http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-07-31

พี่สาวขี้เมาของผม โดย จอห์น วิญญู

.

พี่สาวขี้เมาของผม
โดย จอห์น วิญญู spokedark.tv www.facebook.com/spokedarktv
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1667 หน้า 79


พี่สาวผมขี้เมาทั้งคู่เลยครับ ทั้งคนที่เป็นเจ้าของเว็บสโป๊กดาร์กและคนที่จบ Ph.D. ประวัติศาสตร์ จาก Oxford (บ้านผมก็มีคนจบ Oxford กะเค้าเหมือนกันนะฮ้าร์ฟว์ลวกเพี่ย!!)
พี่สาวของผมสองคนนี้ทำอะไรได้หลายอย่างครับ ผลิตรายการทีวี ทำข่าว ทำหนัง สอนหนังสือ ทำงานวิจัย พรีเซนต์เปเปอร์ในเวทีระดับนานาชาติ กระทบไหล่คนดัง ทำอาหารอร่อย รับเชิญไปเทศกาลหนัง หาสามีดีๆ เลี้ยงแมว ดูแลชาวบ้านชาวช่องเค้าได้ร้อยแปด


เรื่องมันแน่นอนอยู่แล้วครับ ว่าก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ she ทำไม่ได้
she ขับเครื่องบินกันไม่เป็น เขียนโปรแกรมไม่ได้ สอนให้แมวมาหาเมื่อเรียกไม่ได้ แต่เชื่อว่านอกจากเรื่องแมวแล้ว ถ้า she จะหัดขับเครื่องบินหรือเขียนโปรแกรม ก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถึงกับ "เหลือบ่ากว่าแรง" ซะทีเดียว
แต่มีอย่างนึงครับ ที่ sheๆ ทำไม่ได้ และไม่ใช่แค่ทำไม่ได้ด้วยนะ แต่ทำไม่ได้แล้วยังโดนประจานต่อหน้าธารกำนัลอีกต่างหาก 
นั่นก็คือ การซื้อไวน์ซักขวดก่อน 11 โมงเช้าครับ


สัปดาห์ที่แล้วพี่สาวคนโตของผมแกกำลังจะไปถ่ายรายการ "อร่อยสร้างภาพ" ของ พี่ทราย เจริญปุระ (หญิงสาวผู้ซึ่งลีลาการทำอาหารแสนจะตรงไปตรงมาแต่เซ้กกกกซี่ชะมัด ---) she ก็ไปซื้อเครื่องเคราประกอบอาหารเพื่อไปถ่ายรายการตามปกติที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต 24 ชั่วโมงแถวๆ ออฟฟิศ ขณะนั้นเป็นเวลา 10 โมงเช้าครับ 
ในระหว่างช็อปปิ้ง she เห็นไวน์ขวดหนึ่งที่ได้พิสูจน์ตนมาหลายครั้งแล้วว่าอร่อยได้ใจ เห็นแล้วก็ชวนให้เกิดอาการคันอยากซื้อไปเป็นบรรณาการพิธีกรคนสวยบ้าง (บริษัทนี้ใช้วิธีเหล้าแลกข้าวกันครับ --- เอาเหล้าไปแลกกับข้าวที่พี่ทรายทำ บาร์เตอร์ซิสเต็ม อิอิอิ) ไปถึงแคชเชียร์ เอาผักเอาเนื้อเอาเครื่องปรุงวางๆ แล้วก็ตามด้วยไวน์อย่างไม่ทันคิด ฉับพลัน คุณแคชเชียร์ก็ประกาศออกมาด้วยเสียงอันดังให้คนที่ยืนต่อแถวอยู่ยันไปถึงคนในแถวข้างๆ ด้วย ได้ยินอย่างทั่วถึงกันว่า "ยังไม่สิบเอ็ดโมงเช้ายังซื้อเหล้าไม่ได้นะคะ"

มีสองอย่างที่เป็นสาเหตุให้มนุษ์คนหนึ่งต้องพูดกับมนุษย์อีกคนหนึ่งด้วยเสียงอันดังในสถานที่ที่ไม่ใช่ผับ เธค หรือ ไซต์ก่อสร้าง สาเหตุที่หนึ่ง ใครคนใดคนหนึ่งหูตึง และสอง อยากพูดให้คนอื่นๆ ในรัศมีได้ยินด้วย --- พี่สาวผมไม่ได้หูตึงแน่นอนครับ (บางครั้งออกจะหูดีเกินไป นี้สนุงด้วยซ้ำ) แคชเชียร์ก็คงไม่หูตึง เพราะถ้านางหูตึง นางคงพูดเสียงดังแบบนั้นกับมนุษย์ที่เข้าแถวก่อนหน้าทั้งหมด

พูดจบ นางก็คว้าเอาไวน์ของกลางนั้นไปไว้ทางด้านในของแคชเชียร์ นัยว่าเพื่อป้องกันไม่ให้อีลำยองที่คงกำลังอยากเหล้าจนตัวสั่นคว้าไวน์ขวดนั้นวิ่งหนีออกนอกห้างได้  
ขี้เกียจให้ยามตามไปจับละกระมัง ---


โถ --- แม่คุณ ปฏิบัติหน้าที่เข้มแข็งจริงๆ ไปเอาโล่กับใบประกาศฯ มาเซ้ะ ! 
การไปเหวี่ยงวีนแคชเชียร์ซุปเปอร์มาร์เก็ตคงไม่ใช่ทางออกที่สร้างสรรค์สำหรับปัญหานี้ซักเท่าไหร่หรอกครับ เพราะแคชเชียร์ก็แค่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎที่อัจฉริยะที่ไหนก็ไม่ทราบรังสรรค์ขึ้นมา 
และแคชเชียร์กำลังปฏิบัติตามสัญชาตญาณที่ถูกปลูกฝังมาโดยรัฐและกลุ่มผู้มี "ความเหนือกว่าทางศีลธรรม" ว่า สุราเป็นสิ่งชั่วร้าย คนที่ดื่มสุราเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจ ผู้หญิงที่ดื่มสุรายิ่งน่ารังเกียจกว่า  

และผู้หญิงที่ดื่มสุราก่อนสิบเอ็ดโมงเช้านั้น น่ารังเกียจเป็นที่สุด สมควรถูกประจานให้ได้อับอาย 
(ถ้าจะให้ดีที่สุด ควรถูกแคชเชียร์อบรมต่อหน้าธารกำนัล และถ้ายังไม่สำนึกด้วยการทุ่มตัวเองลงไปบนพื้น ร้องไห้ด้วยความละอาย ขอร้องให้แคชเชียร์ให้อภัยและสัญญาว่าจะกลับเนื้อกลับตัวมาเป็น "ผู้หญิงที่ดี" แล้วล่ะก็ ควรจะถูกทุ่มด้วยหินให้ตายโดยกลุ่มแคชเชียร์และธารกำนัลเสียไม่ให้หนักแผ่นดินอีกต่อไป --- เค้าเรียกกันเก๋ๆ ว่า "การกดดันทางสังคม")



เราจะมีบทสนทนาอย่างลึกซึ้งกับแคชเชียร์ว่าด้วยกฎห้ามซื้อเหล้าก่อน 11 โมงเช้า หลังบ่ายสอง และหลังเที่ยงคืน คงจะลำบากน่าดู เพราะฉะนั้น เราละแคชเชียร์ไว้ครับ 
เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ ว่า 11 โมงเช้านั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร

สิบโมงครึ่งไม่ได้เหรอ? ทำไมไม่ 11 โมงครึ่ง? ทำไมไม่เที่ยงสี่สิบห้า? 
ทำไมต้องบ่ายสอง ทำไมต้องเที่ยงคืน? 
มีเหตุผลอะไรที่มากไปกว่าคนออกกฎเห็นว่านี่แหละ "เหมาะสม" หรือเป็น "ความเชื่อ" ของคนออกกฎว่าบังคับแบบนี้แล้ว อุบัติเหตุบนท้องถนนจะลดลง? คนติดเหล้าจะลดลง? จะมีเหตุทะเลาะวิวาทลดลง?


