http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2556-01-02

จง“ยินดี”กับการได้ไปไหนมาไหน, “กะหรี่” โดย ทราย เจริญปุระ

.

จง “ยินดี” กับการได้ไปไหนมาไหน
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com  คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 33 ฉบับที่ 1689 หน้า 80 


แล้วอีกปีนึงก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว 
แปลกดีที่รู้สึกแบบนี้ ทั้งที่จำนวนวันในแต่ละปีก็เท่ากัน (ถึงจะมีวันเพิ่มขึ้นหนึ่งวันทุกๆ สี่ปีก็ตาม) มาตั้งแต่ไหนแต่ไร และคงจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แม้ฉันจะจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม 


สำหรับฉัน, ปีนี้จะว่าดีก็ดี จะว่าไม่ดีก็ได้ 
เพราะก็มีทั้งเรื่องดีบ้างร้ายบ้างสลับกันไป แต่ส่วนใหญ่ฉันจะมองทุกปีว่ามันก็เหมือนกัน แค่ตัวเราโตขึ้นอีกนิด มีเรื่องแปลกๆ มีคนใหม่ให้ได้ทำความรู้จักก็เท่านั้นเอง
ฉันเคยผ่านช่วงปีใหม่ที่แสนเงียบเหงามาแล้ว 
ปีใหม่ที่หมกตัวเองอยู่ในห้อง ฟังเสียงพลุ ฟังเสียงคนตะโกนสวัสดีปีใหม่ให้กันแว่วมาจากท้องถนน เห็นบรรยากาศการเฉลิมฉลองผ่านทางโทรทัศน์ 
มันแย่, แต่เดี๋ยวมันก็ผ่านไป 

ทุกเรื่องในชีวิตมีกลไกของมันที่จะผ่านพ้นไปได้เสมอ 
หมดหน้าเทศกาลฉันก็ออกไปทำอะไรได้เป็นปกติ 
ยิ่งช่วงไหนงานเยอะๆ ยุ่งๆ ต้องออกจากบ้านทุกวัน ฉันยิ่งอยากจะอยู่แต่ในห้องตัวเอง 
ซุกตัวไว้ใต้ผ้าห่ม นอนอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ เสียด้วยซ้ำ 
ที่อยากแบบนี้เพราะฉันยังมีทางเลือก
ฉันรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ฉันอยากออกจากบ้านฉันก็ออกได้


ไม่เหมือนเธอคนนั้น 
คนที่ถูกลักพาตัวไปขังเอาไว้ในห้อง


มีชีวิตอยู่แค่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ รอคอยเวลากลางคืนมาถึงเพื่อที่คนที่จับตัวเธอมาจะได้ข่มขืนเธอ 
และลำเลิกบุญคุณว่าดีแค่ไหนแล้วที่เขาจับเธอมาขังเอาไว้ให้ปลอดภัยจากโลกภายนอก ปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ จากเชื้อโรคต่างๆ
ลูกของเธอก็จะได้ปลอดภัยจากพวกที่ชอบทำร้ายเด็กเป็นนิสัยด้วย 
ใช่, เธอมีลูก จากการโดนเขาข่มขืนติดต่อกันมาหลายปี

เด็กชายคนนั้นชื่อแจ๊ค

"สําหรับแจ๊ควัยห้าขวบแล้ว โลกของเขาคือห้องขนาดสิบเอ็ดคูณสิบเอ็ดฟุต ห้องคือที่ที่เขาเกิด ที่ที่เขาเล่น กิน นอน และที่ที่มีแม่ เพียงแต่เขาจะต้องเข้าไปนอนในตู้เสื้อผ้าหลังสามทุ่ม ก่อนที่เฒ่านิคจะมาหาแม่ หลังจากประตูส่งเสียง บี๊ป บี๊ป 
แจ๊คในตู้เสื้อผ้าอันมืดมิดจะคอยฟังว่าเฒ่านิคพูดอะไรกับแม่บ้าง และเขาทำอะไรบ้าง 

สำหรับแจ๊คนั้น โลกนี้คือห้องทั้งใบ
แต่สำหรับแม่ ห้องนี้คือคุก... 
ตอนสี่ขวบ แม่ไม่เคยบอกเขาว่าข้างนอกมีอะไรบ้าง 
แต่ผู้ชายที่อายุห้าขวบนั้นโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
และแม่ก็อยากออกไปข้างนอกแล้วด้วย..."*



