http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2556-01-05

ร้อน..ร้อน..ร้อน! การเมืองไทย 2556 โดย สุรชาติ บำรุงสุข

.

ร้อน...ร้อน...ร้อน! การเมืองไทย 2556
โดย สุรชาติ บำรุงสุข  คอลัมน์ ยุทธบทความ
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 04 มกราคม พ.ศ. 2556 ปีที่ 33 ฉบับที่ 1690 หน้า 36


"ประวัติศาสตร์สอนเราว่า ทั้งมนุษย์และประเทศชาติจะประพฤติปฏิบัติอย่างชาญฉลาด
ก็ต่อเมื่อพวกเขาเหนื่อยอ่อนจากการใช้ทางเลือกอื่นๆ จนหมดแล้ว"
Abba Eban
นักการทูตชาวอิสราเอล



บทความรับปีใหม่นี้ อยากจะขอเริ่มต้นด้วย "ศาสตร์แห่งโหร 2556" ซึ่งว่าที่จริงในระยะหลายปีที่ผ่านๆ มา สื่อสิ่งพิมพ์มักจะอาศัยบุคคลที่เรียกกันว่า "นักโหราศาสตร์" มากกว่าจะอาศัย "นักรัฐศาสตร์" ในการมองอนาคตของการเมืองไทย 
อาจจะเป็นเพราะโหราศาสตร์ตอบได้มากกว่า หรือตอบด้วยความตื่นเต้นมากกว่ารัฐศาสตร์ก็ตาม
แต่อย่างน้อยสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ความเปลี่ยนแปลงของการเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา ผันผวนเกินกว่าที่นักรัฐศาสตร์จะตอบ 


และคงต้องยอมรับว่าการเมืองไทยเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงแทบจะในทุกๆ ด้าน จนกลายเป็น "ปรากฏการณ์" ของการเมืองไทย
ความท้าทายจากความใหม่อันเป็นผลจากความเปลี่ยนแปลงของการเมืองไทยเช่นนี้ นักโหราศาสตร์ดูจะอธิบายได้มากกว่า ซึ่งก็อาจจะเป็นการเดินทางของดวงดาวในความหมายของ "ดาวจร" ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาที่ทำมุมและมีองศากับลัคนาของดวงเมืองนั้น กลายเป็นคำตอบที่บ่งบอกถึงความเป็นไปได้ในอนาคตได้อย่างน่าสนใจ 
(ใครที่ยังไม่มี "ศาสตร์แห่งโหร 2556" ต้องรีบลองไปหาอ่านนะครับ !)


สําหรับนักโหราศาสตร์แล้ว คำตอบของการเมืองในอนาคตขึ้นอยู่กับการเดินทางของดวงดาวที่ทำมุมกับลัคนาของดวงเมืองที่อยู่ในราศีเมษ ซึ่งหากสรุปจากผู้รู้ทั้งสี่ท่าน ไม่ว่าจะเป็น โสรัจจะ นวลอยู่ พัฒนา พัฒนศิริ กรหริศ บัวสรวง และ ฟองสนาน จามรจันทร์ แล้ว คำตอบของอนาคตในปี 2556 ดูจะไม่สดใสเอาเลย
เพราะปรากฏการณ์ของดวงดาวนั้น ก่อให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า "ดวงเมืองแตก" หรือที่ในทางโหราศาสตร์ถือว่าเป็น "พินทุบาท" ซึ่งว่าที่จริงเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2555 ที่ดาวเสาร์ (7) ย้ายจากราศีกันย์มาสู่ราศีตุล และอยู่ในสภาพของการเล็งลัคนาของดวงเมืองโดยตรง (หรืออยู่ตรงกันข้ามแบบ 100%)
ในทางโหราศาสตร์นั้น เมื่อดาวเสาร์เล็งตรงกับลัคนาของดวงเมืองเช่นนี้ทำให้เกิดอาการดวงแตกตลอดปี 2556 และอาการดวงเมืองแตกเช่นนี้ยังถูกถาโถมด้วยการเดินทางของดาวราหู (8) เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2555 เข้าสู่ราศีตุล หรือเป็นการร่วมเดินทางของดาวเสาร์และดาวราหูเข้าสู่ราศีตุลด้วยกัน ซึ่งก็คือการทำให้ดวงเมืองในปี 2556 แตกซ้ำมากขึ้นไปอีก
ถ้าอธิบายการเมืองจากปรากฏการณ์ของดวงดาวเช่นนี้ เราตอบได้ไม่ยากนักว่า การเมืองไทยในปี 2556 น่าจะร้อนแรง!

