.
"อภิสิทธิ์" วิวาทะ "ส.ว.-นักคิดฟิลิปปินส์" หลังถูกจวก "ประเทศอารยะไม่ควรนำอาวุธปืนมายิงใส่ประชาชน"
ใน http://www.prachatai.com/journal/2011/06/35603 ..Tue, 2011-06-21 21:26
และ ในมติชน ออนไลน์ วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 14:00:00 น.
สืบเนื่องจากที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินทางไปร่วมอภิปรายในงาน World Economic Forum ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2554 ..ทางสถานีโทรทัศน์ BBC World Service ได้นำบันทึกเทปดังกล่าวมาฉายในรายการ BBC World Debate ตอน Asia: Sharing the Wealth เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2554 โดยมีสาระสำคัญดังนี้
การอภิปรายดังกล่าว มีตัวแทนจากสี่ประเทศในเอเชีย คือ มารี เอลกา ปังเกสตู รัฐมนตรีกระทรวงการคลังประเทศอินโดนีเซีย, ปราชันท์ รัวร์ ซีอีโอเอสซาร์กรุ๊ป ประเทศอินเดีย, วอลเดน เบลโล สมาชิกวุฒิสภาประเทศฟิลิปปินส์ และนักวิเคราะห์อาวุโสจาก Focus on the Global South และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงความสัมพันธ์ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเป็นประชาธิปไตย และธรรมาภิบาล วอลเดน เบลโล ได้ชี้ว่า ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงประสบปัญหาด้านประชาธิปไตยและธรรมาภิบาล โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งประชาธิปไตยถดถอยมากหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ต่อมา อภิสิทธิ์ ใช้สิทธิถูกพาดพิงชี้แจง โดยยอมรับว่าการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นเรื่องทำให้ประเทศไทยถอยหลังจริง แต่หลังจากนั้นมา รัฐบาลก็จัดให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ จะเป็นการเลือกตั้งครั้งที่สองหลังการรัฐประหาร ซึ่งเป็นการนำประเทศก้าวไปข้างหน้า เขาเน้นว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ “ได้นำหลักนิติรัฐกลับมาสู่ประเทศ ”
ต่อประเด็นดังกล่าว ผู้สื่อข่าวบีบีซีตั้งคำถามว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้รับประโยชน์จากการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ใช่หรือไม่ อภิสิทธิ์ชี้แจงว่า พรรคตนไม่ได้ประโยชน์จากการรัฐประหารแต่อย่างใด และชี้แจงว่า บัดนี้ประเทศไทยได้กลับสู่สภาวะปกติแล้ว
“ในช่วงที่ผมเข้ามาบริหารประเทศ มีรัฐบาลสองรัฐบาลที่บริหารอยู่ก่อนหน้าแล้ว เราประสบกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลประชาธิปัตย์ก็สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจดังกล่าวได้ ซึ่งในขณะนี้ นับว่าประเทศได้กลับสู่สภาวะปกติ เราจัดให้มีการเลือกตั้ง เป็นการคืนอำนาจให้แก่ประชาชน ให้ประชาชนได้ตัดสินใจ และทหารก็ไม่เข้ามาแทรกแซงการเมืองอีก ” นายกฯไทย ชี้แจง
อย่างไรก็ตาม วอลเดน เบนโลจากฟิลิปปินส์ ยังกล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ตนได้อยู่ที่กรุงเทพฯ และได้รับรู้ถึงการใช้ความรุนแรงของรัฐในการสลายการชุมนุม ซึ่งตนมองว่า เป็นเรื่องที่เกินกว่าเหตุ และไม่สามารถยอมรับการกระทำดังกล่าวของรัฐบาลไทยที่กระทำต่อประชาชนตนได้
“ผมช็อคมากกับการสังหารหมู่ประชาชนที่เกิดขึ้น ผมไม่คิดว่าประเทศที่มีอารยะ ควรนำอาวุธปืนมายิงใส่ประชาชน ผมตกใจมากจริงๆ กับการกระทำดังกล่าวของรัฐบาลประชาธิปัตย์ ” วอลเดน กล่าว
อภิสิทธิ์ชี้แจงว่า หากวอลเดน เบลโล ได้อยู่เมืองไทยก่อนหน้านั้น จะรู้ว่า ความรุนแรงดังกล่าวเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ แต่การสลายการชุมนุม เป็นเรื่องจำเป็น เพราะพบว่ามีกลุ่มติดอาวุธอยู่ภายในกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง ทั้งนี้ ทางรัฐบาลได้ใช้ความอดทนอดกลั้น ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลที่ยอมรับกันทั่วไป และเป็นการนำหลักนิติรัฐกลับคืนมาสู่ประเทศ
“หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็มีกระบวนการทางการเมืองที่โปร่งใส เรามีการอภิปรายในสภา มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้เราก็ยังมีคณะกรรมการอิสระที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำการค้นหาความจริง (Fact-finding) ไม่มีใครอยากเห็นความสูญเสียหรอกครับ แต่เราต้องยึดถือหลักนิติรัฐ ” อภิสิทธิ์กล่าว
หลังจากนั้น ทางรายการ BBC World Debate เข้าสู่ประเด็นการพูดคุยเรื่องการคอร์รัปชั่นและนโยบายทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ตัวแทนจากประเทศอินโดนีเซียมองว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจ ต้องเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีคุณภาพ เช่นเดียวกับตัวแทนจากอินเดียและฟิลิปปินส์ซึงมองว่าการลดความเหลือมล้ำเป็นเรื่องที่จำเป็น และการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการคอร์รัปชั่นก็มีส่วนสำคัญในการบรรลุจุดประสงค์ดังกล่าว
อภิสิทธิ์ ในฐานะตัวแทนประเทศไทย ได้อภิปรายเสริมว่า ในส่วนของประเทศไทย มีการริเริ่มนโยบายการลดการคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะส่วนของภาคที่ธุรกิจ ที่ได้รวมตัวกันในนามของ ภาคีเครือข่ายการป้องกันและการปราบปรามคอร์รัปชั่น ซึ่งนับว่าเป็นก้าวแรกในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นที่ฝังรากลึกในสังคมไทย
“การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นนับเป็นเรื่องที่ต้องทำกันอีกนาน เนื่องจากอาจกล่าวได้ว่าคนไทยได้ชาชินกับการคอร์รัปชั่นไปแล้วเป็นเรื่องปกติ โชคดีที่เราได้นำหลักคำสอนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ ซึ่งเน้นเรื่องความพอเพียง และให้คนลดเว้นจากความตะกละและความเห็นตัว ซึ่งเป็นรากฐานของการคอร์รัปชั่น ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อธิบาย
ในช่วงท้ายของรายการ มีการถามถึงการเลือกตั้งและสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย โดยผู้ดำเนินรายการถามว่า การเลือกตั้งในเมืองไทยครั้งนี้ อาจเกิดการแทรกแซงจากทหารหรือไม่ นายกฯ ไทยตอบว่า จะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่ว่ากองทัพ หรือพรรคการเมืองใดๆ ต่างมีอิสระในการรณรงค์หาเสียง และต่างเคารพในผลการเลือกตั้งที่ออกมา
ในขณะเดียวกัน วอลเดน เบนโลกลับมองว่า หลังการเลือกตั้ง หากฝ่ายค้านชนะ อาจนำมาซึ่งความวุ่นวายในประเทศไทยได้ เนื่องจากจะมีปัญหาในส่วนของทหารและสถาบันกษัตริย์ และยังกล่าวด้วยว่า ในประเทศที่เป็นสมัยใหม่ ไม่ควรจะนำกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือกฎหมายอาญามาตรา 112 มาใช้ โดยทัศนะของเขาเห็นว่าการนำคนเข้าคุก เพียงเพราะวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ เป็นเรื่องที่มีปัญหา
อภิสิทธิ์ได้ชี้แจงต่อประเด็นดังกล่าวว่า ตนและทุกส่วนยอมรับผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ และถ้าหากฝ่ายค้านชนะการเลือกตั้ง ก็จะยอมรับเช่นกัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลใหม่จะมีจุดมุ่งหมายอย่างไร ถ้าหากรัฐบาลใหม่บริหารประเทศโดยคำนึงผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ก็เป็นเรื่องดี แต่หากคำนึงถึงผลประโยชน์ของคนคนเดียว โดยเฉพาะต่อคนที่ถูกตั้งข้อกังขาเรื่องคอร์รัปชั่นและสิทธิมนุษยชน ก็คงต้องเป็นเรื่องควรกังวล และได้ชี้แจงถึงการใช้กฎหมายมาตรา 112 ในประเทศไทยด้วยว่า มีการใช้เหมือนกับกฎหมายหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไป
“กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นกฎหมายอาญา ซึ่งเกี่ยวข้องกับรากเหง้าและเอกลักษณ์ของประเทศไทย และยังเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงของชาติ ที่ต้องมีการบังคับใช้ เนื่องจากว่า สถาบันกษัตริย์ไม่มีกลไกป้องกันตนเองอื่นๆ เช่น ถ้าหากคุณถูกหมิ่นประมาท คุณสามารถไปฟ้องศาลได้ แต่หากสถาบันกษัตริย์ถูกดูหมิ่น ท่านไม่สามารถไปฟ้องศาลเองได้ ”
“อาจกล่าวได้ว่า คนที่ถูกดำเนินคดีเนื่องจากการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ก็จะถูกดำเนินคดี เหมือนกับเวลาเขาไปหมิ่นประมาทคนทั่วไป ซึ่งกรณีดังกล่าวก็ย่อมไม่ได้รับการอภัยโทษเช่นกัน ” อภิสิทธิ์ ชี้แจง
ฟังคลิปรายการดังกล่าวได้จาก The World Debate - Asia - Sharing the Wealth?
http://www.bbc.co.uk/iplayer/episode/p00hcdxw/The_World_Debate_Asia_Sharing_the_Wealth/
ภาพประกอบ: http://www.flickr.com/photos/worldeconomicforum/3488883590/
ทำไมเร็วจัง และ วันที่ไม่มีของฟรี โดย "แม่ลูกจันทร์" และ ลม เปลี่ยนทิศ
http://botkwamdee.blogspot.com/2011/04/blog-post_23.html
จมดิ่งสู่หายนะ-บทสรุปฮิวแมนไรต์ และ ยิ่งกว่า บิน ลาเดน โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน
http://botkwamdee.blogspot.com/2011/05/blog-post_12.html
เอกชนเอือม"คอร์รัปชั่น"ฯ และ ดัชนีทุจริต คอร์รัปชั่นไทยฯ
http://botkwamdee.blogspot.com/2011/06/blog-post_06.html
++
"ธิดา" รักษาการประธาน นปช. เขียนจม. "จากใจคนไทยถึง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอนที่ 1 นกน้อยในกรงทอง"
ในมติชน ออนไลน์ วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 10:30:00 น.
