http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2556-01-06

‘เหนือเมฆ’ ยังมีวัฒนธรรมการเซ็นเซอร์ โดย ประวิตร โรจนพฤกษ์

.

ประวิตร โรจนพฤกษ์: ‘เหนือเมฆ’ ยังมีวัฒนธรรมการเซ็นเซอร์
ใน www.prachatai.com/journal/2013/01/44522 . . Sat, 2013-01-05 18:29
( ..อ้างอิง FB  ละคร ไทยทีวีสี ช่อง 3 (Ch3's Drama), www.facebook.com/somsakjeam ...)


ประวิตร โรจนพฤกษ์
@PravitR




ก่อนอื่นขอประณามผู้ใดก็ตามที่อยู่เบื้องหลังการเซ็นเซอร์ตอนท้ายของละครเหนือ เมฆทางช่อง 3 เพราะการเซ็นเซอร์ เป็นการดูถูกสติปัญญาประชาชน ว่าแยกแยะถูกผิด จริงเท็จ ไม่ออก – ไม่แม้แต่ละครโทรทัศน์

ผู้บริหารไทยทีวีสีช่อง 3 ไม่ได้พยายามอธิบายเหตุผลการเซ็นเซอร์อย่างฉับพลันของละครเรื่องนี้ (ที่ถูกมองว่าสามารถตีความพาดพึงถึง ทักษิณ ชินวัตร ในทางลบได้) นอกจากการประกาศทางเฟซบุ๊กว่าตัดสินใจเซ็นเซอร์เพราะ ‘เห็นว่าเนื้อหาบางช่วงบางตอนไม่เหมาะสมกับการออกอากาศ’ 
การบอกว่า อะไร ‘ไม่เหมาะสม’ โดยมิได้อธิบายว่าไม่เหมาะสมอย่างไร คือการไม่ใช้เหตุผลกับผู้ชมและสาธารณะ พูดง่ายๆ แบบกำปั้นทุบดินก็คือ ‘กูจะเซ็นเซอร์ของกู ละครของกู กูไม่ต้องอธิบายว่าทำไมก็ได้’

ผู้เขียนไม่ทราบว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจเซ็นเซอร์อย่างแท้จริง และขอเรียกร้องให้ดาราเหนือเมฆ พนักงาน และนักข่าวช่อง 3 ที่พอมีข้อมูลพยานหลักฐาน มีความกล้าทางจริยธรรมที่จะออกมาเปิดเผยต่อสังคม หรือส่งข้อมูลเท็จจริงให้สาธารณะทราบ
ผู้เขียนจะไม่แปลกใจหากช่อง 3 จะตัดสินใจทำเองเพราะเกรงใจทักษิณ (เพราะในแง่หนึ่ง ผู้เขียนก็ไม่เคยเห็น SMS ท้ายจอช่อง 3 ที่มีข้อความเรียกร้องให้แก้ ม.112 เลย หากมีแต่ข้อความอวยเจ้า แถมมีคนที่รู้จักบอกว่าเคยส่ง แต่ไม่เห็นขึ้นจอ)

แต่หากมีคนใกล้ชิดทักษิณทำโดยยกหูโทรศัพท์ไปยังผู้บริหารเพื่อขอให้เซ็นเซอร์ นั่นก็เป็นปัญหาต่อเสรีภาพในการแสดงออกและรับรู้ข้อมูลข่าวสารซึ่งรวมถึง ละครทีวี ของสังคม 
และถ้าคนเหล่านี้คิดว่าจะเป็นผลดีต่อทักษิณ พวกเขาก็คงโง่บรมและคิดผิด เพราะเรื่องเหนือเมฆกลับกลายเป็นข่าวดังหน้าหนึ่งและในโลกไซเบอร์ แม้แต่ผู้เขียนเองซึ่งไม่เคยดูละครเรื่องนี้ ก็ยังต้องมานั่งเขียนบทความ

ไม่ว่าเบื้องหลังการเซ็นเซอร์จะเป็นอย่างไร รัฐบาลควรเรียกร้องสนับสนุนให้มีการออกอากาศฉายละครเรื่องนี้จนจบบริบูรณ์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งรวมถึงเสรีภาพในการแสดงออกที่อาจถูกตีความว่าไปวิพากษ์หรือเป็นทางลบ เกี่ยวกับทักษิณด้วย  และต้องการให้มีการออกอากาศฉายละครเหนือเมฆจนจบ


