http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-06-24

ทบทวนประวัติศาสตร์: บนถนน 2475 ฯ โดย ณัฐพล พึ่งธรรม

.

เวทีอภิปราย “1 ปี เหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค. 53 ความยุติธรรมที่หายไป
วันเสาร์ที่ 25 มิ.ย. 54 ห้อง 103 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
http://ilaw.or.th/node/1025
www.facebook.com/event.php?eid=218672168164831


ทบทวนประวัติศาสตร์: บนถนน 2475 : ก่อนวันนั้นจะมาถึง

โดย ณัฐพล พึ่งธรรม


24 มิ.ย. 2554


บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อฉายภาพเส้นทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองในสยามก่อนจะดำเนินมาถึงวันที่ คณะราษฎรได้ร่วมกันอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ จึงขอร่วมรำลึกเหตุการณ์นี้ในวาระครบ 79 ปี การปฏิวัติ 2475 มา ณ โอกาสนี้

*****

ศตวรรษที่ 19 คลื่นจักรวรรดินิยมพร้อมทั้งกระแสทุนนิยมจากโลกตะวันตกเดินทางมาถึงโลกตะวันออก สยามในฐานะ“รัฐกษัตริย์”ซึ่งปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตย เริ่มสั่นคลอนและจำต้องปรับตัวเพราะไม่สามารถทัดทานกระแสทุนนิยมอันเป็นวิวัฒนาการของสังคมตะวันตกได้ก้าวไปถึงแล้ว

รัฐบาลสยามยอมเสียเปรียบลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษ ในปี 2398 และได้กลายเป็นต้นแบบให้ชาติตะวันตกอีก 13 ประเทศ เข้ามาเจรจาทำสัญญาในแบบเดียวกัน นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่สยามต้องรับมือกับคลื่นจักรวรรดินิยมและกระแสทุนนิยมที่ถาโถมเข้าใส่

ล่วงถึงสมัยรัชกาลที่ 5 อธิปไตยของสยามถูกท้าทายอย่างมาก จนราชสำนักได้ตระหนักถึงความด้อยกว่าทั้งความรู้และความคิด จึงได้พยายามปรับตัวโดยจัดรูปแบบของรัฐใหม่ตามแบบแผนตะวันตกและไม่ลืมที่จะผสานจารีตการเมืองดั้งเดิมของชนชั้นนำเอาไว้บางอย่าง

ในรัชสมัยนี้เองที่อุดมการณ์ประชาธิปไตยเริ่มเข้าสู่สังคมสยามอย่างค่อนข้างชัดเจน เริ่มจากชนชั้นสูงกลุ่มหนึ่งมีทั้งเจ้านายและขุนนางที่ไปศึกษาและปฏิบัติราชการในยุโรป ได้ออกมาเคลื่อนไหวครั้งแรกในร.ศ.103(พ.ศ.2427) คณะเจ้านายและขุนนางกลุ่มหนึ่ง อาทิ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ มีหนังสือกราบทูลรัชกาลที่ 5 มีสาระสำคัญเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy) โดยเห็นว่าเป็นทางออกเดียวที่จะทำให้สยามรอดพ้นภัยคุกคามจากตะวันตกได้ และเป็นครั้งแรกที่มีการกล่าวว่า “แผ่นดินสยามเป็นของชาวสยามทั้งหมด”


รัชกาล ที่ 5 ทรงปฏิเสธและตอบกลับไปว่า พระองค์ไม่เคยคิดที่จะหวงแหนอำนาจไว้เลย แต่ติดขัดที่สถานการณ์ขณะนั้นยังไม่เหมาะสม เพราะขาดคนมีความรู้ความสามารถและความกล้าที่จะทำหน้าที่นิติบัญญัติเพื่อถ่วงดุลกับอำนาจบริหารที่ของกษัตริย์

ทว่าหลังจากนั้น ก็มีการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินตามแนวทางของพระองค์เอง กล่าวคือ การสถาปนาอำนาจส่วนกลางภายใต้รัฐบาลแบบสมัยใหม่ที่รวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลางแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เป็นการก่อร่างสร้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (absolute monarchy) โดยมีกษัตริย์เป็นองค์อธิปัตย์สูงสุด มีอำนาจสมบูรณ์และแบ่งแยกไม่ได้ คงสถานะความศักดิ์สิทธิ์เหนือประชาชนเช่นเดียวกับยุคศักดินา และในสมัยนี้นอกจากกลุ่มชนชั้นสูงแล้ว ยังมีสามัญชนหัวก้าวหน้าอย่าง “เทียนวรรณ” และ ก.ศ.ร. กุหลาบ ที่ได้พยายามนำเสนอแนวคิดท้าทายและกล้าวิพากษ์วิจารณ์การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ด้วยสำนึกถึงความเป็นมนุษย์ที่ต้องมีสิทธิ ความเสมอภาค คนทุกคนควรมีโอกาสเท่าเทียมกัน ดังที่เทียนวรรณ ได้แต่งบทประพันธ์ขึ้นตอนหนึ่งว่า

“...ไพร่เป็นพื้นยืนร้องทำนองชอบ
ตามระบอบปาลิเมนต์ประเด็นขำ
แม้นนิ่งช้าล้าหลังยังมิทำ
จะตกต่ำน้อยหน้าเวลาสาย...”

