้นกลางมากที่สุด จนก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างมาก ขณะที่เกษตรกรชาวนาก็อยู่ในภาวะทุกข์ยาก ราคาข้าวและราคาที่ดินตกต่ำอย่างมาก ชาวนาขาดเงินสดที่จะซื้อเครื่องอุปโภคบริโภค ในขณะเดียวกันก็ขาดเงินสำหรับเสียภาษีอากร ทั้งยังไม่สามารถจะหาเงินกู้มาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ เกิดหนี้สินรุงรังและเกิดอัตราว่างงานสูง

แม้ประเทศกำลังประสบภาวะเศรษฐกิจก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเจ้านายและชนชั้นสูงยังคงดำรงสถานะที่สูงส่งเช่นเดิม ด้วยแนวคิดของระบบเจ้านายต้องผดุงไว้ซึ่งขัตติยะ เพราะหากมีเรื่องใดเสื่อมเสียมากระทบชนชั้นเจ้านาย ย่อมส่งผลต่อพระบรมเดชานุภาพของกษัตริย์ด้วย ดังนั้นพระมหากษัตริย์ต้องพระราชทานเงินให้แก่ชนชั้นเจ้าอย่างเพียงพอ


สถานการณ์ดังกล่าวเชื่อมโยงมาถึงกระแสเรียกร้องประชาธิปไตยที่รุนแรงมากขึ้น “รัฐสภาและรัฐธรรมนูญ” เป็นคำที่คุ้นเคยกันทั่วไปอย่างน้อยก็ในหมู่ปัญญาชน เวลานั้นมีกระแสข่าวว่า รัชกาลที่ 7 จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ แต่ท้ายที่สุดก็มิได้เกิดขึ้น พระองค์ทรงแก้ปัญหาทางการเมืองด้วยวิธีเดิม คือ “การปรับปรุงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” เพราะทรงเห็นว่า “การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตามแบบฉบับพระบิดานั้น เป็นวิธีที่ดีที่สุด”

ถึงปี 2474 รัชกาลที่ 7 ทรงมอบหมายให้กระทรวงต่างประเทศและที่ปรึกษาร่างเค้าโครงธรรมนูญเพื่อเตรียมไว้ว่า อาจจะพระราชทานรัฐธรรมนูญในเดือนเมษายน ในโอกาสครบ 150 ปีราชวงศ์จักรี หากแต่เค้าโครงธรรมนูญฉบับนี้ ยังเป็นธรรมนูญที่ให้อำนาจสูงสุดแก่กษัตริย์และขุนนางเสนาบดีเช่นเดิม เพราะไม่ได้แบ่งแยกอำนาจอธิปไตยออกไปจากสถาบันกษัตริย์ มิใช่ธรรมนูญที่อยู่บนพื้นฐานอำนาจของประชาชนตามหลักประชาธิปไตยทั่วไป หากเป็นธรรมนูญแบบกษัตริย์นิยม ดังเห็นได้จากที่ระบุไว้ในมาตรา 1 ของร่างฯฉบับนี้ว่า "อำนาจอธิปไตยเป็นของพระมหากษัตริย์" แต่แล้วการพระราชทานรัฐธรรมนูญครั้งนั้นก็ล้มเหลวไปพร้อมๆกับโอกาสของสยามที่จะมีระบอบรัฐสภา


ขบวนการคณะราษฎร

ทหารและพลเรือนกลุ่มหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนและทหารที่ศึกษาและทำงานอยู่ในยุโรป มีเจตนาตรงกันคือต้องการเห็นบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งได้เริ่มประชุมกันครั้งแรกตั้งแต่ราวเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2469 ณ กรุงปารีส และตกลงกันใช้วิธี "ยึดอำนาจโดยฉับพลัน" เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่กษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ โดยเน้นแผนการที่หลีกเลี่ยงการนองเลือดเพื่อป้องกันการถือโอกาสเข้ามาแทรกแซงจากมหาอำนาจที่มีอาณานิคมอยู่ล้อมรอบสยามในสมัยนั้น คืออังกฤษและฝรั่งเศส

หลังการประชุมนั้น เมื่อคณะผู้ก่อการกลับมาประเทศสยาม ก็พยายามเสาะหาสมาชิกที่ต้องการเข้าร่วมการปฏิวัติ จนได้สมาชิกจากหลากหลายอาชีพ

