http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2556-01-05

เวทนา โดย คำ ผกา

.

เวทนา
โดย คำ ผกา http://th-th.facebook.com/kidlenhentang
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 04 มกราคม พ.ศ. 2556 ปีที่ 33 ฉบับที่ 1690 หน้า 89


บังเอิญไปได้ยินบทสนทนาของเด็กวัยหกขวบสองคนแถวสันคะยอม (เรื่องจริง)
เด็กชายบอกเด็กหญิงว่า 
"เธอบอกให้ยายเธอเลิกขายเหล้าสิ พ่อเราจะได้เลิกกินเหล้า" 
เด็กหญิงใช้เวลาคิดประมาณสามสิบวินาทีก่อนจะตอบว่า
"ไม่ได้หรอก ถ้ายายเราเลิกขายเหล้า ยายจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงเรา"


ฉันขอทิ้งบทสนทนาของเด็กหกขวบไว้ให้คิดต่อว่าเราจะไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางวิธีคิดของเด็กสองคนนี้อย่างไร เพราะต่างก็มีผลประโยชน์เป็นของตนเองทั้งคู่


ใครๆ ก็บอกว่าเหล้านั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี-เอ๊ะ ว่าแต่ว่า ใครๆ นี่เป็นใครๆ จริงๆ หรือ? เพราะในบางสังคม "เหล้า" ไม่ได้เท่ากับความชั่วโดยอัตโนมัติ จากรากศัพท์ของสุราก็แปลว่าเทวดา เพราะกำเนิดของเหล้านั้นมาจากการกวนน้ำอมฤตของเหล่าเทวา แต่ทีนี้ เทวาทั้งหลายดื่มเหล้าไปมากๆ แล้วเที่ยวไปฉุดคร่านางฟ้านางสวรรค์มาปู้ยี่ปู้ยำจนทะเลาะเบาะแว้งทำสงคราม กลายเป็นมหากาพย์ให้นักเรียนที่ไม่ชอบวรรณคดีอย่างเราเรียนบ้างลืมบ้างนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง

พุทธศาสนาบางนิกายมิได้ห้ามนักบวชมิให้ดื่มสุรา นอกจากนั้น ศาสตร์การหมักสุรายังเป็นวิชาของเหล่านักบวชที่เชี่ยวชาญและได้สั่งสมภูมิปัญญาในด้านนี้มาหลายร้อยปีก็มีใช่น้อย
ฉันเคยได้ไปกินอาหารของวัดเซนในญี่ปุ่นมีเมนูมะเขือเทศต้มไวน์ขาว อร่อยสะอาดสะอ้าน พระท่านทำไวน์เอง

ส่วนใครจะเถียงว่า แหงละสิ ลำพังเหล้าด้วยตัวของมันเองไม่เป็นไร แต่คนกินเหล้า กินแล้วควบคุมตนเองไม่ได้ กินจนเมา กินจนเป็นบ้า กินจนเสียสติ กินจนตับแข็ง กินจนเสพติด แล้วยังมาส่งเสริมให้คนกินเหล้าได้อย่างไร? 
ฉันก็ขอเถียงอีกว่า ไม่ว่าคุณจะกินอะไรในโลกนี้ กินมากเกินไปมันก็ไม่ดีทั้งนั้น น้ำตาลกินมากไปก็ไม่ดี ไขมันกินมากก็ไม่ดี ข้าวกินมากเกินไปก็ไม่ดี แม้แต่วิตามิน อาหารเสริม น้ำอัดลม นมวัว ชีส
อะไรอีกล่ะ พูดมาสิ กินไปเยอะๆ มันก็ตาย เสียสติกันไปได้ทั้งนั้น



ที่เขียนมาทั้งหมด ไม่ได้จะบอกว่า เหล่าเราชาวโลกมาร่ำสุราจนเป็นแอลกอฮอลิกกันให้ตายไปข้างหนึ่ง 

แต่กำลังจะชี้ให้เห็นว่า การอยู่กับ "สุรา" ของสังคมไทยนั้นมีลักษณะพิเศษที่แสดงให้เห็นถึงการทำงานทางอุดมการณ์ในสังคมไทยที่สร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมไทยอย่างที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ คือสังคมมือถือสากปากถือศีล  
สังคมเกลียดปลาไหล กินน้ำแกง สังคมสองมาตรฐาน