แม้การเปลี่ยนแปลงยังมิได้เกิดขึ้นตามข้อเรียกร้อง แต่ก่อนที่รัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต ทรงมีพระราชดำรัสอันเปรียบเหมือนคำมั่นสัญญาว่า "จะให้ลูกวชิราวุธมอบของขวัญให้แก่พลเมืองไทยทันทีที่ขึ้นสู่ราชบัลลังก์...จะให้เขามีปาลิเมนต์และคอนสติติวชั่น"



ถึงต้นศตวรรษที่ 20 หลังจากรัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้าวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมารก็เสด็จขึ้นครองราชย์ กล่าวได้ว่าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 มิได้มีปรากฏการณ์ใดที่จะแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโดยแท้จริง ทรงมุ่งสร้างความมั่นคงให้กับรัฐตามแนวทางชาตินิยมและอนุรักษ์นิยม ทรงริเริ่มตั้งเมืองสมมุติ“ดุสิตธานี” จำลองรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตย และให้มีหนังสือพิมพ์วิพากษ์วิจารณ์และเสนอข่าวด้วย มีคนบางกลุ่มวิจารณ์ว่า ดุสิตธานีเป็นเพียงการละเล่นของกษัตริย์และไม่ได้ตั้งใจก่อตั้งรูปการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างจริงจัง

ก่อนหน้านั้นช่วงต้นรัชกาลมีเหตุปฏิวัติโค่นล้มระบอบกษัตริย์ขึ้นในจีน ตุรกีและโปรตุเกส เหตุการณ์เหล่านี้มีอิทธิพลมาถึงการเรียกร้องประชาธิปไตยในสยาม นั่นคือ เหตุการณ์ รศ.130 กลุ่มนายทหารและปัญญาชนวางแผนปฏิบัติการโดยหมายให้กษัตริย์พระราชทาน รัฐธรรมนูญและเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่แผนการรั่วไหลเสียก่อนจึงถูกจับกุมเสียก่อน

หลังการก่อการครั้งนี้ รัชกาลที่ 6 ยังทรงยืนยันหนักแน่นว่า ราษฎรยังไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตย “ระบอบกษัตริย์ทรงอำนาจสูงสุดนั้นดีแล้ว ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับประเทศสยามเพราะราษฎรไม่มีความรู้” พร้อมกับทรงเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองดังที่เกิดในหลายประเทศ เช่น “การปฏิวัติทั้งในจีนและโปรตุเกส เป็นสิ่งไม่ถูกต้องเพราะนำมาซึ่งความวุ่นวาย”


เหตุการณ์ปฏิวัติจีน ปี 1911 (พ.ศ.2454) ขบวนการปฏิวัติภายใต้การนำของดร.ซุน ยัตเซ็น หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งได้เคยเดินทางเคลื่อนไหวทางการเมืองในหลายประเทศรวมทั้งสยาม ได้ปฏิวัติโค่นล้มอำนาจการปกครองระบอบจักรพรรดิของราชวงศ์ชิงได้สำเร็จและ เปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ

ปี 2457 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังจากนั้นก็มีเหตุปฏิวัติล้มล้างระบอบกษัตริย์เกิดขึ้นอีกหลายประเทศ ทั้งในรุสเซีย เยอรมนี และออสเตรีย-ฮังการี ขณะที่ภายในประเทศก็มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองเมื่อสามัญชนเริ่มตื่นตัว และแสดงออกทางการเมืองกว้างขวางขึ้น เช่น หนังสือพิมพ์ “จีนโนสยามวารศัพท์” ของนายเซียวฮุดเสง ที่เผยแพร่โฆษณาความคิดเชิงประชาธิปไตย จนกระทั่งรัฐบาลไม่พอใจถึงกับออกกฎหมายควบคุมและให้รัฐมีอำนาจสั่งปิดได้ นับเป็นกฎหมายเซ็นเซอร์สิ่งพิมพ์ฉบับแรกในประวัติศาสตร์ไทย



ห้วงเวลาสู่วิกฤต

สถานการณ์ช่วงปลายรัชกาลที่ 6 ย่ำแย่ลงเมื่อความขัดแย้งทางการเมืองที่รุมเร้าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และราชสำนักยิ่งซับซ้อนมากขึ้น สืบเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจของชาติตั้งแต่ พ.ศ.2465เป็นต้นมา งบประมาณแผ่นดินขาดดุลอย่างหนัก ต้นพ.ศ.2467 ใกล้สิ้นรัชกาล สถานการณ์ยิ่งทรุดหนัก และคนจำนวนหนึ่งได้พุ่งเป้าไปที่การใช้จ่ายเงินเกินตัวของราชสำนักเวลานั้น จนกระทั่งเงินคงคลังเหลือน้อยจนรัฐบาลเกือบอยู่ในสภาพล้มละลาย วิกฤตการณ์ในรัชสมัยนี้มีส่วนสำคัญต่อสถานะของระบอบกษัตริย์ที่กำลังสั่นคลอน

