.
ปีใหม่ โลกไม่แตก แต่ประเทศไทย...ร้าว กรุงเทพฯ ไม่แตก...แต่ต้องเปลี่ยนตามโลก
โดย มุกดา สุวรรณชาติ คอลัมน์ หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 04 มกราคม พ.ศ. 2556 ปีที่ 33 ฉบับที่ 1690 หน้า 20
โลกไม่แตก...แต่กำลังเสื่อมสลาย
สัปดาห์ก่อนไปงานเลี้ยง ปีใหม่ 2013 มา บนเวทีเขียนว่า...ต้อนรับโลกใหม่...เด็กๆ บอกว่าโลกเก่าแตกสลายไปเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2012 แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ในโลกใหม่
นักวิทยาศาสตร์คำนวณอายุโลก ว่าน่าจะประมาณ 4,500 ล้านปี ปัจจุบันยังไม่แน่ใจว่าสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดของโลกอยู่ในช่วงไหน และจะเริ่มนับจุดเสื่อมสลายจากตรงไหน แต่เป็นไปตามหลักสัจธรรมของการเปลี่ยนแปลงเสื่อมสลาย
แต่โลกที่มีอายุหลายล้านปี เวลาพังทลายหรือเสื่อมสลาย มิได้กินเวลาเพียงสองสามวันแบบในหนัง แต่จะใช้เวลาที่ยาวนานอาจเป็นหลายพันปีก็ได้ ถ้าหากไม่มีมนุษย์มาเร่ง ก็อาจยิ่งนานกว่านั้น
ตอนนี้การพังทลายของโลกอาจเริ่มมาแล้วหลายปี ถ้าเรายืนมองภูเขาน้ำแข็งที่ขั้วโลกที่กำลังแตกสลายลง เห็นป่าไม้ที่กำลังถูกทำลาย การเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศและอุณหภูมิในโลกจนถึงสภาพสังคม คำพยากรณ์ว่าโลกแตก ถ้าเปลี่ยนเป็นยุคแห่งการล่มสลายได้เริ่มขึ้น นับว่าใกล้เคียงความจริงกว่า
แต่ไม่มีใครรู้ว่าขั้นตอนของการเสื่อมสลายจะเป็นอย่างไร? อีกนานแค่ไหน?
ปัจจุบันมนุษย์จำนวนมหาศาล บริโภค ทำลาย และสะสมทรัพยากร ทุกอย่าง จึงเปลี่ยนแปลงสมดุลของโลกให้สู่ภาวะที่เสื่อมสลายอย่างรวดเร็ว ถ้านับว่าโลกมีปัญหาตั้งแต่ 100 ปีที่ผ่านมา ก็ยังจะมีปัญหาเพิ่มขึ้นอีกใน 100 ปีข้างหน้า และจะยิ่งมีมากขึ้นในอีก 100 ปีต่อไป
คนที่อยู่ในยุคสมัยต่างๆ ต้องรู้จักแก้ปัญหาและปรับตัวกันเอง
ต่อไปคนทั้งโลกอาจต้องใช้กฎหมายร่วมกันเพื่อความอยู่รอด
การเปลี่ยนแปลงในสังคมมนุษย์
ย้อนกลับมาดูการเปลี่ยนแปลงในโลก ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งแวดล้อมพื้นผิวโลกหรือบรรยากาศ แต่มีการเปลี่ยนทางสังคม และทางวิทยาศาสตร์ เราจึงต้องปรับตัวตามให้ได้ บางคนยังหลงอยู่ว่าตัวเองอยู่ในยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ คนในเมืองขี่รถ คนบ้านนอกขี่ควาย
แต่นี่เป็นโลกยุคใหม่ ลูกหลานเราไม่ว่าอยู่ที่ไหนๆ ก็ใช้โทรศัพท์มือถือ นักเรียนเปลี่ยนจากใช้กระดานชนวน มาเป็นกระดานอิเล็กทรอนิกส์แล้ว
เมื่อก่อนเราเรียนรู้เรื่องสังคมจากครอบครัวและเพื่อนบ้าน เรียนรู้ทางวิชาการจากโรงเรียนและครูบาอาจารย์ เกือบ 100%
แต่วันนี้ การถ่ายทอดแบบบอกเล่าและสั่งสอนมาจากสื่อต่างๆ เกินกว่าครึ่ง ความสำคัญของระบบโรงเรียนจะลดลงไปเรื่อยๆ ในอนาคตจะเหลือเพียงวิชาเฉพาะบางอย่างเท่านั้น เด็กๆ จะเรียนรู้เรื่องทั่วไปจากสื่อต่างๆ ด้วยตนเอง
