http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2556-10-19

บ้าก็บ้าวะ โดย คำ ผกา

.

คำ ผกา : บ้าก็บ้าวะ
ใน www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1382097874
วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 21:29:41 น.

(ที่มา: มติชนสุดสัปดาห์ 11-17 ต.ค. 2556  ปี33 ฉ.1730 หน้า88-89 ) 


คงยากที่จะปฏิเสธได้ว่าในสังคมไทย โซเชียลมีเดียได้กลายเป็น "สื่อทางเลือก" สำหรับคนที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตอย่างแท้จริง

และในความเป็น "สื่อทางเลือก" มีความหมายสองอย่างสำหรับฉัน

อย่างแรก เป็นสื่อทางเลือกในความหมายของการที่เราสามารถ "เลือก" บรรณาธิการ "ข่าว" ของเราจากบรรดาคนที่เราเลือกเป็น "เพื่อน"

เช่นในกรณีของฉันเอง หลังจากใช้เฟซบุ๊กมาหลายปี ฉันเริ่มจัดหมวดหมู่ "เพื่อน" ที่เป็น "บรรณาธิการข่าว" (ส่วนตัว)
เช่น จะมีเพื่อนที่คอยแชร์ข่าวเกี่ยวกับสิทธิความหลากหลายทางเพศโดยเฉพาะ
มีเพื่อนที่แชร์ข่าวเรื่องเพศวิถีโดยเฉพาะ
มีเพื่อนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการคัดสรรข่าวต่างประเทศที่น่าสนใจโดยเฉพาะ
มีเพื่อนที่แชร์ข่าวเกี่ยวกับสิทธิชนกลุ่มน้อยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะ
มีเพื่อนที่แชร์ข่าวเกี่ยวกับคนเสื้อแดงและกิจกรรมคนเสื้อแดงโดยเฉพาะ
มีเพื่อนที่แชร์ข่าวตลกๆ เรื่องเพศ หรือทัศนคติทางเพศแปลกจากสื่อต่างประเทศโดยเฉพาะ
มีเพื่อนที่แชร์คลิปงานเสวนาการเมือง วรรณกรรม วิชาการทางด้านสังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์เป็นการเฉพาะ
มีเพื่อนที่แชร์เกี่ยวกับการรีวิวหนังสือ
มีเพื่อนที่แชร์ข่าวงานวิจารณ์ภาพยนตร์ ฯลฯ

ลองคิดดูก็แล้วกันด้วยแพล็ตฟอร์มอันหลากหลายขนาดนี้ มันเหมือนเป็นทางลัดที่นำเราไปสู่ข้อมูล ข่าวสาร ที่กลายเป็นเครือข่ายโยงใยกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เพราะฉะนั้น พฤติกรรมการเสพ "สื่อ" ของเราในปัจจุบัน มันไม่ใช่การที่เราคลิกเข้าไปในหน้าเพจของหนังสือพิมพ์ฉบับใดฉบับหนึ่งแล้วเริ่มอ่านตั้งแต่หน้า หนึ่ง สอง สาม ไปเรื่อยๆ

แต่ด้วยการผ่านโซเชียลมีเดีย ภายใต้เครือข่ายของบุคคลที่เราติดตาม เราได้สร้างเครือข่ายของข้อมูลข่าวสารที่ตอบสนองพฤติกรรมการบริโภคและความสนใจของตัวเราเอง


สื่อทางเลือกในความหมายที่สองคือ หลังการรัฐประหาร เรา "เลือก" แล้วจริงๆ ว่าเราจะไม่ "เสพ" สื่อจากข้างที่อยู่ตรงกันข้ามกับประชาธิปไตย เชียร์ให้รัฐบาลออกมาฆ่าคน

ยกตัวอย่างเลยก็แล้วกัน เช่น ฉันเลือกแล้วที่ไม่ให้ "ราคา" กับข่าวจากสำนักข่าวอิศรา, ไทยโพสต์, แนวหน้า เป็นต้น

