http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2556-10-14

เสกสรรค์: การประกาศจุดยืน-ข้อเสนอแนะต่อขบวนประชาธิปไตย

.

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล: การประกาศจุดยืน-ข้อเสนอแนะต่อขบวนประชาธิปไตย
ใน www.prachatai3.info/journal/2013/10/49233 . . Sun, 2013-10-13 17:58


13 ต.ค.56 ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในงานรำลึก 40 ปี 14 ตุลาฯ องค์ปาฐกคนสำคัญอีกคนหนึ่งคือ เสกสรรค์  ประเสริฐกุล อดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ และนักคิดนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ เขากล่าวปาฐกถาเกี่ยวกับความหมายทางการเมืองและเจตนารมณ์ของเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ พร้อมวิเคราะห์สาเหตุที่ประชาธิปไตยยังไม่สามารถปักหลักมั่นคงได้ในสังคม โดยแบ่งเป็น 3 ปัจจัย ได้แก่ อิทธิพลของชนชั้นนำภาครัฐที่เคยผูกขาดอำนาจการปกครองมาก่อน, ฐานะครอบงำของวัฒนธรรมอำนาจนิยมซึ่งไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย และสภาพกำลังของฝ่ายประชาธิปไตยยังไม่มีลักษณะคงเส้นคงวา

นอกจากนี้เขายังกล่าวถึงพลังการเคลื่อนไหวในปัจจุบันว่าเป็นการสืบต่อเจตนารมณ์ของ 14 ตุลาฯ ในการแสวงหาเสรีภาพ ความเสมอภาคและความเป็นธรรม โดยระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์ได้ทำให้เกิด “กลุ่มชนชั้นกลางใหม่” คือคนในชนบทและคนชั้นกลางหัวเมืองซึ่งกลายมาเป็นผู้มีบทบาทหลักในการผลักดันประชาธิปไตย แสวงหาพื้นที่ทางการเมือง ประกอบกับการเกิดขึ้นของทุนใหม่โลกาภิวัตน์ที่ต้องการมาแทนที่อำนาจเก่าด้วยการสร้างนโยบายที่ตอบสนองต่อประชาชนกว้างขวางอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นการชุบชีวิตระบบรัฐสภา และเป็น “หุ้นส่วนที่เหลือเชื่อ” ในทางการเมือง

“พลังใหม่นี้จะนำพาสังคมไทยไปได้ไกลแค่ไหน หรือจะต้านทานพลังปฏิปักษ์ประชาธิปไตยได้เพียงใดและอย่างไร ที่สำคัญกว่านั้นอีกคือ สังคมไทยจะสามารถปรับความสันพันธ์ทางอำนาจระลอกนี้ได้ลงตัวหรือไม่ โดยไม่ต้องจ่ายราคาแพงเท่าในอดีต” เสกสรรค์กล่าว

เขายังนำเสนอข้อเสนอแนะต่อขบวนเคลื่อนไหวหรือพลังประชาธิปไตยใน 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ 1.พลังประชาธิปไตยต้องรักษากลไกของระบอบอื่นๆ นอกเหนือจากรัฐบาลให้ทำงานได้อย่างเต็มรูปแบบด้วย ไม่ใช่มุ่งปกป้องแต่พรรคใดหรือรัฐบาลใด 2. เพื่อเสถียรภาพของระบอบ จำเป็นต้องขยายแนวร่วมไปยังชนชั้นหรือบุคคลกลุ่มต่างๆ ให้มากที่สุด เพราะในยุคโลกภิวัตน์ประชาชนมิได้เป็นก้อนเดียว พร้อมทั้งต้องยึดถือหลัก “เสรีนิยมทางการเมือง” ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องมีคู่ประชาธิปไตย ทั้งนี้ การเมืองภาคประชาชนแบบดั้งเดิมก็เป็นพลังประชาธิปไตยแบบหนึ่งที่จำเป็นต้องให้พื้นที่ในการเรียกร้อง วิจารณ์รัฐบาล สิ่งนี้เป็นกลไกทำให้ระบบดีขึ้น ไม่ได้ขัดแย้งกับพลังมวลชนที่ชื่นชอบพรรค 3. ขบวนประชาธิปไตยควรเรียนรู้การใช้อำนาจอ่อนในการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ซึมลึกในสังคมไทย นำเสนอสิ่งที่ดีกว่าเพื่อให้สังคมเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยที่ผู้คนเท่าเทียมกันนั้นเป็นสิ่งน่าหวงแหน โดยมีจังหวะก้าวที่ระมัดรวังไม่ทำให้ผู้คนจำนวนมากในสังคมรู้สึกสูญเสียที่ยืนในความคิดความเชื่อ เพราะความขัดแย้งประเด็นทางวัฒนธรรมบางอย่างละเอียดอ่อนและมีแนวโน้มนำสู่ความรุนแรงได้ง่าย



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
( เอกสารปาฐกถา ..มธ 13 ต.ค.2556 ..ฯ /37ปี 6ตุลา.. )


ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาอยู่ท่ามกลางผู้รักประชาธิปไตยทั้งรุ่นใหม่รุ่นเก่า และยิ่งยินดีเป็นพิเศษที่ได้พบปะกับมิตรสหายที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ เมื่อ 40 ปีก่อนในวันเวลาเดียวกันนี้ คนหนุ่มสาวแห่งยุคสมัยได้พร้อมใจกันเคลื่อนกำลังออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับมวลมหาประชาชนประกาศตนไม่ยอมรับอำนาจเผด็จการ มันเป็นการต่อสู้อันมีชีวิตเป็นเดิมพัน เพราะฝ่ายหนึ่งกุมอำนาจรัฐด้วยอำนาจกระบอกปืน ขณะที่ฝ่ายเรามีสองมือเปล่าและหัวใจเปี่ยมความฝัน ชัยชนะในครั้งนั้นสอนเราว่าเจตนารมณ์เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าในชีวิตของคนคนหนึ่งหรือการเติบโตของประชาชาติหนึ่ง เจตจำนงแน่วแน่เป็นเรื่องสำคัญโดยตัวมันเอง โดยเฉพาะเมื่อมาจากคนเรือนแสนเรือนล้านที่ผนึกกันเป็นหนึ่งเดียว

ถามว่าเจตนารมณ์ของ 14 ตุลาคืออะไร เรื่องนี้จริงๆ แล้วไม่ต้องโต้เถียงกันอีก ก่อนการลุกสู้ครั้งนั้น ประชาชนไทยต้องเจ็บช้ำอยู่ใต้ระบอบเผด็จการนานหลายปี ความฝันก็ดี ความแค้นก็ดี ล้วนถูกบ่มเพาะจากสภาวะปราศจากสิทธิเสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นคนถูกเหยียบย่ำทำลาย ไม่ต้องเอ่ยถึงความเป็นอยู่ยากลำบากอันเนื่องมาจากการเมืองที่ผูกขาด

สภาพดังกล่าวทำให้เราปรารถนาเห็นบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย อยากเห็นประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ ความเสมอภาคและความเป็นธรรม มันเป็นเช่นนั้นตั้งแต่วันนั้นและยังคงเป็นเช่นนั้นจนถึงวันนี้ ประชาธิปไตยที่ปรารถนาย่อมแยกไม่ออกจากจินตนาการถึงชีวิตที่ดีกว่า ดังนั้น เราไม่ต้องการเพียงระบอบการปกครองของชนชั้นนำที่ผูกขาดอำนาจแล้วปะแป้งให้ดูดีกว่าเดิม หากเป็นพื้นที่ทางการเมืองที่เปิดกว้างให้ประชาชนทุกหมู่เหล่ามีส่วนร่วมในฐานะทางการเมืองเท่าเทียมกัน เป็นกระบวนการทางการเมืองที่แนบแน่นอยู่กับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน สามารถตอบโจทย์และแก้ปัญหาให้ผู้คนได้อย่างแท้จริง

ประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถหลอมรวมจุดหมายและวิธีการไว้ด้วยกันได้อย่างแน่นแฟ้น ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถจับโกหกได้ เมื่อมีใครแยกสองส่วนนั้นออกจากกัน หรือบอกเราว่าจุดหมายอยู่ที่ประชาธิปไตย แต่วิธีการกลับกลายเป็นอย่างอื่น

คนเราจะบรรลุความเป็นเสรีชนได้อย่างไร หากไม่สามารถเลือกรัฐบาลที่ตัวเองพอใจและบอกโลกได้ว่าตัวเองต้องการอะไร ความเสมอภาคของมนุษย์จะปรากฏเป็นจริงด้วยวิธีไหน หากไม่ใช่สิทธิเสียงที่เท่ากันในการกำหนดชะตากรรมของบ้านเมือง
ความเป็นธรรมก็เช่นกัน เราคงไปถึงจุดนั้นไม่ได้ถ้าผู้คนที่เสียเปรียบไม่สามารถผลักดันให้รัฐคุ้มครองผลประโยชน์อันพึงมีพึงได้ของพวกเขา ดังนั้น ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า ระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่การปกครองที่เลื่อนลอย หรือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิที่จับต้องไม่ได้ หากเป็นความสัมพันธ์ทางอำนาจที่เรียบง่ายชัดเจนและมีสาระใจกลางของปรัชญาอยู่หนึ่งประโยคเท่านั้น คือ  ให้ประชาชนเป็นนายตัวเอง

ในแนวคิดประชาธิปไตย ไม่มีใครมีสิทธิปกครองผู้อื่นได้ เพราะทุกคนมีความเป็นพลเมืองเท่าเทียมกัน ดังนั้น การเป็นนายตัวเองจึงหมายถึงการปกครองตนเอง ซึ่งเมื่อแปลงเป็นระบอบการเมืองแล้วเท่ากับว่ารัฐบาลต้องมาจากความเห็นชอบของประชาชน  ในขณะที่ประชาชนย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความต้องการของเขา แต่ก็อีกนั่นแหละ แค่คิดเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว สำหรับสังคมที่ไม่เคยชินกับความเสมอภาค และยิ่งไม่เคยชินกับการลุกขึ้นยืนอย่างทรนงของประชาชนธรรมดา ดังนั้น การเคลื่อนไหวของกรรมกรชาวนาและบรรดานักศึกษาที่เห็นอกเห็นใจในช่วงหลัง 14 ตุลา 16 จึงถูกป้ายสีอย่างเป็นระบบ และถูกให้ร้ายว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงในสายตาของชนชั้นปกครองไทย พวกเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อสกัดการเติบโตของพลังประชาธิปไตย ของชนชั้นล่างๆ ที่เสียเปรียบ กระทั่งในที่สุดได้ก็ได้ใช้วิธีโหดเหี้ยมป่าเถื่อน ผสานกำลังอันธพาลเข้ากับเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบล้อมปราบฆ่าฟันนักศึกษาประชาชนที่ชุมนุมใน มธ. เมื่อ 6 ตุลา 19

คงไม่ต้องย้ำ ท่านทั้งหลายคงรู้สึกเองอยู่แล้วว่า พื้นที่เล็กๆ ที่เราใช้ประชุมกันอยู่นี้เคยเป็นทั้งศูนย์กลางแห่งเสรีภาพและอนุสรณ์สถานของฝ่ายประชาชน เป็นที่ที่เราทั้งเคยปักธงแห่งชัยชนะและเช็ดเลือดของผองเพื่อนที่จากไป
แน่นอน การต่อสู้ไม่อาจสิ้นสุดลงเพียงเพราะประชาชนถูกปราบปราม หลังปี 2519 เราอาจพูดได้ว่าประเทศไทยตกอยู่ในสภาพของสงครามกลางเมืองและมันได้สั่นคลอนเผด็จการอำนาจรัฐอย่างถึงราก การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธของนักศึกษาและประชาชนขยายตัวออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งชนชั้นปกครองในเวลานั้นจำเป็นต้องทบทวนท่าทีของตน
อันที่จริงสงครามไม่ใช่สิ่งพึงปรารถนาของผู้ใด เนื่องจากมันคือกองไฟที่อาศัยชีวิตมนุษย์เป็นฟ่อนฟืน กระนั้นก็ตาม เมื่อต้องเลือกระหว่างการต่อสู้อย่างถึงเลือดถึงเนื้อกับการยอมจำนนกับการกดขี่ข่มเหง ก็คงมีน้อยคนนักที่จะเลือกชีวิตอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี แม้ว่าท้ายที่สุด ความผันผวนของสถานการณ์สากลผนวกกับความผิดพลาดขององค์กรนำจะทำให้กองกำลังทางอาวุธต้องสลายตัวลง แต่ความไม่ยอมศิโรราบของหนุ่มสาวสมัยนั้นก็ส่งผลกระเทือนหนักหน่วงต่อชนชั้นนำผู้กุมอำนาจแห่งรัฐ มันทำให้พวกเขาตระหนักว่า การปกครองแบบก่อน 2516 เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว จึงต้องเร่งปรับตัวเข้าหาระบอบประชาธิปไตย ถึงจะยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ก็ตาม

ถามว่าเราเรียนรู้อะไรบ้างจากประวัติศาสตร์ช่วงนี้ คำตอบแรกคือ ประชาชนสามารถคัดหางเสือประวัติศาสตร์ได้ ถ้าเราร่วมมือร่วมแรงกันผลักดันบ้านเมืองไปในทิศทางที่เราต้องการ แต่เราคงต้องยอมรับว่า เส้นทางเดินของประวัติศาสตร์มิใช่ทางตรง มันยอกย้อน คดเคี้ยว กระทั่งวกกลับได้เป็นบางครั้ง เส้นทางเดินของประชาธิปไตยก็เช่นเดียวกัน จากการต่อสู้ 14 ตุลา ถึงวันนี้ เวลาผ่านมาถึง 40 ปี ถ้านับจากวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ซึ่งเป็นหมุดหมายแรกแห่งการปักธงประชาธิปไตยของสังคมไทย เวลาก็ผ่านมานานกว่า 80 ปี อย่างไรก็ตาม เวลาที่ผ่านไปไม่ใช่พื้นที่ที่ว่างเปล่า แค่นับเฉพาะ 40 ปีหลังเราก็จะพบว่ามีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีกหลายครั้งทั้งที่สำเร็จและล้มเหลว ในจำนวนนี้เป็นการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง 3 ครั้ง คือในปี 2519, 2534,2549 ยังไม่ต้องเอ่ยถึงการใช้กำลังรุนแรงโดยฝ่ายรัฐ ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 กรณีพฤษภาคม 2535 และกรณีกระชับพื้นที่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553

