http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2556-01-19

สกัด“น้ำเน่า”, พริกปูม“พงศพัศ”, ขนมพอสมน้ำยา, หวังว่าไม่ใช่, บุญคุณต้องทดแทน, ปัญหายุคไหน? ในคอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม

.

สกัด“น้ำเน่า”
โดย สมิงสามผลัด
  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 00:01 น.


เพิ่งเริ่มหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ก็สาดโคลนสาดกันเปรอะเปื้อนไปหมด
ในโลกออนไลน์งัดกันออกมาฟาดฟันฝ่ายตรงข้าม
ทั้งจริงบ้าง-เท็จบ้าง อุตลุด กันไปหมด

ข้อมูลบางเรื่องก็ยกเมฆกันขึ้นมาดื้อๆ ขยายความกันต่อจนกระหึ่มไปทั้งบ้านเมือง
ตัดต่อภาพป้ายหาเสียง เพื่อดิสเครดิตกันง่ายๆ

จนล่าสุด พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธานกกต.กทม.ต้องออกมาตักเตือน ห้ามใช้ความเท็จโจมตีคู่แข่งเด็ดขาด เพราะถือเป็นความผิดตามมาตรา 57 ของพ.ร.บ. เลือกตั้ง
"ขอเตือนผู้สมัครและผู้ช่วยหาเสียงให้ระวังการวิจารณ์หรือปราศรัยโจมตีใส่ร้าย ด้วยข้อความอันเป็นเท็จที่จะเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง เนื่องจากขณะนี้เริ่มมีการโจมตีเรื่องคุณสมบัติของว่าที่ ผู้สมัครบางคนตามสื่อต่างๆ กกต.กทม.ต้องจับตา เพราะการกระทำดังกล่าวอาจถือว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง" พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ระบุ
การออกมาเตือนของกกต.ครั้งนี้ เพราะมีหลักฐานแล้วว่าโจมตีกันว่า พล.ต.อ.พงศพัศมีคดีอาญาติดตัวเมื่อสมัยเรียนหนังสือที่สหรัฐนั้นไม่เป็นความจริง
มีเอกสารผลการสอบสวนชัดเจน 
เช่นเดียวกับการระบุว่า พล.ต.อ.พงศพัศ เปลี่ยนจากเดิม ไพรัช เพื่อขอพระราชทานยศพล.ต.ต.
ก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน
หากมีการนำเรื่องนี้ไปขยายผลไปหาเสียงโจมตีก็จะถือว่ามีความผิดทันที

นอกจากนี้ พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ยังเตือนถึงการนำคดีที่ดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหาม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. เกี่ยวกับการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอส มาเป็นประเด็นหาเสียงโจมตีคู่แข่ง
ก็เข้าข่ายผิดพ.ร.บ.เลือกตั้งเช่นกัน
เพราะคดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จึงยังไม่ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความผิด

ปรามกันไว้ก่อนแบบนี้ก็ดี

จะได้ไม่หาเสียงกันแบบน้ำเน่า ชาวบ้านจะได้ไม่เบื่อการเมือง



++

พลิกปูม“พงศพัศ”
โดย สมิงสามผลัด
คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 00:01 น.


พลันที่พรรคเพื่อไทยมีมติส่ง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร.และเลขาฯ ป.ป.ส. ลงสมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.
ก็มีการเปิดสโลแกนหาเสียงทันที
"วางยุทธศาสตร์ สร้างอนาคตกรุงเทพฯ ร่วมงานกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ" 
จุดขายคือทำงานร่วมกับรัฐบาลได้ ไม่มีปัญหา
ไม่ซ้ำรอยเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่กทม.ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงว่าเดินคนละทางกับรัฐบาล