และสุดท้ายสังคมที่ตั้งหน้าตั้งตา "สัก" บาดแผล ให้กับ "คนจน"-เพื่ออะไร? ก็เพื่อพยุงรักษาอำนาจของ "ผู้รู้ดี" ของบรรดาชนชั้นนำ ชนชั้นกลางที่โหนกระแสชนชั้นนำ เพื่อกดให้คนจนกลายเป็นผู้อยู่ใน "การอนุบาล" ของเหล่าบรรดา พี่เลี้ยงที่อ้างความปราถนาดีในทุกการกระทำของพวกเขา 
ท้ายที่สุดก็เพื่อจะบอกว่า "เหล่าคนจนนั้นคือพวกไร้เดียงสาต้องการผู้ชี้นำ ต้องการผู้ดูแลสอนสั่งให้อยู่กับร่องกับรอย คือพวกที่ไม่รู้ว่าอะไรควรกิน อะไรไม่ควรกิน อะไรควรกินที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ"


ก็ขนาดเรื่องกินเรื่องอยู่ยังดูแลตัวเองไม่ได้ นับประสาอะไรจะให้มาปกครองตนเอง ออกเสียงเลือกตั้ง-โฮะๆๆๆๆ-ทีนี้รู้หรือยังว่าทำไมประชาธิปไตยประเทศนี้ยังต้องมีพี่เลี้ยง ก็ประชาชนมันยังโง่อยู่ยังไงเล่า!!!

ลองมาอ่านวิธีคิดของเครือข่ายองค์กรงดเหล้าดู



"คนจนรายได้น้อย หากได้ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท (ตามนโยบายรัฐบาลนี้) ไปซื้อน้ำเมา สัก 100-200 บาท คงไม่เพียงพอ และหากไปเกิดเรื่องราวจากการเมาขาดสติ เช่น เกิดอุบัติเหตุ (คนจนมักใช้มอเตอร์ไซค์ โอกาสเกิดอุบัติเหตุง่ายกว่า และโดยสถิติอุบัติเหตุก็เกิดจากมอเตอร์ไซค์ และการเมามากที่สุด) เป็นต้น อาจยิ่งต้องมีค่าใช้จ่ายตามมาอีกมากมาย ตรงกันข้ามหากใช้เงินสัก 50-100 บาท ซื้ออาหารกลับไปกินที่บ้านพร้อมกับ ลูก เมีย จะเสียเงินน้อยกว่า แถมได้อาหารเพื่อทุกคนในครอบครัว และได้ความอบอุ่นในครอบครัวคืนมา ซึ่งมีคุณค่าที่ประมาณค่าไม่ได้  
คนขายอาหารบนทางเท้าก็เป็นคนจน ควรมีรายได้หลักจากอาหารที่เขาทำขายเอง ถ้าคนจนด้วยกันใช้เงินทั้งหมดซื้ออาหาร จะซื้อได้มากกว่า คนขายก็กำไรดีกว่า ไม่ควรแบ่งเงินไปซื้อน้ำเมา ซึ่งแพงกว่า กำไรน้อยกว่า และเป็นการแบ่งเงินไปให้พวกตระกูลที่ร่ำรวยมหาศาลอยู่แล้ว โดยการดูดเงินจากคนจนกว่าปีละ 200,000 ล้านบาท คนจนที่ขายของควรเห็นใจคนจนด้วยกัน ควรมาช่วยกันรณรงค์ให้ซื้ออาหารกลับไปกินกับครอบครัว แทนที่มานั่งกินเหล้ากับเพื่อน แต่ปล่อยให้ลูกเมียอด และอาจเมากลับไปซ้อมลูกเมียอีกต่างหาก นอกจากนั้น ร้านค้าบนทางเกิดผลพลอยได้ทำให้โต๊ะว่างขายของได้มากกว่าการปล่อยให้ตั้งวงเหล้าไม่รู้จักเลิก"
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355920241&grpid=03&catid=03


อ่านแล้ว รู้สึกอะไรบ้าง?