เช่นนี้แล้ว เราจึงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า อะไรเล่าเป็นอุปสรรคกั้นขวางไม่ให้บ้านเมืองนี้สามารถตั้งรัฐบาลได้อย่างสันติต่อเนื่อง อะไรทำให้ประชาชนต้องหลั่งเลือดครั้งแล้วครั้งเล่าเพียงเพราะเขาไม่เห็นด้วยกับผู้กุมอำนาจ ด้วยเหตุอะไรหรือ  ระยะ 40 ปีที่ผ่านมา ประชาธิปไตยจึงไม่สามารถหยั่งรากมั่นคงในประเทศไทย
ผมเองในฐานะปัจเจกชนอาจจะมองปัญหาไม่ครบถ้วน แต่เท่าที่เห็น คิดว่า อุปสรรคใหญ่ของประชาธิปไตยน่าจะมาจากเหตุปัจจัย 3 อย่างที่เกี่ยวโยงสัมพันธ์กัน คือ อิทธิพลของชนชั้นนำภาครัฐที่เคยผูกขาดอำนาจการปกครองมาก่อน  ฐานะครอบงำของวัฒนธรรมอำนาจนิยมซึ่งไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย และสภาพกำลังของฝ่ายประชาธิปไตยยังไม่มีลักษณะคงเส้นคงวา

ขออนุญาตให้เวลาเพิ่มเติมกับประเด็นเหล่านี้

เราคงต้องยอมรับว่า ประชาธิปไตยเป็นความคิดทางการเมืองและระบอบการเมืองที่ค่อนข้างใหม่สำหรับประเทศที่มีอายุหลายร้อยปีอย่างไทย ดังนั้น แม้ว่าประชาธิปไตยจะสะท้อนจิตวิญญาณของยุคสมัย และขั้นตอนสูงขึ้นของวิวัฒนาการทางสังคม แต่ก็มีข้อเสียเปรียบที่ต้องแตกหน่อผลิใบบนผืนดินที่เต็มไปด้วยอำนาจเก่า ความคิดเดิม พูดง่ายๆ ว่า ประชาธิปไตยจะโตใหญ่ขยายตัวไม่ได้เลย หากไม่สามารถช่วงชิงพื้นที่จากความคิดอื่น อำนาจอื่น ขณะเดียวกันผู้พิทักษ์แนวคิดเดิมและผู้ปกครองแต่เดิมก็ย่อมดิ้นรนต่อต้านเพื่อรักษาพื้นที่ตน อันนี้เป็นกฎธรรมดาของประวัติศาสตร์สังคม ดังนั้น ตลอด 40 ปีมานี้ นาฏกรรมทางการเมืองของไทยจึงหมุนวนรอบห้อมล้อมรัฐประหารและการต่อต้านรัฐประหารซึ่งผูกพ่วงไปมาสลับกันระหว่างรัฐบาลเผด็จการและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ประชาชนได้รับอิสระเสรีภาพและเชิดชูความเท่าเทียมของมนุษย์ต้องหลั่งเลือดครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ประชาธิปไตยมีที่อยู่ที่ยืน

ถามว่าทำไมชนชั้นนำแต่เดิมไม่ยอมรับและเปิดทางให้ประชาธิปไตยโดยง่าย ทั้งที่การต่อต้านของฝ่ายประชาชนทำให้เห็นแล้วว่าระบอบอำนาจนิยมเป็นสิ่งล้าหลังทางประวัติศาสตร์ ในยุคนี้สมัยนี้การบังคับบัญชาราษฎรจากข้างบนลงมานอกจากจะหักล้างศักดิ์ศรีความเป็นคนแล้วยังไม่สอดคล้องกับสภาพความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นทั่วโลก คำตอบมีอยู่ว่า นอกจากต้องการรักษาสัดส่วนในพื้นที่อำนาจที่พวกเขาเคยครอบครองแล้ว ชนชั้นนำเก่ายังมีชุดความคิดที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้องกว่าประชาธิปไตยด้วย หรืออย่างน้อยก็ถูกต้องกว่าประชาธิปไตยในความหมายที่สมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น เราต้องยอมรับว่า สังคมไทยประกอบด้วยมวลชนจำนวนไม่น้อยที่สมาทานชุดความคิดแบบอำนาจนิยม อุปถัมภ์นิยม และชาตินิยมที่คับแคบและแยกออกจากประโยชน์สุขของประชาชน แนวคิดทั้งปวงนี้บางด้านเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่บางด้านก็ขัดแย้งกับคุณค่าประชาธิปไตยแบบประสานงา และยังถูกผลิตอย่างตั้งอกตั้งใจ และขยายเป็นพิเศษหลังรัฐประหารทุกครั้ง พูดอีกแบบก็คือ แทนที่ประชาธิปไตยไทยจะตั้งอยู่บนฐานวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับมัน วัฒนธรรมที่เน้นย้ำเสรีภาพ ความเสมอภาค และความยุติธรรม การณ์กลับกลายเป็นว่าประชาธิปไตยไทยยังไม่มีฐานวัฒนธรรมที่เหมาะสมคอยเกื้อหนุนและห้อมล้อมให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เช่นนี้แล้วจึงมีความเป็นไปได้ตลอดว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือผู้นำการเมืองบนเวทีประชาธิปไตย จะถูกกล่าวหาว่ามีความผิดทางวัฒนธรรมทั้งๆ ที่บางเรื่องมันไม่ได้เกี่ยวกับกิจการบ้านเมืองเลย ขณะเดียวกันก็เป็นไปได้เสมอที่มวลชนผู้ซาบซึ้งกับวัฒนธรรมเก่าจำนวนไม่น้อยจะออกมาเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาลด้วยวิธีนอกระบบ หรืออย่างน้อยก็ออกมาต้อนรับการรัฐประหารโดยไม่คำนึงถึงผลเสียระยะยาว

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าประชาธิปไตยมีพลังรองรับอย่างแน่นหนา คงเส้นคงวา เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่และซับซ้อนพอสมควร การที่เหตุการณ์ อย่าง 14 ตุลาคมเกิดขึ้นได้ หรือเหตุการณ์ในปี 2535 และ 2553 เกิดขึ้นได้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าพลังประชาชนที่คัดค้านการผูกขาดอำนาจนั้นมีมากพอที่จะขับพลังอำนาจนิยมให้ถอยร่นออกไป แต่การจะทำให้ระบอบประชาธิปไตยมีเสถียรภาพยังเป็นอีกเรื่องและจำเป็นต้องอาศัยเงื่อนไขมากกว่านี้ พูดง่ายๆ สั้นๆ ก็คือว่า ประชาธิปไตยไทยต้องมีฐานพลังทางสังคมที่พร้อมแบกพันธะในการพิทักษ์รักษาและเสริมความมั่นคงในขอบเขตที่กว้างขวางกว่าที่เป็นอยู่ มิฉะนั้นอาจตกเป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำอีก

ถามว่าแล้วชนกลุ่มไหนเล่าที่พร้อมทำหน้าที่ดังกล่าว

ช่วงหลังการต่อสู้ 14 ตุลาคม ชนชั้นผู้ใช้แรงงานในภาคอุตสาหกรรมเคยมีพลังทางการเมืองอย่างมหาศาล แต่หลังรัฐประหาร 6 ตุลา 2519 ขบวนกรรมกรแรงงานถูกควบคุมเข้มงวดจนไม่อาจฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ ทุกวันนี้คนงานในระบบเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานไม่ถึงร้อยละ 1 เพราะการก่อตั้งหสภาพแรงงานนั้นทำได้ยาก ผู้นำคนงานมักถูกนายทุนกลั่นแกล้ง กีดขวางไม่ให้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว กระทั่งถูกปลดจากงาน ถูกคุกคามทำร้ายโดยที่ฝ่ายรัฐยืนข้างฝ่ายทุนเสมอมา ดังนั้น ในสภาพที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดและไร้การจัดตั้งเป็นส่วนใหญ่ คงไม่ง่ายที่พลังกรรมกรจะเป็นพลังสำคัญของฝ่ายประชาธิปไตย

ลองหันมามองพลังนักศึกษา ในอดีตนักศึกษาและปัญญาชนเคยเป็นกองหน้าที่ฮึกห้าวเหิมหาญในการบุกเบิกพื้นที่เสรีภาพให้ประชาชนหมู่เหล่าต่างๆ หลังการปราบกวาดล้างปี 2519  มหาวิทยาลัยถูกอำนาจรัฐและพลังอนุรักษ์ดัดแปลงให้เป็นเพียงโรงเลี้ยงเด็กของชนชั้นกลาง ยิ่งมาถึงยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งประกอบด้วยระบบการค้าเสรี การบริโภคเสรี สังคมไทยก็เปลี่ยนไปมาก ประชากรในมหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนไปด้วย พื้นที่ในมหาวิทยาลัยถูกยึดครองโดยบุตรหลานของผู้มีรายได้สูง มีความใฝ่ฝันในชีวิตกระจัดกระจายและกระเจิดกระเจิงไปตามจินตนาการส่วนตัวมากกว่าจะมีสายใยใดกับสังคมต้นกำเนิด และยิ่งไม่มีสำนึกผูกพันกับชนชั้นผู้เสียเปรียบ ดังนั้น เราจึงพูดได้ว่า เราไม่มีขบวนนักศึกษาในความหมายเดิม แม้จะมีนักศึกษากลุ่มย่อยที่เอาธุระอยู่บ้าง แต่โดยส่วนใหญ่ของนักศึกษาแล้วอาจต้องอาศัยสถานการณ์ที่พิเศษมากๆ ในการปลุกพวกเขาให้ตื่นรู้ในเรื่องความเป็นมาและความเป็นไปในสังคม

แต่ก็อีกนั่นแหละ เรื่องนี้คงปัดความรับผิดชอบทางศีลธรรมให้เยาวชนฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะชนชั้นกลางในระดับตัวพ่อตัวแม่เองก็ไม่ได้ดีกว่าเท่าใด โดยเฉพาะคนชั้นกลางในเมืองหลวงที่มักแกว่งไกวอยู่ระหว่างประชาธิปไตยกับอำนาจนิยม ในอดีตคนชั้นกลางในเมืองเคยสร้างคุณูปการใหญ่หลวงในการขับเคลื่อนประชาธิปไตย ไม่ว่าปี  2516, 2535 เขาล้วนเป็นกำลังหลักในการต่อต้านเผด็จการ น่าเสียดายที่มาถึงวันนี้คนชั้นกลางดั้งเดิมกำลังกลายเป็นฐานที่มั่นใหญ่ของแนวคิดอนุรักษ์นิยม  จากการที่เคยผลักดันประวัติศาสตร์ให้ก้าวไปข้างหน้า พวกเขากลับกลายเป็นชนชั้นที่อยากหยุดประวัติศาสตร์ไว้ในจุดที่ตัวเองได้เปรียบในทุกด้าน ถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น สาเหตุหลักน่าจะมาจากการเติบโตของเศรษฐกิจทุนนิยม เน้นการส่งออก การค้าการลงทุนแบบไร้พรมแดน เงื่อนไขดังกล่าวเพิ่มความมั่นคงให้คนชั้นกลางเดิมหลายเท่าและแยกชีวิตพวกเขาออกจากส่วนที่เหลือของสังคม ดังจะเห็นได้จากตัวเลขการถือครองทรัพย์สินที่คนบนสุด 20% แรกของจำนวนประชากรไทย มีทรัพย์สินมากกว่าคน 20% ที่อยู่ข้างล่างถึงเกือบ 70 เท่า ความแตกต่างทางฐานะทางเศรษฐกิจเช่นนี้ นับวันทำให้ชนชั้นกลางเก่ามีโอกาสในชีวิต วิถีชีวิตเหนือกว่าคนไทยอีกมหาศาล และยังตัดเฉือนความสัมพันธ์ที่เคยมีระหว่างพวกเขาและชนชั้นอื่นๆ ด้วย ดังนั้น นอกเหนือจากปัจเจกบุคคลที่มีสายตากว้างไกลอันมีอยู่น้อยนิด เราอาจจะกล่าวได้ว่า ในปัจจุบันคนชั้นกลางส่วนใหญ่ไม่สนใจ ไม่เห็นใจชะตากรรมคนส่วนใหญ่ที่อยู่ล่างจากตน  พวกเขามักหมกมุ่นกับเรื่องส่วนตัว การบริโภค การสร้างสไตล์ในชีวิตที่วิจิตรบรรจง กระทั่งนิยามความดี ความงามและความจริง หลุดลอยไปจากความถูกต้องเป็นธรรมทางสังคม

โดยนัยยะทางการเมืองแล้ว สภาพดังกล่าวหมายความว่า ชนชั้นกลางเก่ามีความอ่อนไหวสูงต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่อาจกระทบฐานะตน ที่ผ่านมาเหตุการณ์ได้พิสูจน์แล้วว่า จำนวนไม่น้อยพร้อมสนับสนุนวิธีการนอกระบบในการเปลี่ยนรัฐบาล ถ้าหากมันจะช่วยสร้างความมั่นใจว่าโลกของตัวเองจะไม่ถูกโยกไหวสั่นคลอน เช่นนี้แล้วประชาธิปไตยจึงได้ขาดพลังที่สำคัญไปอย่างน่าเสียดาย

อย่างไรก็ตาม การเติบใหญ่ของทุนนิยมโลกาภิวัตน์ไม่ได้เปลี่ยนฐานะและโลกทัศน์ของคนชั้นกลางในเมืองฝ่ายเดียว แต่กวาดต้อนคนในหัวเมืองและในชนบทมาไว้ในกรอบทุนนิยมด้วย ทำให้พวกเขามีฐานะทางชนชั้นและวิธีคิดที่ต่างไปจากเดิมเช่นกัน นักวิชาการหลายท่านยืนยันตรงกันว่าระยะหลังชนบทไทยเปลี่ยนมาก เกิดการแบ่งตัวทางชนชั้นอย่างชัดเจน กล่าวคือ นอกเหนือจากการอพยพเข้ามาขายแรงงานและประกอบอาชีพอิสระในเมืองแล้ว ชาวนาชาวไร่อีกมหาศาลได้เปลี่ยนฐานะจากเกษตรกรแบบเก่าเป็นผู้ประกอบการรายย่อย ผลิตเพื่อขายและกลายเป็นผู้เล่นอีกกลุ่มในตลาดทุนนิยม แม้คนชั้นกลางใหม่เหล่านี้ไม่ได้มีฐานะยากจนในความหมายสัมบูรณ์แต่พวกเขาก็ยังเสียเปรียบนานัปการในโครงสร้างสังคมที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดราคาผลผลิต การเข้าถึงทุน เข้าถึงสวัสดิการ เข้าถึงโอกาสทางการศึกษา พูดง่ายๆ คือ ทั้งๆ ที่มีจำนวนมหาศาลและมีคุณูปการในกระบวนการผลิตในประเทศไทย แต่พี่น้องเหล่านี้เป็นชนชั้นที่ถูกมองข้ามหรือไม่มีตัวตน จึงไม่แปลกที่พวกเขาต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อประกาศการดำรงอยู่ และไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชนชั้นกลางใหม่เหล่านี้จะต้องการพื้นที่ทางการเมืองของตนเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในตลาดเสรี และเพิ่มอำนาจขับเคลื่อนนโยบายที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตน

อันนี้นับเป็นข่าวดีจากมุมมองประชาธิปไตย เพราะใครเล่าจะต้องการเสรีภาพเท่ากับคนที่ต้องการบอกโลกว่าพวกเขามีเรื่องเดือดร้อน ใครเล่าจะต้องการระบอบนี้เท่ากับผู้คนที่แสดงหาความเสมอภาคและความเป็นธรรม ในฐานะผู้ผ่านศึก 14 ตุลาคม ผมเห็นว่าการเคลื่อนไหวของพี่น้องเหล่านี้ตั้งอยู่บนเจตนารมณ์เดียวกับการต่อสู้เมื่อ 40 ปีก่อน เพียงแต่บริบทของยุคสมัยอาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว มันเป็นการผูกโยงประชาธิปไตยกับความฝันถึงชีวิตที่ดีกว่า สังคมที่ดีกว่า ส่งเสริมให้ผู้คนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันซึ่งเป็นแก่นแท้ของปรัชญาประชาธิปไตย 

แน่นอน มันเป็นเรื่องธรรมดาทางประวัติศาสตร์ที่ชนชั้นใหม่ต้องขอแบ่งพื้นที่ทางการเมืองในความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ดำรงอยู่ และเป็นเรื่องธรรมดาเช่นกันที่ปฏิบัติการเช่นนี้ย่อมนำสู่การปะทะกับชนชั้นเดิม ปัญหามีอยู่ว่า พลังใหม่นี้จะนำพาสังคมไทยไปได้ไกลแค่ไหน หรือจะต้านทานพลังปฏิปักษ์ประชาธิปไตยได้เพียงใดและอย่างไร ที่สำคัญกว่านั้นอีกคือ สังคมไทยจะสามารถปรับความสัมพันธ์ทางอำนาจระลอกนี้ได้ลงตัวหรือไม่ โดยไม่ต้องจ่ายราคาแพงเท่าในอดีต

กล่าวสำหรับการยืนหยัดพิทักษ์ประชาธิปไตยนั้น ผมเชื่อมั่นว่า คนชั้นกลางใหม่ในต่างจังหวัดและคนชั้นกลางค่อนไปทางล่างในเมืองหลวงตลอดจนปัญญาชนที่เห็นอกเห็นใจ คงจะยืนอยู่ในจุดนี้ไปอีกนาน ด้วยเหตุผลเรียบง่าย คือ พวกเขาไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น พูดให้ชัดขึ้นก็คือ ความเสียเปรียบทางชนชั้นอันสืบเนื่องจากโครงสร้างทุนนิยมนั้น ไม่อาจแก้ไขหรือชดเชยด้วยวิธีอื่น นอกจากเพิ่มอำนาจต่อรองผู้เสียเปรียบด้วยวิธีการทางการเมือง ด้วยเหตุดังนี้ เวทีประชาธิปไตยจึงขาดไม่ได้สำหรับคนเล็กคนน้อย เพราะนั่นเป็นพื้นที่เพียงแห่งเดียวในการแสดงตัวตน สามารถสร้างทางเลือกในระดับนโยบาย และสามารถอาศัยสิทธิพลเมืองสนับสนุนผู้แทนทางการเมืองที่ขานรับความต้องการของพวกเขา อันที่จริง ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเท่ากับช่วยชุบชีวิตให้ระบบรัฐสภาไทยซึ่งก่อนหน้านี้มักถูกออกแบบให้อ่อนแอต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับอำนาจการนำของชนชั้นนำที่มาจากภาคราชการ  ในอีกด้านความเคลื่อนไหวในรูปขบวนการชนชั้นกลางใหม่ต่างจังหวัด ก็กดดันให้พรรคการเมืองที่เคยจำกัดตัวในกลุ่มผลประโยชน์แคบๆ เดินแนวทางมวลชนมากขึ้นแม้จะยังไม่ใช่พรรคมวลชนในความหมายที่เต็มรูป  แต่ปรากฏการณ์เช่นนี้นับเป็นพัฒนาการสำคัญของประชาธิปไตย

จะว่าไปความเคลื่อนไหวของพี่น้องเหล่านั้นนับว่าต่างจากการเมืองภาคประชาชนแบบดั้งเดิม ในด้านหนึ่งพวกเขายังต้องอยู่ในตลาดทุนนิยมแต่ในอีกด้านหนึ่งก็อยู่ในภาพที่เสียเปรียบสุด สภาพดังกล่าวจึงต้องเกาะติดและต่อรองกับการเมืองภาคตัวแทนเพื่อจะได้อาศัยนโยบายของรัฐมาช่วยคุ้มครองและถ่วงดุลข้อเสีย ในทางตรงกันข้าม กำลังของการเมืองภาคประชาชนในแบบฉบับเดิม มักมาจากกลุ่มชนที่อยากถอยห่างจากตลาดเสรี ต้องการบริหารจัดการชีวิตเรียบเรียบในท้องถิ่นของตัวเองในท้องถิ่นต่างๆ โดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐและทุนใหญ่ ด้วยเหตุดังนี้ ประชาธิปไตยในสายตาของขบวนการเมืองภาคประชาชนจึงมักเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ การกระจายทรัพยากร รวมทั้งลดอำนาจลดบทบาทการเมืองแบบตัวแทนควบคู่ไปกับการขยายพื้นที่ของประชาธิปไตยทางตรง

ตามความมเห็นของผม การเมืองของคนเล็กคนน้อยทั้งสองกระแสล้วนเป็นส่วนหนึ่งของพลังประชาธิปไตย และไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกัน เนื่องจากจุดร่วมของทั้งสองฝ่ายคือ ไม่ต้องการระบอบอำนาจนิยม และต่างฝันถึงอิสรภาพ ความเป็นธรรมที่ตัวเองพึงได้รับ ฝันถึงชีวิตที่ไม่ถูกละเมิดล่วงเกิน 

อย่างไรก็ตาม เราคงต้องยอมรับว่า ความตื่นตัวของชนชั้นกลางใหม่ในชนบทนั้นแม้จะสำคัญมากสำหรับการขยายตัวของประชาธิปไตย แต่ก็ไม่เพียงพอจะขับดันประชาธิปไตยไปสู่ขั้นตอนใหม่ หากไม่มีปรากฏการณ์อีกอย่างเกิดขึ้นในเวลาที่ประจวบเหมาะกันคือ การเกิดขึ้นของกลุ่มทุนใหม่ที่เติบใหญ่อย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์
กลุ่มทุนใหม่นี้ก็มีปัญหาคล้ายชนชั้นกลางใหม่ในต่างจังหวัดที่คิดว่าตนเองต้องการพื้นที่ทางการเมืองที่ควรได้รับและหนทางที่พวกเขาจะเข้าไปแทนที่ชนชั้นนำเก่าในศูนย์อำนาจก็ต้องอาศัยเวทีประชาธิปไตยด้วย เมื่อสภาพเป็นเช่นนี้ จุดหมายของ 2 ฝ่ายจึงมาบรรจบกัน และกำลังทางสังคมของทั้ง 2 ส่วนที่โดยพื้นฐานแล้วต่างกันก็ได้กลายมาเป็นหุ้นส่วนทางการเมืองที่เหลือเชื่อในกระบวนการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล กล่าวคือ ฝ่ายหนึ่งได้ขึ้นคุมอำนาจและจัดการระบบเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งได้รับนโยบายที่ตอบสนองปัญหาของตน ไม่ว่าการกำหนดราคาผลผลิตการเกษตร การเข้าถึงเงินทุน การแก้ไขปัญหาหนี้สิน การเข้าถึงสวัสดิการ ฯ
พูดตามความจริง -ปรารถนาที่จะเห็นประชาธิปไตยกินได้-ไม่ใช่ความฝันใหม่แต่อย่างใด มันมีมาตั้งแต่การต่อสู้ 14 ตุลาคม เมื่อนักศึกษาปัญญาชนผนึกกำลังกรรมกรชาวนาเรียกหาค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรมและที่ดินสำหรับผู้หว่านไถ แต่ทั้งหมดนี้ต้องถือเป็นเรื่องใหม่ในระบบรัฐสภาไทย เพราะเป็นครั้งแรกที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีอำนาจต่อรองจริง และนโยบายพรรคการเมืองเป็นสิ่งจับต้องได้ เกิดผลเป็นรูปธรรมแทนสัญญาลมๆ แล้งๆ เหมือนที่ผ่านมา

แน่ล่ะ คนอยู่บนเวทีอำนาจมือไม้ย่อมต้องเปรอะเปื้อน และผู้นำรัฐบาลที่เป็นทางเลือกของชนชั้นกลางใหม่ก็มีข้อผิดพลาดใหญ่อยู่หลายประการ แต่สิ่งนี้ไม่อาจลบล้างความจริงที่ว่าโดยสาระใจกลางแล้วการเมืองเป็นเรื่องนโยบาย และตราบใดที่รัฐบาลมีนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ ประเด็นอื่นถ้าไม่คอขาดบาดตายต้องนับเป็นเรื่องรอง ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบอบการเมือง แม้รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งมีความผิดร้ายแรง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นข้อบกพร่องของระบอบประชาธิปไตย และปัญหาก็ยังคงต้องแก้ไขด้วยวิธีการประชาธิปไตย
แต่ก็อีกนั่นแหละ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองย่อมก่อให้เกิดสถานการณ์ที่มีผู้ได้ และเสียประโยชน์ ดังนั้นภายในเวลาไม่กี่ปีหลัง 2540 สถานการณ์ได้บ่มเพาะความขัดแย้งอย่างคาดไม่ถึงและในที่สุดก็นำไปสู่รัฐประหาร 2549 นับเป็นการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยวิธีการนอกระบบ และไม่ว่าข้ออ้างเหตุผลจะเขียนไว้เช่นใด เจตจำนงสูงสุดได้ปรากฏในภายหลังว่า มันคือความพยายามพาประเทศไทยกลับไปสู่ระบบรัฐสภาก่อน 2540 ซึ่งมีองค์ประกอบของอำนาจนิยมผสมบางส่วน และมีข้อกำหนดหลายอย่างที่สกัดการเติบโตของนักการเมืองและพรรคการเมือง

ถามว่าทำไมเหตุการณ์เช่นนี้ยังเกิดขึ้นอีกแม้สังคมจะเปลี่ยนไปมากแล้ว สังคมไทยก็เปลี่ยนมากเช่นกัน ทำไมเรายังต้องพบกับวิธีการเปลี่ยนรัฐบาลที่ถอยหลังเข้าคลองขนาดนั้นอีก แน่นอน ความผิดพลาดของผู้นำรัฐบาลนั้นมีอยู่จริงและสร้างความไม่พอใจให้คนจำนวนไม่น้อย แต่ในความคิดของผม ความขัดแย้งหลักคือความขัดแย้งของชนชั้นนำเก่าที่สูญเสียฐานะการนำ กับชนชั้นนำใหม่ที่ขึ้นกุมอำนาจด้วยวิธีการต่างจากเดิม ความขัดแย้งดังกล่าวถูกทำให้แหลมคมขึ้นด้วยบรรยากาศความไม่พอใจรัฐบาลของกลุ่มทุนเก่าตลอดจนคนในเมืองหลวงที่หวั่นไหวกับความเปลี่ยนแปลงโดยกลุ่มทุนใหม่ และไม่คงเส้นคงวาทางประชาธิปไตย การก่อรัฐประหารครั้งนั้นจึงมีเงื่อนไขทางสังคมรองรับ

อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดใหญ่หลวงของรัฐประหาร 2549 มิได้เป็นเรื่องของหลักการเท่านั้น หากยังเป็นเรื่องการประเมินกำลังของคู่ต่อสู้ด้วย พวกเขามองข้ามการมีอยู่ของมวลชนมหาศาลที่ประกอบเป็นชนชั้นกลางใหม่ในต่างจังหวัดและชนชั้นกลางค่อนไปทางล่างในเมือง มองไม่เห็นการมีอยู่ของปัญญาชนและชนชั้นกลางเก่าบางส่วนที่ผูกพันและหวงแหนระบอบประชาธิปไตย มองไม่เห็นศักยภาพของการตอบโต้ของชนชั้นนำใหม่ที่โตมากับทุนนิยมโลกาภิวัตน์ เรื่องจึงไม่จบลงง่ายๆ หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 50 ความขัดแย้งที่ตามมากลับยิ่งรุนแรงและซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ความขัดแย้งเรื่องประชาธิปไตยได้ลุกลามสู่ระดับมวลชนและหมิ่นเหม่ต่อการก่อรูปเป็นสงครามกลางเเมือง

มิตรสหายทั้งหลาย พี่น้องทั้งหลาย ผมทราบดีว่าเรื่องราวข้างต้นแทบจะเป็นการเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน ทุกท่านก็คงจะทราบดีอยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย กระนั้นก็ตาม ผมจำเป็นต้องเอ่ยถึงสภาพดังกล่าวเพื่อบอกพวกท่านว่าผมยืนตรงไหนและคิดอย่างไร

ในการพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดในบ้านเรา ท่านจะสังเกตว่าผมจงใจหลีกเลี่ยงไม่เอ่ยชื่อ บุคคล องค์กร ตัวละครใดๆ ออกมาอย่างชัดเจน เนื่องจากอยากชวนให้ท่านมามองปัญหาประชาธิปไตยในระดับโครงสร้างและเงื่อนไขแวดล้อมทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างทางชนชั้นที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วและมีส่วนอย่างสูงในการกำหนดสถานการณ์ทางการเมือง

ทุกวันนี้คนไทยในยุคโลกาภิวัตน์ไม่ใช่ราษฎรก้อนเดียวที่หน้าตาเหมือนกันหมดอีกต่อไป หากแยกเป็นหลายชนชั้นและชั้นชน นอกจากนี้ภายในชนชั้นเดียวกันยังแบ่งป็นหลายหมู่เหล่าอันนำมาซึ่งความหลากหลายของผลประโยชน์ ความแตกต่างทางความคิด สภาวะทางจิต และวิถีดำเนินชีวิตประจำวัน สภาพดังกล่าวคือความจริงทางภววิสัย ดังนั้นใครก็ตามที่ต้องการมีบทบาทนำในการเปลี่ยนแปลงสังคมจึงต้องนำมันมาพิจารณาประกอบยุทธศาสตร์และยุทวิธีของตน เรื่องนี้หากมองข้ามไม่ใส่ใจอาจเสี่ยงต่อการจ่ายราคาที่แสนแพง

จริงอยู่ ปรากฏการณ์ทางสังคมนั้นมักอยู่เหนือการควบคุม และการเคลื่อนไหวของมวลชนอาจเกิดขึ้นเอง เป็นไปเอง ไม่จำเป็นต้องมีเจ้าภาพกำกับดูแลเสมอไป  แต่ถ้าโยงเรื่องนี้กลับมายังประเด็นการสืบทอดเจตนารมณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่เป็นตัวเป็นตน สิ่งที่้ต้องนำมาครุ่นคิด ย่อมไม่ใช่การเชิดชูอุดมคติอย่างเดียว หากยังมีวิธีการขับเคลื่อนประชาธิปไตยให้เติบใหญ่มั่นคงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

กล่าวเฉพาะประเด็นหลัง ผมมีข้อเสนอสองสามข้อที่อยากนำมาแลกเปลี่ยนด้วยมิตรภาพและความหวังดี ในเมื่อพวกท่านให้เกียรติเชิญผมมาพูด ผมก็จะพูดความในใจอย่างตรงไปตรงมา

1.ในทัศนะของผม การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้นเป็นการต่อสู้เพื่อระบอบการเมือง ไม่ใช่เพื่อรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งหรือพรรคการเมืองใดโดยเฉพาะ ดังนั้น พลังประชาธิปไตยจึงไม่สามารถจำกัดตัวเองอยู่แค่พิทักษ์รักษารัฐบาลหรือนักการเมืองที่ตัวเองพอใจเท่านั้น ยกเว้นกรณีที่สถานการณ์บีบคั้นให้การรักษารัฐบาลที่มาจากฉันทานุมัติของประชาชนเป็นเรื่องเดียวกับความอยู่รอดของระบอบประชาธิปไตย พูดให้ชัดเจนขึ้นก็คือ พลังประชาธิปไตยมีหน้าที่ปกป้ององค์ประกอบต่างๆ ของประชาธิปไตยที่ไม่ใช่รัฐบาลด้วย เพื่อให้กลไกของระบอบทำงานได้อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนมั่นคงของระบบการเมืองที่เราเชื่อว่าดีที่สุดหรือเลวน้อยที่สุด 

สิ่งหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของประชาธิปไตย คือ สิทธิเสรีภาพของประชาชนซึ่งมีหลายหมู่เหล่าจำนวนไม่น้อยก็มักมีปัญหากับนโยบายของรัฐ โดยเฉพาะประชาชนชายขอบที่ถูกการพัฒนาทอดทิ้ง หรือชุมชนท้องถิ่นที่มักได้รับผลกระทบจากโครงการของรัฐหรือทุน ประชาชนเหล่านี้ไม่ใช่ศัตรูของประชาธิปไตย แต่บางครั้งอาจขัดแย้งกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งบ้าง แต่โดยพื้นฐานแล้วเขาเป็นส่วนหนึ่งของระบอบและเสริมระบอบในการแก้ปัญหาต่างๆ พวกเขาเป็นพลังประชาธิปไตยอีกแบบหนึ่งซึ่งอาจต่างจากประชาธิปไตยแบบมวลชนที่ผูกพันกับประชาธิปไตยแบบตัวแทน ดังนั้น ผู้รักประชาธิปไตยที่สังกัดพรรคทั้งหลายอาจต้องฝึกวางเฉยบ้าง เมื่อรัฐบาลที่ท่านเลือกถูกวิจารณ์คัดค้านบางเรื่อง หรือให้ดีกว่านั้น หากท่านสามารถเข้าเป็นสะพานเชื่อมระหว่างการเมืองภาคประชาชนฉบับเดิมกับระบบรัฐสภาได้ก็ถือว่าเป็นประโยชน์กับบ้านเมือง

2. ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เนื่องจากประชาธิปไตยไทยยังไม่เสถียร การขยายฐานทางสังคมของประชาธิปไตยจึงต้องทำต่อเนื่อง ด้วยเหตุผลทั้งด้านหลักการและวิธีการ ขบวนประชาธิปไตยไม่อาจอาศัยกำลังของชนชั้นเดียวมากำหนดเส้นทางเดินของบ้านเมือง แม้ว่าชนชั้นดังกล่าวมีจำนวนมากพอที่จะคุมสนามการเลือกตั้ง หากต้องพูดถึงเสถียรภาพของระบอบหรือของประเทศแล้วฐานทางสังคมแค่นี้ยังไม่เพียงพอ พูดอีกแบบคือว่า ผู้รักประชาธิปไตยต้องขยายแนวร่วมทางการเมืองออกไปให้ครอบคลุมอีกหลายชนชั้น ทำให้คนหลายหมู่เหล่าที่สุดมองเห็นและยอมรับว่าพื้นที่ประชาธิปไตยเป็นของเขาด้วย เห็นว่าระบอบการเมืองนี้ดี ต้องช่วยกันปกปักรักษา
การสร้างแนวร่วมขนาดนั้นย่อมหมายถึงการจับประเด็นปัญหาที่หลากหลายมากกว่าเรื่องของชนชั้นกลางใหม่ในต่างจังหวัดหรือผู้ประกอบการรายย่อยในเมือง ขบวนประชาธิปไตยควรต้องตอบโจทย์คนงานในภาคอุตสาหกรรมให้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ไม่ขัดขวางข้อเรียกร้องที่ชอบธรรมของชนชั้นกลางเก่าบางส่วนไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพชีวิต เรื่องธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ อันที่จริง นี่เป็นประเด็นทางทฤษฎีด้วย ถ้าเรายอมรับว่าประชาธิปไตยเป็นระบอบการเมืองของปวงชนก็ต้องยอมรับต่อ ว่าบางมิติประชาธิปไตยก็มิใช่อะไรอื่น หากคือเป็นเวทีต่อรองผลประโยชน์ทางชนชั้นและชั้นชนซึ่งหลากหลายและอาจขัดแย้งกัน เราต้องรักษาเวทีกลางเช่นนี้ไว้เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะนองเลือด

3. ถ้าเรายอมรับว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นงานสร้างระบอบ การขยายพลังประชาธิปไตยหมายถึงการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า เราคงต้องยอมรับว่าบรรยากาศที่ห้อมล้อมระบอบการเมืองเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากบรรยากาศเสรีนิยม อันที่จริงเสรีนิยมและประชาธิปไตยไม่ใช่สิ่งเดียวกันในทางปรัชญาแต่ต้องอาศัยซึ่งกันและกันจึงจะเกิดผลดี เสรีภาพเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสังคมที่มีความหลากหลายทางความคิด แต่เสรีนิยมอย่างเดียวก็ไม่อาจรวมพลังผู้คนหรือยึดโยงสังคมไว้ได้ กระทั่งหมิ่นเหม่ต่อสภาวะแตกกระจายตัวใครตัวมัน ประชาธิปไตยมีจุดแข็งในการสร้างฉันทามติ รวมพลังของคนจำนวนมากเพื่อบรรลุเป้าหมายของส่วนรวม แต่ก็มีจุดอ่อนของความกระด้างต่อการจัดความสัมพันธ์ของคนกลุ่มใหญ่กับปัจเจกบุคลหรือคนเสียงข้างน้อย ด้วยเหตุนี้ วิวัฒนาการของประชาธิปไตยในโลกที่เจริญแล้วจึงดำเนินควบคู่กับลัทธิเสรีนิยมทางการเมืองมาโดยตลอด และประเทศไทยก็คงต้องเดินในเส้นทางเดียวกัน

การสร้างระบอบประชาธิปไตยให้เข้มแข็งมั่นคง ไม่ได้อยู่ที่สถาบันการเมือง อย่างการเลือกตั้งหรือระบบรัฐสภาเท่านั้น หากสังคมไทยเองก็ต้องเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ ไม่มีระบอบการเมืองใดจะอยู่ได้โดยปราศจากสภาพแวดล้อมที่เกื้อกูล จึงเห็นว่าขบวนประชาธิปไตยที่มีอยู่ควรต้องผลักดันบรรยากาศเสรีนิยมให้มากกว่าเดิม โดยแยกแยะให้ชัดเจนระหว่างทัศนะหรือพลังปฏิปักษ์ กับทัศนะหรือผู้คนที่แค่คิดต่างซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเกินกว่าจะทะเลาะกัน
ความแหลมคมของความขัดแย้งที่ผ่านมาอาจทำให้บางคนด่วนแขวนป้ายทางการเมืองใส่ผู้อื่นอย่างไม่เป็นธรรม หลายคนถือโอกาสหว่านถ้อยคำหยาบคายใส่คนที่ไม่เห็นด้วยซึ่งบางทีเราสืบสาวต้นตอไม่ได้ว่ามาจากสภาพจิตส่วนตัวหรือปัญหาส่วนรวม สภาพนี้เข้าใจได้บางสถานการณ์ แต่ถ้าเกิดขึ้นไม่มีขอบเขตจะไม่เป็นผลดีกับเสรีภาพ และมีแต่จะเพิ่มศัตรูให้ตัวเอง ในฐานะอดีตผู้นำนักศึกษา ขอยืนยันว่า การด่วนตัดสินคนด้วยข้อมูลผิวเผิน การด่าทอด้วยสูตรสำเร็จ ไม่ใช่ผลประโยชน์ที่แท้จริงของการต่อสู้ เพราะมีแต่สร้างความห่างเหินกับมวลชนที่ควรเป็นมิตร เป็นการโดดเดี่ยวขบวนประชาธิปไตย เรามีบทเรียนแล้ว ไม่อยากเห็นความผิดพลาดซ้ำเดิม

