http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-11-07

ใต้“รองพื้น” +เขียนถึงคน“ไม่ได้อ่าน” โดย ทราย เจริญปุระ

.

ใต้“รองพื้น”
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com  คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 02 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 33 ฉบับที่ 1681 หน้า 80


ผู้คนมักมองอย่างสงสัยเวลาเห็นฉันปรากฏตัวในชุดเก่าๆ โทรมๆ
หน้าไม่แต่ง รวบผมง่ายๆ ไปตามประสา
ถ้าเขาเอ่ยปากถาม ฉันมักตอบไปว่า, เดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนชุด เดี๋ยวก็ได้แต่งหน้า ทำผมแล้ว
เลยไม่รู้จะแต่งมาก่อนทำไม


แต่ลึกๆ ในใจก็คิดว่า เขาจะรู้บ้างไหมว่าการ ต้องถูกห่อตัวในเครื่องรัดทรง ขาเกร็งอยู่บนส้นสูง ผิวถูกซ่อนไว้ใต้รองพื้น และหัวเจ็บจากหนังยางนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สบายตัวอย่างยิ่ง 
แต่ผู้คนก็คาดหวังกันว่าฉันควรจะอยู่ในสภาพแบบนั้นตลอดเวลา

ความทรมานของฉันคือเครื่องมือสร้างความสบายใจสบายตาของพวกเขา
และมักบอกให้ฉันรู้ว่าเขาคาดหวังด้วยประโยคเรียบง่าย ได้ยินซ้ำๆ มาเป็นร้อยเป็นพันครั้งว่า
"เป็นผู้หญิงนะ ทำไมไม่แต่งเนื้อแต่งตัวเสียบ้าง"
-เป็นผู้หญิงนะ-

"...ศิลปะ การเข้าสังคมคือ" ไม่จำเป็นต้องมีวาทศิลป์...เราแค่ควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าให้ดูพึงใจและผิดหวัง แปลกใจ ขัดใจ แต่ในทุกสถานการณ์--ต้องทำท่าสนอกสนใจและสนุกสนาน" **
อย่าเดินเสียงดัง อย่ากินเยอะ อย่าพูดแบบนั้น อย่าถามแบบนั้น อย่าใช้อารมณ์
อย่า อย่า อย่า

เราต้องเป็นลูกที่ดี สงบเสงี่ยมเรียบร้อย ดูแลบ้าน ในขณะเดียวกันกับที่เราก็ต้องทำงานนอกบ้านให้ดี
หาเงิน มาเลี้ยงครอบครัวให้ได้ แต่หามาได้แล้วก็อย่าใช้เงินเยอะ อย่าซื้ออะไรฟุ่มเฟือย เก็บเงินไว้ซื้อของเข้าบ้านอันใหญ่โตเป็นหน้าเป็นตา ที่เราไม่ค่อยได้อยู่เพราะต้องออกไปทำงาน
ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหน, คนก็ยังต้องการผู้หญิงในฐานะของผู้หญิง 
ผู้หญิงที่ดีในแบบที่ไม่ต้องฉลาดเรียกร้องหรือตั้งข้อสงสัยแก่สิทธิในชีวิตของตัวเองมากนัก
หากเรามีชีวิตที่ดีก็เพราะเรากตัญญู เรียบร้อย รู้อยู่ 
หากเรามีปัญหาชีวิต ก็เพราะเราทำตัวไม่สมกับการเป็นผู้หญิง 

นานมากแล้วที่ผู้หญิงก็ยอมเล่นบทของการเป็นผู้หญิงเพื่อการยอมรับ และได้มาซึ่งสถานะบางอย่าง
มันอาจจะไม่ผิด
แต่มันไม่ถูกต้องไปเสียทั้งหมดแน่ๆ
และโลกก็น่าเบื่อขึ้นทุกวันสำหรับฉัน



"นางปองติเยร์ไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่ชอบปรับทุกข์กับผู้อื่น 
เธอไม่เคยมีนิสัยอย่างนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่เด็ก เธอมักมีชีวิตอยู่ในโลกใบเล็กของตัวเอง ตั้งแต่ยังเล็ก เธอก็รู้ด้วยสัญชาตญาณแล้วว่าชีวิตของเธอมีสองภาค
ภาคหนึ่งต้องคอยปฏิบัติตามความคาดหวังของสังคมภายนอก
อีกภาคหนึ่งเป็นโลกภายในของเธอเองที่คอยตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆ"
*

ผู้หญิงเราอาจจะเก่ง และทำอะไรได้สารพัดอย่าง แต่มันก็ยังน่าเบื่อ
โลกยังคงว่างเปล่าและบางทีเราก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะเราทำอะไรได้มากเกินไปหรือเปล่านะ เราจึงถูกความรักทอดทิ้ง
หรือว่าการจะได้มีคู่ที่ถูกต้องตามธรรมเนียมเอาไว้เชิดหน้าชูตา จะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้ และเราจะสมบูรณ์แบบเหมือนที่ใครๆ เขาว่ากัน
"ไปสิ แต่งเนื้อแต่งตัว ไปงานดีๆ ไปที่ดีๆ, จะได้เจอกับคนดีๆ"
แล้วคำว่า-คนดีๆ-ก็หลอกลวงเราสำเร็จอีกครั้ง