ในสังคมปัจจุบันแม้ไม่สังเกต แต่ก็สามารถพบเห็นคนต่างชาติอยู่รอบตัวเรามากมาย ทั้งในฐานะนักท่องเที่ยว คนค้าขาย แรงงาน นักลงทุน ขึ้นรถไฟฟ้า เข้าไปในเมืองก็จะได้ยินภาษาต่างชาติหลายภาษาปนเปไปกับภาษาไทย หลังจากเข้าสู่ AEC ในปลายปี 2558 สภาพการเป็นสังคมสากลจะมีมากขึ้นอีก
มีคนถามว่า ในสังคมที่เปลี่ยนไปขนาดนี้ ยังจะมีการรัฐประหารอีกหรือไม่ ในช่วงสองสามปีนี้เป็นเรื่องมีโอกาสเกิดได้ยากแต่ถ้าเกิดขึ้น การโต้ตอบ ด้านหนึ่งจะมาจากคนต่างชาติ พวกเขาไม่ได้ยกกำลังเข้ามาบุกบ้านเรา แต่ตลาดหุ้นจะถูกถล่มให้ราคาร่วงไปติดพื้นในสามวัน การถอนทุน ถอนเงินจะเกิดขึ้นจนเศรษฐกิจพินาศภายในไม่กี่เดือน
เพราะวันนี้เราผูกติดประเทศไทยไว้กับโลกแล้ว
ตัวอย่างการส่งเสริม BOI ไป ถึงพม่า
ประเทศไทยไม่ได้เดินแนวทางจักรวรรดินิยม พม่าไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของไทย แต่นี่เป็นการลงทุนในระบบทุนนิยมที่ปัจจุบันไม่มีเขตแดน ประเทศไทยจึงร่วมลงทุนกับพม่า
เหมือนเรามีเพื่อนที่มีทีดินทำเลดีอยู่หัวหิน ติดชายหาด แต่เขาไม่มีทุน ชวนเราไปร่วมลงทุนสร้างคอนโดมิเนียม
วันนี้ชายทะเลเมืองทวายมีทำเลทางยุทธศาสตร์ด้านการค้าและการลงทุนทางอุตสาหกรรมที่ดีเด่นในระดับโลก
นโยบายของรัฐบาลนี้ ต้องถือว่าลึกซึ้งจริงๆ ที่สามารถเชื่อมทวายให้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย
ถ้าเปิดแผนที่โลกดู เส้นขนานที่ 14 ซึ่งอยู่เหนือกรุงเทพฯ จะเป็นตัวบอกว่านี่เป็นการเชื่อมร้อยโลกให้ติดต่อกันได้สะดวกและรวดเร็ว
ไทยและพม่าได้ขยายเขตแดนที่ไม่เพียง 2 ประเทศได้ประโยชน์แต่ยังสร้างประโยชน์ให้ทั้งโลก
การค้าในระบบทุนระดับโลกวันนี้ เรามีทั้งร่วมมือและแข่งขันกับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ในขณะที่เราจะออกไปแข่งขันเท้าข้างหนึ่งกลับติดอยู่ในหลุมแห่งรอยร้าวทางการเมืองในประเทศ
ประเทศไทย เกิดรอยร้าว แม้ไม่มีแผ่นดินไหว
โลกไม่แตก แต่ประเทศไทยมีรอยร้าว แม้ไม่ได้ตั้งอยู่ในวงแหวนแห่งไฟ (Pacific Ring of Fire) ซึ่งตลอดความยาวประมาณ 40,000 กิโลเมตร มีภูเขาไฟทั้งหมด 452 ลูก ประเทศเราไม่มีสักลูก แต่เราสร้างภูเขาไฟแห่งความอยุติธรรมขึ้นมาเอง และรอให้มันระเบิด
วันนี้ความร้อนทางการเมืองระอุ จนความคิดได้แตกแยกไปแล้ว สังเกตได้จากกรณีที่เกิดการรัฐประหาร ล้มรัฐบาล ยึดสนามบิน ยึดทำเนียบ ยึดถนน ยิงประชาชน แต่ผู้คนธรรมดาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลและฝ่ายค้านกลับมีความเห็นต่างกัน คนส่วนหนึ่งบอกว่าผิด คนอีกส่วนหนึ่งบอกว่าไม่ผิด ทั้งๆ ที่เห็นภาพในจอโทรทัศน์เหมือนกัน อ่านข่าวเหมือนกัน
