http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2558-01-10

ไนซ์ ถูกแบนงดออกรายการช่อง5 ถกอนาคตประเทศของเยาวชน

.

ไนซ์ ถูกแบนงดออกรายการช่อง5 ถกอนาคตประเทศของเยาวชน
ใน http://prachatai.org/journal/2015/01/57341
. . Sat, 2015-01-10 10:21

ไนซ์ เลขาธิการกลุ่ม 'การศึกษาเพื่อความเป็นไท' โพสต์แจงเหตุถูกแบนงดออกรายการช่อง5 ถกอนาคตประเทศของเยาวชน เนื่องจากเตรียมถามสดเรื่องปัญหาการคอรัปชั่นอำนาจประชาชนจากการยึดอำนาจ ต่อประธาน สปช.

เมื่อวันที่ 9 ม.ค. เวลา 22.54 น. ที่ผ่านมา ณัฐนันท์ วรินทรเวช (ไนซ์) นักเรียนมัธยมปลายและเลขาธิการกลุ่ม 'การศึกษาเพื่อความเป็นไท' โพสต์แถลงการณ์ ‘ข้อกังขาต่อความจริงใจของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)’ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Nattanan Warintarawet’ เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะเตรียมตัวออกรายการสด "เจาะประเด็นร้อน" ทางช่อง 5 เพื่อแสดงความคิดเห็นและถามคำถามเกี่ยวกับประเทศไทยที่อยากเห็นในอนาคตของเยาวชน กับ เทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. อย่างไรก็ตาม ณัฐนันท์ กลับไม่ได้ร่วมในรายการดังกล่าว เนื่องจากถูกเจ้าหน้าที่ของรายการดังกล่าวเชิญออกมาก่อน พร้อมกล่าวกับ ณัฐนันท์ ด้วยว่า "เชิญมาผิดคน"

ณัฐนันท์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้าที่จะถูกเชิญออกในระหว่างคุยประเด็นเตรียมออกรายการกับเทียนฉาย ดังกล่าว ณัฐนันท์ได้ถาม 2 คำถาม กับ เทียนฉาย ว่า 1. "สปช.จะแก้ปัญหาการคอรัปชั่นได้อย่างไร? ในเมื่อการเข้าสู่อำนาจของพวกเขาก็คือการขโมยหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงของประชาชน ซึ่งในมุมมองของฉันคือการคอรัปชั่นทางอำนาจซึ่งไม่ได้เลวร้ายน้อยไปกว่าการคอรัปชั่นทางการเงินเลย" และ 2. "พวกเขาเหล่านี้ได้มองว่าการเข้าสู่อำนาจโดยมิชอบคือการคอรัปชั่นหรือไม่?" โดย เทียนฉาย ตอบกลับด้วยว่า อย่ายึดติด ต้องมองอนาคตประเทศ

จากนั้นเจ้าหน้าที่ของรายการจึงเชิญตัวณัฐนันท์ออกมาทำให้ไม่ได้ร่วมในรายการดังกล่าว


ไนซ์ คนที่ 2 จากขวา ภาพขณะอ่านอาขยาน ถึง พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 14 ต.ค.57 หน้า ก.ศึกษาฯ ค้านการใช้หลักค่านิยมไทย 12 ประการที่ชี้นำความคิดเยาวชนไทย (อ่านรายละเอียด)


สำหรับรายละเอียดในแถลงการของณัฐนันท์ มีดังนี้

แถลงการณ์ : ข้อกังขาต่อความจริงใจของสภาปฏิรูปแห่งชาติ

ก่อนอื่นขอชี้แจงความเป็นมาสักเล็กน้อย เนื่องจากฉันได้รับคำเชิญให้ไปเข้าร่วมรายการ "เจาะประเด็นร้อน" ทางช่อง 5 เพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเทศไทยที่อยากเห็นในอนาคต ร่วมกับคุณเทียนฉาย กีระนันทน์ และเยาวชนอีกคนหนึ่ง ในตอนแรกลังเลเล็กน้อยเพราะไม่แน่ใจว่าจะมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นมากน้อยเพียงใด แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจตอบตกลง เนื่องจากคิดว่าทางสปช.น่าจะมีความใจกว้างในการรับฟังอยู่ไม่น้อย เท่าที่ดูจากการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชนนับร้อยนับพันเวที

ฉันเดินทางไปถึงสถานีช่อง 5 ที่สนามเป้า ทางเจ้าหน้าที่ได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พร้อมอธิบายเนื้อหาในรายการ(รวมถึงแนวคำตอบอย่างคร่าวด้วย) ฉันจึงชี้แจงไปว่าฉันมีแนวคิดเสรีนิยมและไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร และไม่ชอบท่องสคริปต์ ในตอนนั้นฉันเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย แต่ทุกอย่างก็ยังเป็นปกติ

