.
คู่นอนของฉัน
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1678 หน้า 78
ขณะนี้เป็นเวลาตี 3
พรุ่งนี้ฉันก็ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า
คำถามคือ, แล้วฉันมานั่งทำบ้าอะไรอยู่ดึกดื่นป่านฉะนี้ ไม่รู้จักไปหลับไปนอนให้ร่างกายและหน้าตาสดชื่น เตรียมตื่นรับอรุณไปทำงาน
ก็อ่านหนังสือนั่นแหละ จะมีอะไรเสียอีก
ฉันมีนิสัย ที่ไม่รู้จะเรียกว่านิสัยดีหรือนิสัยเสียตรงที่ว่าต้องอ่านหนังสือก่อนนอน
จะมีเว้นบ้างก็เวลาเมาจัดจนสิ้นสติ ถึงขั้นคลานกลับขึ้นเตียงนั่นแหละ
นอกนั้นเป็นไม่มีอันเว้นไปเสียได้
จะไปอยู่ที่ไหนก็ต้องหอบเอาเครื่องอัฐบริขารไปด้วย
อาจไม่ถึง 8 อย่าง 8 ชนิดอย่างพระสงฆ์องค์เจ้าท่านหรอก มันก็มีอยู่ไม่มีกี่อย่าง
แต่ไอ้อย่างที่มากจนกินพื้นที่ในกระเป๋าแถมน้ำหนักก็ไม่ใช่น้อยๆ ก็เห็นจะเป็นหนังสือนี่เอง
แล้วก็ไม่จบแค่การใช้เวลาที่ควรจะหลับนอนไปเหมือนๆ ชาวบ้านเขามาอ่านหนังสือ
เพราะอ่านหนังสือนั้นก็ต้องการแสงไฟ ฉันก็ต้องนอนเปิดไฟอ่านเสียอีก ไอ้จะมาใช้ไฟฉายเล็กๆ มาหนีบหนังสืออ่านนั้นขอที ฉันทำมามากแล้วเมื่อเป็นเด็ก โตขึ้นมาก็ขอเปิดโคมหัวเตียงอ่านให้สบายใจ แล้วก็เลยเรื่อยไปจนหลับอยู่กลางแสงไฟนั้นออกบ่อย
ไอ้ครั้นจะอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ บางทีฉันก็ไม่ชอบเสียอีก ค่าที่มันสงบเกินไป
ฉันก็เลยพอใจจะเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้
แต่ก็เปิดไว้เสียอย่างนั้นเพราะปิดเสียง ไม่งั้นจะรบกวนการอ่าน
เรื่องมากถึงปานนี้ จนขนาดแม่แท้ๆ ของฉันยังบอกยอมแพ้
ต่อให้เลี่ยงไม่ได้จริงๆ แล้วถึงจะยอมนอนร่วมห้องกับฉัน
มาถึงวันนี้ฉันเลยพยายามลดนิสัยลงบ้าง
ไม่ใช่จะเลิกอ่านหนังสือหรอก
แต่เป็นเริ่มจากการปิดโทรทัศน์เสียก่อน เพราะดูจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญน้อยที่สุด
แถมดูดีตรงได้ช่วยประหยัดไฟด้วย
แม่มารู้เข้าคงปลื้มใจแทบตาย
ทั้งที่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก
แต่เป็นเพราะไอ้ระบบถ่ายทอดโทรทัศน์ที่บ้านซึ่งฉันใช้มาแต่ดั้งเดิมนั้นเกิดจะเปลี่ยนระบบสัญญาณให้มันหรูหราขึ้นอย่างไรก็บอกไม่ถูก
แล้วก็จะต้องเปลี่ยนตัวรับสัญญาณ มีช่างเข้ามาคอยจัดการ จากนั้นก็ทำการวางช่องรับสัญญาณใหม่ รวมถึงน่าจะมีค่าใช้จ่ายใหม่ๆ เพิ่มขึ้น แล้วยังน่าจะเลยลามไปถึงการต่างๆ อีกมากซึ่งจะวุ่นวายอย่างยิ่ง
ฉันเลยโทร.แจ้งให้เขาเข้ามาถอดไอ้กล่องบ้าๆ นั่นทิ้งไปเสียเฉยๆ
คงไว้แต่โทรทัศน์ดำทะมึน หาประโยชน์อะไรไม่ได้นอกจากจะเอาไว้วางของ