( ที่มา เว็บไซต์วอยซ์ทีวี.. http://voicetv.co.th )
นายแพทย์สลักธรรม โตจิราการ ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกของนางธิดา ถาวรเศรษฐ มารดา ที่เขียนถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยใช้ชื่อจดหมายว่า "จากใจคนไทยถึง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอนที่ 1 นกน้อยในกรงทอง" ซึ่งเป็นการเขียนขึ้นหลังจากที่นางธิดาได้อ่านบันทึกเปิดใจฉบับต่าง ๆ ของนายอภิสิทธิ์ โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
จากใจคนไทยถึง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ตอนที่ 1 นกน้อยในกรงทอง
ธิดา ถาวรเศรษฐ 21 มิ.ย. 54
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขียนจดหมายถึงคนคนเดียว แต่ขอเขียนแทนประชาชนคนไทยจำนวนหนึ่ง (เป็นจำนวนมาก)
อ่านจดหมายสื่อสารของ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เขียนจากใจถึงคนไทยทั้งประเทศ ฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 4 ขอให้เขียนต่อไปให้มากๆ คนไทยจะยิ่งรู้จักธาตุแท้ของคุณมากยิ่งขึ้น
ความจริงไม่ใช่ความผิดของคุณอภิสิทธิ์ทั้งหมด เพราะคุณอภิสิทธิ์ เป็นตัวแสดงที่ถูกทำให้มารับหน้าที่นายกรัฐมนตรีในเวลานี้ อันเป็นตัวละครสำคัญ ในช่วงเวลาที่สังคมไทยกำลังเกิดการขัดแย้งรุนแรง ระหว่างชนชั้นนำในระบอบอำมาตยาธิปไตยกับประชาชนไทย พรรคการเมืองตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์นิยมจึงต้องเป็นรัฐบาลให้ได้ และเป็นให้ยาวนานที่สุด เพื่อรักษาอำนาจในการปกครองไว้ในมือของชนชั้นนำในระบอบอำมาตยาธิปไตย โดยกองทัพของชนชั้นนำในระบอบอำมาตยาธิปไตยเช่นกัน
และเมื่อพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยมมีหัวหน้าพรรคชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ถูกดึงขึ้นมาต่อสู้เทียบเคียงกับทักษิณ ชินวัตร โดยเชื่อว่า สดกว่า หนุ่มกว่า มีการศึกษาสูงแบบผู้ดีอังกฤษ คุณอภิสิทธิ์ จึงกลายเป็นตัวเอกของเวทีรัฐสภาและมีบทบาทเป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะตัวแทนชนชั้นนำในระบอบอำมาตยาธิปไตย ที่เขาคิดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เช่นเดียวกับเหตุการณ์การตั้งนายกฯสุรยุทธ จุลานนท์
จากภูมิหลังของครอบครัวที่จัดเป็นคนชั้นสูงในสังคม โดยฐานะทางชนชั้น การศึกษาตามแบบฉบับชั้นดีเลิศของอังกฤษ ผ่านโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของชนชั้นสูงอังกฤษ การมีสภาวะแวดล้อมของกลุ่มอนุรักษ์นิยม สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เข้าใจสังคมไทยในมิติอื่น ยกเว้นมิติของกลุ่มคนในหมู่พวกและชนชั้นตนเท่านั้น
ตามที่คุณอภิสิทธิ์ อ้างถึงคนที่เชียร์ให้กำลังใจคุณอภิสิทธิ์ให้ (ทน) อยู่ในฐานะนายกฯต่อไป และไม่พอใจถ้าคุณอภิสิทธิ์ไปเจรจากับคนเสื้อแดง หรือดูเหมือนอ่อนข้อเมื่อประกาศจะยุบสภาก่อนเวลาสิ้นสุดแท้จริง เช่น "อย่าเสียใจ อย่ายุบสภา อย่าลาออก ท่านนายกฯทำดีที่สุดแล้ว " หรือ "อย่าลาออก พวกมันยิงกันเอง " คุณอภิสิทธิ์อ้างว่า "ได้รับกำลังใจจากประชาชนจำนวนมาก ที่ส่งข้อความเข้าโทรศัพท์มือถือของผม เป็นแรงใจให้ผมมีความเข้มแข็ง ยืนหยัดต่อสู้เพื่อบ้านเมืองของเรากลับสู่ความสงบให้ได้และข้อความอีกมากมายที่ส่งมาให้กำลังใจ เป็นเสมือนน้ำทิพย์ชโลมใจที่อ่อนล้าของผม ให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง "
หรือบางตอนที่เขียนว่า "ผมท้อไม่ได้ และผมไม่มีสิทธิ์ถอย เพราะถ้าทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่าผมทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน "
ปัญหาของคุณอภิสิทธิ์ก็คือ การอยู่ในสภาวะแวดล้อม ในแวดวงของประชาชนกลุ่มที่จำกัด แวดวงบริเวณยอดของรูปปิรามิดแห่งสังคมไทย ไม่ได้สัมผัสกับประชาชนแห่งฐานปิรามิดที่เป็นรากหญ้า รากฐานของสังคม ในอดีตแม้จะเป็นนักการเมืองที่ลงหาเสียงในกรุงเทพมหานครฯ แต่ก็เป็นการหาเสียงกับคนเมืองเฉพาะส่วนเท่านั้น ทั้งเป็นเวลาที่อ่อนวัยและไม่มีความรับผิดชอบใดๆ การสัมผัสประชาชน จึงเป็นคนละบรรยากาศกับในปัจจุบันที่เป็นนายกรัฐมนตรีท่ามกลางกลุ่มคาวเลือด ศพ ของประชาชนมือเปล่าที่ถูกฆ่า และเสียงตะโกนจากคุกที่คุมขังประชาชน โดยใช้เพียงการตั้งข้อหารุนแรงปราศจากหลักฐานใดๆ
เมื่อต้องลงสู่ท้องถนน เพราะต้องออกหาเสียงช่วยลูกพรรคทั่วราชอาณาจักร ได้สัมผัสกับประชาชนทั่วไปในสถานการณ์ใหม่ หลังการปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรง จึงต้องเผชิญความจริงที่ว่า มีประชาชนเคืองแค้น ถามหาความรับผิดชอบในเหตุการณ์ปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนในปีที่ผ่านมา หรือมีแววตาแสดงออกถึงความเกลียดชัง มีการถือป้าย "ดีแต่พูด" แสดงออกเช่นนี้อยู่ทั่วไป แม้แกนนำ นปช. ไม่ว่าจะเป็นคุณณัฐวุฒิ หรือดิฉันเอง ได้ขอร้องมวลชนคนเสื้อแดงว่าไม่ควรขัดขวางการหาเสียง แต่ก็มีสิทธิอันชอบธรรมในการทวงถามความยุติธรรมและความรับผิดชอบในฐานะที่คุณเป็นนายกรัฐมนตรี
ด้านหนึ่งก็คงจะกระทบกระเทือนจิตใจของคุณอภิสิทธิ์พอสมควร จึงเขียนในเฟซบุ๊ค จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ อีกด้านหนึ่งก็แสดงการเคืองแค้นอย่างรุนแรงของคุณอภิสิทธิ์ที่โต้เถียงประชาชนไม่ลดละ
ยุทธศาสตร์การหาเสียงด้วยการเสนอนโยบายที่ลอกจากพรรคอื่นๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นการโจมตีคนเสื้อแดง และรุกไล่โจมตีผู้สมัครหมายเลข 1 เพื่อไทย ในข้อหาเชื่อมโยงกับคุณทักษิณ ชินวัตร ท่วงทำนองนี้คล้ายกับตอนจัดการคุณทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลของพรรคพลังประชาชน คือเป็นท่วงทำนองของผู้เป็นรอง รุกไล่โจมตีผู้มีพลังมากกว่า นี่แสดงถึงความวิตกจริตอย่างหนักของพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเอง
วาทกรรม "เผาบ้านเผาเมือง" จึงถูกนำมาใช้เป็นหลักในการกล่าวอ้างกับประชาชนว่าคนเสื้อแดงที่เป็นผู้สมัครในพรรคคู่แข่ง คือผู้เผาบ้านเผาเมือง หลังจากวาทกรรมล้มเจ้าที่นำมากล่าวหาคนเสื้อแดง ถูกเยาะเย้ยด้วยผังล้มเจ้าเหลวไหล ที่เอามาอ้างเป็นเหตุให้จัดเป็นคดีพิเศษจัดการกับคนส่วนต่างๆและแกนนำคนเสื้อแดง
การแสดงออกของจดหมายจากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ ที่เขียนออกมาจนถึงปัจจุบัน (21มิ.ย. 54 ) จำนวน 5 ฉบับแล้วนั้น ล้วนแสดงออกถึงการพยายามแก้ตัวในสถานการณ์ต่าง ๆ กัน
ในฉบับแรก ตอนที่ 1 การเมืองสลับขั้ว สู่เส้นทางนายกรัฐมนตรี ก็จะเป็นการแก้ตัวเรื่องที่มาของรัฐบาลที่จัดตั้งในค่ายทหาร
ตอนที่ 2 กฏเหล็ก 9 ข้อ สู่บรรทัดฐานใหม่ทางการเมือง ก็บรรยายในลักษณะอวดตัวและเหยียบย่ำพรรคร่วม แนวทาง 9 ข้อ ก็อ้างพระบรมราโชวาท เพื่อนำมาใช้อวดตัวในด้านความซื่อสัตย์สุจริต และความล้ำเลิศอื่นๆ
ฉบับที่ 3 ก็แก้ตัวในเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553
และฉบับที่ 4 แก้ตัวเรื่อง 91 ศพ สังเวยความต้องการใคร
ทั้ง 4 ฉบับ ลักษณะร่วมกันคือ เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น การเลือกพูดเอาเหตุผลที่เข้าข้างตน โจมตีคนอื่นด้วยวาทกรรมที่มาจากข้อมูลที่ไม่ใช่เรื่องจริง การแก้ตัว ปฏิเสธความรับผิดชอบ และกล่าวโทษผู้เป็นคู่ต่อสู้ทางการเมือง โดยอาศัยการพูดที่ไม่คำนึงถึงหลักฐานข้อเท็จจริงทั้งปวง
ที่จริงเป็นการทำลายคุณอภิสิทธิ์ ทำลายพรรคประชาธิปัตย์เอง เพราะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา หลักฐานข้อมูลที่ชัดเจนได้ปรากฏในสังคม ประชาชนรับรู้ และพิพากษาไปแล้ว
นี่ก็จะไปจัดปราศรัยใหญ่ที่สี่แยกราชประสงค์ในวันที่ 23 มิ.ย. 54 นี้ ก็ทำไมไม่จัดเอาในวันที่ 19 มิ.ย. 54 ไปเสียเลย จะได้เป็นการจัดงานรำลึกฉลองการปราบปรามประชาชนครบรอบ 1 ปี 1 เดือน ถือเป็นการกล่าวกับวิญญาณวีรชนว่า เห็นไหม พวกแกตายฟรี ๆ พวกข้ายังอยู่ดี เป็นนายกรัฐมนตรีจนถึงบัดนี้
จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ 4 : 91 ศพสังเวยความต้องการใคร (ภาค 2)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308234311&grpid=01&catid=80
จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ 3 "ผมถูกยัดเยียดข้อหาฆ่าประชาชน"
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1307929701&grpid=01&catid=80
จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ 2 : กฎเหล็ก 9 ข้อ สู่บรรทัดฐานใหม่ทางการเมือง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1307541152&grpid=01&catid=80
จากใจ"อภิสิทธิ์"ถึงคนไทยทั้งประเทศ ตอน 1 การเมืองสลับขั้ว
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1307358237&grpid=01&catid=80
สรยุทธสัมภาษณ์ บุรณัชย์ ณัฐวุฒิ P1/2
http://www.youtube.com/watch?v=FDHjW94pMiY&feature=player_embedded
เจาะข่าวเด่น ณัฐวุฒิ VS บุรณัชย์ P 2/2
http://www.youtube.com/watch?v=D_t4eAxzyS8&feature=player_embedded
เรื่อง คำขอโทษจากอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
http://news.voicetv.co.th/thailand/12608.html
ทบ.+ ปชป. ไม่เอาปัตตานีมหานคร
http://shows.voicetv.co.th/wakeup-thailand/12769.html
.
Selected Messages & Good Article for People Ideas and Social Justice .. หวังความต่อเนื่องของพลังประชาธิปไตยและการเลือกตั้งของปวงชนอันเป็นรากฐานอำนาจอธิปไตย เพื่อกำกับกติกาและอำนาจการเมือง-อำนาจตุลาการ ไม่ว่าต่อคนชั่ว(เพราะใคร?) และคนดี(ของใคร?) ไม่ให้อยู่เหนือนิติรัฐของประชาชน
http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย
2554-06-22
2554-06-21
พรรคของผม และ พื้นที่สาธารณะ โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
.
พรรคของผม
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ในมติชน ออนไลน์ ฉบับวันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 20:30:00 น.
ถ้าผมมีพรรคการเมืองเป็นของตัวเองเหมือนคุณบรรหาร คุณสุวัจน์ คุณทักษิณ คุณเนวิน หรือคุณสนธิ ผมจะเสนอนโยบายบางอย่างแก่ผู้เลือกตั้ง และหวังว่าพรรคของผมจะได้รับเลือกตั้งจำนวนมาก ไม่ในครั้งนี้ก็ครั้งหน้า ผมขอเสนอเพียงบางนโยบายที่ตรงกับการหาเสียงของพรรคการเมืองเวลานี้
1.พรรคของผมจะไม่ลดหย่อนดอกเบี้ยให้แก่การผ่อนรถคันแรก แต่กลับมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ในชีวิตประจำวัน โดยทำให้การขนส่งสาธารณะมีความสะดวกปลอดภัยมากขึ้น และเพื่อจะทำอย่างนั้นได้ ไม่ใช่การทุ่มเงินลงไปสร้างรถไฟเพียงอย่างเดียว แต่ต้องขจัดรถส่วนบุคคลออกไปจากท้องถนนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วย ฉะนั้นในระยะยาวแล้ว พรรคของผมจะทำให้การใช้รถยนต์มีต้นทุนสูงขึ้นตลอด นับตั้งแต่ที่จอดรถซึ่งหาได้ยากขึ้น ห้ามนำรถขึ้นจอดบนทางเท้าอย่างเด็ดขาด เปิดพื้นที่ถนนแก่รถสาธารณะเป็นพิเศษ ฉะนั้นรถส่วนบุคคลจะเดินทางได้ช้าลงกว่ารถสาธารณะอย่างเทียบกันไม่ได้
2.พรรคของผมจะไม่ลดหย่อนดอกเบี้ยให้แก่การซื้อบ้านหลังแรกเหมือนกัน เพราะต้นทุนของบ้านและที่อยู่อาศัยซึ่งแพงมากขึ้นทุกขณะนั้น เกิดจากการปล่อยให้ที่ดินกลายเป็นสินค้าเก็งกำไร ที่ดินกลายเป็นต้นทุนของบ้านมากกว่าตัวเรือนหลายเท่าตัว หากมีการปฏิรูปที่ดินอย่างจริงจัง ราคาที่ดินก็จะลดลงเพราะถูกคายออกมาสู่ตลาดมากขึ้น ราคาของบ้านก็จะลดลงตามไปด้วย พรรคของผมจะสนับสนุนการศึกษาวิจัยที่จะทำให้การก่อสร้างที่อยู่อาศัยราคาต่ำลง เช่น การใช้วัสดุที่เอามาเชื่อมต่อกันได้ง่าย (pre-fabricated) ลดค่าใช้แรง และลดราคาของวัสดุลงไปพร้อมกัน
เรื่องนี้ไม่ต้องกินเวลานานนัก เพียงแค่ประกาศอัตราภาษีทรัพย์สิน (รวมที่ดิน) ในอัตราก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ต่อที่ดินที่มีปริมาณเกินกว่ากำหนด ภายในปีเดียว ก็จะมีผู้คายที่ดินออกมาจำนวนมากจนทำให้ราคาที่ดินลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว
3.หากพรรคของผมจะรับประกันหรือรับจำนำพืชผลการเกษตร ก็จะเป็นมาตรการระยะสั้นเท่านั้น เราไม่มีกำลังพอจะยกพืชผลการเกษตรของไทยให้พ้นไปจากกลไกราคาของตลาดโลกได้
ปัญหาหลักของเกษตรกรรมไทยไม่ได้อยู่ที่ราคาพืชผลซึ่งอาจตกต่ำในบางปี แต่อยู่ที่สองเงื่อนไข คือต้นทุนการผลิตที่สูงเกินไป และการที่เกษตรกรเข้าไม่ถึงตลาดที่เสรีและเป็นธรรมต่างหาก
นอกจากการปฏิรูปที่ดินจะช่วยลดต้นทุนการผลิตไปได้อย่างมากแล้ว ยังต้องทำลายการผูกขาดปัจจัยการผลิตในรูปต่างๆ เช่น ปุ๋ย อาหารสัตว์ หรือพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ เป็นต้น ในส่วนการเข้าไม่ถึงตลาดที่เสรีและเป็นธรรม ความขาดแคลนทุนทรัพย์ของเกษตรกร ทำให้ไม่มีอำนาจต่อรอง เป็นเพียงปัจจัยเดียว แต่ปัจจัยนี้ก็สามาถแก้ได้อีกหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้เกษตรกรตกเป็นเหยื่อ สำหรับการขูดรีดของทุนแต่เพียงอย่างเดียว เช่น ส่งเสริมการรวมกลุ่ม สนับสนุนแหล่งเงินกู้ไม่ใช่เพื่อการผลิตเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในตลาด เช่น เพียงมีเงินดำรงชีพได้อีก 3 เดือน ก็จะสามารถต่อรองราคาได้อีกเป็นเท่าตัว เงินกู้ระยะสั้นเช่นนั้นอาจไม่คิดดอกหรือคิดในอัตราต่ำมากๆ ก็ได้
ที่สำคัญกว่านั้นคือการผูกขาดตลาดส่งออกพืชผลการเกษตร ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่เจ้า จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางกว่าท้องถิ่นให้ได้ ซึ่งอาจทำได้หลายวิธี เช่น ตลาดกลางข้าว (ท่าข้าว) เปิดโอกาสการต่อรองแก่เกษตรกรได้มากกว่าการจำนำข้าวผ่านโรงสี เพราะโรงสีต้องแข่งราคากันเอง หรือการทำสัญญาการผลิตระหว่างผู้บริโภคในต่างประเทศกับผู้ผลิตในประเทศไทย (ซึ่งทำกับผลผลิตบางอย่างในประเทศไทยมานานแล้ว)
โดยสรุปก็คือ เป้าหมายระยะยาวของพรรคคือ ปฏิรูปเงื่อนไขการผลิตและตลาดด้านเกษตรกรรม ไม่ใช่เอาเงินภาษีมาเปิดให้นักการเมืองโกงกินในนามของการประกันราคาหรือจำนำ ซึ่งไม่บังเกิดผลจีรังยั่งยืนอะไร หากดำเนินมาตรการเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ก็จะเริ่มเห็นผลบางส่วนในเวลาเพียงปีสองปีเท่านั้น
4.เช่นเดียวกับราคาของพืชผลการเกษตร พรรคของผมจะค่อยๆ เลิกการควบคุมราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค กระทรวงพานิชย์ไม่ได้มีหน้าที่ควบคุมราคาสินค้า แต่มีหน้าที่กำกับดูแลให้การค้าดำเนินไปอย่างเสรีและเป็นธรรมต่างหาก ฉะนั้นพรรคของผมจะถือว่า การทำลายอำนาจเหนือตลาดเป็นเป้าหมายหลักในการทำให้สินค้ามีราคาเป็นธรรม ยกตัวอย่างเช่น ราคาของไก่และหมูไม่ได้ขึ้นลง เพราะความโลภของผู้เลี้ยงไก่และหมู แต่ขึ้นลงตามความโลภของทุนผูกขาด ซึ่งผูกขาดนับตั้งแต่ลูกไก่และลูกหมู ไปถึงอาหารสัตว์ ตลาดส่งออกไข่และเนื้อสัตว์ จนแม้แต่ร้านค้าที่วางจำหน่าย อำนาจเหนือตลาดเช่นนี้แหละที่รัฐบาลของพรรคผมจะต้องบั่นรอนให้ได้
5.พรรคของผมจะให้สัญญาว่า ตัวแทนฝ่ายรัฐในคณะกรรมการไตรภาคีจะร่วมกับตัวแทนฝ่ายแรงงาน เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำอย่างแน่นอน แต่การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำไม่ใช่จุดมุ่งหมายในตัวเอง เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการปฏิรูประบบแรงงานทั้งระบบ
จุดมุ่งหมายหลักคือการพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งในเวลานี้ทำได้ยาก เนื่องจากส่วนใหญ่ของแรงงานต้องทำงานนอกเวลาเพื่อให้พอกิน จึงไม่มีเวลาเหลือสำหรับการศึกษาในรูปแบบที่เหมาะสมใดๆ ทั้งสิ้น ที่ต้องเพิ่มค่าแรงเป็นเบื้องต้นก็เพื่อปลดปล่อยแรงงานให้มีเวลาเพียงพอสำหรับการพัฒนาตนเอง
แต่ระบบค่าตอบแทนต้องแยกจากกันระหว่างรายได้สำหรับดำรงชีพขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพพอสมควร กับค่าตอบแทนประสบการณ์และความชำนาญเฉพาะด้าน