อ่านแล้วรู้สึกว่า โอ้โห พวกคนจนนี่มันโง่จริงๆ มันดูแลตัวเองไม่ได้ ค่าแรงวันละสามร้อย ยังเสือกโง่เอาไปซื้อเหล้าเสียวันละร้อยสองร้อย มิน่าล่ะ คนจนพวกนี้ถึงจนซ้ำซาก ลืมตาอ้าปากไม่ได้สักที เพราะคิดไม่เป็น ไม่รู้ว่าอะไรมีประโยชน์ต่อตัวเอง อะไรไม่มีประโยชน์ต่อตัวเอง เรายังต้องสอนคนพวกนี้อีกเยอะ 
จนแล้วโง่ จนแล้วไม่รู้จักทำครอบครัวให้อบอุ่น จนแล้วแทนที่จะเอาเงินไปซื้อนมให้ลูกกิน ลูกเต้าจะได้ฉลาดขึ้นไม่โง่เหมือนพ่อเหมือนแม่มัน
จนแล้วยังไม่รู้จักเจียม เอาเงินไปซื้อกับข้าวซื้อปลามานั่งล้อมวง พ่อเป่าขลุ่ย แม่เย็บผ้า ลูกนอนพังพาบฟังแม่เล่านิทาน ทำการบ้าน คุยเรื่องความสุขเล็กๆ ของครอบครัวเล็กๆ มีเงินเล็กๆ อย่าไปฝันอะไรมากคนเรา มีแผ่นดินอยู่ รู้สำนึกบุญคุณตั้งหน้าตั้งตาเชื่อฟัง "พี่เลี้ยง" สามทุ่มปิดไฟนอน-การดื่มสุรา ไวน์ สูบซิการ์ มันเป็นเรื่องของคนมั่งมีเขาทำ สมน้ำหน้า มีเงินแค่วันละสามร้อย เจือกเอาเงินไปให้นายทุนขายเหล้าที่รวยอยู่แล้วให้รวยยิ่งๆ ขึ้นไปอีก-พิโธ่พิถัง

ให้ตายเถอะ-อุดมการณ์ชุดนี้มันคือกะลาครอบหัวคนไทยมาห้าสิบปีแล้ว ไม่เคยหนีไปไหน! 
ฉันยังจำเรื่องสั้นเพื่อชีวิตเรื่องหนึ่งได้ที่คนงานก่อสร้างเอาเงินค่าแรงอันน้อยนิดของเขาไปซื้อเครื่องดื่มชูกำลัง, เหล้า และผงชูรส เพื่อจะบอกว่า คนจนดักดานเพราะโง่ เป็นเหยื่อนายทุน

สิ่งเราต้องถามสำหรับการอุดมการณ์ชุดนี้คือ คุณกำลังทำให้ปัญหาความยากจน และความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของสังคมไทยกลายเป็นปัญหาของ "คนจน" ที่ "โง่" เอง เพราะโง่จึงจน เพราะจนจึงโง่ เพราะจนจึงกินเหล้า เพราะกินเหล้าจึงไม่มีเงินส่งลูกเรียนหนังสือ เพราะกินเหล้าจึงไม่มีครอบครัวอบอุ่น เพราะมีพ่อแม่จนจึงกลายเป็นเด็กแวนซ์เด็กสก๊อย

เมื่อปัญหาความยากจนมีเท่านี้จึงผลักปัจจัยอื่นออกไปทำเหมือนมันไม่มีอยู่ เช่น ปัญหาความยากจนเกิดจากการที่เราอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการอำมาตย์มายาวนานเกินไป ปัญหาความยากจนเกิดจากการผูกขาดเศรษฐกิจของกลุ่มทุนไม่กี่ตระกูล และกลุ่มไม่กี่ตระกูลนั้นรวยเพราะการ "ผูกขาด" ไม่ใช่เพราะคนจนเอาค่าแรงวันสามร้อยไปซื้อเหล้าอุดหนุนเขา เพราะนายทุน "เหล้า" ไม่ได้ขาย "เหล้า" อย่างเดียวแต่ผูกโยงกับธุรกิจที่ดิน ทุนการเงิน และอื่นๆ ที่เป็นระบบเศรษฐกิจของประเทศนี้  ฯลฯ
ปัญหาที่คนไม่อาจขยับชนชั้นขึ้นมาได้เพราะระบบการศึกษาที่ไม่ได้รับการสนับสนุนโดยรัฐมากพอหรือพูดง่ายๆ ว่าขาดระบบสวัสดิการจากรัฐ
เหตุที่ขาด ก็เพราะ "นายทุนผูกขาด" ของประเทศนี้กลัวประชาชนจะฉลาดขึ้นแล้วปกครองขูดรีดหลอกลวงต่อไปไม่ได้ ฯลฯ


