http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2556-01-03

ปีใหม่ตั้งใจลดน้ำหนัก, +ซานตาคลอสตัวจริง โดย พิศณุ นิลกลัด

.

ปีใหม่ตั้งใจลดน้ำหนัก
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 33 ฉบับที่ 1689 หน้า 96


การลดน้ำหนัก เป็นปณิธานปีใหม่ (New Year Resolution) ยอดนิยมของคนทั่วโลกทั้งหญิงและชาย 
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ขณะนี้ทั้งโลกมีคนอ้วน น้ำหนักตัวเกินมาตรฐานอยู่ ประมาณ 1,600 ล้านคน
สหรัฐอเมริกามีอัตราส่วนคนอ้วนเป็นอันดับ 1 ของโลก จำนวนคนอเมริกันที่อายุ 20 ปีขึ้นไปมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานคิดเป็นอัตราส่วนสูงถึง 36 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1 ใน 3 ของคนทั้งประเทศ 
นอกจากนั้นยังสำรวจพบว่า คน 75 เปอร์เซ็นต์ในอเมริกา พยายามลดน้ำหนัก
ปี 2011 มีการสำรวจคนอเมริกัน 1,012 คน พบว่าจำนวน 52 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตที่ลดน้ำหนักสำเร็จ โดย 31 เปอร์เซ็นต์บอกว่า การออกกำลังกายเป็นวิธีการลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุด รองลงมา 23 เปอร์เซ็นต์คือการควบคุมอาหาร 

ที่น่าสนใจพบว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ของคนที่ลดน้ำหนักสำเร็จ กลับมาอ้วนอีกครั้งภายในเวลาไม่กี่ปี!
ดังนั้น ใครที่พยายามลดน้ำหนักแต่ไม่สำเร็จสักทีอย่าเพิ่งท้อใจ เพราะการกลับมาอ้วนอีกครั้งหลังจากลดน้ำหนักสำเร็จ "เป็นเรื่องปกติ" ของคนทั่วโลก เมื่อลดน้ำหนักได้สำเร็จแล้วก็ต้องรู้จักวิธีการควบคุมน้ำหนักด้วย เพราะหากกลับไปมีนิสัยการทานจุบจิบ ทานไม่หยุดแบบเดิม น้ำหนักก็ขึ้นมาอีก 
การลดน้ำหนักไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำเฉพาะปีใหม่ ถ้าต้องการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับที่ตัวเองต้องการเป็นเรื่องที่ต้องทำตลอดไป เพราะไม่อย่างนั้นพอน้ำหนักขึ้น ทุกปีก็จะต้องตั้งปณิธานปีใหม่ว่าจะลดน้ำหนักให้สำเร็จ


นิตยสาร Readers" Digest เคยทำสำรวจคน 16,000 คน ใน 16 ประเทศทั่วโลกเกี่ยวกับความคิดเห็นและพฤติกรรมเกี่ยวกับการลดน้ำหนักเมื่อปี 2010 ซึ่งได้ผลน่าสนใจดังนี้ 
ประเทศที่คนตื่นตัวมากที่สุดในเรื่องอันตรายของความอ้วน คือ ฟินแลนด์ 
ปี 1970 ฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีอัตราคนเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจสูงที่สุดในโลก ต่อมารัฐบาลให้ความรู้คนฟินแลนด์เรื่องการออกกำลังกาย การทานอาหาร โทษของการสูบบุหรี่ ซึ่งภายในเวลา 30 ปี สามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจของคนวัยทำงานได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มอายุขัยของคนในประเทศได้ถึง 10 ปี 
โดยพบว่า คนฟินแลนด์ 83 เปอร์เซ็นต์ตั้งใจลดน้ำหนักในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นอีก 15 ประเทศที่ได้ทำการสำรวจอย่างน้อย 10 เปอร์เซ็นต์