สายพลเรือน นำโดย หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)
สายทหารเรือ นำโดย น.ต. หลวงสินธุสงครามชัย
สายทหารบกชั้นยศน้อย นำโดย พ.ต. หลวงพิบูลสงคราม
และสายนายทหารชั้นยศสูง นำโดย พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา

เมื่อจัดตั้งขบวนการสำเร็จเป็นรูปร่าง คณะราษฎรได้ประชุมเตรียมการหลายครั้ง แต่ได้ล้มเลิกแผนการบางแผน เช่น การยึดอำนาจในวันพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาในวันที่ 16 มิถุนายน เนื่องจากประเมินแล้วว่ามีความเสี่ยงสูง จนกระทั่งได้ข้อสรุปว่าจะปฏิบัติการในรุ่งเช้าวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งเป็นช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับที่วังไกลกังวล เหลือข้าราชการเพียงไม่กี่คนในกรุงเทพ ทำให้สามารถเข้ายึดอำนาจโดยหลีกเลี่ยงการปะทะที่เสียเลือดเนื้อได้ เป้าหมายสำคัญของปฏิบัติการนี้คือการเข้าควบคุมสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนครในเวลานั้น



ย่ำรุ่ง 24 มิถุนายน 2475

ย่ำรุ่งวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ได้นำทหารบกและทหารเรือประมาณ 2,000 ชีวิต มารวมตัวกันรอบพระที่นั่งอนันตสมาคม ตั้งแต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกา จากนั้นนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะได้อ่านประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑ ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เสมือนประกาศยึดอำนาจการปกครองก่อนจะนำกำลังแยกย้ายไปปฏิบัติการต่อไป ณ ตำแหน่งที่พระยาพหลพลพยุหเสนาอ่านประกาศคณะราษฎร ด้านสนามเสือป่า ดังปรากฎในทุกวันนี้มีหมุดทองเหลืองฝังอยู่บนพื้นถนน เป็นหลักฐานติดตรึงประวัติศาสตร์หน้าสำคัญ มีข้อความจารึกว่า

"ณ ที่นี้ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ"


คณะราษฎรได้ส่ง น.ต.หลวงศุภชลาศัยไปอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งอยู่ระหว่างเสด็จแปรพระราชฐาน ณ วังไกลกังวล หัวหิน เพื่อให้เสด็จนิวัติพระนคร โดยเสนอให้ทรงเป็นกษัตริย์ต่อไปได้ แต่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ หากทรงปฏิเสธจะเลือกเจ้านายพระองค์อื่นขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อไป พระองค์ได้ทรงปรึกษากับพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ ที่ตามเสด็จและได้ตัดสินพระทัยตกลงตามเงื่อนไขของคณะราษฎร

เมื่อเสด็จกลับถึงวังศุโขทัย เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้แทนคณะราษฎร 7 คน ได้เดินทางนำเอกสารสำคัญไปกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้ธรรมนูญ การปกครองแผ่นดินสยาม พุทธศักราช 2475 ซึ่งร่างโดยนายปรีดี พนมยงค์ นับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศ ที่เป็นหลักประกันสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของราษฎร ดังที่ได้บัญญัติไว้ในมาตราแรกว่า

"อำนาจสูงสุดของประเทศนั้น เป็นของราษฎรทั้งหลาย"


--------------------------------
ฯลฯ



.

2554-06-23

เอาชิพแปะหัว แล้วไปเลือกตั้งกัน (1) (2) โดย จอห์น วิญญู I here T.V.

.
เอาชิพแปะหัว แล้วไปเลือกตั้งกัน (1)
โดย จอห์น วิญญู I here T.V.
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 03 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1607 หน้า 80



ปั้ง!!! (เสียงประตูห้องประชุมปิดอย่างแรง)

ไม่ใช่เพราะผมไม่พอใจลูกค้าแล้วทำตัวกระแทกกระทั้นหรอกนะครับ พอดีลมมันตีประตูน่ะ

แต่ใจจริงก็อยากทำอยู่เหมือนกันแหละ ฮา

ก็นะ เรื่องเดิมๆ คำถามเดิมๆ เวลาไปขายโฆษณา มักจะมีคำถามว่า "เม็ดเงินที่ลงโฆษณาไปจะวัดผลกลับมาเป็นยอดขายได้อย่างไร"

