http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2557-12-15

มองการเมืองไทยผ่านกรัมชี่ โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

. 

มองการเมืองไทยผ่านกรัมชี่
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

ใน www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1418629117
. . วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 20:01:59 น.

( ที่มา : นสพ.มติชนรายวัน 15 ธ.ค.2557)


อํานาจที่จะปกครองรัฐได้นั้นมีสองส่วน หนึ่งคืออำนาจครอบงำ (domination) ซึ่งหมายถึงการเข้าไปกุมกลไกของรัฐ เช่น กองกำลังติดอาวุธ, ระบบราชการ, เครื่องมือสื่อสาร ฯลฯ กลายเป็นอำนาจใหญ่ที่ไม่มีใครต้านทานได้ ผูกขาดความรุนแรง และด้วยเหตุดังนั้นจึงเป็นผู้ตัดสินกรณีพิพาททั้งหมดแต่ผู้เดียว แต่อำนาจครอบงำอย่างเดียวถึงสามารถปกครองได้ก็ไม่ยั่งยืน เพราะอำนาจประเภทนี้มีวิธีใช้อยู่อย่างเดียว คือกดขี่ปราบปราม ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับในโลกปัจจุบันไปแล้ว นอกจากนั้น แม้ไม่มีป่าเหลือให้หลบหนีอีกแล้ว แต่ก็มีพื้นที่อื่นๆ ที่เกิดใหม่ในโลกปัจจุบัน ซึ่งทำให้ผู้คนสามารถเล็ดลอดหลบหลีกไปจนได้ เช่นในระบบการสื่อสารของโลกปัจจุบัน อาจจะง่ายกว่าสมัยโบราณที่ยังมีป่าอยู่ด้วยซ้ำ เพราะไม่ต้องเตรียมเสบียงอาหารมากนักและไม่ต้องขนเอาครอบครัวอพยพหนีตามไปด้วย

ดังนั้น อำนาจส่วนที่สองจึงมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าการครอบงำ นั่นคือ "อำนาจนำ" (hegemony) ซึ่งก็คือฐานทางวัฒนธรรมที่ทำให้สังคมยอมรับอำนาจครอบงำซึ่งรัฐต่างๆ ยึดกุมอยู่ รัฐที่อ่อนแอมีแต่อำนาจครอบงำ ในขณะที่รัฐแข็งแกร่งแทบไม่ใช้อำนาจครอบงำเลย หากใช้แต่อำนาจนำเท่านั้นในการปกครอง เพราะอำนาจนำของรัฐเช่นนั้นมีพลังไพศาลจนเกิดการยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งสังคม การจลาจลหรือการแข็งข้อของคนบางกลุ่มบางเหล่าในสังคม จึงแทบไม่กระทบต่ออำนาจปกครองของรัฐเลย ไม่พักต้องพูดถึงการวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งย่อมเปิดกว้างแก่ทุกคน


ในแง่นี้จะพูดว่าอำนาจนำมีความสำคัญกว่าอำนาจครอบงำก็ได้
เพราะในรัฐเช่นนั้น อำนาจนำย่อมแข็งแกร่งเสียจนยากที่ใครจะสร้างอำนาจนำทางเลือกขึ้นมาแข่งอย่างได้ผล อย่างไรก็ตาม ในช่วงจังหวะเวลาทางประวัติศาสตร์บางอย่าง บาง "ชนชั้น" (ซึ่งไม่ได้มีความหมายในเชิงเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงสำนึกทางปัญญาและศีลธรรมที่เหมือนกัน หรือสำนึกใน "วัฒนธรรม" เดียวกันด้วย) ก็อาจประสบความสำเร็จในการสร้างอำนาจนำทางเลือกขึ้นมาแข่ง จนทำให้การยอมรับของผู้คนต่ออำนาจครอบงำของรัฐซึ่งมีอยู่สั่นคลอนไป


