http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2557-04-11

“คนดี” กับอำนาจหน้าที่, +ความเป็นไทยอันประเสริฐ โดย ใบตองแห้ง

.

“คนดี” กับอำนาจหน้าที่
โดย อธึกกิต แสวงสุข

ใน ข่าวสดออนไลน์ วันศุกร์ที่ 11 เม.ย 57 เวลา 00:01 น. 
( ที่มา: คอลัมน์ ใบตองแห้ง นสพ.ข่าวสด 11 เม.ย 57 )


ปลัดกระทรวงยุติธรรม กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก (และได้รับเสียงเชียร์จากคนอีกฝ่าย) จากการเปิดห้องพูดคุยต้อนรับ สุเทพ เทือกสุบรรณ และพรรคพวก ซึ่งประกาศตนเป็น "รัฏฐาธิปัตย์"

นี่ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าราชการระดับสูงถูกวิพากษ์วิจารณ์ เพราะปลัดกระทรวงสาธารณสุขประกาศจุดยืน "เลือกข้าง" ชัดเจนไปก่อนแล้ว แต่ต่างกันที่คุณกิตติพงษ์เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกระทรวง "ยุติธรรม" ซึ่งดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ และทำงานประสานกับอัยการสูงสุด

ซึ่งแปลว่าคุณกิตติพงษ์มีอำนาจให้คุณให้โทษ ต่อสุเทพ และแกนนำ กปปส. ผู้ต้องข้อหา "กบฏ" (โดยยังไม่นับคดีปิดถนนปิดสถานที่ราชการทำลายทรัพย์สิน ฯลฯ อีกสารพัด)

คุณกิตติพงษ์ชี้แจงว่าที่เชิญแกนนำ กปปส.มาพูดคุย เพราะเกรงจะเกิดเผชิญหน้า ซึ่งก็พอฟังได้ แต่ที่หลายคนข้องใจคงเป็นการที่คุณกิตติพงษ์แสดง "ความเห็นส่วนตัว" ในประเด็น "ปฏิรูป" เออออไปกับ กปปส. แม้เรียกร้องให้ถอยคนละก้าว มาพูดคุยกันระหว่างยังไม่มีเลือกตั้ง ซึ่งฟังดูเป็น "ความปรารถนาดี" แต่ก็มีคำถามว่าท่านแยกแยะบทบาทตัวเองออกหรือเปล่า ระหว่าง "ผู้ปรารถนาดี" กับปลัดกระทรวงยุติธรรมที่ต้องทำหน้าที่

ถ้าท่านไปพูดในเวทีอื่นเป็นส่วนตัว ไม่ใช่ในเก้าอี้ปลัด ในห้องรับรองของปลัด จะน่าฟังมากครับ


อันที่จริง คุณกิตติพงษ์เป็นคนที่ยกย่องได้เต็มปากว่า "คนดี" มีทัศนะเปิดกว้าง มีบทบาทมีผลงานด้านปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม แต่นั่นก็ยิ่งย้อนแย้ง เมื่อถูกถามว่าคุณกิตติพงษ์ยอมรับการ "ปฏิรูป" ด้วยการกระทำผิดกฎหมายของ กปปส.ได้อย่างไร


กรณีคุณกิตติพงษ์ยังมีข้อถกเถียงกันได้ ผมยังไม่อยาก "ฟันธง" เพียงอยากยกเป็นอุทาหรณ์ เพราะถึงอย่างไรก็ยังไม่น่าเกลียดเท่าข้าราชการบางส่วน ที่ "เลือกข้าง" อย่างเปิดเผย ไม่คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ที่กินเงินภาษีประชาชน

ข้าราชการที่เข้าร่วมม็อบ มักอ้างเสรีภาพทางการเมืองที่จะ "เลือกข้าง" นอกเวลาราชการแล้วทำอะไรก็ได้ ใช่ครับ ถ้าคุณเป็นข้าราชการธรรมดา เลิกงานไปม็อบไม่มีใครว่า ขึ้นเวทีด่ารัฐบาลก็ยังไหว ถ้าไม่มีอำนาจหน้าที่ให้คุณให้โทษใคร

แต่ลองเป็นหัวหน้าส่วนราชการ มีผู้ใต้บังคับบัญชา ลองคิดดูว่าเหมือนกันไหม
ข้อแรก การเลือกข้างทางการเมืองจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ไหม
ข้อสอง ส่งผลให้เกิดความหวั่นไหวต่อผู้ใต้บังคับบัญชาหรือไม่



ผู้จัดการบริษัทเป่านกหวีด พนักงานไม่พอใจก็ออกไป แต่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนกหวีด ติดป้ายสัญลักษณ์หน้าที่ทำงาน พยาบาล คนงาน ใต้บังคับบัญชา ถ้าเห็นต่างจะทำอย่างไร เขาทำตัวลำบากใช่ไหม นี่ไม่ได้ว่าม็อบฝ่ายไหน เพราะถ้า ผอ.ใส่เสื้อแดงเดินอาดๆ ก็มีปัญหาเหมือนกัน

เพียงแต่ที่เกิดขึ้นแล้วก็คือ เมื่อผู้บริหารประกาศตัวชัดเจน ล่ารายชื่อไล่รัฐบาล ก็เอาชื่อข้าราชการ ลูกจ้าง ใส่ทุกคน บอกว่าใครไม่เห็นด้วยให้ถอนชื่อออก โห ใครมันจะกล้า

ท้าทายไปกว่านั้น ชมรมแพทย์ชนบทยังเอารถโรงพยาบาลสนาม จากสุราษฎร์ธานีมาใช้ในม็อบ แพทย์หลายกลุ่มอ้างว่ามาตั้งโรงพยาบาลสนามในกรุงเทพฯ เบิกเบี้ยเลี้ยง ค่าเดินทาง ได้อีกต่างหาก

ตลกไหมครับ ถ้านึกภาพ ร.พ.หนองอีแหนบ (นามสมมติ) อยู่ท้องถิ่นกันดาร แต่แพทย์มาตั้งโรงพยาบาลสนามที่สีลม


นี่ยังไม่พูดถึงการใช้อำนาจหน้าที่ครู อาจารย์ พาเด็กนักเรียน นักศึกษา มา "ทัศนศึกษา" หรือทำรายงานพิเศษ


สังคมไทยกำลังเผชิญปัญหาที่ต่อสู้ทางการเมืองกัน แล้วไม่รู้จักแยกแยะอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบ ออกจากความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ นักวิชาการ ไปจนกระทั่งสื่อ

เมื่อเชื่อว่าตัวเองกำลังทำเพื่อเป้าหมายที่ "ดี" ก็พร้อมจะ "ฉ้อฉล" อำนาจหน้าที่เพื่อบรรลุเป้าหมาย

กระทั่งผู้มีอำนาจหน้าที่สำคัญระดับชาติ ก็ยังกล้าๆ ประกาศว่าขอลำเอียงเพื่อประชาชน จะทำงานใหญ่ ต้องกล้าลำเอียง




นี่เป็นปัญหาอย่างมาก ต่อระบบและอนาคตของสังคม ถ้าคุณคิดว่าจะ "ฉ้อฉลต่อหน้าที่" เพื่อเป้าหมายที่คุณเห็นว่าดี แล้วอะไรคือสิ่งที่คุณยึดถือว่าดี เอาเข้าจริงก็เป็นทัศนะที่มองโลกแบบขาวดำ ดีสุดขั้ว ชั่วสุดขีด เชื่อว่าวันนี้ทำลายเป้าหมายนี้ไป พรุ่งนี้โลกจะสดใส วันนี้นรก พรุ่งนี้สวรรค์ ซึ่งมันไม่ใช่

การปฏิรูปประเทศ การสร้างสังคมที่มีอนาคต ต้องใช้เวลา ต้องวางระบบ สถาปนากติกา ทำให้ผู้คนตระหนักต่อหน้าที่ มีความรับผิดชอบ


การใช้อำนาจหน้าที่เพื่อเป้าหมายทางการเมืองอย่างฉาบฉวย ไม่เพียงไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ดีงาม แต่สุดท้ายในความต้องการเอาชนะ ก็จะยอมรับเอาใครก็ตามที่ฉ้อฉลต่อหน้าที่เพื่อเป้าหมายเดียวกัน เข้ามาเป็นพวก ทำให้เกิดพวก "ฉวยโอกาส" ห้อยโหนขบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเพื่อฟอกตัวเป็น "คนดี"

ทั้งที่คนกลุ่มหลังนี้ปลิ้นปล้อน ฉ้อฉลต่อหน้าที่ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และจะเป็นปัญหาต่อไปในอนาคต




++

ใบตองแห้ง: ความเป็นไทยอันประเสริฐ
ใน www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU56SXpNRGd3TVE9PQ
. . วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 00:01 น.