คนที่จะชี้ถูกชี้ผิดก็ไม่ได้รับความเชื่อถือ ยิ่งนานวันยิ่งไม่เหลือสักคน ดังนั้น ที่พูดว่าปัญหาเหลืองแดงเป็นกีฬาสี วันนี้มันไม่ใช่กีฬาสีอีกแล้ว แต่เป็นการเลือกข้าง เป็นรอยร้าวที่แตกแยก จนอาจจะก่อให้เกิดสงครามได้ ในอนาคต
การแตกแยกทางความคิดเป็นเรื่องธรรมดา หลายประเทศก็มีเรื่องแบบนี้ แต่พวกเขาก็หาวิธีกำหนดกฎเกณฑ์ ที่จะอยู่ร่วมกัน ตั้งแต่รัฐธรรมนูญจนถึงกฎหมายย่อยๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่ต้องยอมรับ ข้อตกลงจึงจะสามารถทำให้อยู่ร่วมกันได้โดยสันติ
แต่รัฐธรรมนูญปัจจุบันของเราแทนที่จะแก้ปัญหากลับกลายเป็นปัญหา
ความอยุติธรรมสร้างรอยร้าวไม่สิ้นสุด
รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยแบบใหม่ ที่มีแห่งเดียวในโลก เพราะอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ อยู่ใต้อำนาจตุลาการ และตุลาการก็ไม่ต้องมาจากประชาชน
ดังนั้น ถ้าจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ รบกวนร่างให้ประชาชนใช้อำนาจอธิปไตยชี้ชะตาบ้านเมืองได้บ้าง
ส่วนเรื่องสิทธิ เสรีภาพของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ไม่เท่ากัน บางคนต้องติดคุกบางคนได้ประกัน ผู้ต้องหาที่มาจากต่างประเทศจะได้สิทธิสภาพนอกอาณาเขต ได้ปล่อยตัวโดยวิธีพิเศษ เหมือนกับยอมรับว่ากฎหมายเราบางมาตราล้าหลัง คนต่างชาติไม่เข้าใจระบบยุติธรรมของเรา ที่สามารถตัดสินคดีได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่ดูว่าจำเลยและโจทก์ใส่เสื้อสีอะไรก็รู้ว่าใครถูก ใครผิด
รอยร้าวทางความคิดสามารถทำลายประเทศให้เสียหายยิ่งกว่าแผ่นดินไหว
ดังนั้นเราจึงต้องหาข้อตกลงร่วมกันให้ได้
มีบางคนบอกว่ายากมากแต่มีความเป็นไปได้ เพราะเมื่อถึงเวลาวิกฤติ ประชาชนจะต้องร่วมตัดสินใจหาทางออกให้ประเทศแบบสันติจะได้ยุติความวุ่นวาย ถ้าไม่ทำก็อยู่อย่างแตกแยกอย่างนี้ต่อไปจนขยายเป็นสงคราม การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 อาจเป็นตัวชี้วัด ถ้าแก้ได้แสดงว่าคนส่วนใหญ่อยากใช้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือในการเลือกผู้ปกครองและแก้ปัญหา
ถ้าไม่มีใครสนใจแก้ไข แสดงว่าคนไทยยอมให้ความขัดแย้งดำรงอยู่ ถ้าประเทศไทยจะกลายเป็นแบบซีเรียก็ต้องโทษตัวเอง ที่ทำให้ประเทศร้าวและแตกในที่สุด
กรุงเทพฯ ไม่แตก แต่ต้องเปลี่ยนให้ดีขึ้น
วันนี้กรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองหลวงและตั้งอยู่ที่เดิม แม้มีอุทกภัยมาขู่ขวัญแต่คงจะไม่ย้ายไปไหน ผู้คนหวังจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ปัญหามากมายของกรุงเทพฯ คงมีคนขุดขึ้นมาบรรยายในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. ที่จะมาถึงในเดือนกุมภาพันธ์นี้ คงต้องรอดูนโยบายของผู้สมัครทั้งหลาย แต่คู่แข่งหลักวันนี้ยังเป็น เพื่อไทย กับ ประชาธิปัตย์ (ปชป.)