ดังเช่นคำตอบจาก โสรัจจะ นวลอยู่ กล่าวถึงปรากฏการณ์นี้ว่า "ปี 2556 จะเป็นปีที่สำคัญสุดๆ อีกปีหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่น่าสะพรึงกลัว ปี 2556 นี้ดวงคงตก... เหตุอันวิปโยคอย่างใหญ่หลวงเกิดขึ้นแก่ประเทศไทย..."
หรือคำตอบจาก ฟองสนาน จามรจันทร์ ที่กล่าวถึงปรากฏการณ์เช่นนี้ว่า "เมืองจะมีโทษทุกข์เกิดขึ้นเหมือนหินทับ" อีกทั้งยังตอบต่อไปอีกด้วยว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ตั้งแต่ 31 พฤษภาคม 2556 ไปถึงวันสิ้นปี 
นอกจากนี้ ฟองสนานอธิบายต่อเนื่องในอีกส่วนหนึ่งว่า บนความร้อนแรงของการเมืองจากการเดินทางของดวงดาวเช่นนี้ จุดระเบิดจะอยู่ประมาณวันที่ 18 กันยายน 2556 จนถึง 30 ตุลาคม 2556 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทับสนิทองศาของดาวเสาร์และดาวราหู ซึ่งอยู่ในจุดที่เล็งลัคนาดวงเมืองนั้น จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 ตุลาคม 2556
สภาพของดวงดาวเช่นนี้ตอบได้ทันทีว่า วันดังกล่าวจะเป็น "จุดระเบิด" ของเหตุการณ์ต่างๆ ในการเมืองไทย และที่สำคัญจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย!




ผมเปิดประเด็นของการเมืองไทย 2556 จากทัศนะและความเห็นที่อธิบายความเป็นไปจากการเดินทางของดวงดาว ซึ่งอาจจะตอบในรายละเอียดได้ในหลายๆ เรื่อง
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ถ้ามองจากนักรัฐศาสตร์ซึ่งตอบไม่ได้เช่นนั้น แต่ก็มีคำตอบบางเรื่องไม่แตกต่างกัน แม้ว่าบางประเด็นนักรัฐศาสตร์จะมีรายละเอียดไม่เท่ากับนักโหราศาสตร์ก็ตาม 
โดยเฉพาะในประเด็นที่ดวงเมืองแตกนั้น นักโหราศาสตร์ตอบคล้ายๆ กันว่า เป็นช่วงที่ชะตาเมืองตกต่ำอย่างมาก และอาจจะเป็น "ปีมหาวิปโยคอย่างแท้จริง" ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งอย่างรุนแรง (ความเห็นของโสรัจจะ) และจะตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ (ความเห็นของฟองสนาน)

เมื่อมองด้วยทิศทางการเมืองในปี 2556 ด้วยมุมมองทางรัฐศาสตร์แล้ว ก็อาจจะมีความเห็นร่วมกันกับมุมมองทางโหราศาสตร์ประการหนึ่งว่า การเมืองในปีหน้ามีประเด็นที่เต็มไปด้วยความร้อนแรงรออยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 
เพราะแม้รัฐบาลจะผ่านพ้นจาก "ม็อบแช่แข็ง" จากการชุมนุมที่สนามม้าในช่วงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 ก็ตาม แต่ว่าที่จริงแล้ว ม็อบแช่แข็งของกลุ่มสนามม้าเป็นเสมือนการทดสอบขีดความสามารถของรัฐบาล 

ในสถานการณ์ที่ผ่านมา รัฐบาลสามารถนำพาตนเองให้รอดพ้นจากแรงกดดันจากการชุมนุมได้ก็จริง ซึ่งอาจเป็นเพราะการชุมนุมที่เกิดขึ้นไม่ได้มีผู้เข้าร่วมมากอย่างที่ฝ่ายรัฐออกมาแถลงด้วยความกังวลแต่ประการใด 
กล่าวในอีกด้านหนึ่งก็คือ การชุมนุมที่เกิดขึ้นยังอยู่ในขีดความสามารถในการควบคุมของฝ่ายรัฐบาล
แต่ถ้ารัฐบาลหวังว่าปี 2556 จะมี "ดวง" โชคดีเช่นนี้อีกก็อาจจะไม่ง่ายนัก 