ปีใหม่ไทยเป็นช่วงรำลึกถึง "ความเป็นไทย" ไถ่ถาม "ความเป็นไทย" ว่ายังสบายดีอยู่หรือ ในยุคสมัยที่วิถีชีวิตเปลี่ยนไป ถึงยังลอยกระทง ยังเล่นสงกรานต์ แต่ก็มีผู้ทุกข์ร้อนห่วงใย จนลอยกระทงกลายเป็น "คืนเสียตัว" สงกรานต์กลายเป็น "เทศกาลห้ามตาย"

แหม จะสนุกหน่อยก็ไม่ได้ ห้ามนู่นห้ามนี่ จนแทบจะหมอบกราบรดน้ำ ถึงถูกต้องตามประเพณีไทย

หลายปีมานี้ กระแสหวงแหน "ความเป็นไทย" ขึ้นสูงปรี๊ด พร้อมกับจิตสำนึก "ความเป็นชาติ" ซึ่งประหลาดหน่อยๆ ไม่ได้ปลุกไปรบกับต่างชาติที่ไหน รบกับคนไทยด้วยกันเอง (เพียงแต่เวลาคนต่างขั้วมาม็อบ ก็ตัดต่อภาพให้เป็นพม่า เขมรไปเสียฉิบ)

กระแสหวงแหนความเป็นไทย เป็นภาคผนวกของ "กระแสศีลธรรม" ซึ่งปลุกขึ้นมาต้าน "นักการเมืองชั่ว" "ต้านโกง" ไล่มันให้พ้นไปจากแผ่นดินไทย ไม่ให้เป็น "คนไทย"



อันที่จริงการปลุกกระแสศีลธรรม ปลุกความเป็นไทย เป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่สิ่งผิด แต่ปลุกแล้วผูกขาดไปเป็นของตัวนี่สิ

น่าสังเกตว่า ปลุกไปปลุกมา ศีลธรรมและความเป็นไทยกลายเป็นของผู้ลากมากดี คนชั้นกลาง ชาวกรุง ซึ่งไปงานสัปดาห์หนังสือ ซื้อธรรมะท่านพุทธทาสและประวัติศาสตร์พระนเรศวรมาเต็มตู้ ขณะที่คนไทยบ้านๆ กลายเป็นคนลาว สปป.ล้านนา หรือพวกไร้การศึกษา ไม่มีวัฒนธรรม สงกรานต์ก็ขึ้นรถกระบะสาดน้ำ ประแป้ง เมาแอ๋ เปิดเพลงดังลั่น แดนซ์กันกระจาย

แหม่ สงกรานต์ไทยแท้เมาแอ๋แต่โบราณนะครับ เพราะเป็นการเฉลิมฉลองฤดูผลิตใหม่ ข้าวที่เก็บเกี่ยวไว้หมักใส่ไหกำลังได้ที่ สมัยนี้ก็แค่อย่าเมาแล้วขับ ถ้าไม่เป็นอันตรายกับใคร ม.ต.ล.ว.ก็สิทธิส่วนตัว


น่าสังเกตว่า ปลุกไปปลุกมา "ความเป็นไทย" กลายเป็นอะไรที่ดีงามสูงส่ง วิเศษกว่าใคร ทั้งที่คนชาติไหนก็มีข้อดีข้ออ่อน "ความเป็นไทย" กลายเป็นอะไรที่งามพร้อมแต่โบราณ แต่มาถูกทำลายเพราะวัฒนธรรมตะวันตก นักการเมือง และ "ทุนสามานย์" ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 2475 ประเทศไทยคงไปโลด