นอกจากนี้ พล.ต.อ.พงศพัศเปิดใจเป็นครั้งแรกในเฟซบุ๊กว่า "ผม ขออาสาคืนความสุข สร้างรอยยิ้ม ให้กับพี่น้องประชาชนชาวกรุงเทพฯ ทุกท่าน" 
ลองพลิกดูประวัติของผู้สมัครชิงผู้ว่าฯ กทม.รายนี้
เป็น นรต.รุ่น 31 สอบได้ที่ 1 ทุกชั้นปี
ได้ทุนจากก.พ.ไปศึกษาต่อด้านอาชญาวิทยาที่มหาวิทยาลัยแซมฮิวสตันสเตต สหรัฐอเมริกา จนกระทั่ง จบปริญญาเอก
เส้นทางชีวิตราชการตำรวจ

รับตำแหน่ง ผบก.สารนิเทศในปี 2540 ได้รับ การพระราชทานยศเป็นพล.ต.ต. ซึ่งถือเป็นนายพลตำรวจ คนแรกในรุ่น

ขึ้นรองผบช.สตม. และได้เลื่อนยศเป็นพล.ต.ท.ในตำแหน่ง ผบช.ประจำตร. (ทำหน้าที่ประสานงานนายกรัฐมนตรีและมหาดไทย) ก่อนโยกมาเป็นผบช.โรงเรียนนายร้อยตำรวจ

ขยับขึ้นเป็นผู้ช่วยผบ.ตร.ในปี 2550

ถัดมาอีก 3 ปีขึ้นเป็นที่ปรึกษา (สบ 10) ด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ ติดยศพล.ต.อ. และโยกเข้าสู่ตำแหน่ง รองผบ.ตร.ในเวลาต่อมา

และได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาฯ ป.ป.ส.ควบคู่อีกตำแหน่ง



พล.ต.อ.พงศพัศเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เพราะเคยดำรงตำแหน่งโฆษกตำรวจถึง 5 สมัยซ้อน 
มีผลงานโดดเด่นด้านมวลชนสัมพันธ์ 
เป็นเจ้าของไอเดียฝากบ้านไว้กับตำรวจอันโด่งดัง 
โครงการตำรวจไฮเทคอีกหลายโครงการ 
มีผลงานปราบปรามยาเสพติดที่ยอดเยี่ยม ซึ่งไม่มุ่งเน้นแต่การกวดขันจับกุมอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับการบำบัดควบคู่ไปด้วย

เมื่อครั้งเกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2553 พล.ต.อ.พงศพัศก็ยังรับตำแหน่งเป็นโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) 
เป็นนักการเมืองหน้าใหม่
แต่เป็นตำรวจหน้าเก่าที่เชี่ยวชาญทั้งงานบริหาร และมวลชนสัมพันธ์
ที่ขันอาสาเข้ามารับใช้คนกรุงเทพฯ



++

ขนมพอสมน้ำยา
โดย คาดเชือก คาถาพัน
  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 00:01 น.


ไม่งามแน่นอนครับ ที่ทหารในเครื่องแบบจะยกพวกกันไปทีละ 40-50 คนเพื่อประท้วงอะไรที่ไหน
เพราะภาพที่ทหารหรือกองทัพพยายามสร้างให้สังคมรับรู้มาหลายสิบปี (ในฐานะที่เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ถืออาวุธอย่างถูกกฎหมายได้ไม่กี่กลุ่มในสังคม) ก็คือความเป็นสุภาพบุรุษ ความเป็นลูกผู้ชาย (ที่ไม่ได้แปลว่าเอะอะก็ยกพวกตีกันหรือใช้กำลังตัดสินปัญหา แต่เป็นคนมีเหตุผล)
จะบอกว่าไปสุภาพ ไปนอกเวลาราชการ แต่ถ้ายังอยู่ในเครื่องแบบ
ไม่งาม

เพราะฉะนั้นถูกต้องแล้วครับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ออกมาตัดไฟ ทั้งด้วยการปรามผู้ใต้บังคับบัญชา และการขอโทษสังคม
ออกรูปนี้ "เท่"กว่าตั้งเยอะ
ใหญ่จริงต้องนิ่งเป็น