แม้จะเข้าไปอ่านบ้างแต่เป็นการอ่านเพื่อดูว่า สื่อเหล่านี้ "ประกอบสร้าง" ข้อเท็จจริงอะไรในข่าวของพวกเขา ไม่เพียงแต่เลือก "ข้าง" สื่อ เรายังเลือก "ข้าง" เพื่อนไปเรียบร้อยอีก


เช่น ในกรณีของฉันอีกนั่นแหละ ขอสารภาพว่าไม่มีเพื่อนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยเลย

อันนี้ออกจะอาการหนักอยู่ เพราะหากมองตัวเองเป็น "นักเขียน" ที่ต้องสังเกตโลกทุกใบ อย่างน้อยฉันน่าจะติดตามเฟซบุ๊กของคนอย่างหลากหลายไม่เลือกข้างไม่เลือกสี แต่ในเมื่อ social media คือสื่อทางเลือก ฉันก็เลย "เลือก" เสียเลย คือ เลือกที่จะไม่รำคาญใจจาก "ทัศนคติ" ที่เรา "รำคาญ"

ยิ่งพวกคนที่แอ๊บว่าเป็น "กลาง" มีหลักการ ยึดมั่นในคุณธรรมความดี เชื่อมั่นในภาคประชาสังคมพลังของคนตัวเล็กตัวน้อย สู้เพื่อโลกสีเขียว แต่ลึกๆ แล้วเชียร์ประชาธิปัตย์แทบตาย-ประเภทนี้-คือ "สื่อ" ที่ฉันเลือกจะไม่เสพ



พร่ำมายาวๆ นี่เพียงเพื่อจะบอกว่า จะดีจะชั่ว คนไทยยังมี "ทางเลือก" อย่างน้อยเมื่อเทียบกับ จีน เวียดนาม พม่า ลาว เกาหลีเหนือ

เรายังไม่ถูกบล็อกจากการเข้าถึงบริการของอินเตอร์เน็ต แม้ว่าข้อมูลข่าวสารบางอย่าง บางเรื่องจะเป็นสิ่งต้องห้ามในสังคมไทย ทว่า ผ่านอินเตอร์เน็ต เราสามารถเรียนรู้จากกรณีศึกษาของประเทศอื่นๆ ได้

เพื่อจะเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าสถานการณ์ของไทยดีกว่าประเทศอื่นที่ถูกห้ามการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตอย่างสิ้นเชิงอย่างไร

จะขอยกตัวอย่างกรณี เกาหลีเหนือ


ในเว็บไซต์ http://gawker.com/5869210/giant-rabbits-and-double-rainbows-the-10-most-insane-delusions-of-kim-jong+il
มีบทความชื่อ 
"Giant Rabbits and Double Rainbows : The 10 Most Insane Delusions of Kim Jong-Il"
ขอแปลใส่อารมณ์แบบไทยว่า
"กระต่ายยักษ์ และ สายรุ้งซ้อนสองชั้น : สุดยอด 10 ความเพี้ยนพันลึกของ คิม จอง อิล"

10 ข้อนี้มีอะไรบ้าง ฉันจะแปลสรุปคร่าวๆ ดังนี้

- โรงเรียนในเกาหลีเหนือสอนนักเรียนว่ามีการณ์อัศจรรย์หลายอย่างบังเกิดตอนที่ คิม จอง อิล ถือกำเนิดมาบนโลกใบนี้ โดยบอกว่า เขาเกิดในกระท่อมไม้ซุงบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ Paekdu เขาเกิดมาพร้อมกับการเกิดขึ้นของดาวดวงใหม่ และการเกิดของเขาทำให้ฤดูหนาวเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ผลิ ไม่เพียงเท่านั้นยังบังเกิดโค้งรุ้งสองสายพาดบนขอบฟ้าเป็นที่อัศจรรย์ แถมยังเกิดภูเขาน้ำแข็งที่พูดได้ (แต่ตามหลักฐานอื่นกล่าวว่าเขาเกิดที่รัสเซีย)