ผู้เขียนขอเรียกร้องให้ประชาชนคนเสื้อแดงที่เชื่อมั่นในเสรีภาพการแสดงออกและ การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งรวมถึงสิทธิในการได้รับชมละครที่อาจพาดพึงทักษิณ ออกมาแสดงจุดยืนให้ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการเซ็นเซอร์ทุกรูปแบบ

เสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร เป็นสิทธิพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย เสรีภาพและสิทธินี้ไม่ได้มีไว้เฉพาะเพื่อกลุ่มใดเพียงกลุ่มเดียวในสังคม 
หากคุณเชื่อในเสรีภาพการแสดงออกอย่างแท้จริง คุณต้องยินดีที่จะปกป้องสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของบรรดาผู้ที่ต้องการ วิพากษ์คุณ และ/หรือคนที่คุณรักนับถือเทิดทูนบูชา ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นกษัตริย์ ทักษิณ หรือผู้ใดก็ตาม

การที่ประชาชนยอมรับให้มีการเซ็นเซอร์รูปแบบหนึ่งได้ โดยมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ (ไม่ว่าเรื่อง ม.112 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หรือละครเหนือเมฆ หรือหนัง Shakespeare Must Die) สุดท้ายผลกระทบด้านลบก็จะตกแก่สังคมโดยรวม และบรรดาผู้ที่สนับสนุนการเซ็นเซอร์ก็จะได้รับผลกระทบจากการเซ็นเซอร์ด้วยใน ที่สุดอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


คนที่รักเจ้าอย่างไม่รู้จักพอเพียงควรมองให้ทะลุถึงแก่นว่า แท้จริงแล้ว การเซ็นเซอร์ละครเหนือเมฆ ไม่ว่าจะมีผู้ใดอยู่เบื้องหลัง มันก็มีรากตรรกะแบบเดียวกับการเซ็นเซอร์ข้อมูลด้านลบเกี่ยวกับสถาบัน กษัตริย์ เพราะมันมีตรรกะพื้นฐานร่วมอยู่ตรงที่ว่ามีผู้มีอำนาจได้ตัดสินใจแทนประชาชน ไปก่อนแล้วว่า อะไรบ้างที่ประชาชนควรรับรู้และไม่ควรรับรู้

ในขณะเดียวกัน คนเสื้อแดงที่คิดว่าตนสนับสนุนเสรีภาพการแสดงออกและประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ก็ควรตระหนักเช่นกันว่า คุณไม่สามารถปกป้องเสรีภาพการแสดงออกและสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของ สังคมอย่างแท้จริงได้ หากคุณเลือกปกป้องเพียงสิทธิเสรีภาพของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น



ถ้าประชาชนปล่อยให้วัฒนธรรมการเซ็นเซอร์เป็นเรื่องปกติยอมรับได้ ไม่ว่ากรณีข้อมูลด้านลบเกี่ยวกับเจ้าหรือกรณีละครเหนือเมฆ ป้ายหน้าของสังคมไทยก็คงจะใกล้เกาหลีเหนือยิ่งขึ้นทุกที


ปล. ดาราเหนือเมฆ สินจัย เปล่งพานิช ได้โพสต์ในอินสตาแกรมในวันที่ 2 มกราคม 2556 ว่า ‘ ฉันเชื่อและศรัทธาในความดี… อย่ากลัวที่จะเป็นคนดี อย่าอายที่จะทำดี ’ ผู้เขียนอ่านแล้วก็ขอเขียนว่า ‘ ฉันเชื่อและศรัทธาในเสรีภาพการแสดงออก…อย่ากลัวที่จะยืนหยัดเพื่อเสรีภาพในการแสดงออกและการรับรู้ข้อมูลข่าวสารละคร อย่าอายที่จะปกป้องเสรีภาพการแสดงออกและสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและละคร ของฝ่ายตรงข้ามหรือคนที่เห็นต่างจากคุณ ’



.