คนดีๆ ที่อยากให้เราอยู่เฉยๆ, แต่ไม่เฉยเกินไปเมื่อเขาต้องการ 
คนดีๆ ที่อยากให้เรามีลูกให้, จะชายหรือหญิงอย่างที่เขาต้องการ 
คนดีๆ ที่อยากให้เราดูแลพ่อแม่พี่น้องของเขา, หรือทำอะไรแทนยามที่เขาไม่ต้องการ 
คนดีๆ ความรักดีๆ ชีวิตดีๆ สังคมดีๆ เป็นตัวล่อที่ดีเสมอ 
สำหรับผู้หญิงที่ทำได้สารพัด แต่คนก็ยังไม่เห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดีสมบูรณ์แบบ 
ไม่มีครอบครัว จะเป็นผู้หญิงเต็มตัวได้อย่างไร 
แต่เราไม่รู้หรอก 
จนตายเราก็ยังไม่รู้ว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าความรักนั้น ไม่ได้ทำให้เราเสมอภาคกัน


แล้วเราก็ต้องแต่งหน้า แต่งตัว ออกเดินทางฝ่าฟัน 
ไปเพื่อยิ้ม หัวเราะ และเบื่อหน่าย 
ไปเพื่อฝืนตัวเองแล้วพบว่านอกจากเราจะไม่มีความสุขแล้ว ชีวิตดีๆ ก็ยังไม่เกิดขึ้นกับเรา 
แม้ว่าปากอาจจะโทษดวงชะตา แต่ลึกๆ แล้วเราก็อดโทษตัวเองไม่ได้ 
คงเป็นที่เราสินะ 
ที่ไม่สวยพอ ดีพอ หัวเราะได้แนบเนียนพอ 

เพราะเราไม่ดีสินะ 
เราถึงทำอะไรไม่สำเร็จได้อย่างที่คนคาดหวังสักอย่าง

เราพยายามทำท่าไม่ยี่หระ
แต่สุดท้ายเราก็ทำได้ไม่ตลอด

สังคมนั้นก็เป็นเรื่องหนึ่งที่จะไม่เข้าใจเรา 
แต่คนใกล้ตัวเราก็ยังไม่เข้าใจ แล้วก็เอาเราไปแอบซ่อนไว้ พูดถึงเราอย่างผ่านๆ เพราะเราไม่มีอะไรน่าเอาไปอวดต่อโลก
เราแค่ทำงานได้ หาเลี้ยงครอบครัวได้ 
แต่นั่นไม่ใช่วิถีอันน่าชื่นชมของผู้หญิง


การถูกชมว่า "ทำงานเก่ง" คือการสมนาคุณสำหรับผู้หญิงที่สวยน้อยเกินไปในสายตาของ สังคม เป็นคำปลอบประโลมสำหรับผู้หญิงที่หาคู่รักดีๆ และมีลูกมีครอบครัวไม่ได้ต่างหากล่ะ

"เธอโอบฉันแล้วเอามือมาคลำที่บ่าฉัน เพื่อดูว่าปีกของฉันแข็งแรงหรือเปล่า เธอว่านกที่คิดจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงเหนือระดับกฎเกณฑ์ จารีตประเพณีและอคติของผู้คน จะต้องมีปีกที่แข็งแรงเป็นพิเศษ เธอว่ามันจะเป็นเรื่องน่าเศร้าทีเดียวหากจะต้องเห็นนกตัวนั้นปีกหัก หมดเรี่ยวหมดแรง แล้วต้องบินซมซานกลับมายังพื้นโลกอีก" *


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ข้อความจากหนังสือ
** จากประวัติของ เคต โชแปง, ผู้เขียน
*  จากเนื้อเรื่อง

"ดิ อเวกเคนนิง-การฟื้นตื่นของเอ็ดน่า" (The Awakening) เขียนโดย เคต โชแปง (Kate Chopin) แปลโดย พันทิพา บูรณมาตร์ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 โดยสำนักพิมพ์สมมติ ตุลาคม, 2555



++++

บทแนะนำของปี 2554 

เขียนถึงคน“ไม่ได้อ่าน”
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com  คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 07 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1625 หน้า 85


ฉันกำลังผจญกับอาการเก่าแก่ของคนเขียนหนังสือ
คือไม่รู้จะเขียนอะไร

อาจเพราะชีวิตช่วงนี้ดีอย่างไม่น่าไว้ใจ
ความสัมพันธ์ผ่อนคลายมากขึ้น เหนื่อยน้อยลง ไม่กดดันเหมือนช่วงสอง-สามเดือนที่ผ่านมา