ประเทศที่คนรู้สึกถูกกดดันให้การลดน้ำหนักมากที่สุดคือ บราซิล  
บราซิลเป็นประเทศที่คนนิยมใช้ชีวิตบนชายหาด มีเทศกาลคาร์นิวาล มีงานเต้นรำที่นุ่งน้อย ห่มน้อยเป็นประจำ ดังนั้น คนต้องรักษาหุ่นกันอย่างเต็มที่ 
83 เปอร์เซ็นต์ของคนบราซิลบอกว่า คนที่นั่นให้ความสำคัญเรื่องน้ำหนักตัวมากเกินเหตุ ทำให้คนนิยมทำศัลยกรรม และทานยาลดน้ำหนักกันมาก

ประเทศที่ภรรยาต้องการให้สามีลดน้ำหนักมากที่สุดคือ อเมริกา 
51 เปอร์เซ็นต์ของภรรยาต้องการให้สามีลดน้ำหนัก ส่วนสามีอเมริกัน 47 เปอร์เซ็นต์ต้องการให้ภรรยาลดน้ำหนัก 

ประเทศที่สามีต้องการให้ภรรยาลดน้ำหนักมากที่สุดคือ อินเดีย 
48 เปอร์เซ็นต์ของสามีอินเดียบอกว่าไม่พอใจรูปร่างภรรยา อยากให้ภรรยาลดน้ำหนัก ส่วนภรรยาอินเดีย 46 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าอยากให้สามีลดน้ำหนัก 

ประเทศที่คนพอใจในรูปร่างของตัวเองที่สุด คือ ฮังการี 
คนฮังการีเพียง 28 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าคนในประเทศให้ความสำคัญกับน้ำหนักตัวมากเกินไป 
สามีเพียง 11 เปอร์เซ็นต์ ต้องการให้ภรรยาลดน้ำหนัก ส่วนภรรยาเพียง 14 เปอร์เซ็นต์ ต้องการให้สามีลดน้ำหนัก

ประเทศที่คนทานยาลดความอ้วนมากที่สุด คือ จีน 
คนจีน 37 เปอร์เซ็นต์ ยอมรับว่าทานยาลดความอ้วน เพราะคนจีนสมัยนี้กลัวอ้วน และยาลดความอ้วนเป็นวิธีที่คนจีนเห็นว่าช่วยลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว โดยผู้หญิงทานยามากกว่าผู้ชาย (ผู้หญิง 48 เปอร์เซ็นต์ ชาย 18 เปอร์เซ็นต์)

ประเทศที่คนใช้วิธีการสูบบุหรี่เพื่อลดความอ้วนมากที่สุด คือ รัสเซีย 
โดยผู้ชายรัสเซีย 23 เปอร์เซ็นต์ และผู้หญิง 18 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าสูบบุหรี่เพื่อทำให้ไม่อยากทานอาหาร

ประเทศที่คนยอมรับตรงๆ ว่า ลดความอ้วนไม่สำเร็จเพราะอดใจทานอาหารอร่อยไม่ไหว คือ ฟิลิปปินส์
โดยคนฟิลิปปินส์ 82 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าห้ามใจทานอาหารอร่อยไม่ไหวทำให้ลดน้ำหนักไม่สำเร็จ ทำให้มีคนเพียง 38 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าพยายามลดน้ำหนัก

ประเทศที่คนโทษว่าอ้วนเพราะกรรมพันธุ์จากพ่อแม่มากที่สุด คือ รัสเซีย 70 เปอร์เซ็นต์

ประเทศที่คนอ้วนมีปัญหาเรื่องความก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากที่สุด คือ อินเดีย 
67 เปอร์เซ็นต์ ของคนอินเดียบอกว่าการมีน้ำหนักตัวมากมีผลต่อการเลื่อนตำแหน่ง ซึ่ง 41 เปอร์เซ็นต์ของคนอินเดียที่ลดน้ำหนัก บอกว่าทำเพราะต้องการได้เลื่อนตำแหน่ง  
โดยผู้ชายกดดันมากกว่าผู้หญิง (ผู้ชาย 52 เปอร์เซ็นต์ ผู้หญิง 31 เปอร์เซ็นต์)



ความอ้วนนอกจากทำให้เจ้าตัวดูไม่ดีแล้ว ที่น่ากลัวที่สุดคือเป็นต้นเหตุหรือเป็น "ตัวเสริม" ของสารพัดโรคไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน หัวใจ ความดัน และ ฯลฯ 
ปีใหม่นี้ถ้าใครน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานตามสูตรการคำนวณดัชนีมวลกาย (BMI.Body Mass Index) หรือตามสูตรผู้ชายเอาส่วนสูงตั้ง ลบด้วย 100 ผู้หญิงเอาส่วนสูงตั้ง ลบด้วย 110 
ผลลัพธ์ที่ออกมาคือน้ำหนักตัวหน่วยเป็นกิโลกรัมที่เหมาะสมของคนคนนั้น...