พันธบัตรที่รัฐบาลรัชกาลที่ 6 ออกจำหน่ายในตลาดยุโรป ปี 1922 (พ.ศ.2465) เพื่อกู้ยืมเงิน 2 ล้านปอนด์ มาใช้คืนเงินคงคลัง แก้ปัญหาเสถียรภาพทางการคลัง ท่ามกลางภาวะขาดดุลงบประมาณอย่างหนักช่วงปลายรัชกาล


เมื่อเข้าสู่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสถียรภาพของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เริ่มวิกฤต ดังเห็นได้จาก"บันทึกเรื่องการปกครอง" (23 กรกฎาคม-1สิงหาคม 2469) ที่ รัชกาลที่ 7 ทรงเขียนถึง ดร.ฟรานซิส บี แซร์(พระยากัลยาณไมตรี)อดีตที่ปรึกษาราชการต่างประเทศฯสมัยรัชกาลที่ 6 เนื้อความที่ปรากฏในบันทึกนี้สะท้อนถึงสถานะของราชสำนักสยามในเวลานั้นได้อย่างชัดเจน

"..ในรัชสมัยที่เพิ่งสิ้นสุด(รัชกาลที่ 6) หลายสิ่งหลายอย่างได้ทวีความเลวร้ายไปมาก เนื่องจากเหตุหลายประการซึ่งข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเล่า ด้วยท่านเองก็ทราบดีแก่ใจเพียงพอแล้ว พระเจ้าแผ่นดินกลายเป็นผู้ที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของข้าราชการบริพารคนโปรด ข้าราชการทุกคนถูกเพ่งเล็งมากบ้างน้อยบ้างในด้านฉ้อราษฎรบังหลวง หรือเล่นพรรคเล่นพวก ยังนับเป็นโชคดีที่พระบรมวงศานุวงศ์ยังเป็นที่เคารพยกย่องว่า เป็นคนซื่อสัตย์ สิ่งที่เป็นที่น่าเสียใจยิ่งคือ พระราชสำนักของพระองค์เป็นที่เกลียดชังอย่างรุนแรง และในตอนปลายรัชสมัยก็ถูกเลาะเลียนเยาะย้อย กำเนิดของหนังสือพิมพ์ฟรีเพสทำให้สถานการณ์ในขณะนั้นขยายตัวเลวร้ายมากขึ้น ฐานะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นสิ่งหนึ่งที่ตกอยู่ในสภาวะลำบาก ความเคลื่อนไหวทางความคิดในประเทศแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ระยะเวลาของระบอบเอกาธิปไตยเหลือน้อยลงเต็มที..."

และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก รัฐบาลสยามแก้ปัญหาขาดดุลการคลังด้วยการปลดข้าราชการออกจำนวนมาก ปัญหาเศรษฐกิจได้ขยายวงสู่ความขัดแย้งในวงของผู้บริหารจนกระทั่งถึงขั้นมีการลาออกของเสนาบดี รัฐบาลดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่อนุรักษ์นิยมเน้นการจัดงบประมาณให้เข้าดุล จึงต้องตัดงบประมาณรายจ่าย ลดเงินเดือน ลดจำนวนข้าราชการพร้อมกับเก็บภาษีในรูปใหม่ซึ่งกระทบคนชั้นกลางมากที่สุด จนก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างมาก ขณะที่เกษตรกรชาวนาก็อยู่ในภาวะทุกข์ยาก ราคาข้าวและราคาที่ดินตกต่ำอย่างมาก ชาวนาขาดเงินสดที่จะซื้อเครื่องอุปโภคบริโภค ในขณะเดียวกันก็ขาดเงินสำหรับเสียภาษีอากร ทั้งยังไม่สามารถจะหาเงินกู้มาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ เกิดหนี้สินรุงรังและเกิดอัตราว่างงานสูง

แม้ประเทศกำลังประสบภาวะเศรษฐกิจก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเจ้านายและชนชั้นสูงยังคงดำรงสถานะที่สูงส่งเช่นเดิม ด้วยแนวคิดของระบบเจ้านายต้องผดุงไว้ซึ่งขัตติยะ เพราะหากมีเรื่องใดเสื่อมเสียมากระทบชนชั้นเจ้านาย ย่อมส่งผลต่อพระบรมเดชานุภาพของกษัตริย์ด้วย ดังนั้นพระมหากษัตริย์ต้องพระราชทานเงินให้แก่ชนชั้นเจ้าอย่างเพียงพอ