อำนาจนำไม่ว่าจะเป็นของ "ชนชั้น"ใด ไม่เคยเป็นระบบปิด หรือระบบความคิดและวัฒนธรรมที่หยุดนิ่งไม่ยอมขยับเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด หากสามารถปรับเปลี่ยนไปได้ตามสำนึกใหม่ๆ ซึ่งเกิดขึ้นในสังคม เช่น การยอมรับสิทธิคนผิวสี, การยอมรับสิทธิเสมอภาคของสตรีและ LGBT ฯลฯ เพราะการยอมรับเช่นนี้ไม่ได้ทำให้หลักสำคัญของอำนาจนำสั่นคลอนลงแต่อย่างไร... คนดำ, ผู้หญิงและกะเทยก็ยังล้วนเป็นสินค้าในตลาดไม่ใช่หรือ ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ อำนาจนำใดๆ ที่พยายามเป็นระบบปิด ไม่ยอมปรับเปลี่ยนเลย ย่อมแสดงให้เห็นว่าอำนาจนำนั้นอยู่สภาวะอ่อนแอจนจะไปไม่รอดอยู่แล้ว

....(เกือบทุกคนคงรู้แล้วว่านี่คืออันโตนิโอกรัมชี่แบบง่ายและตื้นกว่าของจริงเป็นสองเท่า สติปัญญาของผมอนุญาตให้เข้าใจกรัมชี่ได้อย่างง่ายและตื้นเท่านี้ นี่เป็นเท่าที่หนึ่ง ผมตั้งใจเขียนให้ง่ายและตื้นลงไปกว่าความเข้าใจของตนเอง เพื่อประโยชน์แก่ผู้อ่านทั่วไป นับเป็นเท่าที่สอง)


ผมคิดว่า หากมองรัฐไทยและสังคมไทยในช่วงจังหวะทางประวัติศาสตร์ขณะนี้ จากทรรศนะของกรัมชี่ ก็จะเกิดความเข้าใจอย่างหนึ่ง ซึ่งน่าวิตกห่วงใยอยู่มาก พร้อมกับเกิดความหวังใหม่อีกบางอย่างไปพร้อมกัน จึงขอแบ่งปันทั้งความเศร้าและความสุขแก่ผู้อ่าน

เห็นได้ชัดนะครับว่า รัฐที่ถูก คสช.ยึดเอาไปนั้น ในขณะนี้เหลือแต่เพียงอำนาจครอบงำเท่านั้น นับตั้งแต่วันแรกที่ยึดอำนาจได้ คสช.ก็ใช้อำนาจของกลไกรัฐ โดยเฉพาะกองทัพ เพื่อบีบบังคับให้ทุกฝ่ายต้องสยบยอมให้หมด บางครั้งยกกองกำลังและอาวุธยุทธภัณฑ์จำนวนมากอย่างน่าตกใจ เพื่อขับไล่ฝูงชนที่ปราศจากอาวุธซึ่งออกมารวมตัวกันเพื่อต่อต้านการรัฐประหาร แม้ประท้วงโดยสัญลักษณ์ของคนจำนวนน้อย ก็ยังต้องใช้กองกำลังติดอาวุธเป็นร้อยเพื่อจับกุม การเรียกคนไป "ปรับทัศนคติ" ในค่ายทหารยังทำต่อไปจนถึงทุกวันนี้

แม้กระนั้นการประท้วงในรูปแบบต่างๆ แล้วแต่ว่าบุคคลจะคิดสร้างสรรค์ขึ้นใหม่เพื่อสื่อสารกันเองในสังคม ก็ยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดมา แสดงให้เห็นว่ามาตรการที่อาศัยอำนาจครอบงำเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถสยบคนในสังคมลงได้

ไม่ใช่ว่า คสช.จะไม่มีสำนึกถึงความสำคัญของอำนาจนำเสียเลย หัวหน้า คสช.ได้เสนอค่านิยม 12 ประการมาตั้งแต่ยึดอำนาจระยะแรกๆ แล้ว กลไกของรัฐ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ, องค์กรปกครองทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น, และสื่อต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ ก็พยายามเผยแพร่ค่านิยมนี้ในหมู่ประชาชน แต่หากดูจากปฏิกิริยาตอบรับของสังคมต่อค่านิยม 12 ประการ ก็จำเป็นต้องกล่าวว่า คสช.ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงที่จะสถาปนาอำนาจนำขึ้นในสังคมได้สำเร็จ