สักครู่มีเจ้าหน้าที่เรียกให้ไปเตรียมตัวก่อนออกอากาศ เมื่อเข้าไปในสตูดิโอก็เหลือเวลาอีกเล็กน้อย เจ้าหน้าที่บอกว่าสามารถถามคำถามและคุยแลกเปลี่ยนกับคุณเทียนฉายได้ในประเด็นที่สงสัย

ฉันจึงตัดสินใจเสี่ยงถามคำถามที่ค้างคาใจมาเป็นเวลานานนับตั้งแต่การรัฐประหาร

ถามไปหลายข้อทีเดียว แต่มีสองคำถามที่ต้องใช้ความกล้าในการถามมากที่สุด : "สปช.จะแก้ปัญหาการคอรัปชั่นได้อย่างไร? ในเมื่อการเข้าสู่อำนาจของพวกเขาก็คือการขโมยหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงของประชาชน ซึ่งในมุมมองของฉันคือการคอรัปชั่นทางอำนาจซึ่งไม่ได้เลวร้ายน้อยไปกว่าการคอรัปชั่นทางการเงินเลย"

และ "พวกเขาเหล่านี้ได้มองว่าการเข้าสู่อำนาจโดยมิชอบคือการคอรัปชั่นหรือไม่?"

คนในสตูดิโอมองตากันเลิ่กลั่ก สักพักเจ้าหน้าที่คนหนึ่งได้ "เชิญ" ฉันออกนอกสตูดิโอก่อนที่รายการจะเริ่มเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น และให้ไปนั่งที่ห้องรับรองจนรายการจบ และยังบอกด้วยว่า "เชิญมาผิดคน"

นี่ทำให้ฉันเกิดคำถามขึ้นมากมาย

สปช. บอกเองว่ารับฟังความคิดที่แตกต่างไม่ใช่หรือ?

สปช. บอกเองว่ามีความเป็นกลางไม่ใช่หรือ?

แล้วสิ่งที่การกระทำของพวกเขาบ่งบอก มันคืออะไร?

เวทีรับฟังความคิดเห็นมากมายที่เขาจัดขึ้น มีจุดประสงค์เพื่ออะไรกันแน่?

คำถามเหล่านี้.. ไม่รู้ว่าจะมีคำตอบเมื่อไหร่

แต่ฉันสงสัย ฉันชอบถาม และฉันจะยังคงตั้งคำถามต่อไป

เสรีภาพทางความคิดต้องมีอยู่คู่สังคมแห่งนี้

หากไร้ซึ่งเสรีภาพ..สังคมก็ไร้ซึ่งอนาคต



.

2558-01-09

หลังงุนงงในพฤติกรรมสลิ่ม โดย สมาชิกพันทิป1916617

.

หลังจากงุนงงในพฤติกรรมสลิ่มอยู่หลายปี ผมคิดว่าในที่สุดผมก็ได้คำตอบในสิ่งที่สงสัยมาตลอดแล้วล่ะ
โดย สมาชิกพันทิป1916617

ใน http://pantip.com/topic/33052320
. . 2 มกราคม 2558 เวลา 13:23 น.


หลังจากงุนงงในพฤติกรรมสลิ่มอยู่หลายปี ผมคิดว่าในที่สุดผมก็ได้คำตอบในสิ่งที่สงสัยมาตลอดแล้วล่ะ
....หลังจากได้อ่านกระทู้แนะนำนี้  " สลิ่ม " คุณไม่รู้ตัวจริงๆเหรอ ว่า คุณกำลังสนับสนุน กลุ่มคนที่จะมาริดรอนสิทธิ์ของตัวคุณเองน่ะ !!! ใน http://pantip.com/topic/33032022


เจ้าของกระทู้นั้นแกถามว่า สลิ่มไม่รู้ตัวจริงๆหรือว่า คุณกำลังสนับสนุนกลุ่มคนที่มาริดรอนสิทธิ์ของตัวคุณเองน่ะ !! คำตอบคือ ผมว่าเขารู้ตัวนะ แต่จะทำไมล่ะในเมื่อเขาไม่ได้เดือดร้อนและไม่ได้รับผลกระทบอะไรแต่แรก เขาไม่ได้แคร์กับการเลือกตั้ง หรือ ไม่เลือกตั้ง ไม่ได้สนว่าประเทศจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะชีวิตพวกเขา ครอบครัวเขา คนรอบข้างเขา อยู่ในระบอบที่ดีกว่าประชาธิปไตยอยู่แล้ว ระบอบที่ผมขอเรียกว่า "ระบอบอภิสิทธิ์" นั่นปะไร