สถานการณ์ดังกล่าวเชื่อมโยงมาถึงกระแสเรียกร้องประชาธิปไตยที่รุนแรงมากขึ้น “รัฐสภาและรัฐธรรมนูญ” เป็นคำที่คุ้นเคยกันทั่วไปอย่างน้อยก็ในหมู่ปัญญาชน เวลานั้นมีกระแสข่าวว่า รัชกาลที่ 7 จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ แต่ท้ายที่สุดก็มิได้เกิดขึ้น พระองค์ทรงแก้ปัญหาทางการเมืองด้วยวิธีเดิม คือ “การปรับปรุงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” เพราะทรงเห็นว่า “การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตามแบบฉบับพระบิดานั้น เป็นวิธีที่ดีที่สุด”

ถึงปี 2474 รัชกาลที่ 7 ทรงมอบหมายให้กระทรวงต่างประเทศและที่ปรึกษาร่างเค้าโครงธรรมนูญเพื่อเตรียมไว้ว่า อาจจะพระราชทานรัฐธรรมนูญในเดือนเมษายน ในโอกาสครบ 150 ปีราชวงศ์จักรี หากแต่เค้าโครงธรรมนูญฉบับนี้ ยังเป็นธรรมนูญที่ให้อำนาจสูงสุดแก่กษัตริย์และขุนนางเสนาบดีเช่นเดิม เพราะไม่ได้แบ่งแยกอำนาจอธิปไตยออกไปจากสถาบันกษัตริย์ มิใช่ธรรมนูญที่อยู่บนพื้นฐานอำนาจของประชาชนตามหลักประชาธิปไตยทั่วไป หากเป็นธรรมนูญแบบกษัตริย์นิยม ดังเห็นได้จากที่ระบุไว้ในมาตรา 1 ของร่างฯฉบับนี้ว่า "อำนาจอธิปไตยเป็นของพระมหากษัตริย์" แต่แล้วการพระราชทานรัฐธรรมนูญครั้งนั้นก็ล้มเหลวไปพร้อมๆกับโอกาสของสยามที่จะมีระบอบรัฐสภา


ขบวนการคณะราษฎร

ทหารและพลเรือนกลุ่มหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนและทหารที่ศึกษาและทำงานอยู่ในยุโรป มีเจตนาตรงกันคือต้องการเห็นบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งได้เริ่มประชุมกันครั้งแรกตั้งแต่ราวเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2469 ณ กรุงปารีส และตกลงกันใช้วิธี "ยึดอำนาจโดยฉับพลัน" เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่กษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ โดยเน้นแผนการที่หลีกเลี่ยงการนองเลือดเพื่อป้องกันการถือโอกาสเข้ามาแทรกแซงจากมหาอำนาจที่มีอาณานิคมอยู่ล้อมรอบสยามในสมัยนั้น คืออังกฤษและฝรั่งเศส

หลังการประชุมนั้น เมื่อคณะผู้ก่อการกลับมาประเทศสยาม ก็พยายามเสาะหาสมาชิกที่ต้องการเข้าร่วมการปฏิวัติ จนได้สมาชิกจากหลากหลายอาชีพ

สายพลเรือน นำโดย หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)
สายทหารเรือ นำโดย น.ต. หลวงสินธุสงครามชัย
สายทหารบกชั้นยศน้อย นำโดย พ.ต. หลวงพิบูลสงคราม
และสายนายทหารชั้นยศสูง นำโดย พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา

เมื่อจัดตั้งขบวนการสำเร็จเป็นรูปร่าง คณะราษฎรได้ประชุมเตรียมการหลายครั้ง แต่ได้ล้มเลิกแผนการบางแผน เช่น การยึดอำนาจในวันพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาในวันที่ 16 มิถุนายน เนื่องจากประเมินแล้วว่ามีความเสี่ยงสูง จนกระทั่งได้ข้อสรุปว่าจะปฏิบัติการในรุ่งเช้าวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งเป็นช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับที่วังไกลกังวล เหลือข้าราชการเพียงไม่กี่คนในกรุงเทพ ทำให้สามารถเข้ายึดอำนาจโดยหลีกเลี่ยงการปะทะที่เสียเลือดเนื้อได้ เป้าหมายสำคัญของปฏิบัติการนี้คือการเข้าควบคุมสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนครในเวลานั้น



ย่ำรุ่ง 24 มิถุนายน 2475

ย่ำรุ่งวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ได้นำทหารบกและทหารเรือประมาณ 2,000 ชีวิต มารวมตัวกันรอบพระที่นั่งอนันตสมาคม ตั้งแต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกา จากนั้นนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะได้อ่านประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑ ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เสมือนประกาศยึดอำนาจการปกครองก่อนจะนำกำลังแยกย้ายไปปฏิบัติการต่อไป ณ ตำแหน่งที่พระยาพหลพลพยุหเสนาอ่านประกาศคณะราษฎร ด้านสนามเสือป่า ดังปรากฎในทุกวันนี้มีหมุดทองเหลืองฝังอยู่บนพื้นถนน เป็นหลักฐานติดตรึงประวัติศาสตร์หน้าสำคัญ มีข้อความจารึกว่า