ได้ยินทีไรแล้วกุมขมับครับ มันสมองอันน้อยนิดกระจี้รี่ของผมเนี่ยมันคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะทำยังไงให้ทราบผลสะท้อนของยอดขายที่ได้รับกลับมาจากการลงทุนโฆษณาครั้งหนึ่งๆ ลองคิดดูดิครับ สมมติเจ้าของผลิตภัณฑ์ขนมยี่ห้อหนึ่งซึ่งขนมนั้นขายราคาห่อละ 10 บาท ไปซื้อสื่อโฆษณาโดยลงโฆษณาในทีวีเป็นเงิน 100 บาท มีคนเห็นโฆษณาอันนั้นจำนวน 1,000 คน แล้วหนึ่งพันคนดังกล่าวเมื่อเห็นโฆษณาจากทีวีปั๊บ ก็รีบแล่นออกไปซื้อขนมมาแดก เอ๊ย กิน ทันที นั่นหมายความว่าเจ้าของผลิตภัณฑ์ขายของได้เป็นเงิน 10,000 บาท

สมมติได้กำไร 50% จากยอดขาย ก็จะได้กำไรเป็นเงิน 5,000 บาท



ทําไมผมชอบคำนวณอะไรแบบนี้จัง ทั้งๆ ที่รู้ว่ายิ่งเขียนมันก็ยิ่ง งง ผมถือคำขวัญ (คิดเองเมื่อกี้)

"ล้านความงง นำซึ่งหนึ่ง ความกระจ่าง" (ดูเท่)

มา ต่อต่อ สรุปว่าลงทุนโฆษณาไป 100 บาท ได้กำไรกลับมา 5,000 บาท แน่นอน เจ้าของผลิตภัณฑ์ต้องคิดว่ามันคุ้มค่า และร้อยทั้งร้อยย่อมตัดสินใจได้อย่างทันทีว่าจะซื้อสื่อโฆษณานั้นต่อไป

ในความเป็นจริง คุณจะรู้ได้ไงครับว่าไอ้ 1,000 ห่อขนมที่ถูกซื้อ มาจากหนึ่งพันคนที่เห็นโฆษณาของคุณ สมมติว่าจากหนึ่งพันห่อที่ขายได้ มีแค่คนเดียวที่ออกไปซื้อขนมมากินเพราะเห็นจากโฆษณา ส่วนอีก 999 คนมาซื้อเพราะว่าหิวและไม่รู้จะกินอะไร เดินเข้าร้านไปแล้วเห็น ก็เลยหยิบๆ มา ไม่เคยดูโฆษณาในทีวีเลยด้วยซ้ำ

ถ้าคิดกันด้วยความสัตย์จริงเงินลงโฆษณา 100 บาท สร้างยอดขายได้ 1 ห่อ = 10 บาท เป็นกำไร 50% ดังนั้น กำไรคือ 5 บาทลงโฆษณา 100 บาท ได้เงินจากการขายของกลับมา 5 บาท คุ้มไหมครับ?

แถวบ้านผมเรียกขาดทุน

หลายคนบอก แหม... นายจอห์น วิญญู นายก็เว่อร์สะบึม แล้วนายไปรู้ได้ไงว่ามีคนซื้อคนเดียว เออ แล้วคุณรู้ได้ไงว่ามีคนกี่คนที่ซื้อขนมยี่ห้อนั้นจากการดูโฆษณาทีวีนั้นๆ

ใครจะไปรู้

เออ นั่นดิใครจะไปรู้ (วะ)


ในความเป็นจริงมันก็มีวิธีวัดอยู่บ้างแหละ (ตามความเข้าใจของผม) แต่มันก็ไม่น่าจะได้ผลทั้ง 100% อย่างเช่น การเก็บแบบสอบถาม ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยกันเอาเองละกันว่าจะใช้เทคนิคเทคโนแบบใดในการเก็บแบบฯ โดยการถามว่าที่มาซื้อขนมยี่ห้อนี้เนี่ย ได้ยิน ได้ฟังโฆษณามาจากไหน อย่างไร

แล้วนึกสภาพความวุ่นวายในร้านสะดวกซื้อขนาดเท่ารูตรู๊ดที่มีอยู่ทั่วไปสิครับ คนต่อคิวซื้อของจ่ายตังค์กันยาวเป็นกิโล ความวุ่นวายมหาศาลในพื้นที่กระจ้อยร่อยแค่นั้น จะให้พนักงานมาถามว่าสินค้านี้คุณมาซื้อเพราะอะไร ได้เคยเห็นโฆษณาจากไหน หรือแม้กระทั่งให้ผู้ซื้อกรอกแบบสอบถามสั้นๆ รอระหว่างพนักงานกำลังคิดเงิน

มันช่างเป็นความฝันที่สวยงาม หล่า ลา ล้า...