ผมเป็นราษฎรธรรมดาครับ สิ่งที่ผมเห็นด้วยตาตัวเองและรู้สึกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็คือ ระเบียบวินัยในสังคมมันลดน้อยลงทุกวัน ผมเชื่อว่าอุบัติเหตุทางการจราจรเกิดขึ้นเพราะคนไม่เคารพกฎ เพราะกฎไม่ได้ถูกบังคับใช้ ผมเห็นว่าเด็กช่างกลก็ยังคงตีกันตาย -่า ทำชาวบ้านชาวช่องเค้าเดือดร้อนโดนลูกหลงกันเหมือนเดิม กี่ปีๆ ก็ไม่เห็นจะดีขึ้น  
ผมเชื่อว่ากฎหมายและการทำสงครามกับยาเสพติดของรัฐ เป็นการต่อสู้ที่ล้มเหลวและน่าอับอายอย่างที่สุด 
แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นแค่ "ความเชื่อ" ของผม 
มันไม่มีผลอะไรหรอกครับ ตราบใดที่มันยังไม่ได้ถูกทดสอบและยืนยันว่ามันเป็นความจริง


ในฐานะประชาชน 
ผมก็อยากได้รับเกียรตินั้นจากเจ้าหน้าที่รัฐบ้าง ก่อนที่ท่านจะออกกฎเกณฑ์อะไรมาบังคับหรือลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ท่านน่าจะมีบางสิ่งบางอย่างมายันกับพวกเราบ้าง ว่าการออกกฎเกณฑ์ที่ว่านี้ ได้รับการพิสูจน์แล้ว (ด้วยกระบวนการที่น่าเชื่อถือ เป็นที่ยอมรับในระดับสากล) ว่าทำแล้วจะเกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม 

บางทีก็แค่อยากรู้ว่า ทำไมต้อง 11 โมง? 
เช่นเดียวกับกฎอีกมากมายที่ให้ดุลพินิจกับคนบางจำพวกที่ไม่สามารถอธิบายการกระทำของตัวเองได้อย่างมีเหตุมีผล และแอบซ่อนอยู่หลังคำเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็น "ความเหมาะสม" หรือ "ศีลธรรมอันดี"

นักวิจัยทางสังคมวิทยาเป็นจำนวนมาก ได้ศึกษาและได้ผลแบบเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีกมาตั้งสี่สิบกว่าปีแล้วว่าไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างการเสพสื่ออนาจารกับการก่ออาชญากรรมทางเพศ  
แต่ถึงกระนั้น ผู้ถืออำนาจรัฐไทยก็ยังคงให้เหตุผลซ้ำๆ ซากๆ ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง นมๆ ตูดๆ ในสื่อ

จะยกตัวอย่างก็คงได้อีกเป็นหางว่าวครับ 
อ้อ ช่างหัว 11 โมงเช้าเถอะครับ สุราไม่ใช่ของหายากอะไร 
วันก่อนผมยังเห็นคนซื้อเบียร์ในเซเว่นไม่ได้เพราะติดเวลา แต่พอเดินออกมาที่ร้านขายของชำข้างๆ ก็เห็นซื้อได้อยู่เลย 
ขำขำน่า ฮ่าๆๆ



เรื่องสนุกตบท้ายนิดหน่อยเกี่ยวกับสถิติและการศึกษาเรื่องบางเรื่องอย่างจริงจังและลึกซึ้ง 
ที่ประเทศเกาหลีใต้ครับ ไฟจราจรสีแดงของเค้ามีระบบการนับถอยหลัง คนที่รถติดอยู่จะได้ไม่ประสาทเสียมากนักเวลาที่ต้องรอ ซึ่งก็เกิดจากการศึกษาที่พบว่า ระดับความเครียดของมนุษย์ลดลงเมื่อสามารถทำนายอนาคตได้ แม้จะนั่งรถติดในปริมาณเวลาเท่าเดิม แต่ถ้ารู้ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหน ยังทำให้รู้สึกดีกว่าต้องนั่งรออย่างไร้จุดหมาย
แต่เกาหลีใต้ไม่มีการนับถอยหลังเวลาไฟเขียวครับ เนื่องจากว่าอะไรก็คงพอทราบๆ กันอยู่ เมื่อคุณเห็นมาแต่ไกลว่าไฟเขียวกำลังจะกลายเป็นไฟเหลือง คนส่วนมากจะเหยียบคันเร่งจนมิด 
และเป็นเหตุให้สถิติการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น

เมืองจีน ใช้วิธีเดียวกับเกาหลีใต้ แต่สงสัยไม่ได้อ่านงานวิจัยควบคู่ 
เลยแถมการนับถอยหลังไฟเขียวเข้าไปด้วย ได้ผลครับ 
ตายเกลื่อน

เป็นวิธีง่ายๆ ในการลดจำนวนประชากรได้ดีทีเดียว 
ทำอะไรไม่มีหลักการ ไม่รู้จักศึกษาเล้ยยยย ให้ตายสิ ! แย่จริงๆ



.