http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-10-08

สรกล: ราคาของ “อำนาจ”, “จำนำ”สไตล์

.

ราคาของ “อำนาจ”
โดย สรกล อดุลยานนท์  คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12
ในมติชน ออนไลน์  วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 20:00:05 น.
(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 นสพ.มติชนรายวัน ฉบับวันเสาร์ที่ 29 ก.ย.2555 หน้า 2 )


การตัดสินใจลาออกของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่ได้เหนือความคาดหมายแต่อย่างไร
เพราะยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยคือการรักษา "อำนาจรัฐ" 
อะไรที่หวาดเสียวต่อการสูญเสียฐานที่มั่น 
พรรคเพื่อไทยจะเด้งเชือกหนีทันที 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐธรรมนูญปี 2550 ยังไม่ได้รับการแก้ไข


องค์กรอิสระและ "ตุลาการภิวัฒน์" ยังดำรงอยู่ 
พรรคเพื่อไทยหวาดกลัวคำว่า "การตีความ" อย่างยิ่ง 
การลาออกของ "ยงยุทธ" จึงดำเนินไปตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว 
แม้ว่าจะมีแง่มุมทางกฎหมายที่จะต่อสู้ แต่สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งสำหรับเสถียรภาพของรัฐบาล


ในทางการเมือง ดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยจะสรุปแล้วว่าหากจะรักษาความได้เปรียบทางการเมืองผ่านการเลือกตั้ง 
เขาจะต้องสร้าง "ผลงาน" ใหม่ขึ้นมาให้ได้ 
เพราะตอนนี้ "บุญเก่า" จากสมัยพรรคไทยรักไทยกำลังจะหมดลงแล้ว 

ต้องยอมรับชัยชนะของพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้ง 2 ครั้งหลังไม่ได้มาจาก "อำนาจรัฐ" 
เพราะเป็นการเลือกตั้งที่พรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาล
ครั้งแรก เป็นการเลือกตั้งในช่วงที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี 
ครั้งที่สอง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ "พลังประชาชน" และ "เพื่อไทย" ยังชนะอย่างถล่มทลาย

นี่คือ ผลพวงจาก "ผลงาน" ในอดีตของ "ทักษิณ ชินวัตร" ในยุคพรรคไทยรักไทย 
กองทุนหมู่บ้าน นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค การปราบปรามยาเสพติด ฯลฯ 
ผ่านมา 6 ปีแล้ว ยังเอามาหากินได้ 
ด้านหนึ่ง แสดงให้เห็นว่า "ผลงาน" นั้นมีพลานุภาพแค่ไหน 
แต่อีกด้านหนึ่ง "ทักษิณ" คงตระหนักแล้วว่าทุกสรรพสิ่งมีวันหมดอายุ 
เพราะจนถึงวันนี้ยังไม่มีโครงการไหนของพรรคพลังประชาชนหรือพรรคเพื่อไทยที่ประสบความสำเร็จเหมือนโครงการในอดีตของพรรคไทยรักไทย 



ดังนั้น ความพยายามยืดอายุรัฐบาลชุดนี้ให้นานที่สุดจึงเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งในการผลักดันผลงานใหม่ให้ออกดอกออกผล 
เพราะแต่ละโครงการต้องใช้เวลา
ยุทธศาสตร์นี้อาจส่งผลดีต่อการสร้างผลงานของรัฐบาล 

แต่อีกด้านหนึ่ง การตัดสินใจถอยทางการเมืองอย่างต่อเนื่องของพรรคเพื่อไทยก็ทำให้ความน่าเชื่อถือของพรรคเพื่อไทยลดน้อยลง 
ตั้งแต่การยืนหยัดถึงความถูกต้องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

จนถึงการยืนยันความถูกต้องของตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของนายยงยุทธ

เมื่อ "ถอย" ก็แสดงว่ายอมรับ "ความผิดพลาด"
นี่คือ "รายจ่าย" ที่ต้องจ่ายของพรรคเพื่อไทย
สำหรับการรักษา "อำนาจรัฐ"



++

“จำนำ”สไตล์
โดย สรกล อดุลยานนท์  คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12
ในมติชน ออนไลน์  วันเสาร์ที่ 06 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 20:00:11 น.
(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 นสพ.มติชนรายวัน ฉบับวันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม 2555 หน้า 2 )