ไม่ว่าจะในเมืองไทยหรือที่ไหนๆ
ผบ.ทบ.นิ่งนี่น่ากลัวกว่าผบ.ทบ.โวยวายตั้งไม่รู้กี่เท่า (ฮา)


แต่เชื่อว่าที่พล.อ.ประยุทธ์ "ยอม" นิ่งครั้งนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะให้น่ากลัว หรือไม่ได้เพราะท้อถอยจำนนอะไร
ยอมถอยให้หนึ่งก้าวเพราะไม่อยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งใน "หลุม" ที่มีคนพยายามขุดดักไว้ให้สังคมไทยตกลงไป
เมื่อไม่ต่อความยาวสาวความยืดแล้ว ดูกันต่อไปว่าตบมือข้างเดียวจะดังหรือไม่

จะยังมีรายการบิดเบือนข้อมูล มีถ้อยคำประณามหยามเหยียด หรือวาจาหยาบคายตามมาอีกหรือไม่
ไม่ใช่มองโลกในแง่ร้าย
แต่มีตัวอย่างหลายครั้งหลายกรณีในอดีตเป็นเครื่องยืนยันอยู่
ถ้ามาแก้ตัวได้หนนี้ก็สาธุ


และสำหรับองค์กรวิชาชีพสื่อที่พยายามเข้ามาเล่นบทคนกลางหรือผู้พิทักษ์คุณธรรมนั้น
คำถามมีอยู่ว่าจะพิทักษ์อะไร? 

ลูกหลานในบ้านไปขโมยของบ้านอื่น เขาตามมาทวงยังไปด่าพ่อล่อแม่ แต่ไปบอกว่าให้เลิกรากันทั้งสองฝ่าย

ไม่แยกผิดชอบชั่วดีให้ชัด ศรัทธาก็ถอยลงไปทุกที

ถ้ายังมีเหลืออยู่บ้างน่ะนะ



++

หวังว่าไม่ใช่ คำตอบที่สงสัย
โดย จ่าบ้าน 
คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 00:01 น.


มีผู้พยายามแสดงความคิดเห็นร่วมช่วยคิดแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนไม่น้อย อาจเป็นเพราะเห็นว่าเวลาผ่านมาเนิ่นนานขึ้นปีที่ 10 แล้ว แม้มีความพยายามใช้ไม่รู้กี่วิธีการในการแก้ปัญหา แต่ความรุนแรงยังเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน เช่นเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน ยังมีเหตุให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บอีก

เมื่อหลายปีก่อน สหราชอาณาจักรมีปัญหาการก่อการร้ายเกิดขึ้นในมหานครลอนดอน ทั้งการลอบวางระเบิดใหญ่หลายครั้ง เป็นเหตุให้มีผู้คนบาดเจ็บล้มตาย ทั้งรัฐบาล และตำรวจต่างหาวิธีการเข้าถึงปัญหาและนำไปสู่การเจรจา กับกลุ่มผู้ก่อการร้ายควบคู่ไปกับการปราบปรามและ ป้องปราม
ในที่สุด หลังจากเหตุเกิดขึ้นยาวนานถึง 10 ปี ประเทศอังกฤษก็กลับมาสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง
ลักษณะการก่อการร้ายในมหานครลอนดอน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของสหราชอาณาจักร ถ้าจะว่าไปแล้วร้ายแรงและรุนแรงมาก เนื่องจากไม่เพียงแต่ชาวลอนดอนเท่านั้นที่ได้รับความเดือดร้อน นักท่องเที่ยว นักธุรกิจก็เดือดร้อนไปด้วย

การแก้ปัญหาเพื่อนำไปสู่ความสงบสันติของรัฐบาลอังกฤษน่าจะเป็นแบบอย่างของรัฐบาลไทย หรือผู้รับผิดชอบความสงบภายในประเทศของเราได้เป็นอย่างดี 
แม้การก่อความไม่สงบที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดภาคใต้จะมีพื้นที่หลายจุด แต่เชื่อว่ากลุ่มผู้ก่อการไม่สงบถึงขั้นก่อการร้ายสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินของรัฐและประชาชนน่าจะเกิดจากกลุ่มเดียวกัน หรือผู้ที่มีแนวทางความคิดอย่างเดียวกัน