ระบอบอภิสิทธิ์ ให้แปลตามตัวคือ ระบอบสิทธิมหาศาล เป็นระบอบที่อยู่คู่สังคมไทยมาช้านานก่อนประชาธิปไตยจะเกิดเสียอีก เป็นระบบที่ทำให้เขามีสิทธิ มีเสรีภาพมากกว่าระบอบประชาธิปไตยด้วยซ้ำ เทียบกันแล้วดีกว่ากันทุกประการ ประชาธิปไตยให้คุณได้แค่ 1 คนมีค่าเท่ากับ 1 เสียงเหมือนกันหมด แต่สิ่งที่ระบอบอภิสิทธิ์ให้คุณได้คือ ชีวิตเหนือระดับและ Conection ที่จะอำนวยสิทธิประโยชน์เหนือผู้อื่นให้คุณตลอดเวลา ถ้าพลังของระบอบประชาธิปไตยคือนโยบาย พลังของระบอบอภิสิทธิ์ก็คือ การอุปถัมป์ เส้นสาย และ ความเมตตากรุณาจากผู้ใหญ่ นโยบายส่งผลเป็นวงกว้างทั่วถึงแต่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงและผลกระทบไม่รวดเร็วทันใจเท่าระบบเส้นสายและ ความเมตตากรุณาจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่ส่งผลราวเนรมิตรให้ได้ราวปาฏิหาริย์ อยู่ประเทศไทยหากคุณสามารถเข้าถึงระบอบนี้ได้เมื่อไหร่อย่าแปลกใจที่ระบอบประชาธิปไตยในสายตาคุณจะเป็นขยะไร้ค่าไปเลย เพราะเทียบกันแล้วระบอบอภิสิทธิ์ดีกว่ากับชีวิตคุณทุกประการ ตั้งแต่ลูกเกิด เข้าโรงเรียน เข้ามหาวิทยาลัย ทำงาน เกษียร ยันตาย การศึกษาที่ดีกว่าช่องทางที่ดีกว่า โอกาสที่ดีกว่า ทางเลือกชีวิตที่ดีกว่า คุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ฯลฯ

ถามผม ผมก็ว่า ระบอบอภิสิทธิ์ดีกว่าระบอบประชาธิปไตย ผมนี้ยอมรับโดยดุษฎีเลย และ ถ้าเคยลิ้มลองระบอบอภิสิทธิ์ชนดูซักครั้งจะติดใจจนแทบไม่อยากกลับไป 1 เสียง 1 สิทธิ อีกเลย เช่น ได้ฝากลูกเข้าโรงเรียนดัง ได้รับฝากเข้าทำงานรัฐวิสาหกิจชื่อดัง สวัสดิการดี โบนัสเยี่ยมโดยสอบพอเป็นพิธี ได้งานราชการมูลค่าหลายล้านอย่างง่ายดายโดยยื่นซองไปตามระเบียบ ได้เลื่อนตำแหน่งปีละ 2 ขั้นเพราะนามสกุล ได้ทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศ กลับมารับตำแหน่งหน้าห้องพ่อ ไม่ต้องคัดเลือกเกณฑ์ทหาร เมาแล้วขับรถชนคนตายก็ไม่ต้องติดคุก มีเรื่องที่ไหนก็ได้ถามคำถามคนอื่นว่าพ่อกุเป็นใคร ฯลฯ  การใช้ชีวิตของคนไทยธรรมดาๆที่ถูกต้องตามระบอบอภิสิทธิ์ คือ คุณต้องขยันเรียนให้สูงที่สุด อัพเกรดตัวเอง อัพฐานะ แต่งงานกับคนรวย ทำทุกอย่างให้ตัวเองเข้าสู่ระบอบนี้ให้ได้ แล้วชีวิตจะสบายเหนือเพื่อนร่วมชาติส่วนใหญ่ที่ไม่ดิ้นรน หรือ ไม่รู้ตัวว่าประเทศเรามีระบอบนี้ และหากคุณดิ้นรนแล้วแต่ยังเข้าไม่ถึงอาจเนื่องจากความสามารถไม่พอ เส้นสายไม่มี ทางเลือกของคุณคือจงเป็นเด็กดี เคารพ เชื่อฟัง และรอความเมตตากรุณาจากท่านอยู่นิ่งๆ แล้วทุกอย่างจะดีเอง ประเทศจะสงบสุข ปราศจากปัญหา เป็นเช่นนั้นจริงๆ