วิธีการสถาปนาอำนาจนำของทหารเป็นวิธีการที่ไม่มีความหวังใดๆ ว่าจะสำเร็จด้วย เพราะใช้แต่อำนาจครอบงำเป็นเครื่องมือเพียงอย่างเดียว การใช้ ม.112 อย่างพร่ำเพรื่อและรุนแรง เท่ากับไปยกศัตรูของ คสช.ให้กลายเป็นศัตรูของสถาบันพระมหากษัตริย์ไปด้วย การจับกุมหรือเรียกตัวผู้คนมาปรับทัศนคติตามอำนาจในกฎอัยการศึก แม้ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า คสช.ไม่มีอำนาจนำอยู่ในมือเอาเลย แม้แต่จะยึดกุมฐานคติของอำนาจนำเก่ายังทำไม่ได้อีกด้วย

ผมไม่คิดว่า ทั้งนี้เพราะผู้นำของ คสช.ล้วนเป็นนักเรียนเก่าของโรงเรียนนายร้อย, นายเรือ และนายเรืออากาศ จึงทำให้ไม่มีความสามารถจะสถาปนาอำนาจนำได้ ผมได้รู้จักกับนักเรียนเก่าของเวสต์ปอยท์จำนวนหนึ่งเมื่อสมัยไปเรียนในสหรัฐ ก็พบว่าความสามารถของพวกเขาไม่ใช่การสถาปนาอำนาจนำแน่ แต่พวกเขาโชคดีที่ไม่ได้อยู่ในสังคมที่คาดหวังให้พวกเขาเข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรกับอำนาจนำ ไม่ว่าจะสร้างขึ้นใหม่หรือปรับเปลี่ยนของเก่าให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง

คำถามก็คือ ในรัฐที่ขาดอำนาจนำเช่นประเทศไทยในปัจจุบัน ยังมีทางเลือกอะไรในการที่ผู้ปกครองจะยึดรัฐต่อไปได้



กรัมชี่พบว่า ความเป็นไปได้ในประวัติศาสตร์ (ยุโรป) มีอยู่สามอย่าง หนึ่งคือการใช้กำลังกลไกของรัฐปราบปราม "ชนชั้น" อื่นๆ ที่ไม่ยอมรับอำนาจครอบงำอย่างเด็ดขาด ดังเช่นรัสเซียในสมัยพระเจ้าซาร์ สองคือการปฏิรูป (transformisto) เพื่อแย่งพื้นที่จาก "ชนชั้น" ก้าวหน้าทั้งหลาย ที่มีศักยภาพจะสร้างอำนาจนำใหม่ ในขณะเดียวกันก็สร้างอำนาจรัฐให้ครอบงำสังคมจนหมดตัว ในสภาพเช่นนี้กลุ่มคนระดับล่างก็หมดทางจะต่อรองกับรัฐ เพราะผู้นำของตนถูกผนวกเข้าไปกับรัฐ หรือกลายเป็นสมาชิก สนช.และ สปช.หมดแล้ว ตัวอย่างในประวัติศาสตร์คืออิตาลีหลังรวมประเทศได้จนถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างที่สามน่าสนใจมากคือการสร้างระบบอำนาจนำปลอมขึ้น นั่นคือผู้ปกครองรัฐทำตัวประหนึ่งว่าเป็นตัวแทนของบาง "ชนชั้น" ใด "ชนชั้น" หนึ่ง ซึ่งในความเป็นจริงไม่ได้เป็น เพื่อทำให้เกิดภาพพจน์ของอำนาจนำ ดังเช่นนโปเลียน ซึ่งเถลิงอำนาจของตนขึ้นประหนึ่งว่าเป็นแชมเปี้ยนความใฝ่ฝันของกระฎุมพี ซึ่งเคยนำการปฏิวัติฝรั่งเศสมาก่อน

ผมคิดว่าวิธีแบบพระเจ้าซาร์ใช้ไม่ได้ผลเสียแล้วในประเทศไทย ปัจจุบันสถานะของไทยในประชาคมโลกไม่อนุญาต (เทียบกับพม่าภายใต้เนวินและสลอร์คไม่ได้) อีกทั้งยิ่งจะนำไปสู่การปะทะกันโดยตรงมากขึ้น ดังกรณีการสังหารหมู่ในปี 2553 กลับทำให้การเผชิญหน้ากับมวลชนในเมืองตึงเครียดมากขึ้น แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากการสังหารหมู่ในวันที่ 6 ตุลา 2519