เพราะในขณะที่โหราศาสตร์กล่าวถึงลักษณะของดวงดาวที่ทำมุมกับลัคนาของดวงเมืองจนมีลักษณะของ "ดวงเมืองแตก" นั้น การเมืองเริ่มส่งสัญญาณถึงความร้อนแรงตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2555 จากการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้นำพรรคฝ่ายค้านในคดีการเสียชีวิตของคนเสื้อแดง...
และก่อนที่ปีเก่าจะจากลา ก็มีข่าวว่ารองนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย "ถูกชี้มูล" โดย ปปช. จากคดีเก่าที่อนุญาตให้มีการนำเสือโคร่งออกจากประเทศไทย

สภาพเช่นนี้คาดเดาได้ไม่ยากนักว่า น่าจะไม่มีเวลา "ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์" ในช่วงปีใหม่ หรือมีบางคนคาดคะเนว่า ปัญหาน่าจะเริ่มต้นที่หลังตรุษจีน 
แต่ถ้าดูจากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงปลายปีแล้ว การต่อสู้และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในการเมืองไทยน่าจะไม่มี "เทศกาลวันหยุด" และน่าติดตามอย่างมากว่า การต่อสู้จะเริ่มต้นด้วยประเด็นปัญหาอะไร


แต่สิ่งที่ค่อยๆ เริ่มเปิดให้เห็นก็คือ ความพยายามในการบั่นทอนรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย และมีแนวโน้มต่อเนื่องหลังคดีเสือโคร่งว่า ผลจากการร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. กรณีการใช้อำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในปัญหาการหนีทหารของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถ้า ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ก็จะทำให้รัฐบาลต้องเตรียมรับกับปัญหาทางการเมืองที่จะเกิดขึ้น 
และถ้าการฟ้องเรื่องการรับจำนำข้าวเข้าสู่ ป.ป.ช. และประสบปัญหาในลักษณะเดียวกัน รัฐมนตรีที่รับผิดชอบก็จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่
ซึ่งก็น่าสนใจต่อว่าจะมีรัฐมนตรีกระทรวงใดบ้างอยู่ใน "คิว" ที่จะถูกส่งเรื่องร้องเรียนให้แก่องค์กรอิสระอีก...
ปัญหาที่เกิดขึ้นเช่นนี้ รัฐบาลจะทำอย่างไร เพราะจะถูกบั่นทอนไปเรื่อยๆ

ในอีกด้านหนึ่งของเหตุการณ์ก่อนสิ้นปีก็คือ คดียึดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เคยถูก "แช่แข็ง" เอาไว้นาน ก็เริ่มถูกส่งเข้ากระบวนการยุติธรรม อันเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณถึงบรรดาแกนนำกลุ่มต่อต้านรัฐบาลว่า รัฐบาลพร้อมจะนำเอามาตรการทางกฎหมายมาต่อสู้ 
ซึ่งก็หมายถึงว่า อาจจะต้องมีแจ้งข้อกล่าวหาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในกรณีของความผิดฐานก่อการร้ายจากการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นสนามบินระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ ประเด็นที่รออยู่เบื้องหน้าและจะเป็นปัญหาใหญ่ทางการเมืองอย่างแน่นอน ได้แก่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 และกระบวนการลงประชามติ ข้อเสนอให้รัฐบาลไทยยอมรับเขตอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) และร่างพระราชบัญญัติปรองดอง

อีกทั้งปัญหาที่รอเวลาจะปะทุเป็นประเด็นวิกฤตหลังปีใหม่ ก็คงหนีไม่พ้นกรณีการรับจำนำข้าว และยิ่งหากกว่า ป.ป.ช. ตัดสินให้เรื่องนี้เป็นประเด็นที่มีมูลของการทุจริตของรัฐบาลแล้ว ความผิดที่เกิดขึ้นจะเป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรีพาณิชย์เพียงคนเดียว หรือเป็นความผิดร่วมของคณะรัฐมนตรีทั้งหมด อันจะส่งผลให้รัฐบาลต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที! 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพิจารณาสถานการณ์จากปีใหม่สากลจนถึงปีใหม่ไทยหรือสงกรานต์แล้ว ก็คาดคะเนได้ไม่ยากนักว่า สถานการณ์การเมืองภายในจะร้อนแรงอย่างมาก

อีกทั้งในสถานการณ์นี้ยังถูกโถมให้ร้อนมากขึ้นด้วยจากความพยายามในการต่อสู้ของพรรคฝ่ายค้านที่จะต้องทำให้การแจ้งข้อหาในคดีการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ไม่กลายเป็น "ชนักทางกฎหมาย" ที่จะคอยไล่ล่าพวกเขา ดังจะเห็นได้ว่าคดีดำเนินไปทีละศพ พวกเขาก็จะต้องรับแจ้งข้อหาไปทีละศพเช่นกัน 
อันเท่ากับทำให้ปี 2556 สำหรับผู้นำพรรคฝ่ายค้าน จะเป็น "ปีของการขึ้นศาล" 
แต่การจะทำให้ 2556 เป็น "ปีไร้คดี" แล้ว ก็อาจหมายถึงจะต้องทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขนาดใหญ่ จนนำไปสู่การเปลี่ยนขั้วการเมืองอีกครั้ง แม้ความพยายามนี้จะดูไม่ง่าย แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่พยายาม!




