http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-03-05

ปลุกปั่นชิงชังจนได้ที่, 'หมัดนี้' อีกนาน โดย วงค์ ตาวัน, ปราปต์ บุนปาน

.
รายงาน - พิธีกรสยามสามัคคีกล่าวขอบคุณสองฝาแฝดชกวรเจตน์

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ปลุกปั่นชิงชังจนได้ที่
โดย วงค์ ตาวัน คอลัมน์ ชกคาดเชือก
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 02 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1646 หน้า 98


หลังจากสร้างกระแสปลุกปั่นอย่างไร้เหตุผลจนได้ที่ ทำให้สังคมรู้สึกไปในทางที่ผิดๆ ว่า การเสนอข้อถกเถียงทางวิชาการนั้น กลายเป็นพวกรับแผนทักษิณมาล้มเจ้า จึงสมควรแล้วที่จะต้องหยุดยั้งกลุ่มนิติราษฎร์ด้วยทุกวิถีทาง

เมื่อความเกลียดชังในนิติราษฎร์อย่างขาดสติทวีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

การปกป้องสถาบันเพื่อไม่ให้ถูกนำมาใช้มาเป็นเครื่องมือการเมือง กลับถูกแปรเป็นการล้มสถาบัน

เหตุการณ์บุกทำร้ายอาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ แกนนำนิติราษฎร์ จึงเกิดขึ้น ในใจกลางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

คนร้าย 2 คน ซึ่งภาพวงจรปิดจับได้ชัด มาดักรอแล้วลงมือชกต่อย ก่อนขึ้นมอเตอร์ไซค์ขับหลบหนีไป

นี่คือการเริ่มต้นใช้ความรุนแรงเข้าข่มขู่คุกคามนักวิชาการที่คิดต่าง

เป็นบทเริ่มต้นคุกคามเสรีภาพทางความคิดและทางวิชาการอีกครั้งของสังคมไทย!


ที่กล่าวกันเอาไว้ ตั้งแต่ตอนที่เริ่มปลุกปั่นกระแสโจมตีนิติราษฎร์ใหม่ๆ ว่ากลุ่มแนวคิดขวาจัดล้าหลังของสังคมไทย กำลังต้องการให้เกิด 6 ตุลาคม 2519 ขึ้นอีกครั้ง ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ด้วยการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ที่คนไทยทุกคนล้วนเคารพรัก นำมาแอบอิงไว้เฉพาะกลุ่มตน แล้วใช้โจมตีทำลายกลุ่มที่คิดต่าง

เป็นวิธีการที่ทำให้ทั้งสังคมหันมาร่วมวงอย่างขาดสติ เพราะคนไทยล้วนเคารพเทิดทูนในสถาบัน เมื่อใครจุดไฟเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นลุกพรึบทันที

จนกระทั่งมาเกิดเหตุการณ์ส่งอันธพาลมาทำร้ายแกนนำนิติราษฎร์ขึ้นจริงๆ

แบบเดียวกันนี้เลย ที่ผู้นำนักศึกษาประชาชนเคยเผชิญในยุคปี 2517-2519

เริ่มจากการใช้กำลังลงไม้ลงมือแค่เจ็บเนื้อเจ็บตัว แล้วพัฒนาไปเรื่อยๆ จนเริ่มใช้อาวุธถึงเลือดตกยางออกจนถึงแก่ชีวิต จนลงเอยก็เป็นการฆ่าหมู่ในปี 2519

ขบวนการขวาพิฆาตซ้ายในยุคอดีต เริ่มต้นแบบเดียวกันนี้แหละ

ใช้กลุ่มกระทิงแดงซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนนักศึกษาอาชีวะ มาดักทุบตีฝ่ายนักศึกษา

ก่อนพัฒนาไปสู่การบุกยิง บุกปาระเบิดใส่ จนกลายเป็นการเข่นฆ่าครั้งใหญ่

วิธีการแบบกลุ่มอันธพาลกระทิงแดงในอดีตกำลังกลับมาแล้ว

นี่คือความสำเร็จของกลุ่มเคลื่อนไหวการเมืองและนักการเมืองบางกลุ่มที่ทำตัวเป็นฝ่ายขวาจัดอนุรักษนิยม

ช่วยกันปลุกปั่นความเกลียดชังต่อนักวิชาการที่คิดต่าง จนได้ที่และเริ่มการลงมือทำร้ายกันแล้ว



ในการอภิปรายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในที่ประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อสัปดาห์ก่อน พรรคการเมืองเก่าแก่และกลุ่ม ส.ว.เครือข่าย ได้ลุกขึ้นอภิปรายคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ผลักดันอย่างดุเดือด

ทั้งสองฝ่ายต่างยกเหตุผลที่คัดค้านและสนับสนุนออกมาตอบโต้กันอย่างเผ็ดร้อน

ขณะที่ฝ่ายต้องการให้แก้แบบยกเครื่องนั้น พุ่งเป้าไปที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันหรือฉบับปี 2550 เป็นรัฐธรรมนูญจากคณะรัฐประหาร จึงไม่มีความชอบธรรม ทั้งยังมีเนื้อหาที่มุ่งทำลายความเติบโตของพรรคการเมืองอีกด้วย

จึงควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อปฏิเสธผลพวงการรัฐประหาร และทลายกรอบการปิดกั้นพรรคการเมืองออกไป

ฝ่ายที่คัดค้านการแก้ไขหรือเห็นควรแก้เพียงเล็กน้อย หยิบยกประเด็น แก้รัฐธรรมนูญเพื่อคนคนเดียว เพื่อให้ทักษิณพ้นความผิด มาโจมตี

หนักกว่านั้นมักอ้างเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำนองไม่เชื่อว่าจะไม่มีการแตะต้อง

แล้วอภิปรายกันอย่างจริงจังหลายต่อหลายคนว่า การเคลื่อนไหวของนิติราษฎร์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพรรคเพื่อไทยและเสื้อแดง

มีเจตนาจะใช้การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาล่วงล้ำพระราชอำนาจ

ไปจนถึงจุดพลุการล้มเจ้ามากล่าวหาแผนแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาล


นักการเมืองพรรคเก่าแก่ อภิปรายกันอย่างเมามันทำนองว่า อย่าปฏิเสธเลยว่านิติราษฎร์ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลและเสื้อแดง

พูดราวกับมีการข่าวที่แน่ชัด มีพยานหลักฐานที่แน่นอน ทั้งที่เป็นคำพูดอันเลื่อนลอย

เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิงที่กลุ่มนักคิดนักวิชาการเหล่านี้จะไปรับแผนทักษิณ

สมัยก่อนเกิดเหตุ 6 ตุลาคม 2519 ก็วิธีเดียวกันนี้แหละ

เปลี่ยนจากสร้างผีทักษิณเป็นสร้างผีคอมมิวนิสต์

ไม่ว่าใครกลุ่มไหนที่คิดต่างในยุคนั้น จะถูกข้อหารับแผนคอมมิวนิสต์ เป็นลูกญวน ลูกเขมร ไปหมด

สร้างภาพมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นแหล่งซ่องสุมคอมมิวนิสต์มีอาวุธร้าย

จนสุดท้ายก็ป้ายสีว่าจัดแสดงละครหมิ่นองค์รัชทายาท ด้วยการแต่งภาพถ่าย

ปูทางหลังสร้างกระแสบ้าคลั่งเกลียดชังนักศึกษาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ล้มสถาบัน

จนกลายเป็นการฆ่าหมู่ จับแขวนคอ เอาเก้าอี้ฟาด ใช้ยางรถยนต์เผาศพ ลากคอไปตามสนามหญ้า เอาลิ่มตอกศพ



ขณะเกิดเหตุรุนแรงกลางธรรมศาสตร์เมื่อปี 2519 นั้น พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล แต่ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้ เพราะขบวนการขวาจัดเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง เป็นกระบวนการใหญ่

แถมนักการเมืองหนุ่มไฟแรงของประชาธิปัตย์ในขณะนั้น ยังถูกกล่าวหาว่าเอียงซ้าย

พอเกิด 6 ตุลาคม มีการยึดอำนาจโดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ล้มรัฐบาลประชาธิปัตย์ ทำเอานักการเมืองหนุ่มของพรรคต้องหลบหนีการไล่ล่าหลายต่อหลายคน

ชวน หลีกภัย เขียนหนังสือชื่อ เย็นลมป่า สะท้อนภาพบรรยากาศบ้านเมืองในขณะนั้นได้อย่างจับใจ

ผ่านมา 36 ปี หลายต่อหลายคนอาจจะลืมความเลวร้ายในวันนั้น แล้วเปลี่ยนบทบาทตัวเองเสียใหม่

เป็นไปได้อย่างไรที่นักวิชาการนิติราษฎร์ ซึ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ และเปิดเผยตัวตนชัดเจน เสนอแนวคิดแก้ไขมาตรา 112 เพราะเห็นว่ามีการใช้ช่องโหว่ของมาตรานี้ เพื่อนำเอาข้อหาหมิ่นสถาบันมาเป็นเครื่องมือทำลายกันอย่างรุนแรงต่อเนื่องในช่วงการเมืองขัดแย้งหลายปีที่ผ่านมา

จะกลายเป็นคนรับเงินทักษิณมาล้มเจ้า

ทั้งที่มีเจตนาจะปกป้องสถาบัน ไม่ให้ถูกนำมาใช้อย่างไม่บังควร

อีกทั้งเป็นการเสนอในแง่วิชาการล้วนๆ เพราะนิติราษฎร์ไม่เคยเกี่ยวพันกับนักการเมือง มีแต่คนที่ไม่ยอมรับฟังเหตุผลเท่านั้น ที่ยัดข้อหาเป็นพวกทักษิณ เป็นพวกพรรคเพื่อไทยเข้าใส่อย่างไม่ลืมหูลืมตา

การโหมประเด็นล้มสถาบันกระหึ่มสภาอีกครั้ง ตลอด 2 วันของการอภิปรายแก้ไขรัฐธรรมนูญ

นิติราษฎร์โดนโยงเข้ากับรัฐบาลและทักษิณ โจมตีว่าจะแก้รัฐธรรมนูญอย่างละเมิดพระราชอำนาจ


หลังแพ้โหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว ประชาธิปัตย์จัดประชุมใหญ่ทันทีที่ภาคใต้ ชูประเด็นเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐธรรมนูญพื่อทักษิณ ขัดขวางการล้มล้างสถาบัน

ใช้ภาษาชุดเดียวกันที่เราคุ้นหู

คุ้นตั้งแต่เมื่อปี 2519 และคุ้นตลอดช่วงที่พันธมิตรไล่ทักษิณ

นิติราษฎร์ซึ่งได้กลายเป็นพวกรับแผนทักษิณและเพื่อไทยมาล้มเจ้า และมีการโหมผ่านการอภิปรายในสภาถ่ายทอดทีวีไปทั่วประเทศ

ก็ได้กลายเป็นเหยื่อของการเกลียดชังและความรุนแรงไปแล้ว เริ่มจากการดักชกต่อย

นี่จะเป็นอีกช่วงบันทึกประวัติศาสตร์ประเทศไทย

ใครยืนอยู่กับความล้าหลังและใครกล้าคิดฝัน!



++

ปราปต์ บุนปาน : 'หมัดนี้' อีกนาน
คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 ในมติชน ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 05 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 21:00:00 น.


ยังไม่แน่ชัดว่าเหตุการณ์ "สองฝาแฝด" สุพจน์-สุพัฒน์ ศิลารัตน์ บุกไปต่อย "วรเจตน์ ภาคีรัตน์" ถึงหน้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

เป็นเรื่อง "ความคลั่งส่วนบุคคล" หรือ "ถูกสั่งการ-ว่าจ้างมา" ?

แต่หากลองมองให้พ้นจากใบหน้าของวรเจตน์ และกำปั้นของสุพจน์-สุพัฒน์

เราย่อมพบว่า ยังอีกยาวไกลนัก กว่าสังคมการเมืองไทยจะเดินทางไปถึงความเป็น "อารยะ"


ด้านหนึ่ง ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่าง "นิติราษฎร์" และ "ครก.112" ก็ยังต้องเดินทางอีกไกล

(แม้จะเดินทางไกลล้ำหน้าพรรคเพื่อไทย หรือ นปช. มาพอสมควรแล้ว)

เห็นได้จากข้อทักท้วงด้วยความห่วงใยจากสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

ที่บอกว่าการต่อสู้เรื่องความคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมืองนั้น ต้องดูกันยาวๆ 20-30 ปี

ถ้า "สถานการณ์" พร้อมก็ "สู้"

แต่ถ้า "เงื่อนไข" ยังไม่พร้อม และสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียโดยไม่จำเป็น

ก็ควร "ถอย"

นำไปสู่ข้อเสนอว่า ถ้ายังมีกำลังไม่พอในการรณรงค์เรื่องสำคัญ ก็ควร "ยุติ" หรือ "หยุดพัก" การรณรงค์ดังกล่าวไว้ก่อน (แต่มิใช่ไม่อภิปรายหรือพูดถึง)


อีกด้านหนึ่ง สังคม/ประชาสังคมไทย ก็ยังต้องเดินทางอีกไกลเหมือนกัน

เริ่มจาก "สื่อกระแสหลัก" หลายสำนัก ที่มีส่วนในการสร้างกระแสข่าววางแบ๊กกราวด์ปูทางถล่มวรเจตน์และ "นิติราษฎร์" มาตลอด

นับแต่ข้อเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และร่างรัฐธรรมนูญฉบับนิติราษฎร์ออกเผยแพร่สู่สาธารณะ