ผมอยากจะเดาด้วยว่า คสช.เข้าใจเรื่องนี้ได้ดี นับตั้งแต่แรกจนถึงนาทีนี้ คสช.พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงแบบนองเลือดตลอดมา

ดูเหมือนวิธีปฏิรูป เป็นวิธีที่ คสช.เลือกใช้ แต่ผมอยากเดาว่าไม่ได้ผลอย่างที่พรรคการเมืองในอิตาลีใช้เมื่อรวมประเทศได้ เหตุผลก็เพราะ คสช.ไม่สามารถขยายเครือข่ายความสัมพันธ์ข้ามไปยังกลุ่มที่กำลังพยายามสถาปนาอำนาจนำทางเลือกให้ทั่วถึง ดังที่กล่าวกันว่ามีคนตกรถไฟ คสช.จำนวนมาก ทั้งจากสลิ่มและสีแดง เรื่องนี้กรัมชี่พูดถึงการสร้างแนวร่วมของพรรคการเมืองทั้งปฏิรูปและปฏิวัติไว้มาก ซึ่งผมขอไม่กล่าวถึง ขอสรุปสั้นๆ แต่ว่า คสช.ไม่มีทั้งสมรรถนะและเจตนาที่จะทำอย่างนั้น เหตุดังนั้นเส้นทางปฏิรูปของ คสช.จึงไม่มีทางนำไปสู่ "รัฐที่ขาดอำนาจนำ แต่มั่นคงพอสมควรดังเช่นอิตาลีในช่วงนั้น"อย่างแน่นอน

ส่วนการสร้างอำนาจนำปลอม ซึ่ง คสช.พอทำได้โดยขึ้นมาเป็นตัวแทนของชนชั้นนายทุน หาก คสช.ตั้งใจจะทำอย่างนี้ ผมก็อยากบอกว่าคงไม่สำเร็จเสียแล้ว หากดูคำวิจารณ์ของท่านนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน เมื่อเร็วๆ นี้ หรือแม้คำวิจารณ์ของรองประธานองค์กรธุรกิจเอกชนอะไรอีกสักอย่างหนึ่งก่อนหน้านั้น ในยามที่การแข่งขันมีสูงขึ้นจากโลกาภิวัตน์ นายทุนไทยหวังเอาตัวรอดจากการขูดรีดแรงงานและภาวะปลอดคอร์รัปชั่น ซึ่งผมเชื่อว่า คสช.ให้ไม่ได้ทั้งสองอย่าง (อย่างน้อยก็ให้ไม่ได้จนถึงนาทีนี้)

ท่ามกลางทางเลือกที่ไม่มีให้เลือกเช่นนี้ เมื่อสถานการณ์ที่เกิดจากรัฐซึ่งขาดอำนาจนำงวดเข้ามากขึ้น คสช.จะหันไปสู่ทางเลือกอะไร ที่น่าวิตกห่วงใยก็คือ สมรรถนะเดียวที่เหลืออยู่ และอาการคิดสั้นของผู้นำ คสช.บางคน จะหันไปเลือกวิธีของพระเจ้าซาร์ และนั่นจะเป็นการเสียเลือดเนื้อครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของประเทศไทย หลังการแข็งข้อของ พคท.ยุติลง



ในขณะที่พูดถึงความไร้สมรรถภาพของ คสช.ในการสร้างอำนาจนำ ผมควรกล่าวไว้ด้วยว่า คสช.อาจเป็นคณะรัฐประหารที่โชคร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การรัฐประหารของไทย เพราะ คสช.เข้ามายึดรัฐในช่วงที่อำนาจนำซึ่งเคยผดุงรัฐไทยมาก่อนกำลังเสื่อมสลายลงอย่างรวดเร็ว คมช.ในปี 2549 ก็เผชิญกับสถานการณ์คล้ายอย่างนี้ แต่ไม่รุนแรงเท่า หากนับแต่นั้นเป็นต้นมา อำนาจนำในสังคมไทยก็เสื่อมสลายลงอย่างรวดเร็ว รัฐไทยเหลือแต่อำนาจครอบงำ ซึ่งยิ่งนำมาใช้มากขึ้นก็ยิ่งบั่นรอนอำนาจนำให้เสื่อมเร็วขึ้น จนแม้แต่อำนาจครอบงำเอง ก็แตกแยกจนไร้เอกภาพที่จะทำงานได้อีกต่อไป รัฐบาลก่อนรัฐประหารจึงเหลือทางเลือกอยู่ทางเดียวคือประนีประนอม โดยไม่ต้องอิงหลักการอะไรทั้งสิ้น เพราะเมื่อไม่มีอำนาจนำ ก็ไม่มีหลักการอะไรให้ต้องยึดถือ