ไว้เบื่อขึ้นมาเต็มทีอีกเมื่อไหร่ ฉันก็คงให้เขาเข้ามาติดให้อีกที
ตอนนี้ก็เลยแก้นิสัยเสียไปได้อย่างหนึ่งเป็นของแถมจากการที่โทรทัศน์ในห้องนอนดูไม่ได้
แต่นิสัยอื่นนั้นยังอยู่ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอ่านหนังสือหรือเปิดไฟก่อนนอน
คู่นอนของฉันก็หนังสือนี่แหละ วางอยู่บนเตียงข้างมือ จนพอจะเอาไปพูดกับใครต่อใครได้อย่างคะนองปากว่าฉันเปลี่ยนคู่นอนแต่ละคืนไม่ซ้ำหน้า
บางวันก็ไทย บางวันก็ฝรั่ง บางวันก็ญี่ปุ่น
แต่คู่นอนที่ทำเอาฉันไม่ได้หลับได้นอนอยู่นี่เป็นจีน
ไม่ใช่จีนธรรมดา
แต่เป็นถึงระดับขุนนางศักดินาเลยทีเดียว
"ตี๋เหรินเจี๋ย นักสืบคู่บัลลังก์" เป็นเรื่องสืบสวน สอบสวน
ซ่อนเงื่อนในคดีต่างๆ ซึ่งนักสืบที่เป็นตัวนำของเรื่องก็คือตี๋เหรินเจี๋ยนี้ เป็นถึงขุนนางระดับสูงในรัชสมัยของหวู่เจ๋อเทียน (ซึ่งคนไทยเราน่าจะคุ้นกว่าในชื่อที่ออกเสียงว่า "บูเช็กเทียน")
เล่มที่ฉันอ่านนี่ การสืบสวนและคดีความต่างๆ ที่มาถึงมือของตี๋เหรินเจี๋ยก็ถึงเล่มที่ 5 เข้าไปแล้ว
ตี๋ เหรินเจี๋ยนี่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าคดีต่างๆ ที่นักสืบท่านนี้เข้ามาไขจะมีรายละเอียดตามในหนังสือหรือเปล่า
และในบางตำราก็ว่าตี๋เหรินเจี๋ยผู้นี้นี่แหละ เป็นคนสำคัญที่ทำให้จักรพรรดิหวู่เจ๋อเทียน ซึ่งประวัติศาสตร์บันทึกเอาไว้ว่าเป็นสตรีที่คุ้มดีคุ้มร้ายและสั่งการสังหารคนไปไม่น้อยติดอันดับโลก ต้องหมดอำนาจและจบราชวงศ์อันแสนสั้นของตัวเองไป ด้วยกลยุทธ์การวางแผนของเขาซึ่งมาสำเร็จเอาจริงๆ ตอนเจ้าตัวตายจากไปแล้ว
ยอมรับล่ะว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้อ่านต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้น
เพราะกลัวจะติด
แล้วก็ติดจริงๆ อย่างที่สังหรณ์เอาไว้
จะว่าไป เรื่องนี้ก็ครบเครื่องตามที่นิยายสืบสวนสอบสวนเรื่องหนึ่งพึงจะมี คือตัวละครหลักและตัวละครรองที่น่าสนใจให้เราติดตามไปได้จนจบ
แล้วก็มีปมประเด็นซ่อนอยู่ตรงนั้นตรงนี้ พอให้ขบคิดไปได้ด้วยอย่างสนุกสนาน
และสิ่งสำคัญที่ทำให้อ่านกันได้ขนาดไม่หลับไม่นอนขนาดนี้ก็คือฝีมือและสำนวนของผู้แปล
คือ คุณเรืองชัย รักศรีอักษร
ซึ่งแปลออกมาได้อ่านง่ายเพลิดเพลิน
ชนิดใครที่เคยตั้งป้อมแข็งแรงเอาไว้ว่าจะไม่อ่านเรื่องจีน เพราะเพียงชั้นจะจำชื่อตัวละครก็ยากเป็นนักหนาต้องทำลายป้อมของตัวเองลงได้ง่ายๆ
ค่าที่ว่าสิ่งที่กลัวกับสิ่งที่จะได้อ่านนั้นมันไม่ได้เหมือนอย่างที่คิด
