http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2556-02-06

ขอโทษนะ โดย คำ ผกา

.

ขอโทษนะ 
โดย คำ ผกา
ที่มา “คำ ผกา” เขียนถึงกรณีสมยศและนักโทษการเมือง “ขอโทษนะ-ประชาชนเขาไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว”
ในมติชน ออนไลน์ วันที่ 06 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 เวลา 06:00:00 น.
จาก บทความ "ขอโทษนะ" มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 1-7 กุมภาพันธ์ 2556
ภาพจากเพจ Chulalongkorn Community for the People (CCP)



เปรยกับเพื่อนหลายคนว่า "ไปไม่เป็นแล้ว" สำหรับการเฝ้ากระตุกให้สังคมไทยตระหนักถึงปัญหาสำคัญของประเทศไทยนั่นคือ ภาวะที่เรากำลังเดินออกห่างจากหลักการประชาธิปไตยสากลจนกลายเป็นความแปลกหน้าต่อกันอย่างสิ้นเชิง

หลายๆ คนบอกว่า เมืองไทยมีปัญหาไม่มีพื้นที่สำหรับคน "คิดต่าง"-เรื่อง "คิดต่าง" ตามหลักสากลที่สังคมพึงมีขันติธรรมต่อคนคิดต่างนั้น ออกจะกลับตาลปัตรกับสังคมไทยอยู่มาก

เช่น สังคมที่ยึดถือคุณค่าของประชาธิปไตย ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าคนรักประชาธิปไตยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศพึงมีขันติธรรมต่อคนที่ไม่เชื่อในประชาธิปไตย อาจจะเชื่อในสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เชื่อในเผด็จการ เชื่อในแนวคิดของการปฏิเสธอำนาจรัฐโดยสิ้นเชิง
หรือสังคมที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก การเคารพคนคิดต่าง อาจหมายถึงการเคารพคนที่นับถือศาสนาอื่นๆ ที่ไม่ใช่คาทอลิก หรือเคารพคนที่ไม่นับถือศาสนา

สำหรับฉันนี่คือหลักการของการมีขันติธรรมต่อคนที่คิดต่าง

แต่ในสังคมไทยกลับตาลปัตร เพราะคน "คิดต่าง" ในสังคมไทยนั้นมักเป็นคนที่มีความคิดเหมือนคนในนานาอารยประเทศ อันไม่จำเป็นต้องมี "ขันติ" ให้เป็นพิเศษ เพราะเป็นความคิดที่ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร 
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ในบริบทของสังคมไทยคนที่ถูกเรียกร้องให้ได้รับความเป็นธรรมและขันติธรรมจากสังคมคือ คนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ เช่น การบอกว่า "คุณสมยศไม่ได้ทำอะไรผิด เขาแค่คิดต่าง"

หากการต่อสู้เพื่อสิทธิ เสรีภาพในสังคมไทยกลายเป็นความ "คิดต่าง"
นั่นแสดงว่าเราได้ยอมรับโดยดุษฎีว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ปฏิเสธคุณค่าประชาธิปไตย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เป็นสากล เท่ากับเราได้ยอมรับไปโดยไม่รู้ตัวว่าสังคมของเราเป็นสังคมอนารยะ ป่าเถื่อน เพราะมีแต่สังคมที่ป่าเถื่อนเท่านั้นที่เห็นว่าต้องมีขันติธรรมให้กับความ "อารยะ" และมีแต่สังคมเผด็จการเท่านั้นที่เห็นว่าต้องมีขันติธรรมต่อความเชื่อเรื่องประชาธิปไตย 

(ซึ่งย้อนแย้งอย่างมาก เพราะมีแต่หลักการของประชาธิปไตยเท่านั้นที่มีหลักประกันความปลอดภัยให้กับคนที่คิดต่าง แต่ในสังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตยย่อมไม่มีการให้คุณค่าเรื่องขันติธรรมต่อความคิดต่างโดยปริยาย
เมื่อเป็นดังนี้คุณสมยศและคนอื่นๆ ที่คิดเหมือนคุณสมยศจึงติดคุก)