แต่การซื้อขายในโลกอินเตอร์เน็ต (พอจะ) ทำได้นะครับ เจ้าของผลิตภัณฑ์ที่มีเว็บไซต์ขายของเป็นของตัวเองเขาจะมีวิธีติดตามผลความคุ้มค่าจากการลงโฆษณาที่ค่อนข้างเป็นรูปธรรมและเชื่อถือได้เลยทีเดียว

แต่ระบบโปรแกรมของเขาก็จะซับซ้อนหน่อย คืองี้ครับ เขาจะไปซื้อป้ายโฆษณา (Banner) ตามเว็บไซต์ต่างๆ แล้วพอผู้เข้าชมคลิกที่ป้ายโฆษณา ก็จะถูกพามาที่เว็บไซต์ขายของของเขา ซึ่งขั้นตอนที่ป้ายโฆษณานั้นพาคนเข้ามายังเว็บไซต์จะถูกบันทึกไว้ว่าผู้ชมคนนี้มาถึงร้านนี้ได้อย่างไร และถ้าผู้ชมเข้ามาแล้ว ผู้ชมเกิดสนใจสิ่งของสินค้าในเว็บไซต์ก็จะเริ่มทำการสมัครสมาชิกเพื่อทำการสั่งซื้อของ ซึ่งขั้นตอนนี้ก็จะถูกบันทึกไว้อีก

และในที่สุด พอเริ่มต้นใช้จ่าย ก็

โป๊ะเชะ!!!

การบันทึกรายได้จากการขายเพื่อนำไปวัดความคุ้มค่าจากการลงโฆษณาเริ่มที่ตรงนี้นี่เอง


นั่นแหละครับ เพราะเป็นคอมพิวเตอร์มันเลยทำได้ เนื่องจากคอมพิวเตอร์เวลาเชื่อมต่อเข้าไปในโลกอินเตอร์เน็ตมันจะมีหมายเลข IP Address เป็นเหมือนเลขที่บ้านแหละครับ เอาไว้บอกใครๆ ว่าขณะที่ฉันออนไลน์อยู่เนี่ย ฉันอยู่ตรงนี้นะ ที่บ้านหมายเลขนี้ ใครจะส่งข้อมูลอะไรมาให้ฉัน ก็ส่งมาที่ตรงนี้ ระบบคอมพิวเตอร์ในโลกอินเตอร์เน็ตมันจะมีการรับการส่งข้อมูลบันทึกระหว่างกันและกันตลอดเวลาขณะที่เราเชื่อมต่อใช้งานอยู่

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการซื้อขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต ถ้ามีระบบการวัดผลและการเก็บสถิติการใช้งานรองรับไว้อย่างดี จะเป็นตัวชี้วัดความคุ้มค่าในการซื้อสื่อโฆษณา และมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ค้าอย่างยิ่งยวด

เฮ้ย!!! แล้วไหนเรื่องชิพแปะหัวคนอะไรที่ว่า ยังไม่เห็นมีเรยยย

อย่าหาว่าผมกวนตีนเลยนะครับ

ยินดีด้วยจริงๆ

คุณเพิ่งอ่านบทนำจบ



++

เอาชิพแปะหัว แล้วไปเลือกตั้งกัน (จบ)
โดย จอห์น วิญญู I here T.V.
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1608 หน้า 79


จากตอนที่แล้ว จบตรงที่ความสามารถของคอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้ในการวัดผลความคุ้มค่าในการลงโฆษณาของผู้ผลิตสินค้าที่ต้องการขายของในโลกอินเตอร์เน็ต โดยวัดจากสถิติการเข้าถึงร้านค้าออนไลน์ ว่าผู้เข้ามาถึงร้านค้าคนนั้นๆ มีที่มาจากการไปลงโฆษณาไว้ที่ใด และผู้เข้ามาถึงร้านค้าแล้วมีการสมัครสมาชิกหรือไม่ สมัครสมาชิกแล้วมีการซื้อของไปเท่าไหร่ แถมบางทีตามดูพฤติกรรมการเลือกชมสินค้า แล้วยังไปรู้ต่ออีกว่าสมาชิกคนนั้นๆ ชอบสินค้าอะไรเป็นพิเศษ อูววว...