ไม่ทราบว่าวันนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบความสงบในสามจังหวัดภาคใต้ทราบอย่างถ่องแท้หรือยังว่า การก่อความไม่สงบที่เกิดขึ้นตั้งแต่มีการปล้นปืนในค่ายทหารเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2547 ถึงวันนี้มีกลุ่มใดบ้าง
เป็นกลุ่มที่มีอุดมการณ์ทางการเมือง กลุ่มรับจ้างก่อความไม่สงบ กลุ่มอาชญากรที่หวังผลประโยชน์ทางการค้าสิ่งผิดกฎหมาย หรือกลุ่มนักธุรกิจบางกลุ่มที่ดำเนินการผิดกฎหมายอยู่เบื้องหลัง

หวังว่าวันนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบคงมีคำตอบบ้างแล้ว

กระนั้นขอให้คำตอบไม่ใช่กลุ่มราชการที่หวังผลประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดินอย่างที่สงสัยนะครับ 



++

บุญคุณต้องทดแทน จริงหรือ?
โดย จ่าบ้าน 
คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 00:01 น.


แม้เรื่องการไปปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานสอบสวนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีเสียงไม่เห็นด้วยกับการจับสลากของนายตำรวจคนหนึ่ง ทั้งในที่สุด ผู้บังคับบัญชาระดับสูงก็ตัดสินใจให้ใช้วิธีสมัครใจของนายตำรวจเจ้าพนักงานสอบสวนเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่
ผลของการสมัครใจ ในหลายกองบัญชาการ มีผู้สมัครใจเกินกว่าจำนวนหลายแห่ง เป็นอันว่าผู้ที่จะลงไปปฏิบัติในพื้นที่ดังกล่าวครบตามจำนวนแล้ว 

กระนั้นการสมัครใจมิได้หมายความว่าเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติของการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการให้ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการเสียทีเดียว แม้พื้นที่ดังกล่าวจะเป็นพื้นที่ล่อแหลมต่ออันตรายอาจถึงแก่ชีวิต 
แต่ต้องยอมรับว่าการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการไปปฏิบัติหน้าที่ในปัจจุบันหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะข้าราชการตำรวจยังมีผลประโยชน์แอบแฝงพอตัวทีเดียว


แม้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว จะมีความพยายามไม่ให้มีการวิ่งเต้นในการโยกย้ายแต่งตั้ง เช่นเดียวกับมีคำสั่งไม่ให้ข้าราชการตำรวจเข้าอวยพรในโอกาสปีใหม่ที่ผ่านมา กระนั้นภาษิตไทยที่ว่า "ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็น" ก็ยังใช้ได้อยู่ 

เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ พลตำรวจเอกอชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการตำรวจ ให้ความเห็นไว้ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่วางตลาดขณะนี้น่ารับฟัง โดยเฉพาะที่ว่า
"ทุกวันนี้ผู้มีอำนาจในการแต่งตั้งได้รับใบสั่งจากฝ่ายนโยบายการเมือง และใบสั่งอย่างไม่เป็นทางการจากบุคคลอื่นที่เคยมีความสัมพันธ์ มีบุญคุณต่อกัน หัวหน้าส่วนราชการถึงทางตัน คือรับฝากไม่ไหว...ยกตัวอย่าง ผบ. อดุลย์ ผ่านงานมากี่หน่วย กี่กองบัญชาการ...มีคนมีบุญมีคุณมากมาย ทุกคนมีสายสัมพันธ์ส่งเสริมกันมา ถ้าคนเหล่านี้ขอ พล.ต.อ.อดุลย์หมดทุกคน...แค่ 50 คน คนละตำแหน่ง จะทำอย่างไร พอไม่ได้ก็เสียมิตรหมด"