"ณ ที่นี้ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ"


คณะราษฎรได้ส่ง น.ต.หลวงศุภชลาศัยไปอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งอยู่ระหว่างเสด็จแปรพระราชฐาน ณ วังไกลกังวล หัวหิน เพื่อให้เสด็จนิวัติพระนคร โดยเสนอให้ทรงเป็นกษัตริย์ต่อไปได้ แต่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ หากทรงปฏิเสธจะเลือกเจ้านายพระองค์อื่นขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อไป พระองค์ได้ทรงปรึกษากับพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ ที่ตามเสด็จและได้ตัดสินพระทัยตกลงตามเงื่อนไขของคณะราษฎร

เมื่อเสด็จกลับถึงวังศุโขทัย เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้แทนคณะราษฎร 7 คน ได้เดินทางนำเอกสารสำคัญไปกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้ธรรมนูญ การปกครองแผ่นดินสยาม พุทธศักราช 2475 ซึ่งร่างโดยนายปรีดี พนมยงค์ นับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศ ที่เป็นหลักประกันสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของราษฎร ดังที่ได้บัญญัติไว้ในมาตราแรกว่า

"อำนาจสูงสุดของประเทศนั้น เป็นของราษฎรทั้งหลาย"


--------------------------------
ฯลฯ



.

2554-06-23

เอาชิพแปะหัว แล้วไปเลือกตั้งกัน (1) (2) โดย จอห์น วิญญู I here T.V.

.
เอาชิพแปะหัว แล้วไปเลือกตั้งกัน (1)
โดย จอห์น วิญญู I here T.V.
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 03 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1607 หน้า 80



ปั้ง!!! (เสียงประตูห้องประชุมปิดอย่างแรง)

ไม่ใช่เพราะผมไม่พอใจลูกค้าแล้วทำตัวกระแทกกระทั้นหรอกนะครับ พอดีลมมันตีประตูน่ะ

แต่ใจจริงก็อยากทำอยู่เหมือนกันแหละ ฮา

ก็นะ เรื่องเดิมๆ คำถามเดิมๆ เวลาไปขายโฆษณา มักจะมีคำถามว่า "เม็ดเงินที่ลงโฆษณาไปจะวัดผลกลับมาเป็นยอดขายได้อย่างไร"

ได้ยินทีไรแล้วกุมขมับครับ มันสมองอันน้อยนิดกระจี้รี่ของผมเนี่ยมันคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะทำยังไงให้ทราบผลสะท้อนของยอดขายที่ได้รับกลับมาจากการลงทุนโฆษณาครั้งหนึ่งๆ ลองคิดดูดิครับ สมมติเจ้าของผลิตภัณฑ์ขนมยี่ห้อหนึ่งซึ่งขนมนั้นขายราคาห่อละ 10 บาท ไปซื้อสื่อโฆษณาโดยลงโฆษณาในทีวีเป็นเงิน 100 บาท มีคนเห็นโฆษณาอันนั้นจำนวน 1,000 คน แล้วหนึ่งพันคนดังกล่าวเมื่อเห็นโฆษณาจากทีวีปั๊บ ก็รีบแล่นออกไปซื้อขนมมาแดก เอ๊ย กิน ทันที นั่นหมายความว่าเจ้าของผลิตภัณฑ์ขายของได้เป็นเงิน 10,000 บาท

สมมติได้กำไร 50% จากยอดขาย ก็จะได้กำไรเป็นเงิน 5,000 บาท



ทําไมผมชอบคำนวณอะไรแบบนี้จัง ทั้งๆ ที่รู้ว่ายิ่งเขียนมันก็ยิ่ง งง ผมถือคำขวัญ (คิดเองเมื่อกี้)

"ล้านความงง นำซึ่งหนึ่ง ความกระจ่าง" (ดูเท่)

มา ต่อต่อ สรุปว่าลงทุนโฆษณาไป 100 บาท ได้กำไรกลับมา 5,000 บาท แน่นอน เจ้าของผลิตภัณฑ์ต้องคิดว่ามันคุ้มค่า และร้อยทั้งร้อยย่อมตัดสินใจได้อย่างทันทีว่าจะซื้อสื่อโฆษณานั้นต่อไป

ในความเป็นจริง คุณจะรู้ได้ไงครับว่าไอ้ 1,000 ห่อขนมที่ถูกซื้อ มาจากหนึ่งพันคนที่เห็นโฆษณาของคุณ สมมติว่าจากหนึ่งพันห่อที่ขายได้ มีแค่คนเดียวที่ออกไปซื้อขนมมากินเพราะเห็นจากโฆษณา ส่วนอีก 999 คนมาซื้อเพราะว่าหิวและไม่รู้จะกินอะไร เดินเข้าร้านไปแล้วเห็น ก็เลยหยิบๆ มา ไม่เคยดูโฆษณาในทีวีเลยด้วยซ้ำ

ถ้าคิดกันด้วยความสัตย์จริงเงินลงโฆษณา 100 บาท สร้างยอดขายได้ 1 ห่อ = 10 บาท เป็นกำไร 50% ดังนั้น กำไรคือ 5 บาทลงโฆษณา 100 บาท ได้เงินจากการขายของกลับมา 5 บาท คุ้มไหมครับ?