และอย่างที่เห็นกันอยู่แล้ว คสช.พยายามรื้อฟื้นและฟื้นฟูกลไกของรัฐเพื่อสร้างอำนาจครอบงำเดิมให้กลับคืนมาใหม่ แต่ล้มเหลวที่จะสร้างหรือฟื้นฟูขึ้นใหม่ได้
การรัฐประหารจะสิ้นสุดลงในลักษณะใดผมทำนายไม่ถูก แต่เชื่อแน่ว่าหากการรัฐประหารสิ้นสุดลงในบางลักษณะที่ไม่ใช่การประนีประนอมยอมความกันระหว่างทุกฝ่าย แม้อาจเกิดความสูญเสียมาก แต่ก็เป็นโอกาสที่การสถาปนาอำนาจนำใหม่ในสังคมไทยจะเกิดขึ้นได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของไทย


.

2557-09-05

พจนานุกรมภาค 2, ไม่มีคดี 99 ศพ, เบ็ดเสร็จสุดโต่ง โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

.

สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน : พจนานุกรมภาค 2
ใน www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1409918313
. . วันศุกร์ที่ 05 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 21:00:36 น.
( ที่มา: คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 นสพ.มติชนรายวัน 5 ก.ย. 2557 )
( ภาพจากเวบบอร์ด ไม่เกี่ยวกับผู้เขียนและมติชน )


หลัง คสช.ยึดอำนาจการปกครองได้ไม่นาน ได้มีคำสั่งย้ายนายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุดพ้นเก้าอี้ทันที พร้อมกับให้นายตระกูล วินิจนัยภาค รองอัยการสูงสุด ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน

ดังนั้น จึงไม่ควรมีข้อสงสัยใดๆ ถึงบทบาทของอัยการสูงสุดคนใหม่ ว่าจะเป็นคนของระบอบทักษิณ คนของรัฐบาลเพื่อไทย อะไรแบบนั้น

ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ในการวิเคราะห์วิจารณ์ ความเห็นของอัยการในคดีจำนำข้าวของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

หลังคณะทำงานของอัยการ พิจารณาสำนวนคดีจำนำข้าวของ ป.ป.ช. ซึ่งได้ชี้มูลความผิดอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ละเลยไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้มีการทุจริตจนรัฐเสียหาย


แล้วอัยการมีความเป็นเอกฉันท์ว่า สำนวนคดีของ ป.ป.ช.ยังไม่สมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีตามข้อกล่าวหาได้

ความเห็นของคณะทำงานอัยการดังกล่าว ได้เสนอให้อัยการสูงสุดพิจารณา ก่อนเซ็นคำสั่งว่าสำนวนของ ป.ป.ช.ยังไม่สมบูรณ์

สรุปว่ายังไม่สามารถดำเนินคดีทางอาญาต่ออดีตนายกฯปู ตามที่ ป.ป.ช.สรุปเสนอได้

จึงต้องเน้นย้ำว่า อย่ามองความวินิจฉัยของอัยการในกรณีนี้ ด้วยข้อหาระบอบทักษิณอะไรอีกเป็นอันขาด


ต้องพิจารณาจากสาระ มากกว่าด้วยอคติ ซึ่งอัยการได้ชี้ถึงข้ออ่อนของสำนวน ป.ป.ช. 3 ประเด็น

1.โครงการรับจำนำข้าว เป็นโครงการของรัฐบาลที่แถลงไว้เป็นนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ดังนั้นจึงควรรวบรวมพยานหลักฐานให้ได้ชัดว่า นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการที่จะยับยั้งโครงการที่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาแล้วหรือไม่