พลตำรวจเอกอชิรวิทย์ให้ความเห็นว่า "ถ้าวันนี้เราสนับสนุนให้คนมีความรู้ ความสามารถ มีที่ยืน ได้มาเป็นผู้บริหาร องค์กรจะดี"
แล้วทิ้งท้ายให้คิดว่า "ผู้มีอำนาจกล้าจะทำหรือไม่"
นั่นซิท่านผู้กำกับ



++

ปัญหายุคไหน?
โดย สมิงสามผลัด
  คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 00:01 น.


มีหลายฝ่ายเตือนไว้แล้วว่าปัญหาพื้นที่ทับซ้อนปราสาทพระวิหาร จะลุกลามวุ่นวายอีก
หากมีการหยิบยกเรื่องนี้เป็นประเด็นการเมือง
เพราะความขัดแย้งเรื่องเขตแดนของ 2 ประเทศ ต้องแก้ปัญหาด้วยการทูต
ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในการหาข้อสรุป

แต่กลับมีบางกลุ่มบางพวกจุดประเด็นคลั่งชาติ 
เพื่อใช้เป็นอาวุธเล่นงานรัฐบาล 
ผลักไสให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นพวกไม่รักชาติ


การเรียกร้องให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาลโลกกรณีปัญหาปราสาทพระวิหารนั้น
ต้องย้อนถามว่าแล้วการถูกลากเข้าสู่เวทีศาลโลกเกิดขึ้นในสมัยไหน 
หากจำกันได้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมัยที่ยังเป็น นายกฯ เป็นคนเซ็นตั้งทีมทนายไปสู้คดีที่ศาลโลกเมื่อ ปี 54 

ฉะนั้น การเข้ามาต่อสู้คดีเขาพระวิหารของรัฐบาลนี้ 
เป็นการแก้ปัญหาที่เกิดในยุครัฐบาลที่แล้วด้วยซ้ำ


ล่าสุดก็มีข่าวดีว่าทางการกัมพูชาเตรียมพระราชทานอภัยโทษให้กับน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ 
โดยจะปล่อยตัวได้ 1 ก.พ.นี้ ในช่วงงานพระราชพิธีพระศพสมเด็จพระนโรดมสีหนุ
ส่วนนายวีระ สมความคิด จะได้ลดหย่อนโทษให้เป็นเวลา 6 เดือน
เพื่อเตรียมพระราชทานอภัยโทษในคราวต่อไป

การเจรจาปล่อยตัวทั้งคู่ครั้งนี้ มีนายกฯยิ่งลักษณ์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังโทร.หารือกับนายกฯฮุนเซนเอง 
หากจำกันได้กรณี "วีระ-ราตรี" ถูกทางการเขมรจับกุมพร้อมกับนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ขณะยกขบวนข้ามแดนไปกัมพูชา
เป็นที่มาของวาทะกระฉ่อนเมือง
"อย่าให้ใครรู้นะ เพราะมีนายกฯ(อภิสิทธิ์)รู้อยู่คนเดียว"



นี่ก็ชัดเจนว่าปัญหา "วีระ-ราตรี"ก็เกิดขึ้นในรัฐบาลที่แล้ว
ต่อมามีการช่วยเหลือ กลับมาได้บางคน
แต่กลับปล่อย"วีระ-ราตรี"โดนจองจำในคุกเปรย์ซอร์นาน 2 ปี

การเจรจาช่วยเหลือทั้งคู่ จึงถือเป็นผลงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

เป็นการแก้ปัญหาที่ก่อในยุครัฐบาลเก่าอีกครั้ง



.
Admin ไม่สามารถเข้าถึงบทความประจำที่นำเสนอมาร่วม 2ปีเสียแล้ว จึงจะไม่ได้เสนอครบถ้วนเหมือนเคย..ขออภัยผู้ติดตามทุกท่านด้วย