ทดลองตั้งปณิธานลดน้ำหนักกันดีไหมครับ



++

ซานตาคลอสตัวจริง
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 33 ฉบับที่ 1688 หน้า 96


25 ธันวาคม-วันคริสต์มาสกำลังจะมาถึงแล้ว...
สิ่งที่คนนึกถึงวันคริสต์มาสคือ ซานตาคลอสที่เด็กเล็กมักคิดว่ามีตัวตนจริงๆ 
พ่อแม่ของเด็กที่ฉลองเทศกาลคริสต์มาสตามหลักศาสนา มักพูดให้ลูกเชื่อว่า ซานตาคลอสมีอยู่จริง เพื่อใช้เป็นสิ่งจูงใจให้ลูกทำตัวเป็นเด็กดี ไม่ดื้อ เพื่อซานตาคลอสจะแอบนำของขวัญที่ลูกอยากได้มาให้ในวันคริสต์มาส หากเป็นเด็กดื้อ ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ก็จะได้ถ่านหินแทน


จากการสำรวจพบว่าเมื่อเด็กเริ่มย่างเข้าวัย 8-9 ขวบ ก็จะเริ่มคิดได้เองแล้วว่าซานตาคลอสไม่มีอยู่จริง รู้จักคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลว่าเป็นไปไม่ได้ที่ซานตาคลอสจะเดินทางแจกของขวัญให้เด็กทั่วโลกภายในวันเดียวด้วยรถล้อเลื่อนลากด้วยกวางเรนเดียร์บินได้

นักจิตวิทยาวิเคราะห์ว่าตอนที่ลูกเริ่มคิดได้ด้วยตัวเองว่าซานตาคลอสไม่มีจริง พ่อแม่ทั้งดีใจและ "เสียใจ"
ที่ดีใจเพราะลูกเริ่มโตแล้ว แต่ที่ "เสียใจ" ก็เพราะว่าลูกไม่ใช่เด็กจิ๋วคนเดิมที่น่ารักเชื่อฟังพ่อแม่ทุกอย่างอีกต่อไปแล้ว



ในอเมริกามีซานตาคลอสที่บรรดาพ่อแม่ผู้ใหญ่อยากเจอเป็นที่สุดและมีตัวตนจริงๆ ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ ซีเคร็ต ซานตา (Secret Santa )
ซีเคร็ต ซานตา คนนี้ไม่ยอมเปิดเผยชื่อจริงและหน้าตาสมคำว่า Secret ต้องการทำบุญไม่เอาหน้า ขอร้องไม่ให้นักข่าวถ่ายรูปหน้าตรงและไม่ขอเผยประวัติส่วนตัว ทราบแต่เพียงว่าเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยแห่งเมืองมิซซูรี่ รัฐแคนซัส อายุประมาณ 50 ปลายๆ หรือ 60 ปีต้นๆ เริ่มเดินแจกเงินด้วยตัวเองเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนให้กับผู้ประสบภัยจากมหาพายุแซนดี้ในรัฐนิวยอร์ก และนิวเจอร์ซีย์ โดยให้ธนบัตรใบละ 100 ดอลลาร์ หรือ 3,000 บาท 
ตั้งเป้าไว้ว่าจะแจกเงิน 100,000 ดอลลาร์ หรือ 3 ล้านบาท ให้กับคน 1,000 คน