2.ควรทำการไต่สวนรวบรวมพยานหลักฐานให้สิ้นกระแสความว่า ภายหลังจากที่ได้ถูกท้วงติงจาก ป.ป.ช. และ สตง.แล้ว ผู้ถูกกล่าวหาดำเนินการตรวจสอบและป้องกันการทุจริตหรือไม่ อย่างไร ผลการตรวจสอบเป็นอย่างไร

3.ควรไต่สวนพยานเพิ่มเติมให้ได้ความว่า พบการทุจริตในขั้นตอนใดและมีการทุจริตอย่างไร นอกจากนั้นมีการกล่าวอ้างถึงรายงานวิจัยโครงการนโยบายข้าวของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ (TDRI) ว่า โครงการดังกล่าวมีการทุจริตและมีความเสียหายจำนวนมาก แต่ในสำนวนการไต่สวนปรากฏว่ามีเพียงหน้าปกรายงานวิจัยเท่านั้น


อ่าน 3 ข้อนี้แล้ว พอเห็นภาพได้ว่าสภาพของสำนวน ป.ป.ช.นั้น ไม่สมบูรณ์อย่างไร

โดยเฉพาะในข้อ 3 เรื่องงานวิจัยของทีดีอาร์ไอ เป็นเรื่องที่สร้างความขบขันไปทั่วมาแล้ว เมื่อ ป.ป.ช.เปิดประเด็นนี้ออกมา

องค์กรอิสระกับการเล่นงานรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้น เคยอาศัยพจนานุกรมมาแล้ว นี่อาศัยงานวิจัยเพิ่มเข้ามาอีก




นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ได้เคยกล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ถ้าไม่มีการริเริ่มของผู้ทรงคุณวุฒิทางเศรษฐศาสตร์ที่วิเคราะห์วิจัยเอาไว้ เช่น ผลการศึกษาเรื่องมาตรการแทรกแซงตลาดข้าวของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ตนฟันธงว่า ป.ป.ช.จะไม่สามารถชี้มูลความผิดกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เลย

ฟังแล้วแปลได้ว่า งานวิจัยคือหัวใจสำคัญสุดของพยานหลักฐานในสายตา ป.ป.ช.

ไม่เท่านั้น นายวิชายังบอกว่า การทำงานของ ป.ป.ช.ต่อจากนี้จะใช้สหสาขาวิชาศาสตร์ คือ การผนึกกำลังระหว่างนิติศาสตร์กับเศรษฐศาสตร์ และศาสตร์อื่นๆ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้เกิดผลมากยิ่งขึ้น

ฟังแล้วอดนึกไม่ได้ต้องนึกถึงไสยศาสตร์




++

สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน: ไม่มีคดี 99 ศพ
ใน www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1409292079
. . วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16:02:56 น.
( ที่มา: คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 นสพ.มติชนรายวัน 29 ส.ค. 2557 )


บางคนอาจจะได้คำตอบแล้วว่า ทำไม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งขณะนี้ห่มเหลืองเป็นพระสุเทพ รวมไปถึงคนแวดล้อมในสังกัดประชาธิปัตย์ จึงพูดมาตลอดว่า ไม่ขอรับการนิรโทษกรรมในคดีที่เกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยเฉพาะคดี 99 ศพ

คนเหล่านี้ยืนยันตลอดว่า พร้อมจะต่อสู้คดี ถ้าผิดจริงก็พร้อมจะติดคุก


เช้าวันที่ 28 สิงหาคม คงมีคำตอบแล้วว่า ทำไมเขาจึงกล้าพูด

เช้าวันที่ 28 สิงหาคม เป็นวันที่อภิสิทธิ์และพระสุเทพ รวมทั้งทีมกฎหมายของประชาธิปัตย์ มีความสุขที่สุด

เพราะศาลอาญา มีคำพิพากษายกฟ้อง คดีที่สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ นายอภิสิทธิ์และพระสุเทพเป็นจำเลย

ในความผิดฐานร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 83, 84 และ 90 จากกรณีออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าขอคืนพื้นที่การชุมนุม นปช.เมื่อปี 2553

หรือที่เรียกกันว่าคดี 99 ศพ


โดยคำพิพากษาศาลอาญาระบุว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 2 ที่ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมโดยใช้อาวุธปืนจริงและกระสุนจริง ทำให้มีผู้เสียชีวิต เป็นการออกคำสั่งในฐานะนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)