ปั่นถึงขีดสุด "คนไทยเหนือชาติใดในโลก" เพราะคนไทยไม่ต้องตามก้นฝรั่ง ไม่เอาเลือกตั้ง ไม่เอาประชาธิปไตย ก็ทำให้ประเทศเจริญได้ คนไทยจะคิดค้นระบอบการปกครองที่ดีกว่า ดีที่สุด ที่ไม่มีใครเคยคิดได้ ไม่มีใครเคยทำได้ เราเป็นชาติแรกในจักรวาลที่ "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง"

ฝรั่งโง่ บังอาจวิพากษ์วิจารณ์ นักข่าวฝรั่งที่หาว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ถูกทักษิณซื้อไปแล้วทั้งนั้น

ว่าแต่หลังห้ำหั่นกัน 8 ปี เราเคยย้อนถาม "ความเป็นไทย" ไหมว่ายังสบายดีอยู่หรือ "สยามเมืองยิ้ม" วันนี้ยิ้มแบบไหน ทำไมเห็นแต่แสยะ



ประเพณีไทยแท้แต่โบราณ ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ ยังมีอยู่ไหม น่าจะมีครับ แต่ถามก่อนว่าสีไหน ที่จริงไม่ได้กีดกัน แต่ต้องเห็นใจ ไม่งั้นก๊งเหล้าไปจะกลายเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์

คนไทยขี้เกรงใจ อันที่จริงมีข้อเสีย คือไม่รู้จักประท้วง เพื่อสิทธิของตัว แต่ก็ไม่น่าตั้งตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ปิดถนน ปิดเมือง ยกขบวนขึ้นทางด่วน รถติดยาวเหยียดไม่เกรงใจใคร (แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเกรงใจท่าน)

คนไทย แต่โบราณสอนให้เอาใจเขาใส่ใจเรา แต่ทำไมขัดแย้งทางการเมืองแล้วปิดกั้นความเห็นต่าง ไม่ยอมให้เลือกตั้ง แล้วบีบคอ ทำร้ายคนไปเลือกตั้ง ทำร้ายข้าราชการไปทำงาน

เมืองไทยเมืองพุทธ พุทธไม่ได้สอนว่า "คนดี" ต้อง "ปราบมาร" ด้วยการทำสงคราม ยึดอำนาจ (แต่ก็น่าประหลาด เมืองพุทธมีรัฐประหารมากอันดับต้นๆ ของโลก)

พุทธไม่ได้สอนให้ปลุกความเกลียดชัง พุทธสอนให้เอาชนะใจกันไม่ใช่หรือ แต่ทำไมเห็นคนฝ่ายตรงข้ามถูกทำร้าย บาดเจ็บล้มตาย คนไทยกลับโห่ร้องสะใจ


สู้เพื่อความเป็นไทย แต่ทำไมใช้ถุงป๊อปคอร์น



พูดอย่างนี้เหมือนว่าข้างเดียว อันที่จริงเป็นทั้งสองข้าง แต่ข้างไหนล่ะชอบอ้างความเป็นไทย ข้างไหนล่ะไม่เอาประชาธิปไตย

ประชาธิปไตยไม่ได้ขัดแย้งกับความเป็นไทย ถ้าพูดถึงความเอื้อเฟื้อ มีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ การยอมรับความแตกต่างหลากหลาย ทั้งทางชาติพันธุ์ และวัฒนธรรม (ตรุษไหนๆ พี่ไทยก็เมา-ฮา)


ประชาธิปไตยเอาใจเขาใส่ใจเรา เพราะยอมรับความเห็นต่าง ตัดสินด้วยการเลือกตั้ง แพ้ชนะไม่เข่นฆ่าล้างผลาญ แต่สู้กันต่อไปภายใต้หลักประกันสิทธิเสรีภาพ

ประชาธิปไตยเพียงอาจขัดแย้ง "ความเป็นไทย" บางอย่าง ที่ถูกยึดติด ตอกตรึง จนปรับตัวไม่ได้

และอาจขัดแย้งกับความเป็น "ไทยแท้" แบบ "ทำอะไรตามใจ" เอาชนะโดยไม่เลือกวิธีการ ไม่เคารพกติกา
เป็นกรรมการก็โกงเสียเอง อ้างว่า "โกงเพื่อชาติ"

ความเป็นไทยแบบหลัง ถ้ายังเอาไว้ก็ "ตามใจ" อ้าว จะไปทำอะไรได้ ก็มีอำนาจตีความตามใจ




.