มีคนเคยเปรียบเปรยชาวบ้านที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งของตนในระบอบประชาธิปไตยว่า เลือกเพราะเห็นแก่เศษผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆที่นักการเมืองหยิบยื่นให้ แค่เขาแจกเงินให้ไม่กี่ร้อยก็ใช้สิทธิเลือกเขาไปแล้ว  เทียบกับชาวบ้านที่อยู่ในระบอบอภิสิทธิ์ที่ได้รับคำสั่งให้ สงบ นิ่ง รอ อย่างผู้ดี สุดแต่ท่านจะเมตตา อย่าเห็นแก่เศษเนื้อจนไม่รักษาอาการแม้ท้องหิว หรือ ยางเหลือโลสี่สิบ นั่นแหละดีมาก เด็กดี  แล้วก็ไม่รู้อันไหนมันน่าสมเพชน้อยกว่ากัน !!!

บางคนเหมือนคนเข้าใจโลก บอกว่าโลกนี้ไม่มีหรอกความเท่าเทียมกันน่ะ มันย่อมมีเหลื่อมล้ำต่ำสูงเป็นธรรมดาโลกอยู่แล้ว แต่เผือกไม่เข้าใจว่าไอ้ที่เขาเรียกร้องกันนี่ เขาไม่ได้ขอรวยเท่ากัน หล่อเท่ากัน ดีเท่ากันหมดทุกอย่างไป นิ้วคนยังยาวไม่เท่ากันเลยชาวบ้านเขารู้หรอก เขาเรียกร้องแค่สิทธิขั้นพื้นฐาน ย้ำอีกครั้งว่า พื้นฐาน เท่านั้นที่ขอให้เท่าๆกัน ไม่ได้ต้องการอภิสิทธิ์ แต่แค่สิทธิน้อยๆ ก็ยังให้เขาไม่ได้ คิดดูว่ามันอนาถาแค่ไหน

"รัฐประหารไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้ลิดรอนสิทธิ์ ไม่ได้ทำให้เงินเดือนต่ำลง โบนัสก็ออกเหมือนเดิม ไม่ได้ห้ามออกไปช๊อปปิ้ง ยังคงใช้ชีวิตได้ตามปกติ  ไม่มีเลือกตั้งก็ไม่เห็นเป็นไร"  เป็นคำตอบที่ไม่น่าแปลกใจเลยสำหรับคนที่สบายดีหลวงพระบาง เอ้ย สบายดีไทยแลนด์อยู่ในระบอบนี้แล้ว ถึงจะเป็นปัญญาชน เรียนมาสูง และขัดแย้งกับหลักวิชา ตำราวิชาการที่เรียนมาอย่างไร หรือต่อให้ขัดแย้งกับความเห็นคนทั้งโลกแต่สุดท้ายแล้วมนุษย์ทุกคนย่อมเห็นแก่ตัวมากกว่าคนอื่น และมันก็ถูกของเขาจริงๆ เขาจะเดือดร้อนอะไรกับการริดลอนสิทธิเล็กๆน้อยๆ ในเมื่อที่ผ่านมาเขามีมันมากล้นจนเกินพอ !!! จะให้ไปหวงแหนสิทธิน้อยๆกระจ้อยร่อยอย่างหนึ่งคนหนึ่งเสียงเนี่ยนะ ใช่เรื่องมะนั่น

อ้าว !! แล้วถ้าระบอบอภิสิทธิ์มันดีปานนี้ทำไมเราไม่ Implement ระบอบนี้แทนประชาธิปไตยไปเลยล่ะ ดีกว่าเห็นๆ ดีกว่าทุกอย่าง คำตอบก็คือ เป็นไปไม่ได้ เพราะระบอบอภิสิทธิ์ ไม่สามารถทำให้ได้ทั่วถึงกันทุกคน ทันทีที่มีคนได้อภิสิทธิ์ หรือสิทธิมหาศาล 1 คน ก็จะมีคนเสียสิทธินับร้อยนับพันคน มีคนรวยกระจุกก็มีคนจนกระจาย และความเมตตากรุณาจากผู้หลักผู้ใหญ่ก็ไม่ใช่ฝนที่ตกทั่วฟ้าได้เหมือนนโยบาย และต่อให้เป็นผู้ใหญ่ที่ทรงอิทธิพล และ ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย ก็ไม่มีเงินมากเท่างบประมาณแผ่นดิน ทำให้การสร้างนโยบายผ่านงบประมาณแผ่นดินนั้น เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังกว่าการให้ความเมตตากรุณาไปในที่สุด ปัญหามันก็เกิดอิตรงนี้แหละ