แต่แน่นอน การต่อสู้ทางความคิดต้องมีต่อไป ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประชาธิปไตยไม่มั่นคงมาจากวัฒนธรรมการเมืองที่ไม่สอดคล้องกัน ด้วยเหตุนี้การโต้แย้งโต้เถียงกับวัฒนธรรมอำนาจนิยมจึงเป็นสิ่งจำเป็น ประชาธิปไตยก็มีระบบคุณค่า มีชุดศีลธรรมและครรลองชีวิตแตกต่างกับสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมเดิมของไทยพอสมควร ที่สำคัญคือ มีจุดเน้นที่ความเสมอภาคในทางการเมืองและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ดังนั้น มันจึงเป็นวัฒนธรรมแห่งการเคารพผู้อื่นพร้อมๆ กับการเคารพตัวเอง ตราบใดที่วัฒนธรรมเช่นนี้ยังไม่ใช่ด้านหลักของสังคมไทย ตราบนั้นประชาธิปไตยในฐานะระบอบการปกครองก็จะไม่มีฐานรองรับที่มั่นคง

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรม เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและซับซ้อนกว่าด้านการเมือง เพราะมันเป็นสิ่งที่ซึมลึกในจิตใจและจิตวิญญาณผู้คน อีกทั้งมีมวลชนเกี่ยวข้องจำนวนมาก ทำให้ประเด็นวัฒนธรรมสามารถสร้างความขัดแย้งที่กว้างขวางและรุนแรงได้ ดังนั้น ในสนามแข่งขันด้านวัฒนธรรม นักสู้เพื่อประชาธิปไตยจึงต้องรักษาจังหวะก้าวที่เหมาะสม สอดคล้องกับเงื่อนไขที่เป็นจริงในระดับพลาดไม่ได้ ควรเรียนรู้วิธีใช้อำนาจอ่อนที่มุ่งเสนอความดี ความจริง ความงามในนิยามตนมากกว่าพอใจกับภาพลักษณ์ของนักถอดรื้อที่เห็นทุกอย่างขวางหูขวางตาไปหมด วัฒนธรรมเก่าไม่จำเป็นต้องขัดแย้งประชาธิปไตยในทุกด้าน บางอย่างก็เข้ากันได้ ยกเว้นส่วนที่เป็นอำนาจนิยมที่ขัดแย้งกับแนวคิดเรื่องเสรีภาพ ความเสมอภาคและความเป็นธรรม กล่าวสำหรับในมิติอื่นๆ ในด้านวัฒนธรรมประเพณีไม่มีประเทศไหนในโลกที่สามารถตัดขาดจากประวัติศาสตร์ของตัวเองได้ทั้งหมด ในประเด็นนี้การเปลี่ยนแปลงควรถูกปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติ ขบวนประชาธิปไตยไม่ควรทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องสูญเสียพื้นที่และตัวตนอย่างกระทันหัน หากควรทำให้เขารู้สึกได้รับสิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่าเก่า ซึ่งจะสร้างความผูกพันกับระบอบต่อไป พูดก็พูด แม้แต่ประชาธิปไตยในตะวันตกก็ต้องมีพื้นที่ให้ทุกฝ่าย ตั้งแต่อนุรักษ์นิยม เสรีนิยม สังคมนิยม ตราบเท่าที่ไม่สามารถทำให้มนุษย์มองโลกสีเดียวกันได้ และไม่อยากฆ่าฟันกันอย่างยืดเยื้อ ตราบนั้นการบริหารความขัดแย้งอย่างสันติวิธีของประชาธิปไตยน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

ผมได้เรียนท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกแล้วว่า เจตนารมณ์ของการต่อสู้ 14 ตุลาคม 2516 คือการเปลี่ยนแปลงระบอบเผด็จการให้เป็นประชาธิปไตย มาถึงวันนี้ ประชาชนไทยผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วหลายรอบ ได้เห็นการล้มลงของเผด็จการทั้งฝ่ายซ้ายและขวาในโลก และเผด็จการในไทย ดังนั้น  เราจึงไม่เพียงมั่นใจมากขึ้นในการยืนยันเจตจำนงเดิม หากยังเข้าใจมากขึ้นว่าประชาธิปไตยคืออะไรและมีคุณค่าแค่ไหน สังคมจะอยู่รอดและรุ่งเรืองได้หรือไม่ขึ้นกับระบอบการปกครอง ด้วยเหตุดังกล่าว การช่วยกันทำให้ประชาธิปไตยหยั่งรากยืนยงจึงเป็นภารกิจสำคัญของประชาชนคนไทย

สุดท้าย ผมขอยืนยันซ้ำว่า ปรัชญาประชาธิปไตยตั้งบนสมมติฐานที่เห็นว่า สมาชิกของสังคมทุกผู้ทุกนามล้วนมีศักดิ์ศรีความเป็นคนเท่ากัน ดังนั้น ประชาธิปไตยจึงมีเจตนารมณ์ที่มุ่งคัดค้านการเอารัดเอาเปรียบ การครอบงำทางความคิดและการกดขี่ข่มเหงทุกรูปแบบ อย่างไรก็ตาม แค่ต่อต้านการกดขี่อย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ปรัชญาเดียวกันนี้จึงต้องส่งเสริมให้ประชาชนในฐานะรวมหมู่เป็นเจ้าของอำนาจในการปกครองตนเอง ขณะที่ประชาชนในฐานะปัจเจกมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง 
กล่าวโดยสรุป ประชาธิปไตยเป็นแนวคิดที่ทั้งปลดปล่อยและรวมพลังไปพร้อมๆ กัน ด้วยเหตุนี้จุดหมายและวิธีการของประชาธิปไตยจึงแยกออกจากกันไม่ได้ ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวจึงจะเข้าถึงจุดหมายของเสรีภาพ ความเสมอภาคและความเป็นธรรม สังคมประชาธิปไตยไม่ใช่สังคมตัวใครตัวมัน แต่คือสังคมที่เสรีภาพของบุคคลถูกเชื่อมร้อยด้วยพันธกิจที่มีต่อส่วนรวม

ทั้งหมดนี้คือคลื่นความคิดที่ขับเคลื่อนการต่อสู้ 14 ตุลาคม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคลื่นลูกใหม่จะยังคงมุ่งไปสู่ทิศเดียวกัน



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

และใน www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1381735212
วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 14:30:18 น.


www.youtube.com/watch?&v=UvlRWR_pq6A
ดร. เสกสรรค์ ประเสริฐกุล 40ปี14ตุลา 13-10-2013
Published on Oct 13, 2013
ถ่ายทอดสด ทีมงานม้าเร็ว http://speedhorsetv.blogspot.com/




.