ถามง่ายๆ ต่อไปว่า หากเครือข่ายรณรงค์การงดเหล้าประณามคนจนที่เอาเงินไปให้นายทุนผุกขาดเหล้า เหตุใด เครือข่ายฯ จึงไม่เคยออกมาประณามการผูกขาดธุรกิจเหล้าในประเทศนี้???? 
เพราะการทำให้เหล้ากลายเป็นปิศาจ เป็นความชั่วร้ายมิใช่หรือ ที่ไปสร้างความชอบธรรมของการไม่ยอมให้มีการผลิตเหล้าเสรี โดยอ้างว่าจะทำให้ทั้งประเทศกลายเป็นประเทศขี้เมาชั่วร้ายเลวทราม จึงเกิดการอนุญาตให้นายทุนไม่กี่คนผูกขาดสัมปทานผลิตเหล้าได้อยู่สองสามคน แล้วรวยเละตุ้มเป๊ะ ขยายธุรกิจไปผูกขาดอื่นๆ ด้วย แล้วมาบีบคอคนจนให้ต้องซื้อเหล้าของพวกเขากินเท่านั้น??????

เครือข่ายฯ ไม่เคยตั้งคำถามว่า
ทำไมจึงมีการผูกขาดการผลิตเหล้าโรงที่คนจนซื้อกิน และทำไมคนจนต้องกินเหล้าคุณภาพต่ำที่ถูกผูกขาดการผลิต เพราะเหล้าคุณภาพต่ำจึงทำร้ายสุขภาพ เพราะเหล้าคุณภาพต่ำจึงทำลายสมองใช่หรือไม่????
หรือเพราะชีวิตคนจนมันไม่มีความหมาย ไม่มีค่า เท่ากับชีวิตของคนที่มีปัญญาซื้อไวน์ขวดละหมื่นละแสนมาดื่ม 
ปัญหาเรื่องครอบครัวอบอุ่นนั้น มันเกิดเพราะเหล้าอย่างเดียวหรือไม่ 
ครอบครัวของคนที่ต้องปากกัดตีนถีบทำมาหากินจะได้มีความฟุ่มเฟือยในชีวิตมากพอที่จะพูดถึงความอบอุ่นในครอบครัวหรือไม่


บรรดา "อภิสิทธิ์ชน" ที่มีเงินเดือนกินไม่ต่ำกว่าสอง-สามแสนบาทต่อเดือน ไม่นับมรดกพกสถานเก่าแก่ที่ติดตัวมา จะเข้าใจชีวิตของแม่ค้าที่ต้องตื่นตั้งแต่ตีสอง ตีสามไปซื้อของขายของ เตรียมเปิดร้าน 
จะเข้าใจชีวิตของกรรมกร คนงาน คนขับแท็กซี่ที่ขับรถเป็นกะ หาเวลาแน่นอนไม่ได้ ลูกๆ ก็ต้องช่วยเหลือตนเองไปตามสภาพ ไม่มีเวลามาฟูมฟายเรื่องครอบครัวอบุอ่น เว้นแต่จะถูกปั่นกระแสให้คนที่ต้องกระเสือกกระสนทำมาหากินเหล่านี้พาลรู้สึกผิดว่าทำไมกูไม่มีปัญญามีเวลาอ่านนิทาน เล่นดนตรี กอดลูกหอมลูกกะเขาบ้าง

แนวคิดเรื่องครอบครัวอบอุ่นเป็นแค่ "อุดมการณ์" ของสังคมหลังปฏิวัตอุตสาหกรรม มีความจำเป็นสำหรับสังคมแบบหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความใครไม่มีครอบครัวอบอุ่นแล้วจะกลายเป็นอาชญากรรม ทำบาปมหันต์ เพราะเงื่อนไขของแต่ครอบครัวไม่เหมือนกัน วัฒนธรรมการแสดงความรักของแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน

ทำไมเราจะต้องมานั่งเชื่อครอบครัวกูต้องอบอุ่นแบบเดียวกันกับครอบครัวมึง
บ้าหรือเปล่า?