พลังจากการขับเคลื่อนนโยบาย ผ่านงบประมาณแผ่นดิน และ ความเข้มแข็งของระบอบประชาธิปไตย ทำให้คนที่อยู่ในระบอบอภิสิทธิ์กลายเป็นเสียงส่วนน้อยไปในที่สุด และมีแน้วโน้มถูกคุกคามจากการเรียกร้องความเท่าเทียมกันที่หนาหูขึ้นเรื่อยๆ  แต่ถึงจะกลายเป็นส่วนน้อยแต่ก็เป็นคนส่วนน้อยที่มีอภิสิทธิ์อยู่ดี ถึงพรรคการเมืองตัวแทนฝ่ายตนจะไม่สามารถเอาชนะได้ในการเลือกตั้ง แต่อภิสิทธิ์ Connection ก็มี Power พอที่จะล้มการเลือกตั้ง หรือ ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและทำการปฏิรูปทุกอย่างให้เข้าทางฝ่ายตนให้มากที่สุด เกิดเป็นการแย่งชิงการนำ และนำมาสู่ความขัดแย้งเรื้อรังแก่ประเทศสิบกว่าปีอย่างที่เห็นและเป็นอยู่โดยไม่รู้จะไปจบลงที่ใด แต่คงจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะพ่ายแพ้ศิโรราบโดยสิ้นเชิง ว่าไปก็ยาวเปล่าๆกลับเข้าเรื่องต่อดีกว่า

ตามความเข้าใจของผม ถ้าจะให้แบ่งสายพันธุ์สลิ่มออกเป็น คงแบ่งออกได้เป็น 3  ประเภทใหญ่

1. กลุ่มที่อยู่ในระบอบอภิสิทธิ์ อยู่แล้วข้างต้น ซึ่งจากที่กล่าวมาคงตอบคำถามได้แล้วว่า ทำไมเขาไม่เดือดร้อนกับการรัฐประหาร หรือ ทำไมในใจเขาไม่มีประชาธิปไตยอยู่ในนั้น  ทำไมไม่เดือดร้อนกับการถูกลิดรอนสิทธิ ทำไมมองไม่เห็นความไม่ชอบมาพากลของเหล่าคนดี หรือ ไม่เห็นการทุจริตคอร์รัปชั่นของอภิสิทธิ์ชนด้วยกัน ป่วยการถามคำถามเหล่านี้กับสลิ่ม เขาเรียนมาสูง จบสูง ความคิดความอ่านก็มีไม่น้อยกว่าใครในแผ่นดินไทย มีหรือเขาจะไม่รู้ ไม่เข้าใจในสิ่งที่เป็นไปและเป็นอยู่ เจอคนที่ยังมีสำนึกอยู่บ้างเขาก็เงียบเสีย คนที่พาลๆหน่อยก็จะออกเรื่องทักษิณไปนู้นเลย เปล่าประโยชน์จะคาดคั้นเอาความถูกต้องตามหลักวิชาจากเขา จนนักประชาธิปไตยบางคนถอดใจไปเลย ที่เห็นคนระดับปัญญาชนของประเทศยังเป็นอย่างนั้น แต่คิดในแง่ปุถุชน กินขี้ปี้นอนไม่ได้บรรลุโสดาบัน ถึงเป็นคนดี ก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ครอบครัว ญาติพี่น้อง พรรคพวกตน ก่อนคนอื่นๆ อยู่ดี เพียงแต่เขาไม่อยากรับความจริงเพราะมันดูเป็นคนไม่ดีเท่าที่เขาอยากจะเป็นเท่านั้นเอง แค่การเห็นด้วยกับการเบียดเบียนสิทธิของคนอื่น ก็คงไม่ได้บาปมากในทางศาสนามั้ง ประมาณไม่ได้ไปฆ่าใครตาย แถมเพราะกลุ่มเราเป็นคนมีคุณตะพาบกว่า รักชาติกว่า รักสถาบันกว่า ให้เราจัดแจงให้ทุกอย่างสุดท้ายแล้วอาจดีกับพวกเขากว่าแล้วก็ได้ คือสุดแต่จะจินนาการหลอกตัวเองให้รู้สึกผิดในการปล้นสิทธิคนอื่นน้อยลงไปล่ะนะ แต่โดยสถานะของกลุ่มนี้ประชาธิปไตยมันไม่เข้าทางพวกเขาจริงๆ เพราะเหมือนจะคุกคามสถานะเขาให้ด้อยลงกว่าที่เคยเป็นมา

2. ชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ได้เป็นอภิสิทธิ์ชน แต่ชอบและบูชาในระบอบอภิสิทธิ์ ซึ่งได้รับคำสั่งให้ สงบ นิ่ง รอ อย่างผู้ดีคนดีมีการศึกษาและรู้จักคำว่าพอเพียงสุดแต่ท่านจะเมตตา ได้แค่ไหนจงพอใจแค่นั้น ที่สำคัญ เราคือฝ่ายธรรมะ เขา คือฝ่ายอธรรม และ ธรรมมะยอมชนะอธรรม ข้าราชการคนดี นักการเมืองล้วนโกงกิน ฝ่ายคนดีถึงจะมีจำนวนน้อยกว่าแต่สุดท้ายแล้วจะชนะเพื่อนร่วมชาติไทยที่เป็นฝ่ายคนชั่ว หรือ คนโง่ซึ่งถูกคนชั่วหลอกใช้ ลอร์ดโวลเดอร์มอร์ต้องถูกกำจัด แผ่นดินจะสงบร่มเย็นเหมือนที่เป็นมาชั่วกัลปาวสานอวาลอน ผมขอเรียกกลุ่มนี้ว่าพวกคนดีโลกสวย ความคิดสติสตังค์ไม่ค่อยอยู่กับความเป็นจริง สนใจการเมืองแค่ฉาบฉวยแฟชั่นแล้วแต่แกนนำจะนำพาโพกผ้า หรือ เป่านกหวีด รอบหน้าอาจเป่าทรัมเป็ตก็คงทำอีกน่ะแหละ ไม่ได้มีความคิดปฏิวัติ ปฏิรูปใดๆจริงๆจังๆ แค่มองหา แฮรี่พอตเตอร์ วีระบุรุษกู้ชาติซักคน แล้วก็โยนให้เป็นหน้าที่ฮีโร่ไป ตัวเองดกเบียร์เชียร์ หรือทำงานหาเงินเที่ยวญี่ปุ่น เกาหลี อยู่บ้านพอแล้ว จึงไม่แคล้วถูกปลุกผีมาเป็นพักๆอยู่ร่ำไป

3. กลุ่มฐานคะแนนเสียงพรรคเก่าแก่ทางปักษ์ใต้ ซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดา มียากดีมีจนผสมปนเปกันเหมือนคนไทยภูมิภาคอื่นๆทั่วประเทศ และ ไม่ได้อยู่ในระบอบอภิสิทธิ์ใดๆเหมือนเขาหรอก แต่ภูมิใจในการปลูกฝังกันมาในการถือพรรคถือพวก และ ความรู้สึกมีส่วนร่วมในการเป็นพรรคคนใต้ พวกนี้ก็ไม่สนใจอะไรในประชาธิปไตยอยู่แล้ว สนแค่ว่าพรรคของตนจะชนะ หรือ แพ้เท่านั้น เอาหรอยเข้าว่าอย่างเดียว ขนาดความเดือดร้อนมาเยือนถึงชายคาบ้านก็ไม่ได้สนใจ ติดอยู่ในมายาคติของการถือพรรคถือพวก และ ความเกลียดทักษิณจนไม่ลืมหูลืมตาอันเกิดจากการยุแยงของนักการเมืองท้องถิ่น  เป็นคนบ้านนอกคอกนาเหมือนเพื่อนร่วมชาติภาคอื่นๆแท้ๆ แต่กลายเป็นเครื่องมือที่เข้มแข็งของอภิสิทธิ์ชนจากส่วนกลางไปซะงั้น

ทั้งสามกลุ่มนี้ ไม่กว่ากลุ่มไหน ก็ป่วยการคุยถึงหลักการประชาธิปไตย และ แน่นอน เขาไม่เดือดร้อนจากการถูกลิดรอนสิทธิกับการรัฐประหารแต่อย่างใด

และทั้งหมดนี้คือการแชร์ความเห็นผมจากการได้อ่านกระทู้แนะนำอันนั้นครับ


+ + + + + +
เชิญอ่านคำวิจารณ์และโต้แย้งทั้งรูปภาพ ที่ท้ายบทของต้นฉบับ http://pantip.com/topic/33052320
( และกระทู้ที่มาแต่แรก http://pantip.com/topic/33032022 )



.

2558-01-03

ประเทศที่ไร้ความหวัง โดย SIU

.