บางคนเลยบอกว่าระบบ IP Address ของคอมพิวเตอร์เวลาออนไลน์นี่ดีจัง ทำให้มีการเก็บสถิติที่เกิดประโยชน์ ทำให้รู้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร รู้ไปโหม้ดเรยยย

แต่เดี๋ยวก่อน...

มันก็มีส่วนถูกอยู่หรอก แต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์

เพราะยังไงก็ตาม IP Address ใช้ระบุตัวคนไม่ได้นะครับ

ถ้าเราเล่นเน็ตจากในบ้านเราเองก็พอจะระบุตัวตนได้ แต่ถ้าเราเล่นเน็ตตามร้านเน็ต หรือสถานที่อื่นที่ให้บริการอินเตอร์เน็ต การระบุตัวตนจะยากมากกก เพราะมีคนใช้คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวกันหลายคน สมมติถ้ามีใครกระทำผิดผ่านคอมฯ ในร้านเน็ตแล้วเพิ่งลุกออกไป เก้าอี้ยังอุ่นๆ อยู่ แล้วเราที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านมานั่งใช้ต่อ เพิ่งจะกดคีย์บอร์ดปุ่มแรก ตำรวจเดินทางมาถึง มาจับเรา แล้ว

บอกว่าตรวจพบผู้ใช้คอมพิวเตอร์ IP Address นี้กระทำความผิดจึงได้เร่งรุดเข้ามาจับกุม

แหม โชคดีจริงกรูววว เพิ่งมานั่ง ตูดยังไม่ทันติดเบาะเร้ย

กว่าจะรู้เรื่องก็อาจจะต้องรอเปิดกล้องวงจรปิดในร้านเน็ตดูหน้าตาไอ้โจรคนก่อน หรือไม่ก็อาจจะดวงดีได้ไปให้ปากคำที่โรงพัก เสียเวลาเล่นเน็ตอีก ฮา

มันระบุตัวคนโดยใช้ IP Address ยากจริงๆ นะครับ ถ้าไม่เห็นตัวคนที่ใช้ ณ เวลานั้นๆ แบบจะจะ



พูดถึงเทคโนโลยีการระบุตัวตน ก็นึกไปถึง DNA เนาะ แล้วถ้าเป็นเทคโนโลยีการระบุตัวตนแบบเครือข่ายออนไลน์ล่ะ อืมมม...ถ้าเราย่อคอมฯ ให้เล็กลง เอาแค่เป็นชิพตัวเล็กๆ ก็ได้ เล็กโคตรเล็กเลยยังได้มั้ง ก็เดี๋ยวนี้เค้ามีนาโนเทคโนโลยีกันแล้วนิ เอาชิพแปะไว้ที่ตัวเราแล้วรับค่ารหัส DNA ประจำตัวของเราจากจุดสัมผัสบนร่างกาย แปลงเป็นสัญญาณวิทยุเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่ายส่วนกลาง

ใช้รหัส DNA นี้แทน IP Address ไปเลย

แหร่มป่ะ?

ในชิพตัวเดียวกันนี้ก็ทำให้มันมีความสามารถในการอ่านคลื่นสมองแล้วแปลงส่งออกไปเป็นข้อมูลรูปแบบต่างๆ ได้ ไม่แน่ต่อไปเราอาจแปะชิพตัวนี้ไว้ที่หัว แล้วออนไลน์เข้าระบบ Internet DNA ที่ว่านี้ พูดคุยกันในลักษณะโทรจิต โดยใช้ชิพตัวนี้ส่งคลื่นสมองที่เป็นคำพูดออกไปที่ระบบเครือข่ายส่วนกลางที่มีข้อมูลรหัส DNA สมาชิกคนอื่นอยู่ เพียงแค่เรานึกชื่อนามสกุลของเพื่อนพร้อมคำพูดที่ต้องการสื่อสารออกไป ระบบจะแปลงชื่อนามสกุลไปเป็นรหัส DNA แล้วส่งไปยังปลายทางอีกฝั่งซึ่งคือชิพที่แปะอยู่บนหัวเพื่อนของคุณ

เท่านี้ก็เริ่มแชตในหัวสมองกันได้แล้วล่ะ

กรี๊ดดดด!!!