นอกจากนี้ หากมองปัจจัยภายนอกที่จะละเลยไม่ได้ในช่วงหลังปีใหม่ ก็คงหนีไม่พ้นกรณีพระวิหาร เพราะในช่วงกลางเดือนเมษายน 2556 ศาลโลกจะเปิดคดีนี้ (public hearing) อย่างเป็นทางการ ซึ่งก็จะเป็นโอกาสอันสำคัญของกลุ่มการเมืองปีกชาตินิยม-อนุรักษนิยมและกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทั้งหลายจะนำมาใช้เป็นเงื่อนไของการเคลื่อนไหวใหญ่ 
เพราะแนวโน้มของการตีความของศาลโลกอาจจะไม่เป็นบวกเท่าใดนักกับฝ่ายไทย
ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะจากคำตัดสินเดิมในปี 2505 มีความชัดเจนอยู่พอสมควรแล้ว อันทำให้หลายๆ ฝ่ายคาดคะเนว่า การตีความใหม่จากคำตัดสินเดิมก็ไม่น่าจะทำให้ประเทศไทยได้รับสิทธิในทางดินแดนเพิ่มมากขึ้นอีกแต่อย่างใด เว้นเสียแต่เราจะตีความว่า ถ้าการตีความของศาลโลกไม่ไปไกลเกินกว่าสภาพที่เป็นอยู่ก็คือว่า ฝ่ายไทยได้รับชัยชนะแล้ว

แต่สิ่งที่จะต้องนำมาพิจารณาเพิ่มเติมในกรณีนี้ก็คือ มีแนวโน้มอย่างมากว่า ไม่ว่าการตีความจะเป็นเช่นไร กลุ่มชาตินิยม-อนุรักษนิยมก็น่าจะเปิดการเคลื่อนไหว 
เพราะขบวนการเมืองชุดนี้มีท่าทีต่อต้านรัฐบาลอยู่แล้วในตัวเอง 

และขณะเดียวกันขบวนนี้ก็คือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแต่เดิมนั่นเอง อันทำให้คาดคะเนได้ว่า ในช่วงแรกของต้นปี 2556 นั้น ความร้อนของการต่อสู้ทางการเมืองภายในของไทยจะถูกทับซ้อนด้วยความร้อนของประเด็นการเมืองภายนอก

นอกจากนี้ ในบริบทของการเมืองไทย การที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ตัดสินใจให้รางวัลด้านสิทธิมนุษยชนแก่ นายวีระ สมความคิด ซึ่งถูกจับกุมอยู่ในกัมพูชาจากกรณีพระวิหาร ก็อาจจะตีความได้ว่ากลุ่มชาตินิยม-อนุรักษนิยมได้เริ่มเปิดการเคลื่อนไหวแล้ว 
เพราะการให้รางวัลนี้ก็คือการตอกย้ำว่า ผู้ได้รับรางวัลเป็น "วีรบุรุษพระวิหาร" โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงว่า การให้ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อปัญหาพระวิหารหรือไม่ หากแต่กำลังกลายเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวเรื่องนี้ขึ้นอีกในตอนต้นปี 2556

และยังไม่รวมถึงกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในรูปแบบต่างๆ ที่พร้อมจะออกมาเคลื่อนไหวใหญ่ในอนาคตอีกด้วย


ถ้าพิจารณาการเมืองเช่นนี้ ปี 2556 น่าจะเป็น "ระเบิดเวลาลูกใหญ่" ซึ่งวันนี้คาดได้ไม่ยากว่าจะถูกจุดจากเรื่องอะไร 
แต่ที่นักรัฐศาสตร์เดาไม่ได้ก็คือ แล้วผลของการระเบิดครั้งนี้จะใหญ่เพียงใด แล้วจะทำลายอะไร

แต่นักโหราศาสตร์ได้ตอบอย่างชัดเจนว่า "ดวงเมืองแตกซ้ำ"

จนอดคิดต่อไม่ได้แล้วว่า ถ้าเช่นนั้นความเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่จะเกิดขึ้นคืออะไร?



.