- ปี 2006 คิม จอง อิล ได้ข่าวว่าที่เยอรมนี มีผู้ชายคนหนึ่งเพาะพันธุ์กระต่ายยักษ์สำเร็จ เขาเชื่อว่า กระต่ายยักษ์คือ กุญแจที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความอดอยากในเกาหลีเหนือได้ เขาจึงติดต่อนาย Karl Szmolinsky ผู้เพาะพันธุ์ กระต่ายยักษ์ เพื่อเชิญเขามาริเริ่มฟาร์มกระต่ายยักษ์ที่เปียงยาง จากนั้นคิมได้ซื้อกระต่ายยักษ์มา 12 ตัว ตัวละ 115 เหรียญ เขาบอกนาย Szmolinsky ว่าจะเอากระต่ายเหล่านี้มาเลี้ยงในสวนสัตว์ หลังจากนั้น ไม่กี่เดือน นาย Szmolinsky ได้รับการติดต่อจากรัฐบาลเกาหลีเหนือให้เขาเดินทางมาที่เกาหลีเหนือ เพื่อเริ่มทำฟาร์มกระต่าย ทว่าเดือนกุมภาพันธ์ปี 2007 เขาได้รับการติดต่อจากทางการเกาหลีเหนือว่า เขาไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่เกาหลีเหนือแล้ว ทำไม? Szmolinsky เชื่อว่าคงเป็นเพราะ กระต่ายทั้ง 12 ตัวนั้นคงกลายเป็นอาหารฉลองวันเกิดของคิมไปแล้ว

- แบบเรียนของรัฐระบุว่า คิมไม่มีอุจจาระและปัสสาวะเฉกมนุษย์อย่างเราๆ

- ในปี 1994 สื่อเกาหลีเหนือรายงานว่า คิม จอง อิล เป็นนักกอล์ฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาทำ 38 อันเดอร์พาร์ 5 โฮลอินวันในการออกรอบครั้งเดียว

- ปี 1989 ที่เปียงยางเป็นเจ้าภาพงาน World Festival of Youth and Students คิมได้ "กำจัด" คนพิการ คนเตี้ย ด้วยการนำไปปล่อยเกาะร้าง เพื่อปกป้อง "ชาติ" เกาหลีเหนือให้ปลอดจากยีนส์ด้อยทั้งมวล

- คิมให้จำคุกญาติผู้กระทำผิด (กฎหมาย) ด้วย เพราะเขาเชื่อว่า อาชญากรนั้นถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ถึงสามรุ่น

- ผู้นำคิมเป็นคนที่กลัวการนั่งเครื่องบินมาก เพราะฉะนั้น เขาจะเดินทางไปไหนต่อไหนด้วยรถไฟกันกระสุนสุดหรูเท่านั้น และว่ากันว่า บนรถไฟที่เขานั่งจะมีกุ้งล็อบสเตอร์เป็นๆ "บิน" (airlifted) ตรงมาเสิร์ฟในขบวนรถไฟของเขา-และน่าจะเป็นขบวนที่เขาถึงแก่อสัญกรรมนั่นเอง

- คิม จอง อิล เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของเฮนเนสซี่ในปี 1993 และ 1994 ลำพังซื้อคอนญัคอย่างเดียวก็ปาเข้าไป 850,000 ดอลลาร์

- ปี 1978 คิมไปลักพาตัวนักทำหนังชาวเกาหลีใต้และภรรยาชื่อ Shin Sang-ok มาเพื่อทำหนังโฆษณาชวนเชื่อให้เกาหลีเหนือในชื่อของคิมในฐานะผู้อำนวยการผลิต สองคนผัวเมียหนีออกมาได้ตอนไปถ่ายหนังที่ออสเตรียหลังจากถูกลักพาตัวไปแปดปี

- ปี 1950 คิม อิล ซุง สร้างเมืองสมมุติชื่อ Kijong-Dong ที่ชายแดนเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ เมืองนี้สร้างขึ้นเพื่อแสดงให้เกาหลีใต้เห็นว่าเกาหลีเหนือเจ๋งกว่า เจริญกว่า ร่ำรวยกว่า เกาหลีใต้ ทว่า มันเป็นเมืองหลอกๆ ไม่มีคนอยู่จริง มีตึกที่มีหน้าต่างแต่ไม่มีกระจก

