http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-10-24

แม่จอมบู๊, +ไม่อยากเป็นคนแรก โดย ทราย เจริญปุระ

.

แม่จอมบู๊
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com  คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1679 หน้า 80


ต้องถือว่าเป็นช่วงทุรกันดารทางหนังสือสำหรับฉันอย่างแท้จริง 
ปรากฏการณ์นี้จะมาเยือนฉันปีละ 2 ครั้ง ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม และกันยายน-ตุลาคมของทุกปี 
ก็เพราะว่างานหนังสือใหญ่ของปีจะจัดขึ้นในช่วงมีนาคมและตุลาคม 
ทำให้ทุกสำนักพิมพ์รอเวลาที่จะเปิดตัวหนังสือใหม่ๆ ในงานหนังสือ 
และเดือนก่อนหน้าที่งานหนังสือจะมาถึงจึงแทบจะไม่มีหนังสืออะไรออกมาเลย


เมื่อช่วงแรกๆ ของการมีเทศกาลหนังสือนั้น อาการยังไม่หนักเท่านี้ 
แต่พอเดี๋ยวนี้รู้สึกจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ 
จนบนชั้นหนังสือในร้านแทบจะเหลือแต่คู่มือการใช้คอมพิวเตอร์กับหนังสือสวดมนต์แล้ว 
แล้วฉันจะทำอย่างไร?

เพราะฉันไม่ใช่แค่ติดอ่านหนังสือเท่านั้น
แต่ยังมีภารกิจประจำต้องเขียนถ่ายทอดเรื่องราวแบ่งปันกันกับคุณผู้อ่านด้วย 
แล้วใช่ว่าหยิบหนังสืออะไรมาอ่านแล้วมันจะเขียนได้ปุ๊บปั๊บ 
นอกจากใช้เวลาอ่านแล้วยังต้องใช้เวลาย่อย ดูดซึม และเอามาเรียบเรียงอีกที 
บางทีก็มีหนังสือมากไป จนแทบจะไล่อ่านไม่ทัน

แต่มากไปย่อมดีกว่าน้อยไป 
และน้อยไปก็ย่อมดีกว่าไม่มีเอาเสียเลย, เช่น ที่ฉันกำลังประสบอยู่ในตอนนี้


เมื่อไม่มีหนังสือใหม่ ฉันก็ไล่คุ้ยเอาหนังสือเก่ามาอ่าน 
อ่านเพราะต้องอ่าน ไม่ได้อ่านเพื่อจะเอามาเขียน เพราะส่วนใหญ่ก็เอามาเขียนแทบจะหมดแล้ว 
ก็เราเจอกันผ่านทางคอลัมน์นี้มานานแสนนานเหลือเกิน 
ตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็กสาววัยใส 
จนวันนี้ที่ฉันต้องมารับบทเป็นแม่คน มีลูกตัวโตๆ ในละครนี่แหละ

หลายคนบอกว่ามันเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับนักแสดง ที่วันหนึ่งก็ต้องมาเล่นเป็นพ่อเป็นแม่ 
แต่ฉันกลับเฉยๆ 
ถ้าเราอยู่ในวงการแสดงมานานพอ และมีวี่แววว่าจะยังอยู่ต่อไป 
เราก็ต้องเล่นเป็นพ่อแม่เข้าจนได้ในสักวันหนึ่ง

จะไม่เปรียบเทียบกับเมืองนอกหรอกนะ ว่าทำไมดาราแก่ๆ ของเค้าถึงยังเป็นตัวเอกอยู่ 
ว่ากันเฉพาะบ้านเรานี่ล่ะ 
ต่อให้เป็นพ่อเป็นแม่แล้วก็ยังมีลักษณะเฉพาะแยกย่อยออกไป 
ก็ไม่ต่างอะไรกับตัวพระเอกนางเอกหรอก
บางคนก็มาสายบู๊ บ้างก็ดูรวย บางคนเหมาะเป็นเศรษฐีบ้านนอก บ้างก็ดูร้ายตลอดกาล 

ฉันมีความใฝ่ฝันตอนล่วงเข้าสู่ปีที่ 10 ของการทำงาน ว่าซักวันจะต้องเล่นเป็นแม่ให้ได้ 
ทั้งที่จริงๆ ฉันก็เริ่มมีลูกในจอตั้งแต่อายุ 18 แล้ว แต่ตอนนั้นลูกยังเป็นแค่เด็กน้อยจ้อยจิ๋ว 
ไม่เต็มไม้เต็มมือเท่าไหร่ 
มาถึงตอนนี้มีลูกโตๆ ใช้การได้ฉันจึงดีใจนักหนา  
ทำไมน่ะหรือ?