ในกรณีของ สมยศ พฤกษาเกษมสุข ซึ่งองค์กรระหว่างประเทศที่กังวลเรื่องสิทธิมนุษยชนล้วนแต่เต้นเร่าและตบอกผาง แสดงความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเมืองไทย แต่คนไทยกลับไม่กังวลต่อเรื่องนี้เท่ากับนโยบายรถคันแรกทำให้รถติดวายป่วงหรือการจำนำข้าวจะทำให้มีเมล็ดข้าวท่วมทับหัวคนไทยจนมิดหัวมิดหู มีข้าวชื้น ขึ้นรา น่าละอาย ขายไม่ออก
จากวันนั้นถึงวันนี้ดูเหมือนประชาชนผู้ตื่นรู้ทางการเมืองเหล่านี้จะลืมไปแล้วว่าจำนำข้าวคืออะไร? และไม่ได้สนใจอีกต่อไปแล้วว่าข้าวในสต็อกของรัฐบาลจะขายออกหรือไม่ เพราะติดนิสัยเป็นกระต่ายตื่นตูมดราม่าป้อน feed ในเฟซบุ๊กกันไปเป็นวันๆ


มันน่าตระหนกมากสำหรับสังคมที่อวดอ้างความเป็นเมืองที่เคร่งครัดต่อศรัทธาทางศาสนา สังคมที่มักโอ่อวดความศรัทธาความดี จริยธรรม ศีลธรรม สังคมที่หนังสือเบสต์เซลเลอร์ของทุกสำนักพิมพ์คือหนังสือธรรมะ และหนังสือที่มุ่งชำระความผุดผ่องทางจิตวิญญาณ สังคมที่สัดส่วนของทรัพยากรจำนวนมหาศาลถูกนำไปใช้ในการสร้างสถานปฏิบัติธรรม รูปปั้น รูปเคารพบูชา อาราม ไม่รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการบุญบูชาที่มีอย่างหลากหลาย และมีพลังในการสร้างสรรค์กิจกรรมรูปแบบใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง

สังคมเดียวกันนี้เอง ที่เพิกเฉยต่อความไม่เป็นธรรมที่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันต้องเผชิญ และมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่เพียงแต่เพิกเฉยแต่ผสมโรงสมน้ำหน้า บ้างถึงขั้นสาปแช่งให้ไปตาย



ไม่แต่กรณีสมยศ หลังการสลายการชุมนุม มีคนถูกจับเข้าคุกเพราะการกระทำอันมีมูลเหตุมาจากแรงจูงใจทางการเมืองจำนวนมาก และในจำนวนมากของจำนวนมากนั้นมิได้กระทำความผิดร้ายแรงอย่างที่ถูกกล่าวหา บ้างเป็นแค่ไทยมุง บ้างถูกหิ้วไปซ้อม บังคับให้รับสารภาพในชั้นพนักงานสอบสวน
จำนวนมากเป็นคนชายขอบของชายขอบซึ่งไม่อาจมีต้นทุนทางสังคมใดๆ มาปกป้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง เช่น เป็นคนจน เป็นโนบอดี้ไม่มีใครรู้จัก เป็นแค่คนหาเช้ากินค่ำ บ้างเป็นคนพิการแต่ถูกจับยัดอาวุธกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย 
แน่นอนนี่คือกลไกการหาแพะมาสังเวยความสาแก่ใจของสังคมที่ลุซึ่งอำนาจ ลุ่มหลงในตนเอง โลกแคบ และขาดการศึกษา

เรื่องราวที่แสนสะเทือนใจและสะเทือนโครงสร้างทางสังคม (หากตั้งเป้าเอาไว้ว่าอยากสร้างสังคมที่เป็นธรรม อยากลดความเหลื่อมล้ำทางอำนาจอย่างที่พวกคนดีกินภาษีบาปมักสำรอกออกมาเป็นนิตย์) เหล่านี้กลับไม่เคยมีพื้นที่สำหรับ "ส่งเสียง" ของพวกเขาออกมาในสื่อไม่ว่าจะเป็นสื่อเสรี สื่อฟรี สื่อสาธารณะ ที่สำรอกคำว่าศีลธรรม ความดีงาม พลังของคนเล็กๆ ออกมาวันละห้าเวลาหลังอาหาร หลังตื่นนอน และก่อนนอน