แถวบ้านผมเรียกขาดทุน

หลายคนบอก แหม... นายจอห์น วิญญู นายก็เว่อร์สะบึม แล้วนายไปรู้ได้ไงว่ามีคนซื้อคนเดียว เออ แล้วคุณรู้ได้ไงว่ามีคนกี่คนที่ซื้อขนมยี่ห้อนั้นจากการดูโฆษณาทีวีนั้นๆ

ใครจะไปรู้

เออ นั่นดิใครจะไปรู้ (วะ)


ในความเป็นจริงมันก็มีวิธีวัดอยู่บ้างแหละ (ตามความเข้าใจของผม) แต่มันก็ไม่น่าจะได้ผลทั้ง 100% อย่างเช่น การเก็บแบบสอบถาม ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยกันเอาเองละกันว่าจะใช้เทคนิคเทคโนแบบใดในการเก็บแบบฯ โดยการถามว่าที่มาซื้อขนมยี่ห้อนี้เนี่ย ได้ยิน ได้ฟังโฆษณามาจากไหน อย่างไร

แล้วนึกสภาพความวุ่นวายในร้านสะดวกซื้อขนาดเท่ารูตรู๊ดที่มีอยู่ทั่วไปสิครับ คนต่อคิวซื้อของจ่ายตังค์กันยาวเป็นกิโล ความวุ่นวายมหาศาลในพื้นที่กระจ้อยร่อยแค่นั้น จะให้พนักงานมาถามว่าสินค้านี้คุณมาซื้อเพราะอะไร ได้เคยเห็นโฆษณาจากไหน หรือแม้กระทั่งให้ผู้ซื้อกรอกแบบสอบถามสั้นๆ รอระหว่างพนักงานกำลังคิดเงิน

มันช่างเป็นความฝันที่สวยงาม หล่า ลา ล้า...


แต่การซื้อขายในโลกอินเตอร์เน็ต (พอจะ) ทำได้นะครับ เจ้าของผลิตภัณฑ์ที่มีเว็บไซต์ขายของเป็นของตัวเองเขาจะมีวิธีติดตามผลความคุ้มค่าจากการลงโฆษณาที่ค่อนข้างเป็นรูปธรรมและเชื่อถือได้เลยทีเดียว

แต่ระบบโปรแกรมของเขาก็จะซับซ้อนหน่อย คืองี้ครับ เขาจะไปซื้อป้ายโฆษณา (Banner) ตามเว็บไซต์ต่างๆ แล้วพอผู้เข้าชมคลิกที่ป้ายโฆษณา ก็จะถูกพามาที่เว็บไซต์ขายของของเขา ซึ่งขั้นตอนที่ป้ายโฆษณานั้นพาคนเข้ามายังเว็บไซต์จะถูกบันทึกไว้ว่าผู้ชมคนนี้มาถึงร้านนี้ได้อย่างไร และถ้าผู้ชมเข้ามาแล้ว ผู้ชมเกิดสนใจสิ่งของสินค้าในเว็บไซต์ก็จะเริ่มทำการสมัครสมาชิกเพื่อทำการสั่งซื้อของ ซึ่งขั้นตอนนี้ก็จะถูกบันทึกไว้อีก

และในที่สุด พอเริ่มต้นใช้จ่าย ก็

โป๊ะเชะ!!!

การบันทึกรายได้จากการขายเพื่อนำไปวัดความคุ้มค่าจากการลงโฆษณาเริ่มที่ตรงนี้นี่เอง


นั่นแหละครับ เพราะเป็นคอมพิวเตอร์มันเลยทำได้ เนื่องจากคอมพิวเตอร์เวลาเชื่อมต่อเข้าไปในโลกอินเตอร์เน็ตมันจะมีหมายเลข IP Address เป็นเหมือนเลขที่บ้านแหละครับ เอาไว้บอกใครๆ ว่าขณะที่ฉันออนไลน์อยู่เนี่ย ฉันอยู่ตรงนี้นะ ที่บ้านหมายเลขนี้ ใครจะส่งข้อมูลอะไรมาให้ฉัน ก็ส่งมาที่ตรงนี้ ระบบคอมพิวเตอร์ในโลกอินเตอร์เน็ตมันจะมีการรับการส่งข้อมูลบันทึกระหว่างกันและกันตลอดเวลาขณะที่เราเชื่อมต่อใช้งานอยู่

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการซื้อขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต ถ้ามีระบบการวัดผลและการเก็บสถิติการใช้งานรองรับไว้อย่างดี จะเป็นตัวชี้วัดความคุ้มค่าในการซื้อสื่อโฆษณา และมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ค้าอย่างยิ่งยวด

เฮ้ย!!! แล้วไหนเรื่องชิพแปะหัวคนอะไรที่ว่า ยังไม่เห็นมีเรยยย

อย่าหาว่าผมกวนตีนเลยนะครับ

ยินดีด้วยจริงๆ

คุณเพิ่งอ่านบทนำจบ



++

เอาชิพแปะหัว แล้วไปเลือกตั้งกัน (จบ)
โดย จอห์น วิญญู I here T.V.
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1608 หน้า 79


จากตอนที่แล้ว จบตรงที่ความสามารถของคอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้ในการวัดผลความคุ้มค่าในการลงโฆษณาของผู้ผลิตสินค้าที่ต้องการขายของในโลกอินเตอร์เน็ต โดยวัดจากสถิติการเข้าถึงร้านค้าออนไลน์ ว่าผู้เข้ามาถึงร้านค้าคนนั้นๆ มีที่มาจากการไปลงโฆษณาไว้ที่ใด และผู้เข้ามาถึงร้านค้าแล้วมีการสมัครสมาชิกหรือไม่ สมัครสมาชิกแล้วมีการซื้อของไปเท่าไหร่ แถมบางทีตามดูพฤติกรรมการเลือกชมสินค้า แล้วยังไปรู้ต่ออีกว่าสมาชิกคนนั้นๆ ชอบสินค้าอะไรเป็นพิเศษ อูววว...

บางคนเลยบอกว่าระบบ IP Address ของคอมพิวเตอร์เวลาออนไลน์นี่ดีจัง ทำให้มีการเก็บสถิติที่เกิดประโยชน์ ทำให้รู้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร รู้ไปโหม้ดเรยยย

แต่เดี๋ยวก่อน...

มันก็มีส่วนถูกอยู่หรอก แต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์

เพราะยังไงก็ตาม IP Address ใช้ระบุตัวคนไม่ได้นะครับ

ถ้าเราเล่นเน็ตจากในบ้านเราเองก็พอจะระบุตัวตนได้ แต่ถ้าเราเล่นเน็ตตามร้านเน็ต หรือสถานที่อื่นที่ให้บริการอินเตอร์เน็ต การระบุตัวตนจะยากมากกก เพราะมีคนใช้คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวกันหลายคน สมมติถ้ามีใครกระทำผิดผ่านคอมฯ ในร้านเน็ตแล้วเพิ่งลุกออกไป เก้าอี้ยังอุ่นๆ อยู่ แล้วเราที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านมานั่งใช้ต่อ เพิ่งจะกดคีย์บอร์ดปุ่มแรก ตำรวจเดินทางมาถึง มาจับเรา แล้ว

บอกว่าตรวจพบผู้ใช้คอมพิวเตอร์ IP Address นี้กระทำความผิดจึงได้เร่งรุดเข้ามาจับกุม

แหม โชคดีจริงกรูววว เพิ่งมานั่ง ตูดยังไม่ทันติดเบาะเร้ย

กว่าจะรู้เรื่องก็อาจจะต้องรอเปิดกล้องวงจรปิดในร้านเน็ตดูหน้าตาไอ้โจรคนก่อน หรือไม่ก็อาจจะดวงดีได้ไปให้ปากคำที่โรงพัก เสียเวลาเล่นเน็ตอีก ฮา

มันระบุตัวคนโดยใช้ IP Address ยากจริงๆ นะครับ ถ้าไม่เห็นตัวคนที่ใช้ ณ เวลานั้นๆ แบบจะจะ



พูดถึงเทคโนโลยีการระบุตัวตน ก็นึกไปถึง DNA เนาะ แล้วถ้าเป็นเทคโนโลยีการระบุตัวตนแบบเครือข่ายออนไลน์ล่ะ อืมมม...ถ้าเราย่อคอมฯ ให้เล็กลง เอาแค่เป็นชิพตัวเล็กๆ ก็ได้ เล็กโคตรเล็กเลยยังได้มั้ง ก็เดี๋ยวนี้เค้ามีนาโนเทคโนโลยีกันแล้วนิ เอาชิพแปะไว้ที่ตัวเราแล้วรับค่ารหัส DNA ประจำตัวของเราจากจุดสัมผัสบนร่างกาย แปลงเป็นสัญญาณวิทยุเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่ายส่วนกลาง

ใช้รหัส DNA นี้แทน IP Address ไปเลย

แหร่มป่ะ?

ในชิพตัวเดียวกันนี้ก็ทำให้มันมีความสามารถในการอ่านคลื่นสมองแล้วแปลงส่งออกไปเป็นข้อมูลรูปแบบต่างๆ ได้ ไม่แน่ต่อไปเราอาจแปะชิพตัวนี้ไว้ที่หัว แล้วออนไลน์เข้าระบบ Internet DNA ที่ว่านี้ พูดคุยกันในลักษณะโทรจิต โดยใช้ชิพตัวนี้ส่งคลื่นสมองที่เป็นคำพูดออกไปที่ระบบเครือข่ายส่วนกลางที่มีข้อมูลรหัส DNA สมาชิกคนอื่นอยู่ เพียงแค่เรานึกชื่อนามสกุลของเพื่อนพร้อมคำพูดที่ต้องการสื่อสารออกไป ระบบจะแปลงชื่อนามสกุลไปเป็นรหัส DNA แล้วส่งไปยังปลายทางอีกฝั่งซึ่งคือชิพที่แปะอยู่บนหัวเพื่อนของคุณ

เท่านี้ก็เริ่มแชตในหัวสมองกันได้แล้วล่ะ

กรี๊ดดดด!!!

จอห์น วิญญู แกเพ้อหนังไซฟายยยอารายของแก?

ไม่หรอกน่า มันเป็นจริงได้ ไม่เกินห้าสิบปี ผมว่าเผลอๆ ไม่ถึงยี่สิบ (ถ้าเกินก็อย่าว่ากันนะ เพราะผมไม่ได้เป็นคนพัฒนา ฮา)



หลายปีก่อนผมดูทีวีในบ้านเรานี่แหละ เห็นเขาใช้คลื่นสมองบังคับเกมได้กันแล้ว ดูในช่อง Discovery เขาก็เคยนำเสนอการใช้คลื่นสมองบังคับแขนกลให้ขยับ ที่ฮือฮากันมากตอนนั้นก็คงหนีไม่พ้น Honda ที่เขาโชว์การใช้คลื่นสมองของมนุษย์บังคับให้หุ่นยนต์ยกมือ *๑ หรือทำท่าทางตามคำสั่งได้

แต่ที่ผมเห็นของ Honda เครื่องรับคลื่นสมองเขาอันเบ้อเริ่ม แต่ไม่เป็นไรแป๊บเดียวเดี๋ยวมันก็เล็ก ดูคอมพิวเตอร์ดิ แต่ก่อนใหญ่เป็นโรงงาน เดี๋ยวนี้อยู่ในกำมือแล้ว

เรื่องการสนทนาผ่านคลื่นสมองเหมือนโทรจิตลองไปดูผลงานของ TI (Texas Instruments)*๒ ใน youtube ได้นะครับ เขาส่งคลื่นสมองสั่งโทรเข้าโทรศัพท์มือถือของคนอื่นได้ ใช้คลื่นสมองส่งคำพูดโดยปากไม่ขยับไปออกแบบมีเสียงยังโทรศัพท์เครื่องปลายทางนั้นได้อีกต่างหาก *๓

พัฒนาการทางด้านการจำแนกและแปลงคลื่นสมองให้เป็นสัญญาณภาพ สัญญาณเสียง ยังคงดำเนินต่อไป หลายๆ คนอาจจะคิดว่าถ้าต่อไปทุกคนต้องติดชิพที่ผมเพ้อมานี่ไว้ที่หัวตลอด ก็จะขาดความเป็นส่วนตัวสินะ ทำอะไร คิดอะไร ใครก็รู้หมด ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือเปล่า

ผมว่ามันน่าจะให้เลือกได้มากกว่านะครับ เหมือนคอมพิวเตอร์อ่ะแหละ เลือกได้ว่า online หรือ offline

แต่เมื่อถึงเวลานั้นภาครัฐเขาคงอยากจะให้เรา online ไว้ตลอดมั้ง เขาจะได้รู้ว่าเราคิดอะไร ทำอะไร จะได้ตามมาควบคุมได้โดยง่าย เนาะ

จะว่าไปแล้วถ้า online ชิพที่ว่านี้ไว้ตลอด แม้กระทั่งตอนเข้าคูหาเลือกตั้งก็แย่สิ ถ้าคลื่นสมองส่วนลึกมันส่งออกไปว่าเราอยากเลือกเบอร์นี้ แต่มือมันดันไปกาอีกเบอร์นึง

งี้เขาจะรู้ไหมนะว่าเราโดนซื้อเสียง

ว้า แย่จัง

แล้วถ้าเราดันนึกหน้าคนที่ซื้อเสียงของเราขึ้นมาตอนนั้น แล้วเขาจับคลื่นสมองของเราได้

เขาจะตกใจไหมนะ

ที่เห็นหน้าตัวเอง

ฮา...



อ้างอิง

๑. Honda ATR Develop Brain-Machine Interface Technology Enabling Control of a Robot by Human : http://www.youtube.com/watch?v=RuxAV0S71qU

๒. Texas Instruments (TI) is a global analog and digital semiconductor IC design and manufacturing company. : http://www.ti.com/

๓. World"s First, Live Voiceless Phone Call Made at TIDC 2008 : http://www.youtube.com/watch?v=0g_RQZ-ntSw


.