ก็ชีวิตฉันเล่นแต่บทเหนื่อยๆ หนักๆ ไม่เฉพาะดราม่าน้ำตาแตก คนสู้ชีวิตเท่านั้นหรอก 
แต่ยังรวมถึงบทบู๊ถูลู่ถูกังที่ดูเหมือนว่า พอบทแบบนี้ปรากฏขึ้นมา ก็จะมีชื่อฉันผุดขึ้นมาด้วย 
ไม่ใช่ไม่ดีใจหรอกนะคุณผู้อ่านที่คนเขานึกถึงเรา 
แต่สังขารบางทีมันก็ร่ำร้องอยากจะพักผ่อน  
เพราะต่อยตีบู๊ล้างผลาญมา 10 ปีนี่ ร่างกายก็ชักจะชอกช้ำอยู่เหมือนกัน 
พอมีคนเสนอว่าให้เล่นบทแม่ฉันจึงดีใจมาก


เพราะภาพในความฝันของฉันนั้น คนเล่นเป็นแม่ในละครไทยคือได้อยู่กับบ้าน 
ถ้าจะเปลี่ยนสถานที่ถ่ายทำบ้างก็ไม่น่าจะเกิน 2-3 ที่ ไม่ต้องตะลอนๆ ไปทุกทีอย่างพระเอกนางเอก 
กิจกรรมของบทแม่ก็เป็นกิจกรรมเบาๆ 
เช่น นั่งเฉยๆ รอให้ลูกเอาปัญหามาบอกบ้าง สั่งให้แม่บ้านไปเอาน้ำชากาแฟมาต้อนรับลูกบ้าน ทำท่าอยากมีหลานบ้าง เป็นลมเป็นแล้งตามสมควรบ้าง 
ชุดที่ใส่ก็เป็นชุดสบายๆ ไม่ต้องรัด ไม่ต้องหนาผิดฤดู ไม่ต้องเอาปะวะหล่ำกำไลมาใส่หัวหูให้เยอะแยะมากมาย ไม่ต้องใส่ส้นสูง 
เห็นไหม สบายจะตาย


คิดได้ดังนั้นฉันก็รับเล่นแบบไม่คิดอะไรมาก 
แม้จะแอบสะกิดนิดๆ ในใจว่า, ทำไมคนที่เล่นเป็นลูกฉันถึงอายุเท่ากันกับฉันเลย 
แต่ก็สลัดความคิดนั้นไปได้อย่างรวดเร็ว 
ก็ดาราหนุ่มหล่อเดี๋ยวนี้ก็ประมาณนี้แหละ เด็กกว่านี้ก็จะเด็กเกินไป ไม่สมดุลกับผู้ร่วมแสดงอื่นๆ

ระหว่างที่ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะนำเสนอผู้กำกับว่าจะทำกิจกรรมแบบแม่ๆ อันไหนดี ระหว่างปักผ้ากับทำกับข้าว 
บทตอนแรกก็มาถึงมือ 
เปิดตัวฉันด้วยฉากบู๊ 3 หน้ากระดาษ
อ้าว
เฮ้ย 
ไม่นะ

นี่ฉันเป็นแม่แล้วนะ!!!



แล้วเลยมาคิดได้ว่าบุคลิกนี่มันคงติดตัวไปจนตาย 
ฉันก็ยังคงต้องเล่นดราม่า สู้ชีวิตน้ำตาตก โลกไม่ยุติธรรม 
และแน่นอน, บู๊เหมือนเดิม 
แต่คราวนี้ไม่ได้บู๊คนเดียว 
แต่ต้องบู๊แบบผู้ปกครองที่สู้เพื่อลูก 
ท่าทางจะหนักไปกว่าเดิม

เขียนมาถึงตอนนี้ก็ถือว่าเล่าสู่กันฟังไปพลางๆ ก็แล้วกันนะคุณผู้อ่าน 
งานหนังสือใกล้เข้ามาทุกขณะจิตแล้ว 
ฉันคงมีหนังสือมาเล่าสู่ให้คุณได้อ่านกันเร็วๆ นี้แหละ 
ถือว่าเป็นช่วงพักผ่อนของคุณก็แล้วกัน
ส่วนฉันก็ขอตัวไปบู๊ฟาดฟันกับโลกอันโหดร้ายก่อน

สวัสดี



++++
บทแนะนำของปี 2554

ไม่อยากเป็นคนแรก
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com  คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1623 หน้า 80