ราษฎรอาวุโส, พระนักกิจกรรมเพื่อสังคม, นักรณรงค์ต่อสู้เพื่อสิทธิของสื่อ, นักสิทธิมนุษยชน และผู้รักความเป็นธรรม เกลียดนักการเมือง เพรียกหาพลังภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ทั้งหลาย-กี่ปีแล้วที่พวกท่านนั่งเป็นพระอิฐพระปูน เป็น "ทอง" ไม่รู้ร้อน ต่อความฉ้อฉลในโครงสร้างทางการเมืองและความยุติธรรมที่เกิดขึ้นซึ่งๆ หน้า 
และเรียกประชาชนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างจากคุณว่าพวกเผาบ้านเผาเมือง เป็นขี้ข้าทักษิณและ "ไม่ดี" พอที่จะเป็น "ภาคประชาชน"


ทุกวันนี้ "ประชาชน" กลุ่มหนึ่งต้องติดคุก และถูกปฏิเสธสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนพึงมีนั่นคือสิทธิในการประกันตัว-คนเหล่านี้ถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เท่าที่ได้ยินจากพวกท่านคือ "ความเงียบ" 
เงียบราวกับว่าเราอยู่คนละโลกและคนเหล่านี้มิได้อยู่ในข่ายของความยุติธรรมที่มนุษย์ทั่วไปพึงได้รับ


เหตุผลง่ายๆ ที่ไม่มีใครยอมรับอย่างกล้าหาญ คือเพียงเพราะเขามีจุดยืนทางการเมืองต่างกับพวกท่าน ท่านก็ไม่เห็นเขาเป็นคน ไม่มีพวกเขาอยู่ในสายตา ไม่มีค่าพอที่ท่านจะออกมาปกป้องแม้ว่าการปกป้องพวกเขาจะเท่ากับการปกป้องและยืนยันในหลักการของความเป็นธรรมที่พวกท่านเพรียกหา หรือแม้แต่หน้าด้านสถาปนาตัวเองเป็นตัวแทนแห่งความเป็น "ธรรม" 
ถ้าคนเหล่านี้ยังมีความละอายอยู่บ้าง น่าจะซื่อสัตย์กับตัวเองพอที่จะไม่เรียกตัวเองว่านักสิทธิมนุษยชน หรือกรรมการสิทธิมนุษยชน

แต่เรียกตนเองให้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า "คณะกรรมการทำลายสิทธิมนุษยชนให้สิ้นซากเพื่อต่อต้านความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตยและสกัดกั้นความเข้มแข็งของประชาชนในทุกวิถีทาง" หรือ "คณะกรรมการส่งเสริมเผด็จการแห่งชาติ"



สื่อที่อ้างตัวเป็นสื่อสาธารณะน่าจะประกาศตัวชัดเจนไปเลยว่าเป็นสื่อที่รังเกียจประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง ปรารถนาประเทศที่ปกครองโดยเอ็นจีโออาวุโสเพราะเชื่อมั่นในคุณธรรมความดีของคนที่ทำมาหากินจากอาชีพ "ช่วยชาวบ้าน"

เราอาจเรียกการปกครองระบอบนี้ว่า เอ็นจีโอธิปไตย ก็ไม่เห็นแปลกอะไรหากชอบในหลักคิดและวิธีการทำงานของพวกเขาอย่างแท้จริง ส่วนจะปกครองประชาชนได้อย่างไรก็ต้องหาวิธีจัดการล้างสมองประชาชนให้เชื่องกันเอง
-และอาจจะยากนิดหน่อย เพราะที่เห็นทุกวันนี้ก็พยายามทำอยู่ไม่สำเร็จ