เขียนมาถึงตอนนี้ฉันก็ชักจะคิดหนัก
เพราะเริ่มจะง่วงขึ้นมา
มันเป็นเสียอย่างนี้ พอเริ่มจะได้งานได้การก็ชักจะง่วง
เห็นทีวิธีแก้ง่วงจะมีอยู่วิธีเดียว
คือกลับไปอ่านตี๋เหรินเจี๋ยให้จบรู้แล้วรู้รอดไป
แล้วพรุ่งนี้เช้าจะเป็นอย่างไรค่อยมาว่ากันอีกที
อย่างมาก, ก็ไปซื้อไอ้เล่มก่อนๆ หน้านี้มาอ่านชดเชยให้หายง่วงไปได้ทีละวันล่ะน่า
ยังเหลืออีกตั้งสี่เล่มนี่นะ
++
เลี้ยงดู
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 05 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1677 หน้า 80
หายหัวไปหนึ่งอาทิตย์ด้วยอาการป่วย
นานแสนนานฉันถึงจะป่วย ร่างกายเลยเอาเสียคุ้มค่า
เล่นเอาเดี้ยงง่อยทำอะไรต่อมิอะไรไม่ได้อยู่หลายวัน
ระหว่างที่ป่วยเลยมีเวลาเหลือเฟือ ได้ติดตามข่าวอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด
ที่ติดใจก็มีเรื่องข่าวครอบครัว เรื่องพ่อๆ แม่ๆ ลูกๆ อะไรเทือกนั้น
ข่าวแรกก็ที่พาลูกไปรักษากับแพทย์ทางเลือก
แต่ทางเลือกในที่นี้ดันไม่ใช่วิธีฝังเข็มหรือวารีบำบัดหรอก
แต่ไปให้หมอที่พ่อแม่เชื่อทำการรักษาด้วยการนวดแบบพิสดาร
ผลการรักษาคือทำให้ประเทศเราขาดกำลังของชาติไปหนึ่งคนอย่างน่าสลดใจ
อีกข่าวก็คือตำรวจไปดูสระว่ายน้ำที่มีเด็กจมน้ำเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ
อย่างย่อๆ เรื่องของเรื่องคือหมดชั่วโมงเรียนว่ายน้ำแล้ว แต่น้องทั้งสองยังไม่ขึ้นจากสระ
ก็พอดีคุณแม่ของน้องไปเข้าห้องน้ำ กลับมาอีกทีก็เจอโศกนาฏกรรม
เอาเข้าจริงจะโทษสระน้ำก็คงจะได้ล่ะ
แต่ในฐานะคนยังไม่มีลูก เคยแต่เป็นลูกและเป็นนักกีฬาว่ายน้ำอย่างฉัน
บอกได้แค่ว่าจะโทษแต่สิ่งแวดล้อมคงไม่ใช่ที่
มันก็คือความประมาทของคนเป็นผู้ปกครองด้วยส่วนหนึ่ง
แต่ฉันก็พูดได้ง่ายๆ น่ะนะ ไม่ใช่ลูกใช่หลานฉันนี่
เพียงแต่รู้สึกแปลกๆ เท่านั้นเอง ว่าเวลาคนเรามีลูกน่ะ
มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของไม่กี่ชีวิต
แต่พอมีลูกออกมาแล้วจะมาร้องบอกให้โลกทั้งโลกดูแลลูกให้ด้วยนี่มันชอบกล
ชีวิตเป็นเรื่องเสี่ยงอยู่แล้ว
นี่ชีวิตที่ยังดูแลตัวเองไม่ได้ก็ยิ่งเสี่ยงหนักขึ้น
และคนที่ผลิตชีวิตนั้นออกมาก็น่าจะทำอะไรได้มากกว่าโทษคนอื่นแต่อย่างเดียว
ใครบอกการเป็นแม่นั้นเป็นง่ายฉันเถียงขาดใจ
ก็ฉันเป็นลูกที่รู้ตัวว่าเลี้ยงยากระดับอภิ แล้วแม่ก็ไม่ได้มีฉันแค่คนเดียว
เวลาไปงานแล้วเห็นฝ่ายสามีแนะนำภรรยาให้คนอื่นรู้จักโดยบอกว่า "ไม่ได้ทำอะไรครับ เธออยู่บ้านเลี้ยงลูกเฉยๆ" แล้วอยากจะเขวี้ยงค้อนใส่