โครงการจำนำข้าวของรัฐบาลเริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ 
นโยบายนี้มี "ข้อดี" ที่ทำให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น 
และตามหลักเศรษฐศาสตร์ "กำลังซื้อ" ที่เพิ่มขึ้นของ "คนจน" มักจะไม่อยู่นิ่งในกระเป๋าเหมือน "คนรวย" 
เงินที่รัฐบาลซื้อข้าวเปลือกมาเก็บ 3-4 แสนล้านบาท จึงหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหลายรอบ

แต่ปัญหาใหญ่ของโครงการนี้ก็คือ ข้าวที่เก็บไว้ยังไม่สามารถระบายออกได้ 
ยุทธศาสตร์ขายข้าวทีหลัง รอให้คนอื่นขายหมดก่อน แม้จะเป็นวิธีคิดที่ดูคมคาย แต่ถึงวันนี้ "คำพูด" ดังกล่าวเริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะยอดส่งออกยังไม่เกิดขึ้น

รัฐบาลนั้นยืนยันว่าได้เซ็นสัญญาขายแบบ "จีทูจี" แล้ว 7 ล้านตัน
แต่ถ้าตัวเลขยอดการส่งออกยังไม่ปรากฏให้เห็น ความน่าเชื่อถือก็จะลดลง
นั่นคือ เรื่องหนึ่งที่ต้องติดตามต่อไป



แต่อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือภาพความขัดแย้งทางความคิดเรื่องนโยบายจำนำข้าวของพรรคเพื่อไทยในวันนี้ คล้ายๆ กับเมื่อครั้งที่พรรคไทยรักไทยเสนอนโยบายประชานิยม
30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน โอท็อป ฯลฯ
จำได้ว่านักวิชาการ และพรรคการเมืองคู่แข่งก็ออกมาโจมตีอย่างหนัก 
ไม่เชื่อว่า "30 บาทรักษาทุกโรค" จะเป็นจริง 
"กองทุนหมู่บ้าน" ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะทำให้ประชาชนกู้เงินไปซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย อย่างโทรศัพท์มือถือ รถจักรยานยนต์ ฯลฯ
ประโยคที่บอกว่า "ประชานิยม" แบบ "ทักษิณ" จะทำให้ประเทศไทยล้มละลาย 
ได้ยินมาตั้งแต่ปี 2544 แล้ว
ผ่านไป 11 ปี
เมืองไทยก็ยังไม่ล้มละลาย

ในขณะที่นักวิชาการและพรรคคู่แข่งออกมาโจมตีนโยบายประชานิยม
อีกฝั่งหนึ่ง คือ ชาวบ้านในชนบทต่างชื่นชมในนโยบายดังกล่าว
เพราะทุกคนรู้สึกว่าอยู่ดีกินดีขึ้น 
ไม่แปลกที่ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย จะชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย
นโยบายที่เคยถูกโจมตีก็ยังคงอยู่ รัฐบาล คมช. หรือรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่กล้าล้มโครงการกองทุนหมู่บ้าน หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค



ภาพความขัดแย้งระหว่าง "นักวิชาการ" กับ "ชาวบ้าน" ปรากฏขึ้นอีกครั้งในโครงการจำนำข้าวของพรรคเพื่อไทย 
ในขณะที่พรรคฝ่ายค้าน และนักวิชาการ ต่างโจมตีความล้มเหลวของโครงการนี้ 
ชาวนากลับสนับสนุนอย่างเต็มที่ 
เหมือนกับเมื่อตอนปี 2544
ความขัดแย้งดังกล่าวสะท้อนให้เห็นความแตกต่างทางชนชั้นที่ดำรงอยู่  
"เงิน" จำนวนเท่ากัน เมื่อนำไปอัดฉีดสถาบันการเงินตอนเศรษฐกิจไทยย่ำแย่ 
คนกลุ่มหนึ่งสนับสนุน

แต่เงินจำนวนน้อยกว่ากันครึ่งหนึ่ง อัดฉีดเข้ากระเป๋าชาวนา
คนกลุ่มนี้กลับคัดค้าน

นึกถึงเพลง "กังนัม สไตล์" กำลังฮิตไปทั่วโลก 
"ปาร์ก แจ ซาง" เลือกใช้คำว่า "กังนัม" ซึ่งเป็นย่านธุรกิจทางใต้ของกรุงโซล เพื่อเสียดสีให้เห็นช่องว่างระหว่าง "คนรวย" กับ "คนจน"
"จำนำสไตล์" ในเมืองไทย ก็สะท้อนภาพนี้เช่นเดียวกัน



.