แกล้งๆ ทำเป็นแท่งคอนกรีตขึ้นมาเฉยๆ


สิบข้อนี้ยังไม่นับการอัศจรรย์ที่นักเรียนเกาหลีเหนือได้เรียนรู้เกี่ยวกับ "ผู้นำที่ยิงใหญ่" คิม จอง อิล ว่า เขาเดินได้เมื่ออายุเพียงสามอาทิตย์ และพูดได้เมื่ออายุเพียงแปดอาทิตย์

นอกจากนี้ ขณะที่เขาเรียนมหาวิทยาลัย ภายในสามปี เขาแต่งโอเปราขึ้นมาถึง 4 เรื่อง แต่งหนังสือ 1,500 เล่ม เป็นอัฉริยะทางสถาปัตยกรรม และการกำกับภาพยนตร์

นอกจากนี้ สื่อเกาหลีเหนือยังรายงานว่า คิม จอง อิล คือ ผู้นำทางด้านแฟชั่นของโลกที่คนทั้งโลกพากันแต่งตัวเลียนแบบเขา หลังจากที่ คิม จอง อิล ถึงแก่อสัญกรรม ก็มีการแต่งเพลง "No Mother Land Without You" หรือ "ไม่มีท่านก็ไม่มีแผ่นดินแม่" เพื่อสรรเสริญท่านผู้นำ หลังอสัญกรรมมีการออกกฎหมายให้ไว้ทุกข์สามปี ใครละเมิดการไว้ทุกข์ เช่น บังอาจดื่มสุราก็จะถูกจับมีโทษจำคุก เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เพื่อความเป็นธรรมกับ "เกาหลีเหนือ" เราอาจต้องเผื่อใจว่าทั้งหมดนี้อาจเป็นแค่มุขเย้ยหยันประเทศเกาหลีจากประเทศ "ตะวันตก" ที่จะไปรู้อะไร้กับเกาหลีเหนือ (แต่ภาวะอดอยากขาดแคลนอาหารอย่างหนักจนผู้คนล้มตายจำนวนมากนั้นมีจริง)


แม้กระนั้นได้ฟังข่าวเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ ได้เห็นภาพโฆษณาชวนเชื่อที่ออกมาจากสื่อของรัฐบาลเกาหลีเหนือ ฉันก็ได้แต่เห็นใจว่า เป็นเพราะประชาชนเกาหลีเหนือถูกกีดกันมิให้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากโลกภายนอก เคยฟังหญิงสาวชาวเกาหลีเหนือพูดในงาน Ted Talk ว่าก่อนที่เธอจะหนีออกมาจากเกาหลีเหนือได้นั้น เธอเคยเชื่อว่าเกาหลีเหนือคือประเทศที่ดีที่สุดในโลก


เขียนถึงตรงนี้ ฉันดีใจจริงๆ ที่คนไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้หลากหลาย เราไม่ถูกปิดกั้นจากสัญญาณอินเตอร์เน็ต ชนชั้นกลางผู้มีการศึกษาในประเทศไทยเป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนรุ่นล่าสุดเสมอ และมีผู้ใช้เฟซบุ๊กมากอย่างมีนัยสำคัญ

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ปรากฎการณ์อย่างเกาหลีเหนือจะเกิดขึ้นที่นี่

ป.ล. อย่าลืมว่าฉันเขียนจากการเลือก "ข้าง" เพื่อนและคนรู้จักในโลกโซเชียลมีเดียแล้ว จึงได้ข้อสรุปเช่นนี้



.
Admin ไม่สามารถเข้าถึงบทความประจำที่นำเสนอมาร่วม 2ปีเสียแล้ว จึงจะไม่ได้เสนอครบถ้วนเหมือนเคย ..ขออภัยผู้ติดตามทุกท่านด้วย