จอห์น วิญญู แกเพ้อหนังไซฟายยยอารายของแก?

ไม่หรอกน่า มันเป็นจริงได้ ไม่เกินห้าสิบปี ผมว่าเผลอๆ ไม่ถึงยี่สิบ (ถ้าเกินก็อย่าว่ากันนะ เพราะผมไม่ได้เป็นคนพัฒนา ฮา)



หลายปีก่อนผมดูทีวีในบ้านเรานี่แหละ เห็นเขาใช้คลื่นสมองบังคับเกมได้กันแล้ว ดูในช่อง Discovery เขาก็เคยนำเสนอการใช้คลื่นสมองบังคับแขนกลให้ขยับ ที่ฮือฮากันมากตอนนั้นก็คงหนีไม่พ้น Honda ที่เขาโชว์การใช้คลื่นสมองของมนุษย์บังคับให้หุ่นยนต์ยกมือ *๑ หรือทำท่าทางตามคำสั่งได้

แต่ที่ผมเห็นของ Honda เครื่องรับคลื่นสมองเขาอันเบ้อเริ่ม แต่ไม่เป็นไรแป๊บเดียวเดี๋ยวมันก็เล็ก ดูคอมพิวเตอร์ดิ แต่ก่อนใหญ่เป็นโรงงาน เดี๋ยวนี้อยู่ในกำมือแล้ว

เรื่องการสนทนาผ่านคลื่นสมองเหมือนโทรจิตลองไปดูผลงานของ TI (Texas Instruments)*๒ ใน youtube ได้นะครับ เขาส่งคลื่นสมองสั่งโทรเข้าโทรศัพท์มือถือของคนอื่นได้ ใช้คลื่นสมองส่งคำพูดโดยปากไม่ขยับไปออกแบบมีเสียงยังโทรศัพท์เครื่องปลายทางนั้นได้อีกต่างหาก *๓

พัฒนาการทางด้านการจำแนกและแปลงคลื่นสมองให้เป็นสัญญาณภาพ สัญญาณเสียง ยังคงดำเนินต่อไป หลายๆ คนอาจจะคิดว่าถ้าต่อไปทุกคนต้องติดชิพที่ผมเพ้อมานี่ไว้ที่หัวตลอด ก็จะขาดความเป็นส่วนตัวสินะ ทำอะไร คิดอะไร ใครก็รู้หมด ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือเปล่า

ผมว่ามันน่าจะให้เลือกได้มากกว่านะครับ เหมือนคอมพิวเตอร์อ่ะแหละ เลือกได้ว่า online หรือ offline

แต่เมื่อถึงเวลานั้นภาครัฐเขาคงอยากจะให้เรา online ไว้ตลอดมั้ง เขาจะได้รู้ว่าเราคิดอะไร ทำอะไร จะได้ตามมาควบคุมได้โดยง่าย เนาะ

จะว่าไปแล้วถ้า online ชิพที่ว่านี้ไว้ตลอด แม้กระทั่งตอนเข้าคูหาเลือกตั้งก็แย่สิ ถ้าคลื่นสมองส่วนลึกมันส่งออกไปว่าเราอยากเลือกเบอร์นี้ แต่มือมันดันไปกาอีกเบอร์นึง

งี้เขาจะรู้ไหมนะว่าเราโดนซื้อเสียง

ว้า แย่จัง

แล้วถ้าเราดันนึกหน้าคนที่ซื้อเสียงของเราขึ้นมาตอนนั้น แล้วเขาจับคลื่นสมองของเราได้

เขาจะตกใจไหมนะ

ที่เห็นหน้าตัวเอง

ฮา...



อ้างอิง

๑. Honda ATR Develop Brain-Machine Interface Technology Enabling Control of a Robot by Human : http://www.youtube.com/watch?v=RuxAV0S71qU

๒. Texas Instruments (TI) is a global analog and digital semiconductor IC design and manufacturing company. : http://www.ti.com/

๓. World"s First, Live Voiceless Phone Call Made at TIDC 2008 : http://www.youtube.com/watch?v=0g_RQZ-ntSw


.