ไอ้ "เลี้ยงลูกเฉยๆ" นี่มันไม่ได้ง่ายเหมือนตอนพูดออกมาหรอกนะ
แต่มันเป็นขนาดงานที่ใหญ่โต ยุ่งเหยิง พัวพันกันต่อเนื่องยาวนานแบบไม่รู้จักจบจักสิ้น
ต้องมีการวางแผน ประเมินความเสี่ยง เตรียมรับมือกับสถานการณ์พลิกผันไม่เว้นแต่ละวันเลยทีเดียว
ก็ถึงขนาดยกให้แม่คนหนึ่ง เป็น 1 ใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกปี 2011 โดยนิตยสาร Times ได้นี่มันต้องไม่ธรรมดา
นี่คือคำโปรยหลังปกหนังสือ
เอมี่ ฉั่ว ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยกฎหมายเยล เติบโตและได้รับการเลี้ยงดูในครอบครัวจีน เมื่อให้กำเนิดลูกสาว เธอตัดสินใจที่จะเลี้ยงดูลูกแบบวัฒนธรรมจีน โดยการกำหนดทางเดินทุกอย่างให้ ลูกของเธอต้องเป็นเลิศในทุกๆ ด้าน ต้องเรียนภาษาจีน ต้องได้เกรด A ทุกวิชา ขณะที่ทักษะด้านดนตรีต้องนำหน้าเพื่อนร่วมชั้น เธอเชื่อว่านอกจากพรสวรรค์แล้วคนเราต้องมีพรแสวง โดยการฝึกซ้อมอย่างหนักวันละหลายชั่วโมงหลังกลับจากโรงเรียน
จริงหรือ ที่การเลี้ยงลูกแบบจีนดีกว่าแบบฝรั่ง ในสังคมจีนที่เธอเติบโตไม่เคยยอมรับความผิดหวัง ขณะที่สังคมอเมริกันส่วนใหญ่ไม่มีการบังคับ เคารพในความเป็นปัจเจกและการตัดสินใจของลูก วิธีเลี้ยงลูกแบบไหนจะดีกว่ากัน
ฉันอ่านจนจบแล้วก็บอกไม่ได้หรอกว่าแบบไหนจะดีกว่ากัน
ก็ฉันนั้นต่ำกว่ามาตรฐานเอมี่เสียทุกทางแต่ฉันก็สบายดี
และฉันว่าแม่ฉันก็ดูสบายดีนะ (อันนี้อาจมีคิดเข้าข้างตัวเองบ้าง)
หนังสืออ่านสนุก และทำให้อดคิดไม่ได้ว่าพ่อแม่ที่สอนสั่งเรานั้นเหตุผลหนึ่งคืออยากให้เราดี
แต่ดีไปเพื่อใครกันหนอ
ดีเพื่อ "เป็นหน้าเป็นตา" ของพ่อแม่
หรือดีเพื่อจะได้เป็นตัวเอง
แน่นอนว่าการเลี้ยงแบบปล่อยอิสระนั้นมีข้อดีแต่ข้อเสียก็มีมาก
ก็น่าจะมากพอๆ กับการเลี้ยงแบบเป๊ะทุกกระเบียดนิ้วนี่ล่ะ
ไอ้ครั้นฉันจะลองมีลูกเพื่อมาพิสูจน์การเลี้ยงดูหลายๆ แบบเหมือนโครงงานวิทยาศาสตร์ก็ดูจะไม่เข้าท่า
ได้แต่ฝากให้ใครที่เป็นพ่อเป็นแม่ลองไปหาอ่านดู
อ่านเสร็จแล้วจะอยากทำตามเอมี่ฉันก็ไม่ว่า
แต่ถ้าเลี้ยงไปเลี้ยงมาแล้วชักจะไม่ดี
ฉันไม่รับเลี้ยงต่อนะ
ฉันไม่ถนัดเด็กเล็ก
ถนัดแต่เด็กโตๆ
แฮ่ม
.
Selected Messages & Good Article for People Ideas and Social Justice .. หวังความต่อเนื่องของพลังประชาธิปไตยและการเลือกตั้งของปวงชนอันเป็นรากฐานอำนาจอธิปไตย เพื่อกำกับกติกาและอำนาจการเมือง-อำนาจตุลาการ ไม่ว่าต่อคนชั่ว(เพราะใคร?) และคนดี(ของใคร?) ไม่ให้อยู่เหนือนิติรัฐของประชาชน
http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย