http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2556-10-29

อะไรอยู่ในเข่ง โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

.

นิธิ เอียวศรีวงศ์ : อะไรอยู่ในเข่ง
ใน www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1382960763
วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 07:55:47 น.

( ที่มา: นสพ.มติชนรายวัน 28 ต.ค.2556 )


คุณประยุทธ์ ศิริพานิชย์ เป็นใครหรือครับ เขาเคยเป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย คงเป็นเพราะความอาวุโสทางการเมืองของเขาเป็นสำคัญ เท่าที่ทราบเขาไม่มี ส.ส.ใน "สังกัด" และเขาไม่มีส่วนร่วมในทุนของพรรคอย่างสำคัญ ด้วยเหตุดังนั้นเขาจึงไม่อยู่ในกรรมการบริหารพรรคสมัยนี้อีกแล้ว

เป็นไปได้หรือครับ ที่นักการเมืองระดับคุณประยุทธ์จะสามารถเสนอแก้ไขร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในคณะกรรมาธิการ จนเป็นผลให้ผิดหลักการที่ได้รับอนุมัติจากสภาในวาระแรก และยังสามารถนำคะแนนเสียงของคณะกรรมาธิการจาก พท.ทั้งหมดให้สนับสนุนการแก้ไขอย่างถ้วนหน้าเช่นนั้น

หันไปดู สมาชิก พท.ในคณะกรรมาธิการบ้าง มีนักการเมืองอาวุโสอย่างคุณสามารถ แก้วมีชัย และคุณสุนัย จุลพงศธร เป็นแกนนำ ทั้งสองไม่อยู่ใน "เครือข่าย" ของคุณประยุทธ์แน่ เหตุใดจึงลงมติสนับสนุนข้อเสนอของคุณประยุทธ์พร้อมเพรียงกันถึงเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รอง แต่เอากระดูกมาแขวนคอชัดๆ ไม่ว่าที่นครสวรรค์หรือเชียงราย คะแนนเสียงของเสื้อแดงเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของฐานเสียงคนทั้งสองแน่ การโยนซากศพของเสื้อแดงทิ้งอย่างง่ายๆ ในเขตเลือกตั้งที่คนเสื้อแดงเป็นเสียงส่วนใหญ่เช่นนี้ มองไม่เห็นว่าจะให้ประโยชน์ทางการเมืองแก่คนทั้งสองอย่างไร


เรื่องมันใหญ่ขนาดนี้ และทำได้พร้อมเพรียงขนาดนี้ เกิดขึ้นโดยพรรค พท.ไม่รู้เห็นอะไรมาก่อนเลย ย่อมเป็นไปไม่ได้ คุณจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรค (ที่ยุบได้ไม่เดือดร้อน) ทำคนเดียวไม่ได้ คณะผู้บริหารพรรคต้องร่วมรู้เห็นมาก่อน

คนทั่วไปอ่านการแก้ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมครั้งนี้ว่ามาจากคำสั่งนายใหญ่ แต่นายใหญ่อ่านไม่ออกหรือว่า คิดจะกลับบ้านกันง่ายๆ เช่นนี้ ไม่น่าจะรอดจากการต่อต้านอย่างหนักจากปฏิปักษ์ โดยไม่มีกำแพงรั้วแดงคอยปกป้องด้วย จนอาจเกิดจลาจล อันเป็นเหตุที่คนไทยส่วนใหญ่คงอนุญาตให้กองทัพยึดอำนาจได้

นายใหญ่จะสั่งได้ ก็ต้องมีไพ่อีกบางตัวในมือที่ไม่ได้แบออกให้ใครเห็น (อาจยกเว้นคนใกล้ชิดซึ่งกุมพรรคเพื่อไทยอยู่เบื้องหลังคณะกรรมการบริหาร)


น่าสนใจที่จะพยายามคาดเดาว่าไพ่ใบนั้นคืออะไร และผมขอเริ่มคาดเดาด้วยการวิเคราะห์เบื้องต้นว่าใครจะได้ประโยชน์บนซากศพและบาดแผล (ทั้งกายและใจ) ของเสื้อแดงบ้าง