พรรค ปชป. แม้ไม่อยากส่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ลงสมัคร แต่แทบไม่มีทางเลือก เพราะถึงอย่างไรคุณชายหมูและทีมงานก็จะลงแข่ง และสามารถลงสมัครแบบอิสระได้ ความพร้อมของทีมมีมากกว่าคนอื่น เสบียงกรัง กำลังรบมีพร้อม พรรคไม่ช่วยไม่ว่า แต่อย่าส่งคนอื่นมาตัดคะแนน และอย่าเอาเลือดมาเปื้อนทีมผู้ว่าฯ จะทำให้เสียคะแนนคนกลางๆ เพราะมีคนที่ไม่ชอบความขัดแย้งแบบมีสี
แต่ทีมบริหาร ปชป. มองว่า คุณชายหมูแกจะเป็นหมูจริงๆ เวลาลงสนาม อาจจะพ่ายแพ้ในยกหลังๆ จึงคิดจะเปลี่ยนตัว
แต่นี่คล้ายกีฬา แข่งม้า ต้องใช้ทั้งนักกีฬาและม้า ต้องซ้อมหนักทั้งม้าทั้งคน คุณชายมีม้าและซ้อมหนัก มีผู้สนับสนุน คนอื่นแม้จะพอขี่ม้าได้ แต่ไม่มีเงินซื้อม้า และไม่ได้ซ้อม ถ้าส่งลงไปแข่งม้าอาจจะเบียดกันเองจนล้มกลางสนามได้
ถ้ากรรมการ ปชป. กล้าคัดคุณชายทิ้ง หมายความว่า การเปลี่ยนแปลงในพรรคจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นในระยะใกล้นี้ เพราะการนำของพรรคจะตกอยู่ในมือคนกลุ่มเดิม
แต่ทีมวิเคราะห์ยังมองว่าการทำพิธีคัดคนลงสมัคร ของ ปชป. เป็นแค่พิธีกรรม ถ้าคุณชายยืนยันว่าจะลงสมัคร ไม่มีทางที่พรรค ปชป.จะกล้าแตกหัก อย่างมากก็ขอคัด รองผู้ว่าฯ พ่วงไปสัก 2 คน
นอกจากนี้ ปัญหาของ ปชป. ยังไปผูกกับหัวหน้าพรรคซึ่งถูกกล่าวหาหลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องหนีทหาร หลักฐานเท็จ คดีที่เกี่ยวพันการปราบประชาชนจนมีผู้เสียชีวิตเป็นร้อย การเลือกตั้งครั้งนี้คะแนนที่ได้จึงมีส่วนผสมของสีการเมือง+นโยบายและการบริหารเมือง+ความสามารถของคน
พรรคเพื่อไทย ได้ตัว พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ มาเป็นแรมเดือนแล้ว แม้พยายามหาให้ทีเด็ดกว่านี้ก็ไม่ได้ แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปิดตัวเร็ว ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นคือ ในขณะที่พงศพัศถูกกำหนดให้เป็นมวยซุ่ม หลายคนเลยคิดว่าแกคงจะไม่อยากลง
แต่เกมนี้ไม่มีช่องว่างให้เปลี่ยนแปลง เกมของพรรคเพื่อไทยถูกกำหนดแล้ว และมีจุดหมายที่ชัยชนะเช่นกัน
พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ คือคนที่รับฟังคนอื่น เชื่อฟังโค้ช ขึ้นเวทีก็ต่อยตามแผน และพลิกแพลงเป็นเมื่อมีปัญหา หลังแข่งขันแล้วไม่ว่าแพ้หรือชนะยังดูแลกันได้ ตามทิศทางหลักของพรรค ในสงครามยืดเยื้อ เพื่อไทยต้องการคนแบบพงศพัศไว้เป็นแม่ทัพเพื่อบริการประชาชน
ความได้เปรียบที่มีคือการเป็นทีมเดียวกับรัฐบาล หมายความว่าการประสานงาน และดำเนินงานโครงการใหญ่ จะเดินหน้าได้จริง และรวดเร็ว โอกาสที่จะได้ใช้โครงข่ายรถไฟฟ้าเชื่อมในกรุงเทพฯ และนอกเมืองจะรวดเร็วขึ้น ไม่ว่าใครจะรักจะเกลียดเพื่อไทยอย่างไรแต่ทุกคนรู้ว่า โครงการหรือนโยบายที่เพื่อไทยประกาศออกมา ถ้าได้รับเลือกพวกนี้ทำแน่
พงศพัศจะเก่งมากน้อยไม่สำคัญ แต่นโยบายจะถูกผลักจากทีมงานทั้งระดับรัฐบาลและท้องถิ่น
วันนี้เพื่อไทยใช้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เดินแผนงานใหญ่ที่จะแก้ปัญหาจราจรโดยระบบขนส่งมวลชน ต้องใช้กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นจุดเชื่อมการคมนาคมระหว่างประเทศ กรุงเทพฯ จะเป็นเมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางของ AEC ในอนาคต
ในที่สุด การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก็ไม่ใช่ สำหรับคน กทม. เท่านั้น แต่โยงไปทั้งโลก โลกที่กำลังเปลี่ยน
.
Selected Messages & Good Article for People Ideas and Social Justice .. หวังความต่อเนื่องของพลังประชาธิปไตยและการเลือกตั้งของปวงชนอันเป็นรากฐานอำนาจอธิปไตย เพื่อกำกับกติกาและอำนาจการเมือง-อำนาจตุลาการ ไม่ว่าต่อคนชั่ว(เพราะใคร?) และคนดี(ของใคร?) ไม่ให้อยู่เหนือนิติรัฐของประชาชน
http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย