http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-12-08

ประชาชนเลือกข้างได้ แต่ห้ามคลั่ง ถ้าความยุติธรรมเลือกข้าง ต้องแก้ รธน. โดย มุกดา สุวรรณชาติ

.

ประชาชนเลือกข้างได้ แต่ห้ามคลั่ง ถ้า ความยุติธรรม เลือกข้าง ต้องแก้รัฐธรรมนูญ 
โดย มุกดา สุวรรณชาติ คอลัมน์ หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 07 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 33 ฉบับที่ 1686 หน้า 20 


นี่คือยุคประชาธิปไตย (ไม่ถึง) ครึ่งใบ 
ประชาธิปไตยแบบไทยๆ วันนี้ แม้ชนะเลือกตั้งแล้ว พรรคที่มีเสียงข้างมาก ยังไม่กล้ายกมือแก้กฎหมายในสภา ผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องติดคุก ส่วนผู้ที่ทำรัฐประหารและผู้สนับสนุน มีความสุขและขู่รัฐบาลได้ทุกวัน 


หลังการรัฐประหารและตุลาการภิวัฒน์ ล้มระบอบประชาธิปไตย จนบัดนี้แม้ฟื้นขึ้นมาแต่ยังเดินโซเซ ฝ่ายที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ทำได้เพียงแค่...เฮ...จากชัยชนะ 2 ครั้งซ้อนหลังรัฐประหาร ในการเลือกตั้งปี 2551 และ 2554 เพราะผลพวงจากการต่อสู้ของประชาชนติดต่อกัน 5 ปี ปัจจุบันแม้ได้เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ถูกจ้องล้มทุกวิธี 
แกนนำการต่อสู้บางคนต้องเดินขึ้น-ลง ศาลกับคุก แทบทุกสัปดาห์ จะพูดจาต่อต้าน ประณามพวกล้มระบอบประชาธิปไตยก็ต้องติดคุกซ้ำอีก
ในขณะที่พวกเผด็จการและผู้ที่สนับสนุนการรัฐประหาร สามารถคิด หรือพูดข่มขู่ว่าจะใช้กำลังโค่นล้มระบบได้ ลงมือทำจริงเรียกระดมคน ยึดทำเนียบ ยึดสนามบินก็ทำได้ ใช้กำลังรัฐประหารก็ทำมาแล้ว โดยที่ทุกคนไม่ต้องติดคุก 

วันนี้ พวก ส.ส. จึงมีความกลัวความยุติธรรมที่เลือกข้างกันจนถึงขั้นไม่กล้ายกมือในสภา 
แต่ชาวบ้านฝากบอกมาว่า อย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน และที่ประชาชนหลั่งเลือดใช้ชีวิตแลกมา มิได้ต้องการประชาธิปไตยแบบไม่ถึงครึ่งใบ แบบนี้ไม่มีดีกว่า จะได้คิดต่อสู้แบบอื่นได้โดยไม่มีข้อจำกัด



สถานการณ์ปัจจุบัน
เกิดแรงกดดัน
จากความยุติธรรมแบบเลือกข้าง


คนจำนวนมากมิได้อยากให้สังคมมีการแบ่งข้างแบ่งฝ่าย ตัวเองก็ไม่อยากเลือก 
วันนี้ความอึดอัดแผ่คลุมไปทั้งสังคม นี่เป็นแรงกดดันที่ต้องเกิดในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คล้ายแรงดันก่อนน้ำเดือด 
พลังสะสมจากความขัดแย้งที่มีมานานปะทุขึ้นหลายๆ จุด ผ่านการสื่อสารมาให้รู้ให้เห็นทุกวัน
และนี่คือกฎธรรมชาติเพราะถ้าไม่มีความขัดแย้งก็ไม่มีการต่อสู้ และก็จะไม่มีพัฒนาให้เกิดสิ่งที่ดีกว่าขึ้นได้

การปะทะของกลุ่มที่ต้องการรักษาสถานภาพเดิมกับกลุ่มที่อยากเปลี่ยน ถ้าเป็นสมัยโบราณก็อาจจะตัดสินกันด้วยกำลังอาวุธแบบง่ายๆ 
แต่ในสังคมยุคใหม่จะต้องเอาชนะกันทางการเมืองและให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน การผลักดันให้ประชาชนเลือกข้างจึงเกิดขึ้นโดยการอาศัยรูปแบบต่างๆ ในการโฆษณา ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม พวกที่แสดงออกแบบล้นเกินเป็นอาการ...คลั่ง...ทั้งที่ไม่ได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ยังมีอยู่ในสังคมของเรา 
นี่คือเหยื่ออันดับต้นๆ ของการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งหลังจากได้รับพิษร้ายก็ได้แสดงผลในรูปแบบต่างๆ ...


อาการคลั่งมีทั้ง...
ใจร้าย...ปากร้าย...และทำร้าย


กรณี คุณป้าแอร์...สายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิกที่นิยมกลุ่มพันธมิตรฯ แสดงความเกลียดชังคนในตระกูลชินวัตรออกมาในแนวคลั่งแค้น เป็นการสะท้อนถึงการแบ่งข้างที่ฝังอยู่ในจิตสำนึก จากการอยู่หน้าเวที หรือหน้าจอเหลืองมากไป แต่เธอเพียงแค่คิดที่จะต่อต้านฝ่ายตรงข้าม 
ส่วนกรณีอดีตครูสาว ชื่อวนัสนันท์ ที่ไปยืนด่าเจ๊ดา (ดารุณี กฤตบุญญาลัย) กลางห้างสรรพสินค้า โดยอ้างว่าตัวเองรักสถาบัน สิ่งที่เธอทำคือการใช้คำพูดที่ได้ยินได้ฟังมาจากสื่อ จำผิดบ้างถูกบ้าง ก็เลยเชื่อเหมือนที่คนยุคก่อนเชื่อว่า "สังคมนิยมทุกชนิด คือคอมมิวนิสต์นั่นเอง" 
ส่วนกรณีที่ร้ายแรงน่าจะเป็นกรณีที่นายสุพจน์ และ นายสุพัฒน์ 2 พี่น้องฝาแฝด ที่ชกต่อย อาจารย์วรเจตน์ พาคีรัตน์ แห่งนิติราษฎร์ รายนี้ก็อ้างว่าปกป้องสถาบัน แต่การลงมือทำร้ายผู้อื่นแบบวางแผนไว้ล่วงหน้าทำให้ต้องติดคุก 

ที่ร้ายแรงที่สุดคือการสังหารประชาชนในช่วง เมษายน-พฤษภาคม 2553 ต้องยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ในสนามที่เป็นทหารส่วนใหญ่มิได้ใช้อาวุธยิงประชาชน แต่คนที่กล้าลั่นไก เล็งยิงที่หัวหรือลำตัวชาวบ้าน มีไม่มากนัก 
แต่คำถามคือ พวกนี้เป็นใคร? ทำไมเขาถึงกล้าทำ? เขาถูกอบรมสั่งสอนจากใคร? ดูสื่ออะไร? จึงมองชาวบ้านเป็นศัตรู


อย่าคิดว่าอาการคลั่งจะไม่มีในคนเสื้อแดง ถ้าฝ่ายหนึ่งคิดได้พูดได้ ทำได้ ทำไมฝ่ายตรงข้ามจะคิด พูดและทำไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีกลุ่มหัวรุนแรงแฝงตัวอยู่ทั้งสิ้น 
โดยเฉพาะกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งถูกฆ่ามาร่วมร้อยศพ บาดเจ็บเป็นพันๆ ความแค้นไม่เพียงฝังอยู่ในรอยแผล แต่ฝังลึกลงในใจ ขยายออกทางคำพูดผ่านระบบสื่อสาร ผ่านไปยังญาติ เพื่อน และพวกพ้อง ยิ่งรู้สึกกดดันเรื่องความยุติธรรม ความแค้นนับวันยิ่งทวีมากขึ้น ถ้าทนไม่ไหวคลั่งขึ้นมาบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น? 
คนที่คลั่งเพียงหนึ่งหรือสองคนดูแล้วก็ยังพอห้ามปรามได้ แต่ถ้าคนจำนวนแสน อาจจะก่อให้เกิดสถานการณ์อะไรก็ได้


ยับยั้งอาการคลั่ง ที่ต้นเหตุ ไม่ได้... 
เพราะแบ่งข้างเลือกฝ่ายไปหมดแล้ว


จะแก้ต้นเหตุก็ต้องให้ทุกสื่อช่วยกันใส่เหตุผลและความจริงลงในสื่อของแต่ละฝ่ายเพิ่มขึ้น  
กระบวนการยุติธรรมต้องปรับปรุงให้เป็นธรรมมากขึ้นต่อกลุ่มคนทุกสีเสื้อ 
นี่เป็นวิธีที่จะลดอาการคลั่งให้น้อยลง


แต่วันนี้อาจสายเกินไป เพราะไม่เพียงมีการแบ่งข้างกันอย่างแน่นอน แต่ทั้งส่วนตัวบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้องลามลึกไปเกินกว่าสถานะของกองเชียร์ แต่กลายเป็นผู้เข้าร่วมต่อสู้เอง โดยใช้บทบาทหน้าที่สร้างความขัดแย้งให้ขยายมากขึ้นไปอีก 