รัฐบาลของพรรคผมจะตั้งสถาบันอิสระ ที่มีหน้าที่และความชำนาญในการประเมินฝีมือแรงงาน (โดยการปฏิบัติจริง ไม่ใช่จากประกาศนียบัตร) และออกหนังสือรับรองมาตรฐานขั้นต่างๆ ให้แก่ผู้ผ่านการประเมิน ส่วนนี้ควรได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นต่างหากออกไปจากค่าตอบแทนพื้นฐาน
ในขณะเดียวกันกรมการศึกษานอกโรงเรียนและเอกชน จะได้รับการอุดหนุนให้สร้างกระบวนการเรียนรู้ชนิดต่างๆ ในแหล่งโรงงาน พร้อมกันไปนั้นโรงงานที่พร้อมลงทุนพัฒนามาตรฐานการผลิตก็จะได้รับการสนับสนุน อาจเป็นด้านภาษี หรือการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือการเปิดตลาดใหม่สำหรับสินค้าคุณภาพเป็นต้น
ในขณะเดียวกันกับที่เพิ่มค่าตอบแทนของแรงงาน ก็ควรลดรายจ่ายของแรงงานไปพร้อมกัน เช่น มีที่พักราคาประหยัดในแหล่งอุตสาหกรรมจำนวนมาก มีสถานรับเลี้ยงเด็กอ่อนในบริเวณใกล้โรงงาน มีสหกรณ์ผู้บริโภคซึ่งอาจมีสัญญากับผู้ผลิตโดยตรง และแน่นอนต้องมีโรงเรียนสำหรับลูกของคนงานในทุกระดับ อันจะทำหน้าที่เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับตัวคนงานเองด้วย
6.พรรคของผมจะไม่ให้สัญญาเรื่องเรียนฟรี เพราะไม่จำเป็น เนื่องจากสิทธินี้ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว แต่กระทรวงศึกษาในรัฐบาลของพรรคผมจะกวดขันให้ฟรีจริงๆ ไม่มีการเก็บเงินแฝงทุกชนิด (เพราะถ้าปล่อยให้ทำอย่างนี้ต่อไป อาจต้องเก็บเงินค่าชอล์กจนได้)
พรรคผมจะดึงกระทรวงศึกษามาทำงานด้านอื่นที่กระทรวงน่าจะถนัดกว่าการบริหารจัดการโรงเรียน เช่น การช่วยอำนวยความสะดวกให้โรงเรียนพัฒนาคุณภาพการศึกษา โรงเรียนควรบริหารจัดการโดยองค์กรปกครองท้องถิ่น (ซึ่งจะได้งบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก) หรือเอกชน กระทรวงศึกษาเป็นเพียงผู้ควบคุมมาตรฐานที่มีลักษณะยืดหยุ่นสูง
พรรคผมสนับสนุนทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบ แต่ทั้งสองอย่างนี้ต้องสามารถเชื่อมโยงกันได้โดยสะดวก ผู้คนสามารถไต่เต้าด้านการศึกษาไปได้โดยไม่ต้องเข้าโรงเรียน หรือเข้าๆ ออกๆ ตามแต่เงื่อนไขในชีวิต โดยวิธีนี้เท่านั้นที่ครอบครัว โรงงาน ไร่นา สถานที่ทำงาน หรือแม้แต่บุคคล ฯลฯ จะเข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษาได้จริง
เป้าหมายคือขยายการศึกษา (ซึ่งจัดขึ้นโดยหน่วยนานาชนิดในสังคม) และพัฒนาคุณภาพของการศึกษา ไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณด้านการศึกษามากกว่านี้ไปอีกหลายปี เพราะความจริงแล้ว ไทยใช้เงินเพื่อการศึกษาต่อหัวเด็กสูงมาก (กว่าประเทศอื่นที่มีฐานะเศรษฐกิจระดับเดียวกัน) แต่การศึกษาไทยกลับมีคุณภาพต่ำกว่าประเทศที่ลงทุนน้อยกว่า
7.พรรคของผมจะไม่สัญญาเพียงแต่เพิ่มส่วนแบ่งงบประมาณให้ท้องถิ่นเท่านั้น แต่จะปฏิรูปโครงสร้างอำนาจเพื่อให้ท้องถิ่นสามารถปกครองตนเองได้จริง เรารวมศูนย์การปกครองไว้ที่ส่วนกลางมานานและมากเกินไป ดังนั้นการบริหารจัดการในท้องถิ่นจึงไม่ตอบสนองประชาชน จำเป็นต้องกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นในทุกระดับ อำนาจสำคัญคือ อำนาจในการบริหารจัดการและตัดสินใจเกี่ยวกับทรัพยากรในท้องถิ่น และการพัฒนาของท้องถิ่น
ดังนั้นส่วนแบ่งของงบประมาณที่น่าจะเป็นสิทธิของท้องถิ่นจึงมีสูงมากกว่า 25-35% อย่างที่สัญญากัน
แต่ในขณะเดียวกันต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างของการบริหารท้องถิ่น ให้ประชาชนมีอำนาจเข้ามาตรวจสอบ กำกับ และควบคุมได้โดยตรง ในขณะที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางยังมีอำนาจในการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของ อปท.ตามเดิม
เอาแค่ 7 เรื่องนี้ก็น่าจะพอแล้วเพื่อใช้ในการหาเสียง (ทั้งๆ ที่มีเรื่องที่น่าจะต้องปรับเปลี่ยนมากกว่านี้อีกแยะ) ถามว่าพรรคของผมจะได้รับเลือกตั้งพอจัดตั้งรัฐบาลเองได้หรือไม่
คำตอบคือไม่หรอกครับ ในการเลือกตั้งครั้งนี้
แต่หากพรรคของผมสามารถผลักดันประเด็นเหล่านี้ต่อไปในอีก 4 ปีข้างหน้า อย่างต่อเนื่องและอย่างแข็งขัน ผมมั่นใจว่าจะได้จัดตั้งรัฐบาลอย่างแน่นอน เพราะสังคมไทยในปัจจุบันกำลังต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่อาจหาคำตอบได้จากพรรคการเมือง แค่นี้ก็ยังไม่เป็นไร หากสังคมเข้มแข็งและมองแนวทางการเปลี่ยนแปลงได้ชัด ก็อาจร่วมกันกดดันและกำกับให้พรรคการเมืองปรับเปลี่ยนบ้านเมืองไปได้
ปัญหามาอยู่ที่ว่า สังคมก็ไม่พร้อมเท่าๆ กับพรรคการเมือง ฉะนั้น แทนที่จะตั้งพรรคการเมือง ผมคิดว่าเรามาช่วยกันผลักดันสังคมไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่มีผลดีอย่างยั่งยืนดีกว่า
++
พื้นที่สาธารณะ
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1608 หน้า 30
แม้ใครๆ ก็อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่เอาเข้าจริง เราทุกคนต่างใช้ชีวิตกว่าครึ่งอยู่นอกบ้าน และเกือบครึ่งของชีวิตนอกบ้านนั้นใช้อยู่ในพื้นที่สาธารณะ
นี่ว่าเฉพาะพื้นที่ทางกายภาพนะครับ หากรวมพื้นที่อันเป็นนามธรรมเข้าไปด้วย เกือบทั้งชีวิตเราล้วนอยู่ในพื้นที่สาธารณะเป็นส่วนใหญ่
เรยา ทำให้เราร่วมกันวิพากษ์ถกเถียงถึงความดี-ความชั่ว มาตรฐานกุลสตรีไทย, ความเปลี่ยนแปลง ฯลฯ เราร่วมกันระทึกว่าประชาธิปัตย์จะกลับมาหรือไม่ แม้ระทึกกันไปคนละทางก็ตาม เราร่วมกันไขว่คว้าหาและแสดงตัวตนของเราด้วยการส่งเอสเอ็มเอสไปบอกทีวีว่า บ้านเราอากาศดี
ปราศจากพื้นที่เชิงนามธรรมเหล่านี้ อย่าว่าแต่ชาติไทยเลย สังคมไทยก็ไม่มี
แต่ในที่นี้ผมขอพูดถึงพื้นที่ทางกายภาพเป็นหลัก เพราะเห็นได้ชัดดี
ในหมู่บ้านสมัยโบราณสืบมาจนไม่นานมานี้เอง มีพื้นที่สาธารณะอยู่ทั่วไป วัด, บ่อน้ำ, ป่าใกล้บ้าน, ศาลปู่ตา, โรงเรียน (สมัยเริ่มแรกมี), ท้องนาหลังเก็บเกี่ยว, ฯลฯ
ว่ากันที่จริงแล้ว พื้นที่สาธารณะกับพื้นที่ส่วนตัวในหมู่บ้านสมัยโบราณคาบเกี่ยวกันอย่างมาก เช่น ใต้ถุนเรือนมักเปิดให้คนเดินผ่านได้ ท้องนาหลังเก็บเกี่ยวแล้ว คนอื่นอาจเอางัวควายมาเลี้ยงหรือต้อนผ่าน เด็กๆ ขุดหากบเขียดและแมงอีนูนได้ เป็นต้น
แม้ใครๆ ก็มีสิทธิ์ใช้พื้นที่สาธารณะได้ แต่ก็ไม่ได้ใช้อย่างอิสระเสรีตามใจตัวเอง เพราะทุกพื้นที่สาธารณะ (รวมพื้นที่สาธารณะที่เป็นนามธรรมด้วย) ล้วนมีกฎเกณฑ์กำกับอยู่ทั้งสิ้น ในสมัยโบราณผู้กำกับอาจเป็นผีซึ่งพอจะเจรจาต่อรองกันได้บ้างเป็นกรณีๆ ไป ( เช่น 'ขอษมาลาโทษ' ) แต่ในสมัยปัจจุบันเป็นกฎหมาย, ระเบียบข้อบังคับ, ประเพณี, การลงทัณฑ์ทางสังคมที่รุนแรง (เช่น รุมประณามผ่านสื่อ) อันเป็นผีที่มีอำนาจมากกว่าผีโบราณมาก เพราะหมายตัวไม่ได้ จึงไม่รู้ว่าจะไปประกอบพิธีขอขมากับใคร
กฎเกณฑ์เหล่านี้ใครตั้งขึ้น?