1.
ฉันดูดวงไม่เป็น และไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องดวงหรือโชคชะตาราศีมากนัก 
แต่บางทีก็อดสงสัยชะตาตัวเองขึ้นมาแบบวูบวาบไม่ได้ว่าฉันนั้นน่าจะมีดวงในการเดินทางกับเขาเหมือนกัน 
นอกเหนือจากงานแสดงแล้ว งานอีกอย่างที่ฉันมีโอกาสได้ทำอยู่เรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอก็คือ งานพิธีกร 
คงจะเป็นเพราะบุคลิกมากกว่าสิ่งใด ใครต่อใครจึงมองว่าฉันนั้นเหมาะแก่การทำพิธีกรในสายการผจญภัยเดินทางมากกว่า นั่งนิ่งๆ ในห้อง ทั้งที่จริงๆ แล้ว--

-เอาเถอะ, นั่นไม่ใช่ประเด็น-

ประเด็นคือฉันจะได้ทำรายการที่ว่าด้วยการเดินทางท่องเที่ยวอยู่เสมอๆ มันส่งให้ฉันไปในสถานที่ยอดนิยมที่กำลังอยู่ในกระแส หรือกำลังมีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมเร็วๆ นี้ 
รายการโทรทัศน์ก็เป็นอย่างนี้ มีความจำเป็นสูงที่จะต้องเกาะกระแสความนิยมรวมถึงพยายามเป็นผู้นำกระแสไปในตัว 
แต่สมองพิลึกของคนอย่างฉันก็ดันมักจะอุตริไปคิดถึงอะไรแนวอื่นๆ

นั่นคือ ทำไมไม่มีใครนำเสนออะไรที่ไม่ฉับพลันทันที หรืออะไรที่เป็นฝั่งตรงข้ามบ้าง 
ยกตัวอย่างเช่นรายการทำกับข้าว  
ทำไมไม่มีใครเอาคนทำกับข้าวไม่เป็น (ใช่, เช่นคนอย่างฉันนี่แหละ) มาทำกับข้าวออกรายการบ้าง? 

การมีอยู่ของรายการทำกับข้าวนั้นมีประโยชน์กับคนที่ทำไม่เป็นมากกว่าคนที่ทำเป็นอยู่แล้วอย่างเปรียบเทียบกันไม่ติด ทำไมไม่มีใครคิดเอามนุษย์ผู้โง่งมในการปรุงอาหาร ถึงขั้นที่มานั่งสงสัยในประโยคพื้นๆ ของการทำกับข้าว อย่าง "ใช้ไฟอ่อน" ว่า คำว่าอ่อนนี่มันคือแค่ไหน? 
อ่อนของฉันกับอ่อนของคนที่เขาบอกนั้นเท่ากันหรือไม่?  
ถ้าเราใช้เตาแก๊สคนละรุ่นจนได้ความแรงของไฟไม่เท่ากันล่ะ?

คนที่เอาแต่หมกมุ่นสงสัยกับอะไรโง่ๆ เช่นนี้จนเผลอปล่อยให้ข้าวปลาอาหารที่ ตั้งอยู่บนเตาตรงหน้าพังพินาศฉิบหายไปได้ในพริบตาเช่นฉัน มาหัดทำกับข้าวให้เป็น โดยมีอาจารย์หรือผู้รู้ในการทำกับข้าวมาคอยสั่งสอนบ้าง  
ไม่ใช่ว่าเอาคนที่เก่ง (จะเก่งจริงหรือเก่งเพราะตัดต่อภาพก็ไม่รู้ล่ะ) มาทำ แบบนี้ฉันก็แย่ซี

เหมือนกับที่ฉันสงสัยถึงรูปแบบในการทำรายการท่องเที่ยวเดินทาง ว่าทำไมทุกคนถึงต้องอยากไปสถานที่นั้นเป็นคนแรก 
ฉันเคยไปมาแล้ว, สถานที่ซึ่งกำลังจะได้รับความนิยมในอีกไม่นาน ความก้ำกึ่งของมันทำให้ความสะดวกสบาย ที่อยู่ ที่กิน รวมถึงการรับมือและปรับตัวเข้ากับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นของคนท้องถิ่นนั้น ยังเป็นไปอย่างไม่ราบรื่น 

ใช่, ฉันหยิบโหย่ง รักสบาย และชื่นชอบความสะดวกในการเดินทางไปพักผ่อน ซึ่งฉันไม่ถือว่าเป็นความผิด ฉันไม่ใช่ญาติโคลัมบัสนี่ ถึงจะอยากค้นพบโลกใหม่อยู่ได้ตลอดเวลา ฉันเป็นแค่หญิงวัยกลางคนที่พอจะมีทุนรอนอยู่บ้างและทำงานหนักมาเกือบยี่สิบปี การไปเที่ยวของฉันจึงแปลความหมายได้เพียงอย่างเดียวว่า-สะดวกสบาย-