คุณทักษิณซึ่งเคยพูดว่าจะกลับบ้านอย่างมีเกียรตินั้นได้แน่ (และน่าเอาไปเปรียบเทียบกับคุณสุกรี ตาเลห์ แห่งสุไหงปาดี ซึ่งได้ต่อสู้ให้แก่ลูกชายซึ่งต้องสงสัยว่ามีส่วนในการฆาตกรรมใน พ.ศ.2551 ทั้งๆ ที่ลูกชายของเขาในขณะนั้นติดคุกอยู่ในคดีอีกข้อหาหนึ่ง กว่าได้ปล่อยตัวก็ตกถึง 2555 และหนีไปมาเลเซีย จนเข้าปีนี้ ทางฝ่ายความมั่นคงซึ่งได้รับการร้องเรียนอย่างสืบเนื่องจากคุณสุกรี จึงยืนยันว่าลูกชายของเขาติดคุกอยู่ในระหว่างนั้นจริงๆ และขอให้ทางตำรวจยกเลิกหมายจับเสียที เป็นการต่อสู้ต่อเนื่องกัน 5 ปี เพื่อเอาลูกชายกลับบ้าน "อย่างมีเกียรติ") และไม่ใช่เพียงแค่กลับบ้านเท่านั้น คดีอื่นๆ ทั้งหมดที่ยังติดค้างในศาลเวลานี้ ก็จะถูกระงับไปหมดด้วย ฉะนั้นเมื่อคุณทักษิณกลับบ้านด้วย พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่งฉบับนี้ จะมีเกียรติจริงหรือไม่ก็ตาม คุณทักษิณก็จะตัวเบาเท่ากับก่อนรัฐประหาร แม้อาจไม่ได้เป็นนายกฯ อย่างออกหน้าอีกก็ตาม

แต่คุณทักษิณไม่ได้เป็นคนเดียวที่ได้

แกนนำเสื้อแดง และแกนนำเสื้อเหลืองซึ่งถูกกันออกไปในร่างฉบับคุณวรชัย เหมะ ก็ได้ด้วย ไม่ว่าคดีที่ติดค้างในศาลจะร้ายแรงขนาดไหนก็ตาม แม้ว่าแกนนำของทั้งสองฝ่าย ต่างยืนยันจะสู้คดีในศาลจนถึงที่สุด แต่ผลจากการชุมนุมทางการเมืองที่เลยไปถึงขั้น "วางเพลิง" หรือยึดทำเนียบและสนามบิน จะผ่านไปโดยไม่มีใครต้องรับผิดชอบเลย คงเป็นไปได้ยากในศาลที่อำนวยความยุติธรรม ไม่เฉพาะแก่จำเลย แต่แก่สังคมด้วย และการเลื่อนคดี จะทำไปโดยไม่มีที่สิ้นสุดย่อมเป็นไปไม่ได้

ทหารทั้งหมดที่ปฏิบัติการในเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 ไม่ว่าจะปฏิบัติการเกินแก่เหตุ หรือสั่งการให้ปฏิบัติการเกินแก่เหตุ หรืออย่างไม่รอบคอบรัดกุม ก็ได้หมด คุณเฉลิม อยู่บำรุงเมื่อเป็นรองนายกฯ เคยให้สัมภาษณ์ว่า คดีที่กำลังคืบหน้าไปเรื่อยๆ นี้ทำความ "ไม่สบายใจ" แก่ผู้นำกองทัพอย่างยิ่ง หากกฎหมายนี้ผ่านสภาไปได้ ความ "สบายใจ" ก็จะกลับคืนมา

แน่นอน ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ด้วย แม้พวกเขายืนยันที่จะสู้คดีในศาลให้ถึงที่สุดเช่นกัน แต่ไม่มีใครรู้ว่าสังคมไทยจะเปลี่ยนผ่านไปแค่ไหน การเปลี่ยนผ่านที่อาจเกิดขึ้นจริง ย่อมไม่ยอมให้การสังหารหมู่ประชาชนลอยนวลได้แน่


และในประโยคสุดท้ายของข้อเสนอแก้ไขมาตรา 3 แห่งร่าง พ.ร.บ.คือ "ไม่รวมถึงการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112" ชัดเจนลงไปแทนร่างฉบับวรชัย เหมะ ซึ่งอาจตีความได้ว่า หากการกระทำความผิดในมาตรานี้มีเหตุทางการเมือง ก็อาจได้รับนิรโทษกรรมไปด้วย (ตามความเข้าใจของผมซึ่งไม่เคยเรียนกฎหมาย)

หากดูในเข่งที่จะถูกเหมาด้วยการแก้ไขของกรรมาธิการ ก็จะเห็นว่าอำนาจในโครงสร้างทางการเมืองของไทยทั้งหมด ต่างล้วนจะ "สบายใจ" ได้หมดทุกฝ่าย พรรค พท.อาจมีบทบาทเป็นผู้เสนอแก้ไขเปลี่ยนแปลง แต่น่าจะได้รับอนุมัติจากฝ่ายอื่นๆ มากกว่านายใหญ่เพียงคนเดียว

ในส่วนอำนาจใหม่ คือแกนนำเสื้อเหลือง, แกนนำเสื้อแดง และทักษิณหรือที่บางคนเรียกว่ากลุ่ม "ทุนใหม่" ก็จะถูกผนวกเข้าไปในโครงสร้างอย่างมีขั้นตอน อย่างที่แกนนำของขบวนการนักศึกษา 14 ตุลา และนักธุรกิจ-เจ้าพ่อในชนบทได้เคยถูกผนวกมาแล้ว... เป็นไปอย่างช้าๆ มีขั้นมีตอน อาจถูกเหนี่ยวรั้งไว้บ้าง เพื่อให้เรียนรู้ว่าไผเป็นไผในโครงสร้างนั้น โครงสร้างยังอยู่เหมือนเดิม แม้มีคนหน้าใหม่โผล่เข้ามาแจมบ้างก็ตาม

ส่วนมวลชนทั้งเหลืองและแดง ก็ควรกลับไปอยู่ตามที่ตามทางของตน รอรับการอนุเคราะห์จากชนชั้นนำทั้งเก่าและใหม่ในโครงสร้างอำนาจตามจังหวะเดิมๆ ต่อไป ไม่ต่างจากผลบั้นปลายที่เกิดขึ้นในการลุกขึ้นสู้ของมวลชนในเหตุการณ์ 14 ตุลา และพฤษภามหาโหด 2535

ถ้าเรียกสิ่งนี้ว่าการ "เกี้ยเซี้ย" มันไม่ใช่การ "เกี้ยเซี้ย" ระหว่างคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน (อย่างเปิดเผยหรือโดยนัยะ) เท่านั้น ที่สำคัญกว่าคือการ "เกี้ยเซี้ย" เพื่อจรรโลงระบบอำนาจเดิมเอาไว้ โดยชนชั้นนำทุกกลุ่ม ไม่ว่าเก่าหรือใหม่ได้หมด เป็นการหันคืนสู่ "ความสงบเรียบร้อย" อย่างที่เอื้อต่อประโยชน์ของชนชั้นนำมานานแล้ว



ปราศจากเป้าหมายใหญ่ที่ครอบคลุมชนชั้นนำทุกกลุ่มได้เช่นนี้ ไม่มีใครกินเหล็กกินไหลมาจากไหน ไม่ว่าจะเป็นกรรมาธิการพรรค พท., พรรค พท., ทักษิณ ชินวัตร, หรือรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ จะกล้าแก้ไขร่างกฎหมายนิรโทษกรรมให้เหมาเข่งเช่นนี้ได้

สังคมไทยซึ่งถูกทอดทิ้งก็จะเปลี่ยนไม่ผ่านอีกครั้งหนึ่ง
คุณทักษิณจะทุจริตคดโกงอย่างที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ก็ตาม แต่ในฐานะนักการเมือง คุณทักษิณต้องถูกฟ้องตามกระบวนการยุติธรรมปรกติธรรมดาได้ ข้อเสนอของนิติราษฎร์ไม่ได้เว้นคุณทักษิณจากการถูกกล่าวหา แต่ต้องเป็นการกล่าวหาตามกระบวนการยุติธรรมปรกติธรรมดา แม้เป็นข้อกล่าวหาของ คตส.ก็ตาม แต่ต้องผ่านการพิจารณาไตร่ตรองจากหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทีละขั้นทีละตอน คำพิพากษาจึงเป็นที่ยุติ จึงต่างจากนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง เพราะไม่ได้ยกเว้นให้แก่คนทุจริตอยู่เหนือกฎหมาย แต่ให้โอกาสที่เป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาเท่านั้น


นิรโทษเหมาเข่งจึงทำให้สังคมไทยเปลี่ยนไม่ผ่าน เพราะนักการเมืองไม่ต้องรับผิดชอบทางกฎหมายแก่การกระทำของตนอีกต่อไป

ไม่ต่างจากการเว้นโทษแก่ผู้สั่งการสังหารหมู่ประชาชน
จะผิดหรือไม่ผิดก็ตาม แต่คนเหล่านั้นควรถูกตรวจสอบด้วยกระบวนการยุติธรรม และไม่ต่างจากการกระทำของกองทัพและตำรวจซึ่งเคยเป็นผู้ลงมือสังหารหมู่ประชาชนมาหลายครั้งแล้ว ไม่มีใครต้องรับผิดชอบอีกต่อไป

สังคมไทยจึงเปลี่ยนไม่ผ่าน เพราะมีอำนาจดิบที่คอยกดหัวประชาชนอยู่อย่างเดิม


จนถึงที่สุด เราจะมีสถาบันทางการเมืองที่ตรวจสอบไม่ได้อยู่ต่อไป ตรวจสอบไม่ได้เพราะการตกลงกันหลังฉากระหว่างผู้นำยังมีความสำคัญกว่าการตรวจสอบต่อสาธารณชนซึ่งเป็นเพียง "ป่าหี่" หรือตรวจสอบไม่ได้เพราะมีกฎหมายห้ามตรวจสอบก็เหมือนกัน

ส่วนมวลชนซึ่งถูกจัดให้กลับไปที่เดิม ก็จะพบว่าไม่มีที่เดิมให้กลับไปอีกแล้ว ในที่สุดก็ต้องกลับมาใหม่สู่พื้นที่ซึ่งไม่มีใครเปิดให้ การชุมนุมทางการเมืองซึ่งเป็นพื้นที่เดียวของพวกเขา ก็จะไม่มีกฎหมายรองรับที่ชัดเจนเหมือนเดิม จึงง่ายที่จะถูกสไนเปอร์เมื่อไรก็ได้

ความรุนแรงที่เกิดในการเมืองไทยระยะ 50 ปีที่ผ่านมา จึงจะยังเกิดอยู่ต่อไป ซ้ำอาจรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า



___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________

หมายเหตุ Admin บทความดี 

อย่าลืม คนที่ภาพพจน์ไม่ดี มีตำหนิให้คนสงสัย ผู้คนจึงพากันเฝ้าสังเกตุตรวจสอบ อันตรายน้อยกว่า คนที่ภาพพจน์ดี ดูมีปัญญา-เมตตาสูง เลยไม่มีคนกล้าตั้งคำถามตรวจสอบ สื่อก็เสนอแต่ด้านเปิดเผยดีงาม

อย่าลืม บรรดาพวกขุนพลอยพยัก ชอบผู้นำที่เขาเข้าถึงแล้วชักจูงได้ง่ายๆ มากกว่าผู้นำที่เข้าหายาก-เป็นตัวของตัวเองสูง เพราะเขาจะเลือกทางที่ได้ประโยชน์เข้าพวกพ้องแคบๆเป็นกอบเป็นกำมากกว่าความเป็นประโยชน์ก้าวหน้าแก่สังคม



.