มันเป็นตลกร้ายสำหรับการเมืองไทยที่ถูกคนกลุ่มหนึ่งตั้งค่ามาตรฐานของวัฒนธรรมการเมืองเอาไว้ว่า การเลือกตั้งคือความฉ้อฉล นักการเมืองคือตัวแทนความสามานย์ ประชาธิปไตยเสียงข้างมากต้องมีการถ่วงดุลจาก ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ทรงคุณธรรม ผู้ทรงไว้ซึ่งศีลธรรม ผู้เป็นปราชญ์
จนในที่สุดมาลงเอยที่ นักการเมืองถูกควบคุม ตรวจสอบ วิพากษ์ วิจารณ์
แต่ไม่มีใครตรวจสอบ ควบคุม วิพากษ์วิจารณ์ คนดี มีคุณธรรม หรือผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายราวกับว่า หากใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ หรือเป็นตัวแทนศีลธรรมอันดีก็จะอยู่ในสถานะที่ไม่พึงถูกตั้งคำถามอีกต่อไป 
คนที่ไปตั้งคำถามต่อพฤติกรรม และอุดมการณ์ของผู้ทรงคุณวุฒิ คุณธรรมเหล่านั้นต่างหากที่ชั่วช้า บังอาจ กำเริบ เหิมเกริม ถือดี

แต่บรรดาผู้ทรงคุณวุฒิ คุณธรรมที่อยู่เหนือการวิพากษ์ วิจารณ์ อันมีอยู่ดาษดื่นหลายร้อยหลายพันคนในประเทศไทยกลับสามารถนั่งดูเพื่อนร่วมชาติถูกสังหารหมู่จากอาวุธสงครามของกองทัพอย่างไม่สะทกสะท้าน


ใครก็ตามที่อ่านมาถึงตรงนี้ช่วยเอ่ยชื่อ "คนดี" ออกมาสักคนว่ามี "คนดี" คนไหนบ้างที่ออกมาประกาศกร้าวว่า ไม่ว่าจะในเงื่อนไขไหน รัฐบาลก็ไม่มีสิทธิเคลื่อนอาวุธสงครามออกมาฆ่าประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐ 
แต่ก็เปล่า ทั้งนี้เพราะเปิดหน้ากากสังคมไทยออกมาจริงๆ เราจะพบว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่รังเกียจประชาธิปไตยอย่างถึงรากถึงโคน

ชนชั้นนำของไทยไม่เคยปรารถนาจะเห็นอำนาจการเมืองอยู่ในมือของประชาชน
พวกเขาอุตส่าห์คิดหาคำศัพท์ขึ้นมามากมายเพื่อกลบเกลื่อนความรังเกียจประชาธิปไตยของพวกเขาไม่ว่าจะเป็น ธรรมาธิปไตย, ระบอบการคานอำนาจนักการเมืองด้วยสภาประชาชนที่คัดสรรมาจากผู้ทรงคุณวุฒิ คุณธรรม, อำนาจขององค์กรกลาง, องค์กรอิสระ, ปราชญ์ชาวบ้านในฐานะผู้นำตามธรรมชาติ
แต่เบื้องหลังแนวคิดเหล่านี้ทั้งหมดเป็นไปเพื่อดิสเครดิตการเมืองจากการเลือกตั้งทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เสียงจากการเลือกตั้งของประชาชนเข้มแข็ง และหากจะมีการกวาดล้าง ฆ่า หรือจับใครเข้าคุกกันบ้าง "คนดี" เหล่านี้จึงพร้อมใจกันไปเป่าสาก บ้างไปเลี้ยงหลาน บ้างทำเบลอใส่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เผลอๆ ก็โผล่บทความสำแดงความดีด้วยการเขียนเรื่อง "การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม" ออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์ เพื่อรักษาภาพพจน์คนดีรักความเป็นธรรม


ปัญหาการละเมิดสิทธิ เสรีภาพในสังคมไทยตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องของการไม่มีขันติธรรมต่อคนคิดต่าง 

แต่เป็นสงครามระหว่างกลุ่มคนที่ต้องการเคลื่อนประเทศไปสู่ความเป็นสมัยใหม่
กับกลุ่มคนที่อยากผูกขาดความเป็นสมัยใหม่ไว้ที่ชนชั้นตนเองเท่านั้น
และอยากเก็บชาวบ้านไว้กับความป่าเถื่อนเพื่อกดขี่บีฑาอย่างที่สุดและนับวันจะเลือดเย็นมากขึ้นทุกที


ขอโทษนะ-ประชาชนเขาไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ร่วมคลิกไลค์เป็นแฟนเพจมติชนสุดสัปดาห์ผ่านทางเฟซบุ๊ก
ได้ที่ www.facebook.com/matichonweekly




.