ประเทศที่ไร้ความหวัง
โดย Siam Intelligence

ใน http://www.siamintelligence.com/thailand-has-no-hope/
. . 3 มกราคม 2015


ทักษิณ ชินวัตร น่าจะถือเป็น “ความหวังครั้งสุดท้าย” ของสังคมไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

มหาเศรษฐีผู้ขี่กระแสคลื่นลูกที่สาม เจ้าพ่อแห่งวงการโทรคมนาคมผู้หันเหเข้าสู่วงการการเมือง เข้ามากระตุ้นสังคมไทยที่เจ็บช้ำปวดร้าวจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ได้อย่างน่าทึ่งด้วยแนวนโยบายแบบใหม่และการบริหารที่กระฉับกระเฉงว่องไว

ในช่วงของรัฐบาลทักษิณ คนไทยมองไปข้างหน้าสู่อนาคตที่ดีกว่า เศรษฐกิจสดใสเต็มไปด้วยความหวังว่าไทยจะพัฒนาและก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศสำคัญของเอเชีย สานต่อความฝัน “เสือตัวที่ห้า” ที่ยังทำไม่สำเร็จในทศวรรษ 2530 ความภูมิใจของคนในชาติเปี่ยมล้น ภูมิใจต่อพัฒนาการของ “ประเทศไทย” ที่สามารถต่อสู้กับอารยประเทศได้อย่างสมศักดิ์ศรี

แต่ทักษิณก็ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยต้อง “ผิดหวัง” ความทะเยอทะยานและพฤติกรรมที่ล้นเกินไปหลายอย่างของเขาทำให้คนบางส่วน “รับไม่ได้” และเสื่อมความนิยมลงอย่างรวดเร็ว เป็นชนวนให้เกิดเหตุการณ์ชุมนุมตั้งแต่ช่วงปลายปี 2548 เป็นต้นมา และเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังคงอยู่ในปัจจุบัน

เราต้องยอมรับว่ากลุ่มคนที่ “เกลียดทักษิณ” ในปัจจุบันนี้ เดิมทีเคยเป็นกลุ่มคนที่ตั้งความหวังกับทักษิณอย่างมาก และ “อกหัก” จนเปลี่ยนความรักเป็นความเกลียดชังในที่สุด

หลังจากนั้นเป็นต้นมา คนไทยก็ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกมาโดยตลอด




ความหวังประเทศไทย

เมื่อรัฐบาลทักษิณถูกโค่นล้มลงไป คนไทยจำนวนไม่น้อยหวังว่าคณะรัฐประหาร คมช. และรัฐบาล “ขิงแก่” จะเข้ามากอบกู้ประเทศได้ในปี 2549 แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว กลายเป็นรัฐประหารที่ถูกพวกเดียวกันมองว่า “เสียของ”

หลังจากนั้นคนไทยก็ให้ความหวังกับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีหนุ่มดีกรีอ๊อกซ์ฟอร์ด หน้าตาหล่อเหลา วาจาคมคาย น่าจะเข้ามาบริหารบ้านเมืองได้ทันสมัยเป็นสากล แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง เหลือเพียงแค่วาทะ “ดีแต่พูด” เก็บไว้ในความทรงจำ

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขี่กระแสภาพลักษณ์และความหวังว่า “เมืองไทยจะกลับมาดีอีกครั้ง” อย่างเช่นสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย แต่สุดท้ายแล้ว รัฐบาลเพื่อไทยก็ทำลายความหวังเหล่านี้ลงในชั่วข้ามคืน ด้วยการผ่านร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ที่แสนขัดแย้ง จนทำให้สุดท้ายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องพังทลาย จบลงด้วยรัฐประหารครั้งที่สองในรอบ 8 ปี

ล่าสุดกับรัฐบาล คสช. ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงแม้คนบางกลุ่มจะตั้งความหวังเป็นอย่างสูง แต่ทิศทางการบริหารประเทศในรอบครึ่งปีที่ผ่านมา ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่า คสช. กำลังพาประเทศไทยไปสู่อนาคตสักเท่าไรนัก จะมีแต่การหมุนเข็มนาฬิกาย้อนกับไปสู่วันวานแห่งอดีตเสียเป็นส่วนใหญ่

มองให้ไกลกว่าประเด็นการเมือง สังคมไทยก็ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับแทบทุกเรื่อง เศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกเริ่มเดินมาถึงทางตัน สังคมฟอนเฟะในทุกมิติ สถาบันหลักของประเทศแทบทุกแห่งเต็มไปด้วยจุดด่างพร้อย ตั้งแต่รัฐสภาปาเก้าอี้ อธิการบดีมหาวิทยาลัยชื่อดังนั่งควบสองตำแหน่ง โครงการ GT200 ของทหาร ศาลสูงสุดที่เขียนคำวินิจฉัยแบบลวกๆ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนที่ไม่ทำงาน ไปจนถึงคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ไม่อยากจัดการเลือกตั้ง

ความสามารถในการแข่งขันของประเทศถดถอยในการจัดอันดับแทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ คอร์รัปชั่น สิทธิมนุษยชน หรือแม้กระทั่งการจัดอันดับมหาวิทยาลัย