ปํญหาอาชญากรรมไม่ว่าจะเป็นการข่มขืน ฉุดคร่า ปล้น จี้ ต้องมีมาตรการอื่นๆ ในการจัดการ "พื้นที่" ใน "เมือง" เป็นสำคัญ ไม่ใช่มาโยนตราบาปให้คนจนและเหล้า ว่า เป็นเพราะคนจนกินเหล้าแล้วหื่นจึงข่มขืน-ถามหน่อยว่า คนรวยหื่นไม่เป็น เมาไม่เป็น หรืออย่างไร? หรือว่ารวยมากจน impotent ต้องไปกินไวอากร้าแทนเหล้า?

..เมืองที่การจัดการผังเมืองที่เป็นมิตรต่อคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชั้นในเมือง เมืองที่สว่างไสว เมืองที่ไม่กีดกันคนบางกลุ่มออกไปเป็นคนชายขอบ จนเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ อยากออกมาแก้แค้น
พูดง่ายๆ ว่าเมืองที่รักและเคารพมนุษย์-เมืองแบบนี้ต่างหากที่จะช่วยลดปัญหาอาชญากรรม ไม่ใช่เมืองที่เห็นสลัมและคนจนเป็นผู้ร้ายตลอดกาล เพราะคุณเห็นเขาเป็นผู้ร้าย เขาจึงออกมาเป็นผู้ร้าย

แน่นอนว่าที่ไหนๆ ในโลกนี้ก็มีปัญหาที่เกิดจากการดื่มสุรา ไม่ว่าจะเป็นเมาแล้วขับ เมาแล้วตีกัน เมาแล้วขาดสติ เมาแล้วทำร้ายร่างกายผู้อื่น แต่การจัดการกับปัญหาการดื่มสุราต้องไปจัดการที่สำนึกของการเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น และการออกกฎหมาย ใช้กฎหมายต่อประเด็นเหล่านี้อย่างเคร่งครัดและมีมาตรฐานเดียว

มิใช่การตีขลุม "ทำงานเชิงอุดมการณ์" สร้างวาทกรรมว่าด้วย เหล้า เท่ากับคนจน เท่ากับความรุนแรง เท่ากับการไม่รู้เท่าทันนายทุน เท่ากับไม่เจียมตัว-คนจนคนรวยกินเหล้าแล้วเมาเหมือนกันมีโอกาสขับรถไปตายหรือชนคนอื่นตายเท่าๆ กัน

โปรดอย่ามาโบ้ยบาปให้คนจนที่ขี่มอเตอร์ไซค์เท่านั้น



อีกคำถามหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ คือ เพราะอะไร จึงมีแต่ "ผู้มีอันจะกิน" ที่สามารถผูกโยงวัฒนธรรมการดื่มสุราในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอาหารอันซับซ้อนได้ เช่น ไวน์อะไรดื่มกับอะไร เหล้าก่อนอาหาร หลังอาหาร วิสกี้มีกี่ชนิด บรั่นดีมีกี่แบบ องุ่นปีไหนเหมาะสำหรับไวน์แบบไหน ทำไมไวน์ขาวของเยอรมนีจึงดี และอีกสารพัดความรู้อันลึกซึ้งซับซ้อนซ้อนเงื่อนของวัฒนธรรมการดื่ม 
ทว่า เมื่อสุรามาอยู่ในมือคนจนมันแปรสภาพเป็นอุปกรณ์กระตุ้นอาชญากรรม เป็นตัวการทำลายครอบครัว และอื่นๆ

เราจะตอบคำถามนี้ได้หรือไม่ว่า การสร้างวัฒนธรรมการดื่มในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอาหาร วัฒนธรรมการถนอมอาหารมันถูกพรากจากอำนาจรัฐที่กีดกันมิให้ "ไพร่" ได้มีโอกาสสั่งสม บ่มเพาะวัฒนธรรมเช่นนี้ขึ้นมาในหมู่ไพร่ 

เพราะหาไม่แล้วเราจะแยกไพร่ออกจากอำมาตยวงศ์ทั้งหลายได้อย่างไร
เราจะเอาอะไรไป "ดูถูก" ไพร่ว่าต่ำสถุล หากเราเปิดโอกาสให้ไพร่ได้สั่งสมบ่มเพาะภูมิปัญญาได้เท่าๆ กับเรา


การต้มเหล้า กลั่นเหล้าของชาวบ้านจึงกลายเป็นเรื่อง "ผิดกฎหมาย" เหล้าของคนจนจึงถูก "ตรา" บาปลงไป 
เหล้าจึงเป็นแค่ "น้ำเมา" มิใช่ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอาหารอันสามารถพัฒนาให้ซับซ้อนละเมียดละไมขึ้นได้ในหมู่ไพร่



การห้ามมิให้จำหน่ายสุราบนทางเท้า สวนสาธารณะ ก็เป็นมาตรการที่ตั้งอยู่บนอุดมการณ์ของการตราบาปไปไว้ที่คนจนมากกว่าจะเป็นมาตรการการกำกับการดื่มมิให้ละเมิดสิทธิ เสรีภาพของผู้อื่น จะอ้างว่า คนจนกินเหล้าแล้วไปตบตีลูกเมียก็ฟังไม่ขึ้น เพราะหากคนจะตีเมีย กินเหล้าในร้าน นอกร้าน ในบ้าน นอกบ้าน ก็ต้องกลับไปตีเมียอยู่ดี

คนบางคนบอกว่า ไม่เข้าใจว่ากินเหล้าข้างถนนสนุกอย่างไร ทั้งฝุ่น ทั้งร้อน ทั้งเหม็นควันรถ ก็ต้องถามกลับว่า หากคุณอยู่ห้องเช่าเท่ารูหนูกับลูกสองเมียหนึ่ง หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน ก็อยากจะนั่งดื่มเบียร์ให้คลายอารมณ์ คุณคงไม่อยากไปนั่งดื่มแออัดรัดรึงอยู่ในห้องแคบๆ อันแสนอึดอัด และน่าจะห่างไกลจากบรรยากาศครอบครัวอบอุ่นอยู่มาก 
การที่เราพูดเช่นนี้ต้องไม่ลืมว่า คนทุกคนไม่ได้มีบ้านสวย สวนสวย ระเบียงกว้างให้นั่งดื่มสุราหย่อนอารมณ์เหมือนกันหมดทุกคน เพราะหากมีบ้านสวยเช่นนั้นก็คงไม่ออกมากินเหล้าข้างทางให้ร้อนเล่นๆ

การกำกับการดื่มสุราในสังคมที่พึงทำคือ เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อสุราว่ามิใช่ปีศาจ แต่สุราคือส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอาหาร ที่ต้องบ่มเพาะ พัฒนาให้ซับซ้อน ละเมียดละไม ยกระดับเป็นศิลปะ เป็นงานฝีมือได้ และต้องมีมาตรฐานเดียว ไม่ใช่เจ้าของไวน์ยาร์ดที่เขาใหญ่ได้รับการยกย่องเชิดชู แต่ลุงอินถาที่ต้มเหล้าสาโท ถูกจับด้วยข้อหาทำเหล้าเถื่อน!

การกำกับการดื่มสุราที่อาจไปละเมิดสิทธิ เสรีภาพ ความปลอดภัยของผู้อื่นพึงถูกกำกับด้วยกฎหมายอาญาทั่วไป การดื่มสุราแล้วขับรถต้องจัดการให้เด็ดขาด เข้มงวด แต่มิใช่การแก้ปัญหาด้วยการสร้างตราบาปให้กับพฤติกรรมการดื่มสุราของคนจน แล้วทึกทักเอาเองว่าคนมีสตางค์ดื่มสุราได้ฉลาดกว่าคนจนมีสติกว่าคนจน



ย้อนกลับไปอ่านบทความจากเครือข่ายการงดเหล้าแล้ว ฉันคิดว่าปัญหาของสังคมไทยไม่ได้อยู่ที่คนกินเหล้าแล้วเมา
แต่อยู่ที่คนไม่กินเหล้าแต่ "เมา"


เมาด้วยเห็นว่าตนเองนั้นมีความเป็นมนุษย์มากกว่าคนอื่น 
เมาด้วยคิดเองเออเองว่าวิถีชีวิต ความเชื่อ คุณค่าที่ตนยึดถือนั้นดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ประเสริฐแล้ว


เมาด้วยสำคัญตนเองผิดว่าเป็นนักบุญจุติมาไถ่บาปให้คนโง่คนจนได้พบทางสว่างพ้นทุกข์ด้วยวิถีทางเผด็จการอำนาจนิยมเบ็ดเสร็จในนามของ "ความดี"

น่าเวทนายิ่ง




.