ไม่ใช่การกระทำทางอาญาที่กระทำโดยส่วนตัวหรือนอกเหนือหน้าที่ราชการ

แต่การปฏิบัติต้องทำไปตามที่กฎหมายบัญญัติและไม่เกินกว่าเหตุ โดยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติจะไม่ใช้อาวุธปืนจริงและกระสุนปืนจริง การใช้อำนาจของจำเลยทั้ง 2 จึงเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ และผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ


จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหาใช่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลอาญาไม่

ศาลอาญาจึงไม่มีอำนาจรับคำฟ้องของโจทก์  จึงพิพากษายกฟ้อง


ฟังคำพิพากษาจบ คนกลุ่มหนึ่งรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

แต่ญาติมิตรของประชาชนผู้ร่วมชุมนุมที่ล้มตายหลายสิบศพ ย่อมรู้สึกตรงกันข้าม

ผลจากคำพิพากษานี้ เท่ากับว่า คดี 99 ศพในส่วนที่เป็นคดีอาญา ข้อหาร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

จะตกไปทันที


ดังนั้นที่ต้องรอดูต่อไปก็คือ สำนักงานอัยการสูงสุดซึ่งเป็นโจทก์ ต้องดำเนินการยื่นอุทธรณ์ เพื่อยืนยันว่าเป็นคดีความผิดทางอาญา ไม่ใช่ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่

พร้อมๆ กับญาติพี่น้องของผู้ตายส่วนหนึ่งที่ยื่นขอเป็นโจทก์ร่วม คงยื่นอุทธรณ์เช่นกัน

แต่หากการอุทธรณ์ไม่เป็นผล

คดีจะต้องส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือป.ป.ช.เพื่อดำเนินการสอบสวนต่อไป

รับแล้วจะรวดเร็วเหมือนคดีที่ฟากของพวกยิ่งลักษณ์หรือไม่ ยังไม่รู้

หรือจะเหมือนคดีอื่นของคนชื่ออภิสิทธิ์ที่อยู่ในมือ ป.ป.ช. ก็คือติดน้ำท่วมไม่เลิกหรือไม่ ต้องรอดูกันต่อไป



อีกทั้งสุดท้าย ถ้า ป.ป.ช.ชี้ว่าไม่มีมูล ก็เป็นอันจบ คนที่ตายไป 99 ศพก็จบชีวิตไปโดยไม่มีใครต้องรับโทษ

หรือถ้า ป.ป.ช.ชี้ว่ามีมูลความผิด ก็ส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง

แต่จะเป็นการฟ้องตามมาตรา 157 คือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ข้อหาเปลี่ยน โทษเปลี่ยน

แต่ที่สำคัญคือ จะไม่มีคดีฆาตกรรม 99 ศพ มีแค่คดีผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ




++

สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน: เบ็ดเสร็จสุดโต่ง
ใน www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1407501496
. . วันศุกร์ที่ 08 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 21:30:00 น.
( ที่มา: คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 นสพ.มติชนรายวัน 8 ส.ค. 2557 )


แม้ว่า "เขมรแดง" จะปิดฉากตัวเอง หมดสิ้นอำนาจและสูญสลายไปกว่า 30 ปีแล้ว แต่โลกยังไม่ลืมเลือน ตำนานการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และคิลลิ่งฟีลด์ยังคงเป็นที่กล่าวขวัญกันไม่สิ้นสุด

ขณะเดียวกัน ยังมีการดำเนินคดีกับผู้นำของกลุ่มเขมรแดงที่ยังคงหลงเหลือและมีชีวิตอยู่บางส่วน ในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เนื่องจากมีกำจัดศัตรูทางชนชั้น ศัตรูทางการเมือง จนมีผู้คนต้องเซ่นสังเวยไปหลายล้านชีวิต


เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมานี้เอง ศาลพิเศษด้านอาชญากรสงครามกัมพูชา ที่มีสหประชาชาติสนับสนุน เพิ่งอ่านคำพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิตนายนวน เจีย และนายเขียว สัมพัน หลังจากการพิจารณาคดีมายาวนาน