คำตอบก็คือ ทุกฝ่ายที่ร่วมใช้พื้นที่สาธารณะนั้น ซึ่งอาจออกมาในรูปของจารีตประเพณีในสมัยโบราณ เพราะวิถีชีวิตคนเปลี่ยนอย่างช้าๆ สิ่งที่ตกลงกันมาในอดีตก็ยังใช้ได้สืบมาอีกนาน แต่ในขณะเดียวกัน ผมอยากเตือนไว้ด้วยว่า กฎเกณฑ์เหล่านี้เกิดขึ้นจากการเจรจาต่อรองด้วย อาจไม่ใช่ในรูปที่มานั่งโต๊ะเจรจากัน แต่ความจำเป็นทำให้ต้องมีการฝ่าฝืนบ่อย ในที่สุดก็อาจปรับเปลี่ยนกฎโดยประนีประนอมความต้องการอย่างใหม่เข้ามาระดับหนึ่ง
ผมขอยกตัวอย่างบ่อน้ำซึ่งทุกคนในหมู่บ้านใช้อาบกิน มักมีกฎเกณฑ์กำกับเพื่อความสะอาด เช่น ห้ามลงไปในบ่อ หรือทิ้งสิ่งโสโครกลงบ่อ หากใครฝ่าฝืนก็มีโทษตามประเพณี เช่น ต้องล้างบ่อและเสียค่าปรับ เป็นต้น ถึงไม่ระบุไว้แน่ชัด แต่ทั้งบ่อน้ำและท่าสาธารณะ มักจะแยกเวลาอาบน้ำระหว่างหญิง-ชาย เช่น ผู้หญิงอาบก่อนตอนบ่ายแก่ๆ ผู้ชายอาบเอาเย็นๆ เป็นต้น เพื่อสะดวกในการขัดสีฉวีวรรณได้ทั่วถึงของทั้งสองเพศ ทั้งหญิงและชายอายที่จะไปอาบน้ำผิดเวลา เพราะส่อเจตนาที่ก่อให้เกิดการนินทาว่าร้ายได้
แต่พื้นที่สาธารณะเหล่านี้ก็หายไปเมื่อประเทศผ่านการพัฒนามากขึ้น วัดซึ่งเคยเป็นของชาวบ้าน ถูกองค์กรศาสนาซึ่งเป็นเครื่องมือของรัฐยึดเอาไป อำนาจของชาวบ้านที่จะเข้าไปตั้งกฎเกณฑ์การใช้ประโยชน์จากพื้นที่วัดค่อยๆ ลดลงจนไม่เหลืออยู่เลย ศาลปู่ตาและป่าถูกทำลายลง ในเขตเมืองบ่อน้ำสาธารณะถูกทิ้ง เพราะน้ำประปามาถึงบ้าน และต่างนิยมแก้ผ้าอาบน้ำในห้องน้ำส่วนตัวมากกว่า ฯลฯ
ความสัมพันธ์ในเชิงชุมชนลดความสำคัญลงเรื่อยๆ ในขณะที่ความสัมพันธ์เชิงสังคมมีความสำคัญมากขึ้น นับวันคนรู้สึกตัวว่าเป็นสมาชิกของสังคมไทยมากกว่าของชุมชนใกล้บ้าน พื้นที่สาธารณะซึ่งชุมชนเคยร่วมกันตั้งกฎเกณฑ์ จึงหายไปหรือหมดความสำคัญลง
พื้นที่สาธารณะใหม่เข้ามามีบทบาทแทน เช่น โรงเรียน (ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดและเสาธง), ศาลาประชาคมซึ่งเป็นสมบัติของรัฐ ภายใต้ความดูแลของกำนันหรือนายอำเภอ, ร้านกาแฟซึ่งเป็นของโก, รับรู้ข่าวสารจากหนังสือพิมพ์หรือทีวีวิทยุซึ่งเป็นของเสี่ยต่างๆ เช่นเดียวกับช็อปปิ้งในร้านโกดังหรือร้านสะดวกซื้อ, เดินไปตามถนนของเทศกิจ ฯลฯ
พื้นที่สาธารณะเหล่านี้ล้วนมีกฎเกณฑ์กำกับอยู่ทั้งสิ้น ไม่ต่างจากพื้นที่สาธารณะในหมู่บ้านโบราณ แต่เป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่ได้ร่วมกันตั้งขึ้นเอง อีกทั้งไม่เหลืออำนาจต่อรองกับกฎเกณฑ์ที่ตัวไม่ได้ตั้งขึ้นเอาเลย
ผู้ที่ตั้งกฎเกณฑ์พื้นที่สาธารณะในปัจจุบันก็คือรัฐและทุน ต่างมีอำนาจล้นเหลือในการบังคับใช้กฎเกณฑ์ที่ตนตั้งขึ้นไว้ในพื้นที่สาธารณะเหล่านี้
ดังที่ผมกล่าวเป็นนัยยะไว้ในตอนต้นแล้วว่า ชุมชนก็ตาม สังคมก็ตาม เกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีพื้นที่สาธารณะ ทั้งพื้นที่ในเชิงรูปธรรมและนามธรรม เพราะปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์นั้น ส่วนใหญ่ล้วนเกิดในพื้นที่สาธารณะ ถึงนั่งดูข่าวทีวีในบ้านตัวเอง แต่ที่จริง กำลังมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ในสังคมอยู่ ทีวีหรือสื่อจึงเป็นพื้นที่สาธารณะที่สำคัญอย่างยิ่งในสังคมสมัยใหม่ แต่ดังที่กล่าวแล้วว่าเป็นพื้นที่ซึ่งถูกรัฐและทุนควบคุมกำกับอย่างหนาแน่น ประชาชนเป็นเพียงผู้ดูที่มีบทบาท ได้แค่เพียงส่งเอสเอ็มเอสไร้สาระให้วิ่งใต้จอเท่านั้น
ที่ว่าคนไทยมองการเมืองเหมือนดูมวย ก็..ในชีวิตจริงเราเป็นได้แค่ผู้ดูเท่านั้นจริงๆ นี่ครับ ไหนๆ จะดูกันแล้ว ก็อยากให้มันต่อยกันให้ดูมากกว่า เพราะสนุกดี ตัวการเมืองเองก็เป็นพื้นที่สาธารณะ ซึ่งมีรัฐและทุนกำกับอย่างหนาแน่นไม่ต่างจากทีวี
แม้ว่ารัฐและทุนเข้ามากำกับควบคุมพื้นที่สาธารณะมานานแล้ว แต่เราก็อยู่กันมาได้โดยไม่เดือดร้อนนัก ที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุผลสองอย่างเป็นอย่างน้อย
อย่างแรกก็คือ พื้นที่สาธารณะแบบเก่าซึ่งเรามีส่วนในการกำหนดกฎเกณฑ์ยังพอเหลืออยู่บ้าง โดยเฉพาะในชนบท เช่น ตลาดไม่ใช่ที่ของพ่อค้าแม่ค้าไว้ขายของเพียงอย่างเดียว ชาวบ้านยังใช้ตลาดทำอะไรอื่นๆ ได้อีกมาก เช่น เรี่ยไรเงิน, พบปะเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารและนินทา, และทำกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการซื้อขายได้อีกมาก วัดก็ยังเป็นที่จัดงานรื่นเริงที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาโดยตรง และแม่งานก็ยังเป็นชาวบ้านมากกว่าผู้ที่สัมปทานการจัดงานไปจากวัด
อย่างที่สองก็คือ พื้นที่สาธารณะซึ่งเกิดใหม่ยังไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ เช่น ทีวีจะรายงานข่าวอะไรก็ไม่เกี่ยวกับชาวบ้าน ในขณะที่ชาวบ้านเองยังมีเวทีสำหรับการต่อรองอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทีวีอีกแยะ
แต่บัดนี้สังคมไทยได้เปลี่ยนไปแล้ว พื้นที่สาธารณะแบบเก่าที่ชาวบ้านมีส่วนในการวางกำหนดกฎเกณฑ์และกำกับได้ อันตรธานไปเกือบหมดแล้ว ชีวิตเปลี่ยนไป ผู้คนเข้ามาอยู่ในตลาดกลาง นับตั้งแต่ขายแรงงานไปจนถึงขายสินค้าบริการต่างๆ จำเป็นต้องมีพื้นที่สาธารณะที่ตัวสามารถใช้ประโยชน์ได้ ทั้งในทางสังคม, เศรษฐกิจ และการเมือง
ทำให้ต้องเข้ามาใช้พื้นที่สาธารณะในเงื่อนไขที่อาจจะขัดกับกฎเกณฑ์ซึ่งรัฐ และทุนวางเอาไว้ เช่น ระดมคนไปซื้อน้ำมันพืชเกินกำหนดที่ร้านวางเอาไว้ ก็เมื่อต้องใช้ในการขายอาหารจะให้ซื้อแค่สองขวดได้อย่างไร
การแหกกฎ, การดื้อแพ่ง, การหลบเลี่ยงกฎ, การประท้วงกฎ ฯลฯ ในพื้นที่สาธารณะจึงเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ไม่ใช่เพราะคนไทยหัวดื้อนะครับ แต่เพราะกฎเกณฑ์ที่กำกับการใช้พื้นที่สาธารณะล้วนเป็นกฎเกณฑ์ที่รัฐและทุน ตั้งขึ้นตามอำเภอใจ เพื่อประโยชน์เฉพาะตนเท่านั้น
สิ่งที่เราคาดหวังว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านของสังคมเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นการทบทวนกฎเกณฑ์การใช้พื้นที่สาธารณะ และการเปิดกว้างให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามากำหนดกฎเกณฑ์การใช้ร่วมกันให้มากขึ้น
แต่กลับเป็นตรงกันข้าม เรากลับเห็นความพยายามของรัฐและทุนที่จะกีดกันคนอื่นออกไปจากการกำหนดกฎเกณฑ์การใช้พื้นที่สาธารณะ ..กทม. จะยกคนเดินถนนขึ้นไปลอยฟ้า เพื่อทำให้ตลาดของหาบเร่แผงลอยเล็กลง และกิจกรรมทางเศรษฐกิจบนทางเท้าซึ่งอยู่นอกกฎเกณฑ์ไม่สามารถทำได้ ..กทม. ห้ามใช้สนามหลวงสำหรับการอื่นใด นอกจากฉลองพระชนมายุครบ 7 รอบ ทั้งๆ ที่สนามหลวงเคยเป็นพื้นที่สาธารณะที่มีคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่รัฐและทุนเข้ามาใช้จำนวนมาก
..สี่แยกราชประสงค์ถูกสมมติว่าเป็นพื้นที่สำหรับทุนโดยเฉพาะ แม้แต่การชุมนุมเพื่อเริ่มขบวนระลึกครบรอบ 1 ปี การล้อมปราบของรัฐก็ไม่ควรทำ
รัฐออกกฎหมายการชุมนุม เพื่อทำให้การใช้พื้นที่สาธารณะทางการเมืองเป็นอำนาจอนุมัติของรัฐ ไม่ใช่สิทธิพลเมือง
สื่อทุกชนิดโดยเฉพาะสื่อออนไลน์กำลังถูกแทรกแซงควบคุมอย่างหนัก เพราะนี่เป็นพื้นที่สาธารณะใหม่ที่รัฐและทุนยังเข้าไปยึดหมดไม่ได้ เช่นเดียวกับทีวีทั้งออนไลน์และดาวเทียม
กล่าวซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีพื้นที่สาธารณะก็ไม่มีสังคม สังคมไทยกำลังเปลี่ยนมาสู่จุดที่ต้องการพื้นที่สาธารณะ อีกอย่างหนึ่งคือพื้นที่สาธารณะที่ทุกฝ่ายเข้าไปร่วมกำหนดกฎเกณฑ์การใช้ร่วมกัน ถ้าพื้นที่อย่างนี้ไม่เกิด สังคมไทยก็จะพบความสมานฉันท์ได้ยาก
เพราะสมานฉันท์ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ แต่เป็นผลมาจากการประนีประนอม การประนีประนอมก็เกิดขึ้นได้จากการมีพื้นที่สาธารณะสำหรับการต่อรองอย่างเท่าเทียมกัน
.