ลองดูบทบาทของกลุ่มต่างๆ

1. สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ ซึ่งล่าสุดได้ยื่นหนังสือฟ้องร้องกล่าวโทษรัฐบาลและตำรวจในกรณีที่ปะทะกับผู้ชุมนุมในวันที่ 24 โดยยื่นผ่านสามองค์กรคือ กมธ.ด้านสิทธิของวุฒิสภา, กมส. (กรรมการสิทธิฯ) และผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งทั้งสามองค์กรน่าจะอยู่ข้างเดียวกับผู้ที่ยื่น

แต่มีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนในกรณีการล้อมปราบการชุมนุมของคนเสื้อแดงในปี 2553 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตร้อยศพ บาดเจ็บสองพันและมีนักข่าวด้วย แต่สมาคมนักข่าวฯ มิได้แสดงปฏิกิริยาที่เหมาะสมราวกับยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น

2. องค์กรอิสระ ต้องถามกรรมการสิทธิฯ ว่ากำหนดมาตรฐานสิทธิของผู้ชุมนุมไว้แบบไหน ถ้าเป็นแบบสมัยอยุธยา พวกที่มีศักดินา 400 ไร่ขึ้นไปถือเป็นพวกผู้ดี ส่วนที่ต่ำกว่านั้นเป็นพวกไพร่ แม้ระดับไพร่หัวงานซึ่งมีศักดินา 25 ไร่ก็ยังคงเป็นไพร่ ดังนั้น ความผิดและความชอบต่างๆ จึงมีลักษณะแบ่งแยกชัดเจน
เช่น ผู้ชุมนุม ที่เรียกว่าไพร่แต่สนับสนุนระบอบประชาธิปไตย แม้โดนแก๊สน้ำตา กระสุนยาง กระสุนจริง สไนเปอร์ ตาย 100 คน ก็เป็นธรรมดาชีวิตไพร่เคยชินกับเรื่องอย่างนี้อยู่แล้วไม่จำเป็นต้องออกไปให้ความคุ้มครอง ตั้งแต่สมัยโบราณเราเกณฑ์ไพร่ไปใช้แรงงาน ไปทำสงคราม บาดเจ็บล้มตาย มานับพันปี ทำไมจะต้องมาคุ้มครองสิทธิให้เสมอภาคกับพวกผู้ดีในยุคนี้  
แต่ถ้าเป็นผู้ชุมนุมที่สนับสนุนอำนาจนอกระบบ จะปล่อยให้ถูกแก๊สน้ำตา ให้แสบตา น้ำตาไหล ไม่ได้ ถือเป็นการละเมิดสิทธิประชาชนอย่างร้ายแรง 

ผู้ตรวจการแผ่นดินก็ได้แสดงบทบาทในการเลือกข้างอย่างแจ่มชัดมานานปีแล้ว ไม่ต้องพูดถึงระบบยุติธรรมที่เกี่ยวข้องชี้เป็นชี้ตายอย่าง ป.ป.ช., กกต. ที่ได้แสดงจุดยืนอย่างแจ่มชัดตลอด 6 ปีที่ผ่านมา

3. การดำเนินคดีผ่านกระบวนการยุติธรรม ที่ถูกกล่าวหาว่ามีสองมาตรฐาน ที่จริงแล้วหกปีที่ผ่านมามาตรฐานในระบบยุติธรรมที่ผ่านองค์กรอิสระและศาลถูกกำหนดไว้แล้ว ปัญหาอยู่ที่จำเลยเป็นพวกผู้ดีหรือพวกไพร่

มีคนคิดว่า เสธ.อ้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ลำบากแล้ว โดยอธิบายต่อว่า ถ้าศาลตัดสินว่าคำพูดของ ก่อแก้ว มีลักษณะมุ่งร้ายต่อ ตลก. รัฐธรรมนูญ และอาจเป็นการยุยงให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง  
แล้วคำให้สัมภาษณ์ของ เสธ.อ้าย ก็อาจตีความได้ว่ามุ่งร้ายต่อระบอบประชาธิปไตย ยุยงให้มีการโค่นล้มรัฐบาล และระบอบประชาธิปไตย อย่างไม่ถูกกฎหมาย ผิดมาตรา 113-114 ตรงๆ 
แต่ผู้อาวุโสในทีมวิเคราะห์ ค้านว่า เสธ.อ้าย อาจไม่ผิดก็ได้ เพราะคนที่มีอำนาจในสังคมไทยได้เลือกข้าง แบ่งชั้น แบบมีมาตรฐานเรียบร้อยนานแล้ว

กรณีอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เซ็นชื่อยินยอมในฐานะสามีให้ภรรยาไปซื้อที่ดินรัชดาฯ หรือนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ทำกับข้าวออกโทรทัศน์ คดีถูกตัดสินอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับคดี ปรส. ซึ่งในสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลขายทรัพย์สิน 810,000 ล้าน ไปได้เพียง 190,000 จนบัดนี้คดีผ่านไปเกือบ 15 ปี จะหมดอายุความในไม่กี่เดือนนี้แล้วแต่ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิด  
ทีมวิเคราะห์เชื่อว่าคดีทุจริตเรื่องข้าวที่ยื่นเรื่องกัน 3-4 วันนี้ ไม่ว่า 50 ล้านหรือพันล้าน จะเดินหน้าเร็วกว่าคดี ปรส. 810,000 ล้านแน่นอน

การพยายามถอนการประกันแกนนำ นปช.ให้กลับเข้าไปอยู่ในคุกเมื่อเปรียบเทียบกับคดียึดทำเนียบ ยึดสนามบินก็จะเห็นว่ากลุ่มเสื้อเหลืองไม่มีใครต้องติดคุกเลยแม้แต่วันเดียวหรือคนเดียว และคดีก็ยังไม่เดินไปถึงไหน 
นี่เป็นการปิดปากสีแดงของคนกลุ่มนี้ เหตุแห่งความอยุติธรรมเหล่านี้จะผลักดันให้คนที่แบ่งข้างแล้วพากันคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปพึ่งกระบวนการที่จะทำให้เกิดความยุติธรรม เพราะเป็นไปไม่ได้

4. องค์กรอื่นๆ เช่น ในสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ทั่วประเทศของรัฐบาลจนมีการปลดประธาน ก็คงจะต้องเลือกข้าง

อดีตคอมมิวนิสต์ไทยก็ต้องเลือกข้าง เพราะมีคนไปเสนอผลประโยชน์ให้มาตั้งแต่ 5-6 ปีที่แล้ว ถึงวันนี้ อุดมการณ์จึงเป็นเพียงนามธรรม



ความยุติธรรมที่เลือกข้าง 
จะสร้างปัญหาต่อเนื่อง... 
จะแก้ไขได้หรือไม่?


การไม่ต้องรับโทษใดๆ ในการที่ออกมาล้มล้างระบอบประชาธิปไตย จะทำให้มีการหนุนคนกลุ่มใหม่ออกมากระทำการแบบ เสธ.อ้ายซ้ำอีก จะยั่วยุให้เกิดความรุนแรงในที่สุด ขอเตือนว่าความผิดเหล่านี้สามารถใช้ลงโทษในวันหน้าได้   
การเลือกผู้ว่าฯ กทม. ผู้สมัครบางคนอาจถูกสอยด้วยสไนเปอร์การเมือง จากข้อกล่าวหาที่ผ่าน ป.ป.ช. หรือศาล ข่าวแจ้งว่ามีการเล็งเป้าไว้แล้ว แต่รอเวลาเพื่อไม่ให้มีโอกาสเปลี่ยนตัว ทำให้แพ้กลางกระดาน 

ยังมีอีกหลายปัญหาที่จะเกิดขึ้นเพื่อสกัดการดำเนินนโยบายรัฐบาล

การจะแก้ที่ต้นเหตุความวุ่นวายในบ้านเมือง มีวิธีเดียวคือ แก้รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550

ถ้าแก้ไม่ได้ และองค์กรที่จะใช้สำหรับการปรองดองซึ่งเกี่ยวเนื่องกับระบบยุติธรรมทั้งโดยตรงและโดยอ้อมได้เลือกข้างไปแล้ว จะทำอย่างไร?

6 ปีก็นานมากพอ ถ้าจะปฏิรูปได้ก็ต้องมองเห็นวี่แววการยอมรับของแต่ละฝ่าย ถ้าดูแล้วไม่มีทาง... ก็ต้องใช้ไฟ... ให้ความอบอุ่น นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะสู้กับความเย็นจากการแช่แข็งได้

ในยุคประชาธิปไตยไม่ถึงครึ่งใบ คนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจต้องเลือกว่าจะอยู่ครึ่งไหน จะแก้ให้เต็มใบ หรือ เด็ดใบทิ้ง

คนที่มีอำนาจมากที่สุดไม่ใช่คนเดียว หรือกลุ่มเดียว แต่คือประชาชนที่ลุกขึ้นสู้



.