ฉันไม่อยากเป็นคนแรกที่ไปแล้วทำหน้าซาบซึ้ง แกมประกายตาวิบวับเพื่อออกรายการโทรทัศน์ว่าที่นี่อากาศดี ทัศนียภาพเยี่ยม บริเวณนี้ยังไม่เคยสิ่งมีชีวิตที่แบกกล้องเพื่อการบันทึกภาพมาเยี่ยมเยือนมาก่อน (ชาวบ้านที่อยู่ตรงนั้นทุกวันคงไม่ได้อยากถ่ายรูปมันเท่าไหร่) หรือผู้คนเบิกบานเป็นมิตรกว่าที่ใดในโลกหล้า  

ทำไมไม่เคยมีใครอยากไปทีหลังบ้าง 
ทำไมไม่มีใครอยากไปเห็นความเป็นจริงของชีวิตชุมชนหลังจากคลื่นมนุษย์ถาโถมใส่แล้วบ้าง 
ซากของสิ่งที่เหลืออยู่หลังจากพายุแห่งความนิยมนั้นพัดผ่านไปแล้ว 
ร้านค้าที่กำลังปิดตัว
ของที่ระลึกซึ่งดูเหมือนจะเอาไว้เป็นเป็นที่สะสมของกองฝุ่นในร้านค้าเหงาๆ มากกว่าในความทรงจำของใคร
โรงแรมลดราคา คาราโอเกะเงียบเหงา และผู้คนที่กำลังย้ายออกไป

ฉันอยากรู้ถึงชีวิตจริงและสิ่งเหล่านี้มากกว่าการได้ไปเพื่อถ่ายรูปและบอกใครว่าฉันมาถึงแล้ว




2.
ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง 
ก็ไม่ใช่เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันหรอก เขาเป็นเพื่อนรุ่นพี่ เราเจอกันแบบบางช่วงก็ถี่ แต่บางทีก็ห่างหายกันไป เพื่อนคนนี้มีคู่ชีวิตเป็นชาวต่างชาติ เขาเดินทางไปต่างประเทศอยู่บ่อยๆ ในช่วงชีวิตหนึ่งและตอนนี้เขาก็มีงานที่ ส่งตัวเองไปอยู่ตามหุบเขาและเขตแดนเร้นลับในประเทศไทยที่เดินทางไปยากและ ระบุพิกัดได้ยากยิ่งกว่า 
ยากชนิดที่ว่าเราคนไทยยังไม่ค่อยรู้ว่ามีมันอยู่ในประเทศนี้

เขาไปสร้างโรงเรียนให้กับชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่แถวนั้น 
เขาเป็นคนเล่าเรื่องสนุก ประสบการณ์มากมายถ่ายทอดออกมาให้พวกเราได้หัวเราะเฮฮากันเสมอ 
ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของผู้คนที่เขาไปเจอมาและงานที่เขาเลือกทำนั่นแหละ 
แปลกดีที่จังหวัดส่วนใหญ่ที่เขาไปนั้นก็เป็นจังหวัดธรรมดาๆ

อย่างที่ใครต่อใครบอกว่าไปเยือนไปย่ำกันจนปรุแล้วทั้งนั้น แต่เขาก็ยังอุตสาหะหาเอาจุดเล็กๆ ไม่กี่ตารางกิโลเมตรที่ยังไม่มีใครไปถ่ายรูปเพื่อโพสต์ลงสังคมออนไลน์ได้อยู่ดี แถมไม่ได้มีแค่จังหวัดเดียวเสียด้วย ไม่ได้จำเป็นต้องอยู่บนดอยหรือหลังเขา เป็นแค่จังหวัดธรรมดาๆ นี่แหละ

อย่างหนึ่งที่ฉันติดใจเกี่ยวกับเพื่อนคนนี้คือรอยสักของเขา 
ไม่ใช่ลายพื้นเมืองของชาวเกาะอะบอริจิน ไม่ใช่ลายเบญจมาศแบบยากูซ่าหรือลายเหลี่ยมคมกราฟิกสวยงามล้ำโลกแต่อย่างใด 
มันเป็นเพียงข้อความวลีหนึ่ง 
แถมสักเป็นภาษาไทยใหญ่พอให้อ่านได้ง่ายสบายตา
ข้อความสั้นๆ ง่ายๆ นั้นบอกว่า
"แล้วเราจะไป"


ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรตอนสักและก็ไม่เคยคิดถาม

แต่ฉันคิดเอาของฉันเองว่ามันอาจจะเป็นเรื่องเดียวกันกับสิ่งที่เขาทำ สถานที่ที่เขาไปเยือน และผู้คนที่เขาพบเจอ
เมื่อไหร่ก็ได้ ที่ไหนก็ได้

และ, ไม่ต้องเป็นที่หนึ่งก็ได้



.