พรรคของผม
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ในมติชน ออนไลน์ ฉบับวันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 20:30:00 น.
ถ้าผมมีพรรคการเมืองเป็นของตัวเองเหมือนคุณบรรหาร คุณสุวัจน์ คุณทักษิณ คุณเนวิน หรือคุณสนธิ ผมจะเสนอนโยบายบางอย่างแก่ผู้เลือกตั้ง และหวังว่าพรรคของผมจะได้รับเลือกตั้งจำนวนมาก ไม่ในครั้งนี้ก็ครั้งหน้า ผมขอเสนอเพียงบางนโยบายที่ตรงกับการหาเสียงของพรรคการเมืองเวลานี้
1.พรรคของผมจะไม่ลดหย่อนดอกเบี้ยให้แก่การผ่อนรถคันแรก แต่กลับมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ในชีวิตประจำวัน โดยทำให้การขนส่งสาธารณะมีความสะดวกปลอดภัยมากขึ้น และเพื่อจะทำอย่างนั้นได้ ไม่ใช่การทุ่มเงินลงไปสร้างรถไฟเพียงอย่างเดียว แต่ต้องขจัดรถส่วนบุคคลออกไปจากท้องถนนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วย ฉะนั้นในระยะยาวแล้ว พรรคของผมจะทำให้การใช้รถยนต์มีต้นทุนสูงขึ้นตลอด นับตั้งแต่ที่จอดรถซึ่งหาได้ยากขึ้น ห้ามนำรถขึ้นจอดบนทางเท้าอย่างเด็ดขาด เปิดพื้นที่ถนนแก่รถสาธารณะเป็นพิเศษ ฉะนั้นรถส่วนบุคคลจะเดินทางได้ช้าลงกว่ารถสาธารณะอย่างเทียบกันไม่ได้
2.พรรคของผมจะไม่ลดหย่อนดอกเบี้ยให้แก่การซื้อบ้านหลังแรกเหมือนกัน เพราะต้นทุนของบ้านและที่อยู่อาศัยซึ่งแพงมากขึ้นทุกขณะนั้น เกิดจากการปล่อยให้ที่ดินกลายเป็นสินค้าเก็งกำไร ที่ดินกลายเป็นต้นทุนของบ้านมากกว่าตัวเรือนหลายเท่าตัว หากมีการปฏิรูปที่ดินอย่างจริงจัง ราคาที่ดินก็จะลดลงเพราะถูกคายออกมาสู่ตลาดมากขึ้น ราคาของบ้านก็จะลดลงตามไปด้วย พรรคของผมจะสนับสนุนการศึกษาวิจัยที่จะทำให้การก่อสร้างที่อยู่อาศัยราคาต่ำลง เช่น การใช้วัสดุที่เอามาเชื่อมต่อกันได้ง่าย (pre-fabricated) ลดค่าใช้แรง และลดราคาของวัสดุลงไปพร้อมกัน
เรื่องนี้ไม่ต้องกินเวลานานนัก เพียงแค่ประกาศอัตราภาษีทรัพย์สิน (รวมที่ดิน) ในอัตราก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ต่อที่ดินที่มีปริมาณเกินกว่ากำหนด ภายในปีเดียว ก็จะมีผู้คายที่ดินออกมาจำนวนมากจนทำให้ราคาที่ดินลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว
3.หากพรรคของผมจะรับประกันหรือรับจำนำพืชผลการเกษตร ก็จะเป็นมาตรการระยะสั้นเท่านั้น เราไม่มีกำลังพอจะยกพืชผลการเกษตรของไทยให้พ้นไปจากกลไกราคาของตลาดโลกได้
ปัญหาหลักของเกษตรกรรมไทยไม่ได้อยู่ที่ราคาพืชผลซึ่งอาจตกต่ำในบางปี แต่อยู่ที่สองเงื่อนไข คือต้นทุนการผลิตที่สูงเกินไป และการที่เกษตรกรเข้าไม่ถึงตลาดที่เสรีและเป็นธรรมต่างหาก
นอกจากการปฏิรูปที่ดินจะช่วยลดต้นทุนการผลิตไปได้อย่างมากแล้ว ยังต้องทำลายการผูกขาดปัจจัยการผลิตในรูปต่างๆ เช่น ปุ๋ย อาหารสัตว์ หรือพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ เป็นต้น ในส่วนการเข้าไม่ถึงตลาดที่เสรีและเป็นธรรม ความขาดแคลนทุนทรัพย์ของเกษตรกร ทำให้ไม่มีอำนาจต่อรอง เป็นเพียงปัจจัยเดียว แต่ปัจจัยนี้ก็สามาถแก้ได้อีกหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้เกษตรกรตกเป็นเหยื่อ สำหรับการขูดรีดของทุนแต่เพียงอย่างเดียว เช่น ส่งเสริมการรวมกลุ่ม สนับสนุนแหล่งเงินกู้ไม่ใช่เพื่อการผลิตเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในตลาด เช่น เพียงมีเงินดำรงชีพได้อีก 3 เดือน ก็จะสามารถต่อรองราคาได้อีกเป็นเท่าตัว เงินกู้ระยะสั้นเช่นนั้นอาจไม่คิดดอกหรือคิดในอัตราต่ำมากๆ ก็ได้
ที่สำคัญกว่านั้นคือการผูกขาดตลาดส่งออกพืชผลการเกษตร ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่เจ้า จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางกว่าท้องถิ่นให้ได้ ซึ่งอาจทำได้หลายวิธี เช่น ตลาดกลางข้าว (ท่าข้าว) เปิดโอกาสการต่อรองแก่เกษตรกรได้มากกว่าการจำนำข้าวผ่านโรงสี เพราะโรงสีต้องแข่งราคากันเอง หรือการทำสัญญาการผลิตระหว่างผู้บริโภคในต่างประเทศกับผู้ผลิตในประเทศไทย (ซึ่งทำกับผลผลิตบางอย่างในประเทศไทยมานานแล้ว)
โดยสรุปก็คือ เป้าหมายระยะยาวของพรรคคือ ปฏิรูปเงื่อนไขการผลิตและตลาดด้านเกษตรกรรม ไม่ใช่เอาเงินภาษีมาเปิดให้นักการเมืองโกงกินในนามของการประกันราคาหรือจำนำ ซึ่งไม่บังเกิดผลจีรังยั่งยืนอะไร หากดำเนินมาตรการเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ก็จะเริ่มเห็นผลบางส่วนในเวลาเพียงปีสองปีเท่านั้น
4.เช่นเดียวกับราคาของพืชผลการเกษตร พรรคของผมจะค่อยๆ เลิกการควบคุมราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค กระทรวงพานิชย์ไม่ได้มีหน้าที่ควบคุมราคาสินค้า แต่มีหน้าที่กำกับดูแลให้การค้าดำเนินไปอย่างเสรีและเป็นธรรมต่างหาก ฉะนั้นพรรคของผมจะถือว่า การทำลายอำนาจเหนือตลาดเป็นเป้าหมายหลักในการทำให้สินค้ามีราคาเป็นธรรม ยกตัวอย่างเช่น ราคาของไก่และหมูไม่ได้ขึ้นลง เพราะความโลภของผู้เลี้ยงไก่และหมู แต่ขึ้นลงตามความโลภของทุนผูกขาด ซึ่งผูกขาดนับตั้งแต่ลูกไก่และลูกหมู ไปถึงอาหารสัตว์ ตลาดส่งออกไข่และเนื้อสัตว์ จนแม้แต่ร้านค้าที่วางจำหน่าย อำนาจเหนือตลาดเช่นนี้แหละที่รัฐบาลของพรรคผมจะต้องบั่นรอนให้ได้
5.พรรคของผมจะให้สัญญาว่า ตัวแทนฝ่ายรัฐในคณะกรรมการไตรภาคีจะร่วมกับตัวแทนฝ่ายแรงงาน เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำอย่างแน่นอน แต่การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำไม่ใช่จุดมุ่งหมายในตัวเอง เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการปฏิรูประบบแรงงานทั้งระบบ
จุดมุ่งหมายหลักคือการพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งในเวลานี้ทำได้ยาก เนื่องจากส่วนใหญ่ของแรงงานต้องทำงานนอกเวลาเพื่อให้พอกิน จึงไม่มีเวลาเหลือสำหรับการศึกษาในรูปแบบที่เหมาะสมใดๆ ทั้งสิ้น ที่ต้องเพิ่มค่าแรงเป็นเบื้องต้นก็เพื่อปลดปล่อยแรงงานให้มีเวลาเพียงพอสำหรับการพัฒนาตนเอง
แต่ระบบค่าตอบแทนต้องแยกจากกันระหว่างรายได้สำหรับดำรงชีพขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพพอสมควร กับค่าตอบแทนประสบการณ์และความชำนาญเฉพาะด้าน
รัฐบาลของพรรคผมจะตั้งสถาบันอิสระ ที่มีหน้าที่และความชำนาญในการประเมินฝีมือแรงงาน (โดยการปฏิบัติจริง ไม่ใช่จากประกาศนียบัตร) และออกหนังสือรับรองมาตรฐานขั้นต่างๆ ให้แก่ผู้ผ่านการประเมิน ส่วนนี้ควรได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นต่างหากออกไปจากค่าตอบแทนพื้นฐาน