หนังสือเล่มนี้เป็นการเล่าเรื่องโลกในมุมของแจ๊ค 
ซึ่งก็คือห้องที่เขาอาศัยอยู่กับแม่ 
มันคือโลกใบเล็กมาก และแม้จะออกมาได้ในที่สุด แจ๊คก็ไม่เข้าใจนักหรอกว่าโลกภายนอกมันดีกว่าตรงไหน 
บางทีเขาก็อยากกลับไปอยู่ใน "คุณห้อง" ของเขา
แต่ข้างนอกก็น่าสนใจดี และแม่ของเขาก็ดูจะชอบมันมากกว่าด้วย

หนังสือเล่าเรื่อยๆ แบบไม่บีบคั้นทั้งที่สามารถจะทำแบบนั้นได้ง่ายๆ ผ่านหลายเหตุการณ์เร้าอารมณ์ที่อยู่ในหนังสือ 
ตอนอ่านฉันออกจะเบื่อนิดๆ ด้วยซ้ำ อ่านแบบเรื่อยๆ เปื่อยๆ ไม่รู้สึกตื่นเต้นติดตามอะไร ไปจนถึงจุดหนึ่งที่อยากพักสายตาจากหนังสือแล้วเดินลงไปเอาน้ำในครัว 
พอเดินออกมาจากห้องแล้วฉันก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาว่า มันจะเป็นอย่างไรนะ ถ้าเราเบื่อแล้วก็ยังไปไหนไม่ได้ ไม่มีท้องฟ้าให้เห็น ไม่มีทัศนียภาพใดๆ ไม่มีการเปลี่ยนอิริยาบถที่ไปไกลเกินกว่าขนาดห้อง 
ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีการแว้บออกไปซื้อของปากซอย ไม่มีหน้าต่างให้เปิด 
ไม่มีอะไรเลย




ขอให้เราจงยินดีกับการได้ไปไหนมาไหนตามใจตัวเองในทุกๆ วัน 
แม้มีบ้างบางทีต้องเดินทางไปตามหน้าที่ชีวิต แต่ทุกอย่างก็มีวันจบลง เราจะได้เลิกงาน ได้กลับบ้าน ได้ไปเที่ยวสังสรรค์ 
เท่านี้ก็คงจะดีพอแล้วกระมัง สำหรับชีวิตของคนคนหนึ่ง
สวัสดีปีใหม่ค่ะ


* * * * * * * * * * * * * * * * * * *

" เด็กชายในห้องปิดตาย "(Room) เขียนโดย เอ็มมา โดโนฮิว แปลโดย ปัญญ์  ฉบับพิมพ์ครั้งแรก สำนักพิมพ์ แพรว ธันวาคม, 2555



++

“กะหรี่”
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com  คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 33 ฉบับที่ 1688 หน้า 80


คนไทยเป็นเชื้อชาติที่ด่าได้ยอกย้อนและเจ็บปวด 
เทียบกับคำด่าฝรั่งที่มีไม่กี่คำ ด่ากันซ้ำไปซ้ำมาแล้ว 
ของไทยต้องนับว่าชนะขาดลอย
อาจเป็นเพราะเรามักไม่พูดกันตรงๆ วิจารณ์กันตรงๆ แต่เก็บมาพูดกันเอง 
จะด้วยอยากวิจารณ์หรือพูดเอาสะปากก็เถอะ 
ภาษาด่าของเราถึงได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อน กระทบกระเทียบเปรียบเปรยไปได้แบบต่อให้ไม่เห็นตัว 
แต่พอได้ยินคำด่าก็นึกภาพออกเป็นฉากๆ

เขาว่าคำด่าที่เจ็บปวดและดูจะได้รับความนิยมที่สุด 
ก็คือคำด่าที่พาดพิงไปเกี่ยวกับผู้หญิงหากิน 
ไล่มาตั้งแต่นับญาติว่าเป็นลูก เป็นแม่ เป็นสามีของเธอเหล่านั้น 
ไปจนถึงด่ากันตรงๆ ดื้อๆ ว่าเจ้าตัวเป็นเสียเอง 

เห็นใครที่ไม่ถูกตาถูกใจเกิดมีอาการร่าเริงสดใสขึ้นมาล่ะก็ 
พนันได้เลยว่าเดี๋ยวจะต้องมีคำด่าประเภทนี้ลอยมาเข้าหู 
ซึ่งก็มักจะได้ยินบ่อยๆ 
เพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์ สุดท้ายก็ไม่พ้นความร่าเริง 
แล้วพอร่าเริงขึ้นมาเมื่อไหร่ คนที่ไม่ชอบเขาก็ได้สมใจ ใช้คำด่ามาระบุตัวตนทันที
ทั้งดอกทอง, โสเภณี, ชอกการี ไปจนถึงง่ายๆ ลุ่นๆ อย่าง "กะหรี่"