การตระเวนแจกเงินในรัฐนิวเจอร์ซีย์ และนิวยอร์ก ซีเคร็ต ซานตา สวมเสื้อสีแดง หมวกแดง เหมือนกับ ซานตาคลอส ไม่มีกวางเรนเดียร์แต่มีรถตำรวจนำขบวนพร้อมบอดี้การ์ดส่วนตัวติดตาม 
รถตำรวจจะนำขบวนไปยังบริเวณที่พายุแซนดี้ทำลายบ้านเรือนเสียหายอย่างหนัก เพื่อจะได้แจกเงินให้กับผู้ประสบภัยสาหัสจริงๆ ซึ่ง ซีเคร็ต ซานตา จะหาบริเวณที่จะแจกจ่ายเงินอย่างรอบคอบ ด้วยเกรงว่าจะถูกฝูงชนรุมแย่งขอเงินและอาจก่อเหตุวุ่นวาย
สถานที่ที่ ซีเคร็ต ซานตา ปรากฏตัวแจกเงินเช่นร้านขายสินค้ามือสอง ซาลเวชั่น อาร์มี่ (Salvation Army) ที่ สเทเท่น ไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นร้านขายสินค้าที่รับบริจาคมา โดยรายได้จากการขายสินค้ามือสองเหล่านี้จะบริจาคเพื่อการกุศล ผู้ที่เข้ามาซื้อของที่นี่ส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง

ซีเคร็ต ซานตา กล่าวว่า ที่ทำไปเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจกับเพื่อนมนุษย์ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ซีเคร็ต ซานตา คนแรกที่ชื่อ แลร์รี่ สจ๊วร์ต (Larry Stewart) ซึ่งเป็นคนรัฐแคนซัสเหมือนกัน 
แลร์รี่ สจ๊วร์ต เริ่มเดินแจกจ่ายเงินให้กับคนยากไร้คนละ 100 ดอลลาร์ ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสตั้งแต่ปี 1979 จนถึงปี 2006 โดยไม่ขอเป็นข่าวดัง 
แต่ในปี 2006 แลร์รี่ตัดสินใจเปิดเผยตัวเพราะนิตยสารฉบับหนึ่งขอนำเรื่องราวของเขาไปเขียน
แต่น่าเศร้าที่ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2007 แลร์รี่เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งหลอดอาหาร ขณะอายุเพียง 58 ปี

แลร์รี่บอกว่าการเดินแจกเงินให้กับคนยากไร้ด้วยตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ยากไร้ไม่ต้องแบมือขอเหมือนขอทาน ไม่ต้องยืนเข้าคิวต่อแถว 
เขาแจกเงินทั้งที่แคนซัส ที่นิวยอร์ก ปี 2001 หลังเกิดเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน และที่รัฐมิสซิสซิปปี้ รัฐบ้านเกิดของเขาหลังเกิดเหตุเฮอร์ริเคนคาทรีน่า 
แลร์รี่รู้รสแห่งความยากแค้นเพราะเคยมีฐานะยากจนมาก่อน แต่ต่อมาร่ำรวยจากการทำธุรกิจด้านเคเบิลทีวี



หลังจากแลร์รี่ป่วยเป็นโรคมะเร็งหลอดอาหารไม่สามารถเดินแจกจ่ายเงินได้เขาได้ฝึก ซีเคร็ต ซานตา อีกหลายคนให้ทำหน้าที่แจกเงินแทนทั่วอเมริกา โดยเป็นเงินทั้งของแลร์รี่เอง และ ซีเคร็ต ซานตา คนใหม่อื่นๆ ที่มีฐานะร่ำรวยและใจบุญ ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังชื่อเสียง หน้าตา คำสรรเสริญ
ปัจจุบัน ซีเคร็ต ซานตา ได้มีการก่อตั้งเป็นสมาคม Society of Secret Santas เปิดให้ผู้ใจบุญสมัครเป็นสมาชิกผ่านทางเว็บไซต์ secretsantaworld.net
แม้ซานตาคลอสจะไม่มีตัวตนจริง แต่เป็นสัญลักษณ์แสดงให้เห็นถึงการให้ การแบ่งปันเพื่อสร้างความสุขแก่ผู้อื่น

คนเราไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สินเงินทอง หากมีจิตใจดี พร้อมอุทิศแรงกายในการช่วยเหลือผู้อื่น ทุกคนก็สามารถเป็นซานตาคลอสได้



.