ความภูมิใจต่อประเทศไทยเริ่มจืดจางลง หลายคนเลิกเปรียบเทียบประเทศไทยกับต่างชาติ ด้วยวาทกรรม “เมืองไทยมีแนวทางของตัวเอง” และ “อารยธรรมต่างชาตินำมาใช้กับเมืองไทยไม่ได้ทั้งหมด”

แน่นอนว่าพื้นฐานของประเทศไทยยังเข้มแข็ง ประเทศไทยยังไม่มีโอกาสจะล่มสลายลงในชั่วพริบตาแบบเดียวกับครั้งวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยคราวนี้ถือภาวะเซื่องซึมที่ยาวนาน คนไทยยังอยู่ได้ มีกิน ชีวิตอยู่ได้ตามปกติสุข แต่มองไปทางไหนก็ยังไม่เห็นประกายความหวังในสายตา

สภาพการณ์อึมครึมแบบที่เป็นอยู่ กลายเป็นเหตุสั่งสมความเครียดโดยรวมของสังคม คนไทยจำนวนไม่น้อยหันไปคว้าจับ “สิ่งเหนือธรรมชาติ” ทั้งจิตและกรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ในขณะที่คนไทยอีกส่วนหนึ่งก็หวังพึ่งโชคชะตาด้วยการ “รวยทางลัด” ทั้งหวยและหุ้น

ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจนัก ถ้าหากมีคนไทยกลุ่มไหนสามารถสร้าง “ความหวัง” มาตอบสนองภาวะโหยหาความภาคภูมิใจเหล่านี้ สังคมไทยจะตอบสนองอย่างท่วมท้น

ทีมฟุตบอลไทยภายใต้การนำของโค้ช “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ถือเป็นดาวความหวังดวงใหม่ล่าสุดของประเทศไทย ด้วยขีดความสามารถในการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมในระดับอาเซียน สามารถทวงบัลลังก์เก่าของทีมฟุตบอลไทย (ที่ห่างหายไปนานหลายปี) อย่างแชมป์ซีเกมส์ และแชมป์ซูซูกิคัพ กลับคืนสู่อ้อมอกของคนไทยได้สำเร็จ ในขณะที่ระดับเอเชียก็ไม่น้อยหน้า สามารถขึ้นไปยืนอยู่ในระดับ 4 ทีมสุดท้ายฟุตบอลชายเอเชี่ยนเกมส์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

นักเตะในยุคของ “ซิโก้” ยังแสดงให้แฟนฟุตบอลชาวไทยเห็นว่า พวกเขามีมาตรฐานการเล่นทัดเทียมกับระดับสากล มีความขยัน มีทักษะ มีวินัย รู้จักการเล่นเป็นทีมเวิร์ค ต่างไปจากนักฟุตบอลไทยชุดก่อนๆ ที่ดูจะขี้เกียจ ไม่มีความฟิต และชอบเล่นฟุตบอลชายเดี่ยวเพื่อโชว์ความสามารถตัวเอง

การคว้าแชมป์ซูซูกิคัพในช่วงปลายปีของทีมฟุตบอลไทย จึงทำให้คนไทยทั้งประเทศ “สะใจ” ได้ปลดปล่อยความภูมิใจที่สะกดกลั้นมานาน และได้รู้สึกว่า “ประเทศไทยมีดี” กลับมาแข่งขันได้ในระดับสากล

แต่เมื่อหันกลับมามองที่แวดวงอื่น โดยเฉพาะวงการการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เรากลับยังไม่เห็นความหวังแบบเดียวกันมากนัก เรายังไม่สามารถค้นพบดาวรุ่งกลุ่มใหม่ที่เต็มไปด้วยขีดความสามารถ ภาพลักษณ์ใสสะอาด ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ที่จะสามารถฝากความหวังว่าอนาคตของประเทศไทยจะดีขึ้นเอาไว้ได้

สภาพการณ์ของประเทศไทยในปี 2558 จึงยังอึมครึมต่อไป และคนไทยก็ยังต้องอยู่กับตัวละครหน้าเดิมๆ ต่อไปในทุกวงการ แม้จะรู้ว่าไม่สามารถฝากความหวังไว้กับคนเหล่านี้ได้ แต่ก็ไม่มีตัวเลือกอื่นใดที่ดีไปกว่านี้แล้ว

SIU ขอสวัสดีปีใหม่ผู้อ่านทุกท่าน และขอให้ทุกท่าน “อดทน” ต่อสภาวการณ์อันอึมครึมนี้ต่อไป จนกว่าประเทศไทยจะกลับมาเงยหน้าและมองขึ้นไปหาอนาคตอีกครั้ง



.