แต่ผู้นำเขมรแดงทั้งสองก็อายุปาเข้าไป 80 กว่าจะ 90 แล้ว การถูกจำคุกตลอดชีวิตก็คงอีกไม่ยาวนานนัก

ส่วนผู้นำเขมรแดงคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น พล พต, เอียง ซารี, ซอน เซน, ตา ม็อก ล้วนจากลาโลกไปหมดแล้ว

คงมีจำเลยเหลือให้เอาผิดได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ก็มี นายคังเก็ก เอียว หรือ "สหายดุช" อดีต ผบ.เรือนจำตวลสเลง ถูกตัดสินจำคุกหลายปีเป็นรายแรก


เรือนจำตวลสเลง เป็นคุกอำมหิตที่คนทั้งโลกรู้จักกันดี ทุกวันนี้ทางการกัมพูชายังรักษาเอาไว้เป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชม เพื่อเพิ่มอารมณ์สยดสยองและหดหู่

เช่นเดียวกับทุ่งสังหาร อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต มีกะโหลกมนุษย์มากมายมหาศาลเก็บใส่ตู้กระจกให้ดูไปขนลุกไป

เป็นอนุสรณ์เตือนความทรงจำต่อคนทั้งโลก ว่าอย่าได้ดำเนินตามเส้นทางนี้กันอีก


เส้นทางการปกครองและมุ่งสร้างสังคมตามอุดมการณ์อันสุดโต่ง ใช้การบังคับเข่นฆ่า เพื่อทำให้เป้าหมายในการสร้างประเทศที่ปราศจากชนชั้นบรรลุเร็วที่สุด โดยไม่อยู่บนความเป็นจริง

เขมรแดงก็คือ พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา ซึ่งจับอาวุธลุกขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลของนายพลลอน นอล อันเป็นกลุ่มอำนาจฝ่ายขวาซึ่งมีสหรัฐให้การสนับสนุน

ในช่วงระยะเดียวกันนั้น กระแสคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคนี้กำลังมาแรง มีการนำมวลชนตั้งกองกำลังปฏิวัติล้มรัฐบาลฝ่ายขวาที่อิงสหรัฐ ทั้งในเวียดนาม ลาว จนได้รับชัยชนะพร้อมๆ กันในช่วงประมาณปี 2518

แต่ถัดจากนั้น เขมรแดงมาแรงสุด เพราะนโยบายการสร้างสังคมปราศจากชนชั้นแบบสุดโต่ง เดินแนวทางเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ ชูอุดมการณ์ปฏิวัติแบบเบ็ดเสร็จ

กวาดต้อนประชาชนออกจากเมืองหลวงและเมืองใหญ่ เพื่อไปใช้แรงงานในชนบท กำจัดศัตรูทางชนชั้นแบบถอนรากถอนโคน




ก่อนหน้าเขมรแดงจะได้รับชัยชนะ ประชาชนกัมพูชาเผชิญกับรัฐบาลที่บริหารประเทศแบบเละเทะ ตามลักษณะของผู้มีอำนาจในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย แต่พอฝ่ายคอมมิวนิสต์ชนะ ก็เจออำนาจแบบเด็ดขาดสุดขั้ว คือ ยากลำบากทำงานหนักอย่างเสมอภาคกันหมด

มีเรื่องเล่าว่า ขนาดจีนซึ่งเป็นลูกพี่ เสนอให้การช่วยเหลือเครื่องมือด้านเกษตรกรรมในการสร้างประเทศ เช่น รถแทรกเตอร์ แต่ผู้นำเขมรแดงตอบกลับไปว่าขอให้ส่ง "จอบ" มาแทนแล้วกัน

เขมรแดงจึงเป็นตัวอย่างของกลุ่มอำนาจเบ็ดเสร็จสุดโต่ง มีอุดมการณ์มีความมุ่งมั่นจะสร้างสังคมใหม่ให้ได้

แต่เป็นอุดมการณ์ที่ทำตามความเชื่อของคนกุมอำนาจกลุ่มเดียว คิดแทนประชาชนทั้งหมด และใช้อำนาจอย่างสุดขั้วเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

จึงกลายเป็นตำนานที่โลกต้องจารึกเอาไว้ เพื่อไม่ให้กลุ่มอำนาจในประเทศไหนๆ เดินตามอีก




.