ถามว่าใครเป็นคนทำให้มันดีขึ้นคงจะต้องตอบว่าเป็นความร่วมมือของทุกฝ่าย 
แต่ถ้าถามว่าแล้วก่อนหน้านั้นใครทำให้มันแย่ลง 
คงต้องตอบว่าฉันเอง

มันไม่ได้ดีขึ้นเพราะเขาหันมารักคลั่งไคล้หรือเทิดทูนบูชาให้ฉันเป็นแกนกลางแก่นชีวิต
ทั้งที่รักกัน แต่เขายังหวนหาอดีตอยู่ แค่มาในแบบที่ไม่หม่นเป็นลูกหมาหงอยเท่านั้นเอง 
ฟังแล้วบางทีก็อยากจะด่าแรงๆ แต่ฉันก็มาคิดได้ว่าจริงๆ แล้วที่เรากำลังเดินทางกันอยู่นี้คือการเอาชนะหรือความรักกันแน่


ฉันอยากเอาชนะเขา ในขณะที่เขาก็อยากเอาชนะความรู้สึกของตัวเอง 
แล้วถ้าชนะขึ้นมาแล้วมันจะเป็นยังไงต่อไป 
จบกัน หรือค้นพบหนทางใหม่ๆ 
ฉันบอกไม่ได้ในตอนนี้



ชีวิตค่อยๆ เดินหน้าไปตามรอบปฏิทิน 
เราทำบางวันหล่นหาย แต่บางวันก็มีค่าทวีคูณเกินกว่าจะหลงลืม 
วัน สำคัญของเรากับในปฏิทินไม่เหมือนกัน วันหยุดราชการบางวันก็เป็นวันที่เราพุ่งจี๋ไปข้างหน้า เพื่อจะมาหยุดเอาในวันธรรมดาที่ใครๆ ต้องทำงาน
มีเรื่องรักบ้าง งานบ้าง ตัวเองบ้าง ใครต่อใครบ้าง สลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป

ฉันชอบเรื่องราว ชอบฟัง ชอบรู้ ชอบเอาตัวเองใส่เข้าไปในเรื่องเหล่านั้นและคิดตาม 
ฟังๆ ไปก็ดูไม่เลว, แล้วมันไม่น่าไว้ใจตรงไหน 
ก็--คุณไม่เคยหรือ ที่อะไรๆ มันดีมากไปจนน่าหวาดระแวง

ขนาดฉันเป็นคนคาดหวังอะไรที่ต้องใช้พฤติกรรมของเพื่อนร่วมโลกประกอบไปด้วยต่ำมากแล้วนะ
แต่อาจเพราะเคยมีคนเตือนไว้ว่าอย่าหัวเราะมากเกินไป เพราะน้ำตาจะตามมาอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจเป็นทบเท่าทวีคูณ 
ก็ เคยคิดแย้งเหมือนกันว่าแล้วอย่างนั้นจะมีชีวิตกันไปทำไม หัวเราะได้ไม่เต็มเสียง สุขได้ไม่เต็มที่ แต่เวลามีน้ำตาก็เศร้าเท่าคนอื่น แถมทบทวีด้วยความรู้สึกว่า "เห็นไหม กูว่าแล้วอย่ามีความสุข" ยังไงทุกข์และสุขก็เป็นธรรมดาของชีวิต เราไม่มีวันหนีมันได้ 
ขนาดคิดได้อย่างนี้ฉันยังไม่วายหวาดระแวง


แต่มนุษย์เราก็แค่นี้ วนเวียนอยู่กับเรื่องไม่กี่เรื่อง แล้วก็พามันติดตัวไปด้วยทุกที่ ทุกเวลา
กระทั่งตัวฉันที่บอกว่าไม่มีอะไรจะเขียนก็เขียนมาได้ถึงเพียงนี้มันจะเพราะอะไรกันเล่า
ถ้าไม่ใช่เรื่องอะไรๆ ที่สุมอยู่เต็มกบาล 
ที่ว่าไม่รู้จะเขียนอะไร ก็คือ-ไม่รู้จะเขียนถึงสิ่งที่ฉันคิดได้อย่างไร โดยให้คุณผู้อ่านไม่รู้ว่าฉันเขียนถึงอะไรกันแน่-

ที่ว่าดีชีวิตช่วงนี้ดี, ก็เป็นชีวิตแบบที่ฉันอยากให้คุณรู้แค่นี้ ไอ้เรื่องนอกเหนือไปกว่านี้ฉันก็เก็บอุบงุบงิบไว้เป็นเรื่องส่วนตัว
ไม่อยากให้ต้องตีความหรอกว่าฉันเขียนอะไรถึงใครมีผลอะไรด้านไหนกับชีวิตสั้นๆ ของฉันบ้าง

บอกให้ก็ได้ว่าฉันเขียนถึงคนที่ไม่มีวันจะอ่านอะไรที่ฉันเขียนนั่นเอง
ต่อให้เขียนถึงเขาก็ตาม




.