บางทีได้ยินแล้วก็ให้นึกถึงคนที่ประกอบอาชีพนี้ 
โดนด่าทั้งทางตรงทางอ้อมทุกวันๆ โดยไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคู่ขัดแย้งนั่นแม้แต่น้อย 
ด่าคนที่แม้ไม่ได้ทำอาชีพ แต่มีกริยาอาการบางอย่างให้ขวางตาก็ตีกระทบไปถึงงานขายบริการทางเพศ 

อาจเพราะเธอเหล่านี้ไม่ใช่คนกลุ่มใหญ่ของสังคม อาชีพก็ดูเป็นสีเทาๆ
แลกความออดอ้อนฉอเลาะและสิ่งที่คนส่วนใหญ่เขาทำให้กันฟรีๆ เพื่อสิ่งที่เรียก ว่าความรักกับเงิน
เลยตกเป็นเหยื่อความสะปากกันไปได้ง่ายๆ



เราเองอาจจะบอกว่าเราก็พูดไปอย่างนั้น 
คนบางคนมันแย่กว่ากะหรี่เสียอีก 
แต่ไม่รู้จะด่าอย่างไรให้สาสม ก็เลยได้แต่พูดไปซ้ำๆ ด้วยความมันปาก

ว่าคนนั้นกะหรี่อย่างนี้ คนนี้กะหรี่อย่างนั้น 
เบะปากใส่ ทำตัวห่ออย่างขยะแขยง เลี่ยงได้เลี่ยง หลบได้หลบไม่ขอข้องแวะด้วย 

โดยไม่ได้คิดหรอกว่าเธอเหล่านั้นก็เป็นคน 
และการตัดสินใจของกะหรี่ก็มีส่วนช่วยคนดีๆ ได้หลายคน



13 บุปผาแห่งนานกิงยกเอาฉากหนึ่งในสงครามอันอื้อฉาวมาใช้  
ก่อนจะใส่ตัวละครอันมีสีสันเพิ่มเข้าไป 
เรื่องจริงจะเป็นเช่นนี้หรือไม่, ไม่มีใครยืนยันได้ 
หรือที่จริงต้องบอกว่า, แทบจะไม่มีใครรอดมายืนยันได้


ช่วงทหารญี่ปุ่นบุกยึดเมืองนานกิงในปี 1937 นั้นถือว่าเป็นความเลวร้ายอย่างที่สุด จากพฤติกรรมที่นอกจากจะยึดเมืองด้วยเล่ห์กลทางการทหารแล้ว 
ยังฆ่าคนไปเป็นจำนวนมาก 
โดยไม่ได้แค่ฆ่าเฉยๆ 
แต่ยังข่มขืนและกระทำทารุณต่อผู้หญิงและเด็กแทบทุกชีวิตในเมืองนั้น

คนที่รอดมาได้ไม่ได้รอดเพราะความเมตตา 
แต่รอดเพราะโชคชะตาส่วนตัวและความช่วยเหลือของคนบางกลุ่ม 
ตามประวัติศาสตร์จริง ผู้ช่วยให้รอดนั้นส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ 
บ้างเป็นหมอ บ้างเป็นนักการทูต

แต่หนังสือเล่มนี้เลือกหยิบเอาชะตากรรมที่รอดพ้นความวิบัติครั้งนั้นของนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่ง 
ซึ่งมีชีวิตต่อมาได้ด้วยความช่วยเหลือของผู้หญิงจากหอนางโลม

ใช่, เธอรอดตายเพราะกะหรี่


อาจเพราะพวกเธอเคยถูกกดขี่มาจนเคยชิน 
อาจเพราะพวกเธออยากพิสูจน์ให้ได้เห็นว่าเธอก็มีประโยชน์ 
อาจเพราะเธออยากทำให้ดูว่าสิ่งที่รังเกียจกันนั้น สุดท้ายมันก็คืออำนาจที่จะต่อรองและซื้อเวลา 
อาจเพราะเธออยากให้เห็นว่าไม่มีอะไรสำคัญเกินกว่าจะแลกกับชีวิต


ชีวิตของคนดีๆ ที่พร่ำด่าแล้วชักสีหน้ารังเกียจใส่พวกเธออยู่ทุกวันนั่นล่ะ 
จะอะไรก็เถอะ 
ฉันเห็นใจพวกเธอ 
ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีสิทธิเป็นได้ทั้งนางฟ้าและกะหรี่
ขึ้นอยู่กับว่าฉันจะไปปรากฏตัวต่อหน้าใคร
และเขาจะชอบใจฉันหรือไม่

ถ้าชอบ, ฉันก็เป็นนางฟ้า 
ถ้าไม่ชอบ, ฉันก็เป็นกะหรี่คนหนึ่ง


ไม่ได้วัดจากความประพฤติหรือข้อเท็จจริงอะไร

เขาดูกันง่ายๆ ที่ใจของพวกเขานั่นเอง



.