ในขณะเดียวกันกรมการศึกษานอกโรงเรียนและเอกชน จะได้รับการอุดหนุนให้สร้างกระบวนการเรียนรู้ชนิดต่างๆ ในแหล่งโรงงาน พร้อมกันไปนั้นโรงงานที่พร้อมลงทุนพัฒนามาตรฐานการผลิตก็จะได้รับการสนับสนุน อาจเป็นด้านภาษี หรือการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือการเปิดตลาดใหม่สำหรับสินค้าคุณภาพเป็นต้น
ในขณะเดียวกันกับที่เพิ่มค่าตอบแทนของแรงงาน ก็ควรลดรายจ่ายของแรงงานไปพร้อมกัน เช่น มีที่พักราคาประหยัดในแหล่งอุตสาหกรรมจำนวนมาก มีสถานรับเลี้ยงเด็กอ่อนในบริเวณใกล้โรงงาน มีสหกรณ์ผู้บริโภคซึ่งอาจมีสัญญากับผู้ผลิตโดยตรง และแน่นอนต้องมีโรงเรียนสำหรับลูกของคนงานในทุกระดับ อันจะทำหน้าที่เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับตัวคนงานเองด้วย
6.พรรคของผมจะไม่ให้สัญญาเรื่องเรียนฟรี เพราะไม่จำเป็น เนื่องจากสิทธินี้ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว แต่กระทรวงศึกษาในรัฐบาลของพรรคผมจะกวดขันให้ฟรีจริงๆ ไม่มีการเก็บเงินแฝงทุกชนิด (เพราะถ้าปล่อยให้ทำอย่างนี้ต่อไป อาจต้องเก็บเงินค่าชอล์กจนได้)
พรรคผมจะดึงกระทรวงศึกษามาทำงานด้านอื่นที่กระทรวงน่าจะถนัดกว่าการบริหารจัดการโรงเรียน เช่น การช่วยอำนวยความสะดวกให้โรงเรียนพัฒนาคุณภาพการศึกษา โรงเรียนควรบริหารจัดการโดยองค์กรปกครองท้องถิ่น (ซึ่งจะได้งบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก) หรือเอกชน กระทรวงศึกษาเป็นเพียงผู้ควบคุมมาตรฐานที่มีลักษณะยืดหยุ่นสูง
พรรคผมสนับสนุนทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบ แต่ทั้งสองอย่างนี้ต้องสามารถเชื่อมโยงกันได้โดยสะดวก ผู้คนสามารถไต่เต้าด้านการศึกษาไปได้โดยไม่ต้องเข้าโรงเรียน หรือเข้าๆ ออกๆ ตามแต่เงื่อนไขในชีวิต โดยวิธีนี้เท่านั้นที่ครอบครัว โรงงาน ไร่นา สถานที่ทำงาน หรือแม้แต่บุคคล ฯลฯ จะเข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษาได้จริง
เป้าหมายคือขยายการศึกษา (ซึ่งจัดขึ้นโดยหน่วยนานาชนิดในสังคม) และพัฒนาคุณภาพของการศึกษา ไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณด้านการศึกษามากกว่านี้ไปอีกหลายปี เพราะความจริงแล้ว ไทยใช้เงินเพื่อการศึกษาต่อหัวเด็กสูงมาก (กว่าประเทศอื่นที่มีฐานะเศรษฐกิจระดับเดียวกัน) แต่การศึกษาไทยกลับมีคุณภาพต่ำกว่าประเทศที่ลงทุนน้อยกว่า
7.พรรคของผมจะไม่สัญญาเพียงแต่เพิ่มส่วนแบ่งงบประมาณให้ท้องถิ่นเท่านั้น แต่จะปฏิรูปโครงสร้างอำนาจเพื่อให้ท้องถิ่นสามารถปกครองตนเองได้จริง เรารวมศูนย์การปกครองไว้ที่ส่วนกลางมานานและมากเกินไป ดังนั้นการบริหารจัดการในท้องถิ่นจึงไม่ตอบสนองประชาชน จำเป็นต้องกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นในทุกระดับ อำนาจสำคัญคือ อำนาจในการบริหารจัดการและตัดสินใจเกี่ยวกับทรัพยากรในท้องถิ่น และการพัฒนาของท้องถิ่น
ดังนั้นส่วนแบ่งของงบประมาณที่น่าจะเป็นสิทธิของท้องถิ่นจึงมีสูงมากกว่า 25-35% อย่างที่สัญญากัน
แต่ในขณะเดียวกันต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างของการบริหารท้องถิ่น ให้ประชาชนมีอำนาจเข้ามาตรวจสอบ กำกับ และควบคุมได้โดยตรง ในขณะที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางยังมีอำนาจในการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของ อปท.ตามเดิม
เอาแค่ 7 เรื่องนี้ก็น่าจะพอแล้วเพื่อใช้ในการหาเสียง (ทั้งๆ ที่มีเรื่องที่น่าจะต้องปรับเปลี่ยนมากกว่านี้อีกแยะ) ถามว่าพรรคของผมจะได้รับเลือกตั้งพอจัดตั้งรัฐบาลเองได้หรือไม่
คำตอบคือไม่หรอกครับ ในการเลือกตั้งครั้งนี้
แต่หากพรรคของผมสามารถผลักดันประเด็นเหล่านี้ต่อไปในอีก 4 ปีข้างหน้า อย่างต่อเนื่องและอย่างแข็งขัน ผมมั่นใจว่าจะได้จัดตั้งรัฐบาลอย่างแน่นอน เพราะสังคมไทยในปัจจุบันกำลังต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่อาจหาคำตอบได้จากพรรคการเมือง แค่นี้ก็ยังไม่เป็นไร หากสังคมเข้มแข็งและมองแนวทางการเปลี่ยนแปลงได้ชัด ก็อาจร่วมกันกดดันและกำกับให้พรรคการเมืองปรับเปลี่ยนบ้านเมืองไปได้
ปัญหามาอยู่ที่ว่า สังคมก็ไม่พร้อมเท่าๆ กับพรรคการเมือง ฉะนั้น แทนที่จะตั้งพรรคการเมือง ผมคิดว่าเรามาช่วยกันผลักดันสังคมไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่มีผลดีอย่างยั่งยืนดีกว่า
++
พื้นที่สาธารณะ
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1608 หน้า 30
แม้ใครๆ ก็อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่เอาเข้าจริง เราทุกคนต่างใช้ชีวิตกว่าครึ่งอยู่นอกบ้าน และเกือบครึ่งของชีวิตนอกบ้านนั้นใช้อยู่ในพื้นที่สาธารณะ
นี่ว่าเฉพาะพื้นที่ทางกายภาพนะครับ หากรวมพื้นที่อันเป็นนามธรรมเข้าไปด้วย เกือบทั้งชีวิตเราล้วนอยู่ในพื้นที่สาธารณะเป็นส่วนใหญ่
เรยา ทำให้เราร่วมกันวิพากษ์ถกเถียงถึงความดี-ความชั่ว มาตรฐานกุลสตรีไทย, ความเปลี่ยนแปลง ฯลฯ เราร่วมกันระทึกว่าประชาธิปัตย์จะกลับมาหรือไม่ แม้ระทึกกันไปคนละทางก็ตาม เราร่วมกันไขว่คว้าหาและแสดงตัวตนของเราด้วยการส่งเอสเอ็มเอสไปบอกทีวีว่า บ้านเราอากาศดี
ปราศจากพื้นที่เชิงนามธรรมเหล่านี้ อย่าว่าแต่ชาติไทยเลย สังคมไทยก็ไม่มี
แต่ในที่นี้ผมขอพูดถึงพื้นที่ทางกายภาพเป็นหลัก เพราะเห็นได้ชัดดี
ในหมู่บ้านสมัยโบราณสืบมาจนไม่นานมานี้เอง มีพื้นที่สาธารณะอยู่ทั่วไป วัด, บ่อน้ำ, ป่าใกล้บ้าน, ศาลปู่ตา, โรงเรียน (สมัยเริ่มแรกมี), ท้องนาหลังเก็บเกี่ยว, ฯลฯ
ว่ากันที่จริงแล้ว พื้นที่สาธารณะกับพื้นที่ส่วนตัวในหมู่บ้านสมัยโบราณคาบเกี่ยวกันอย่างมาก เช่น ใต้ถุนเรือนมักเปิดให้คนเดินผ่านได้ ท้องนาหลังเก็บเกี่ยวแล้ว คนอื่นอาจเอางัวควายมาเลี้ยงหรือต้อนผ่าน เด็กๆ ขุดหากบเขียดและแมงอีนูนได้ เป็นต้น
แม้ใครๆ ก็มีสิทธิ์ใช้พื้นที่สาธารณะได้ แต่ก็ไม่ได้ใช้อย่างอิสระเสรีตามใจตัวเอง เพราะทุกพื้นที่สาธารณะ (รวมพื้นที่สาธารณะที่เป็นนามธรรมด้วย) ล้วนมีกฎเกณฑ์กำกับอยู่ทั้งสิ้น ในสมัยโบราณผู้กำกับอาจเป็นผีซึ่งพอจะเจรจาต่อรองกันได้บ้างเป็นกรณีๆ ไป ( เช่น 'ขอษมาลาโทษ' ) แต่ในสมัยปัจจุบันเป็นกฎหมาย, ระเบียบข้อบังคับ, ประเพณี, การลงทัณฑ์ทางสังคมที่รุนแรง (เช่น รุมประณามผ่านสื่อ) อันเป็นผีที่มีอำนาจมากกว่าผีโบราณมาก เพราะหมายตัวไม่ได้ จึงไม่รู้ว่าจะไปประกอบพิธีขอขมากับใคร
กฎเกณฑ์เหล่านี้ใครตั้งขึ้น?
คำตอบก็คือ ทุกฝ่ายที่ร่วมใช้พื้นที่สาธารณะนั้น ซึ่งอาจออกมาในรูปของจารีตประเพณีในสมัยโบราณ เพราะวิถีชีวิตคนเปลี่ยนอย่างช้าๆ สิ่งที่ตกลงกันมาในอดีตก็ยังใช้ได้สืบมาอีกนาน แต่ในขณะเดียวกัน ผมอยากเตือนไว้ด้วยว่า กฎเกณฑ์เหล่านี้เกิดขึ้นจากการเจรจาต่อรองด้วย อาจไม่ใช่ในรูปที่มานั่งโต๊ะเจรจากัน แต่ความจำเป็นทำให้ต้องมีการฝ่าฝืนบ่อย ในที่สุดก็อาจปรับเปลี่ยนกฎโดยประนีประนอมความต้องการอย่างใหม่เข้ามาระดับหนึ่ง
ผมขอยกตัวอย่างบ่อน้ำซึ่งทุกคนในหมู่บ้านใช้อาบกิน มักมีกฎเกณฑ์กำกับเพื่อความสะอาด เช่น ห้ามลงไปในบ่อ หรือทิ้งสิ่งโสโครกลงบ่อ หากใครฝ่าฝืนก็มีโทษตามประเพณี เช่น ต้องล้างบ่อและเสียค่าปรับ เป็นต้น ถึงไม่ระบุไว้แน่ชัด แต่ทั้งบ่อน้ำและท่าสาธารณะ มักจะแยกเวลาอาบน้ำระหว่างหญิง-ชาย เช่น ผู้หญิงอาบก่อนตอนบ่ายแก่ๆ ผู้ชายอาบเอาเย็นๆ เป็นต้น เพื่อสะดวกในการขัดสีฉวีวรรณได้ทั่วถึงของทั้งสองเพศ ทั้งหญิงและชายอายที่จะไปอาบน้ำผิดเวลา เพราะส่อเจตนาที่ก่อให้เกิดการนินทาว่าร้ายได้
แต่พื้นที่สาธารณะเหล่านี้ก็หายไปเมื่อประเทศผ่านการพัฒนามากขึ้น วัดซึ่งเคยเป็นของชาวบ้าน ถูกองค์กรศาสนาซึ่งเป็นเครื่องมือของรัฐยึดเอาไป อำนาจของชาวบ้านที่จะเข้าไปตั้งกฎเกณฑ์การใช้ประโยชน์จากพื้นที่วัดค่อยๆ ลดลงจนไม่เหลืออยู่เลย ศาลปู่ตาและป่าถูกทำลายลง ในเขตเมืองบ่อน้ำสาธารณะถูกทิ้ง เพราะน้ำประปามาถึงบ้าน และต่างนิยมแก้ผ้าอาบน้ำในห้องน้ำส่วนตัวมากกว่า ฯลฯ
ความสัมพันธ์ในเชิงชุมชนลดความสำคัญลงเรื่อยๆ ในขณะที่ความสัมพันธ์เชิงสังคมมีความสำคัญมากขึ้น นับวันคนรู้สึกตัวว่าเป็นสมาชิกของสังคมไทยมากกว่าของชุมชนใกล้บ้าน พื้นที่สาธารณะซึ่งชุมชนเคยร่วมกันตั้งกฎเกณฑ์ จึงหายไปหรือหมดความสำคัญลง
พื้นที่สาธารณะใหม่เข้ามามีบทบาทแทน เช่น โรงเรียน (ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดและเสาธง), ศาลาประชาคมซึ่งเป็นสมบัติของรัฐ ภายใต้ความดูแลของกำนันหรือนายอำเภอ, ร้านกาแฟซึ่งเป็นของโก, รับรู้ข่าวสารจากหนังสือพิมพ์หรือทีวีวิทยุซึ่งเป็นของเสี่ยต่างๆ เช่นเดียวกับช็อปปิ้งในร้านโกดังหรือร้านสะดวกซื้อ, เดินไปตามถนนของเทศกิจ ฯลฯ
พื้นที่สาธารณะเหล่านี้ล้วนมีกฎเกณฑ์กำกับอยู่ทั้งสิ้น ไม่ต่างจากพื้นที่สาธารณะในหมู่บ้านโบราณ แต่เป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่ได้ร่วมกันตั้งขึ้นเอง อีกทั้งไม่เหลืออำนาจต่อรองกับกฎเกณฑ์ที่ตัวไม่ได้ตั้งขึ้นเอาเลย
ผู้ที่ตั้งกฎเกณฑ์พื้นที่สาธารณะในปัจจุบันก็คือรัฐและทุน ต่างมีอำนาจล้นเหลือในการบังคับใช้กฎเกณฑ์ที่ตนตั้งขึ้นไว้ในพื้นที่สาธารณะเหล่านี้
ดังที่ผมกล่าวเป็นนัยยะไว้ในตอนต้นแล้วว่า ชุมชนก็ตาม สังคมก็ตาม เกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีพื้นที่สาธารณะ ทั้งพื้นที่ในเชิงรูปธรรมและนามธรรม เพราะปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์นั้น ส่วนใหญ่ล้วนเกิดในพื้นที่สาธารณะ ถึงนั่งดูข่าวทีวีในบ้านตัวเอง แต่ที่จริง กำลังมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ในสังคมอยู่ ทีวีหรือสื่อจึงเป็นพื้นที่สาธารณะที่สำคัญอย่างยิ่งในสังคมสมัยใหม่ แต่ดังที่กล่าวแล้วว่าเป็นพื้นที่ซึ่งถูกรัฐและทุนควบคุมกำกับอย่างหนาแน่น ประชาชนเป็นเพียงผู้ดูที่มีบทบาท ได้แค่เพียงส่งเอสเอ็มเอสไร้สาระให้วิ่งใต้จอเท่านั้น
ที่ว่าคนไทยมองการเมืองเหมือนดูมวย ก็..ในชีวิตจริงเราเป็นได้แค่ผู้ดูเท่านั้นจริงๆ นี่ครับ ไหนๆ จะดูกันแล้ว ก็อยากให้มันต่อยกันให้ดูมากกว่า เพราะสนุกดี ตัวการเมืองเองก็เป็นพื้นที่สาธารณะ ซึ่งมีรัฐและทุนกำกับอย่างหนาแน่นไม่ต่างจากทีวี
แม้ว่ารัฐและทุนเข้ามากำกับควบคุมพื้นที่สาธารณะมานานแล้ว แต่เราก็อยู่กันมาได้โดยไม่เดือดร้อนนัก ที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุผลสองอย่างเป็นอย่างน้อย
อย่างแรกก็คือ พื้นที่สาธารณะแบบเก่าซึ่งเรามีส่วนในการกำหนดกฎเกณฑ์ยังพอเหลืออยู่บ้าง โดยเฉพาะในชนบท เช่น ตลาดไม่ใช่ที่ของพ่อค้าแม่ค้าไว้ขายของเพียงอย่างเดียว ชาวบ้านยังใช้ตลาดทำอะไรอื่นๆ ได้อีกมาก เช่น เรี่ยไรเงิน, พบปะเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารและนินทา, และทำกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการซื้อขายได้อีกมาก วัดก็ยังเป็นที่จัดงานรื่นเริงที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาโดยตรง และแม่งานก็ยังเป็นชาวบ้านมากกว่าผู้ที่สัมปทานการจัดงานไปจากวัด
อย่างที่สองก็คือ พื้นที่สาธารณะซึ่งเกิดใหม่ยังไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ เช่น ทีวีจะรายงานข่าวอะไรก็ไม่เกี่ยวกับชาวบ้าน ในขณะที่ชาวบ้านเองยังมีเวทีสำหรับการต่อรองอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทีวีอีกแยะ
แต่บัดนี้สังคมไทยได้เปลี่ยนไปแล้ว พื้นที่สาธารณะแบบเก่าที่ชาวบ้านมีส่วนในการวางกำหนดกฎเกณฑ์และกำกับได้ อันตรธานไปเกือบหมดแล้ว ชีวิตเปลี่ยนไป ผู้คนเข้ามาอยู่ในตลาดกลาง นับตั้งแต่ขายแรงงานไปจนถึงขายสินค้าบริการต่างๆ จำเป็นต้องมีพื้นที่สาธารณะที่ตัวสามารถใช้ประโยชน์ได้ ทั้งในทางสังคม, เศรษฐกิจ และการเมือง
ทำให้ต้องเข้ามาใช้พื้นที่สาธารณะในเงื่อนไขที่อาจจะขัดกับกฎเกณฑ์ซึ่งรัฐ และทุนวางเอาไว้ เช่น ระดมคนไปซื้อน้ำมันพืชเกินกำหนดที่ร้านวางเอาไว้ ก็เมื่อต้องใช้ในการขายอาหารจะให้ซื้อแค่สองขวดได้อย่างไร
การแหกกฎ, การดื้อแพ่ง, การหลบเลี่ยงกฎ, การประท้วงกฎ ฯลฯ ในพื้นที่สาธารณะจึงเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ไม่ใช่เพราะคนไทยหัวดื้อนะครับ แต่เพราะกฎเกณฑ์ที่กำกับการใช้พื้นที่สาธารณะล้วนเป็นกฎเกณฑ์ที่รัฐและทุน ตั้งขึ้นตามอำเภอใจ เพื่อประโยชน์เฉพาะตนเท่านั้น
สิ่งที่เราคาดหวังว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านของสังคมเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นการทบทวนกฎเกณฑ์การใช้พื้นที่สาธารณะ และการเปิดกว้างให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามากำหนดกฎเกณฑ์การใช้ร่วมกันให้มากขึ้น
แต่กลับเป็นตรงกันข้าม เรากลับเห็นความพยายามของรัฐและทุนที่จะกีดกันคนอื่นออกไปจากการกำหนดกฎเกณฑ์การใช้พื้นที่สาธารณะ ..กทม. จะยกคนเดินถนนขึ้นไปลอยฟ้า เพื่อทำให้ตลาดของหาบเร่แผงลอยเล็กลง และกิจกรรมทางเศรษฐกิจบนทางเท้าซึ่งอยู่นอกกฎเกณฑ์ไม่สามารถทำได้ ..กทม. ห้ามใช้สนามหลวงสำหรับการอื่นใด นอกจากฉลองพระชนมายุครบ 7 รอบ ทั้งๆ ที่สนามหลวงเคยเป็นพื้นที่สาธารณะที่มีคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่รัฐและทุนเข้ามาใช้จำนวนมาก
..สี่แยกราชประสงค์ถูกสมมติว่าเป็นพื้นที่สำหรับทุนโดยเฉพาะ แม้แต่การชุมนุมเพื่อเริ่มขบวนระลึกครบรอบ 1 ปี การล้อมปราบของรัฐก็ไม่ควรทำ
รัฐออกกฎหมายการชุมนุม เพื่อทำให้การใช้พื้นที่สาธารณะทางการเมืองเป็นอำนาจอนุมัติของรัฐ ไม่ใช่สิทธิพลเมือง
สื่อทุกชนิดโดยเฉพาะสื่อออนไลน์กำลังถูกแทรกแซงควบคุมอย่างหนัก เพราะนี่เป็นพื้นที่สาธารณะใหม่ที่รัฐและทุนยังเข้าไปยึดหมดไม่ได้ เช่นเดียวกับทีวีทั้งออนไลน์และดาวเทียม
กล่าวซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีพื้นที่สาธารณะก็ไม่มีสังคม สังคมไทยกำลังเปลี่ยนมาสู่จุดที่ต้องการพื้นที่สาธารณะ อีกอย่างหนึ่งคือพื้นที่สาธารณะที่ทุกฝ่ายเข้าไปร่วมกำหนดกฎเกณฑ์การใช้ร่วมกัน ถ้าพื้นที่อย่างนี้ไม่เกิด สังคมไทยก็จะพบความสมานฉันท์ได้ยาก
เพราะสมานฉันท์ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ แต่เป็นผลมาจากการประนีประนอม การประนีประนอมก็เกิดขึ้นได้จากการมีพื้นที่สาธารณะสำหรับการต่อรองอย่างเท่าเทียมกัน
.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)