สื่อมวลชนเหล่านั้นจึงมีฐานะเป็นดัง "โปรโมเตอร์" ที่เปิดทางให้กำปั้นของสุพจน์-สุพัฒน์ถูกปล่อยออกมา

อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้

นอกจากนี้ อีกปฏิกิริยาน่าสนใจภายหลังนักวิชาการคณะนิติราษฎร์ถูกชก

ก็คือ สมาชิกเฟซบุ๊กหลายคนและสมาชิกเว็บบอร์ดหลายแห่ง ซึ่งส่วนใหญ่มีการศึกษาสูง เป็นคนชั้นกลางขึ้นไป

กลับแสดงจุดยืนสนับสนุนยกย่องฝ่ายกระทำความรุนแรงใส่คนอื่น

ให้มีสถานะเป็น "ฮีโร่"


มิหนำซ้ำ นักวิชาการระดับอาวุโสบางรายยังออกมาปรามอาจารย์รุ่นน้องผู้ถูกทำร้าย

ให้ระมัดระวังในการแสดงความเห็นมากขึ้น

ทั้งที่การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณชนของนิติราษฎร์ ก็เป็นการนำเสนอหลักการทางวิชาการ

โดยปราศจากคำหยาบคาย ซึ่งปลุกกระตุ้นอารมณ์เกลียดชังใดๆ ในสังคมอยู่แล้ว

นี่มิเท่ากับเป็น "การซ้ำเติมเหยื่อ" หรือ "ลงโทษเหยื่อที่ถูกข่มขืน" หรอกหรือ?


หมัดดุ้นๆ ที่ถูกประเคนใส่หน้าวรเจตน์ ภาคีรัตน์

จึงมิได้ก่อให้เกิดเพียงรอยฟกช้ำบวมเป่งบนใบหน้าของนักวิชาการคณะนิติราษฎร์

หากยังบ่งบอกอาการป่วยไข้ของสังคมไทย

ซึ่งคงต้องระหกระเหินบนเส้นทางสายวิบาก

และรับผลกรรมเป็นความรุนแรงจากการ "หว่านเพาะเชื้ออวิชชา มุสาวาทา และความเกลียดชัง" (ตามคำของเกษียร เตชะพีระ) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ไปอีกยาวนาน



+++

พิธีกรสยามสามัคคีกล่าวขอบคุณสองฝาแฝดชกวรเจตน์
จาก www.prachatai.com/journal/2012/03/39491 . . Sat, 2012-03-03 01:47


ยันไม่สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง แต่บางทีก็เหลืออดกันบ้าง ด้านหนึ่งในฝาแฝดที่ทำร้ายวรเจตน์ โพสต์ชี้แจงในเว็บยิงปืนเผยอย่างน้อยสักครั้งก็ได้ทำเพื่อชาติ-เพื่อสถาบันที่รัก “ผลที่ตามมา ผมรับได้”

พิธีกรสยามสามัคคีกล่าวขอบคุณสองฝาแฝดชกวรเจตน์

ช่วงบ่ายวานนี้ (2 มี.ค.) กลุ่มสยามสามัคคีได้จัดกิจกรรม "เสวนาประชาชน คัดค้านการล้มล้างรัฐธรรมนูญ 50 ยึดอำนาจเพื่อทักษิณ" ที่บริเวณอาคารลีลาศ สวนลุมพินี มีการตั้งโต๊ะเปิดให้ประชาชนลงชื่อถอดถอนคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ ส.ส. ส.ว. จำนวน 399 ที่รับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เปิดทางให้ตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) โดยให้เหตุผลว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยวิธีดังกล่าวขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เพราะหน้าที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นของ ส.ส. และ ส.ว. แต่กลับแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้การยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นหน้าที่ของ ส.ส.ร.

โดยวิทยากรที่มาอภิปรายประกอบด้วย พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สว.สรรหา แกนนำกลุ่มสยามสามัคคี น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ จากกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ด้าน น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และ ดร.เสรี วงศ์มณฑา พิธีกรรายการโทรทัศน์

ทั้งนี้ กรุงเทพธุรกิจ และ มติชน รายงานตรงกันว่า ก่อนการเริ่มต้นเสวนาพิธีกรของงานได้ขึ้นกล่าวขอบคุณนายสุพจน์ ศิลารัตน์ และนายสุพัฒน์ ศิลารัตน์ ที่ชกนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ นักวิชาการคณะนิติราษฎร์ โดยระบุว่าได้สร้างความสะใจแก่พวกเรา แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง แต่บางทีก็เหลืออดกันบ้าง

สุพจน์เผยผ่านเว็บยิงปืน ได้ทำเพื่อชาติ - เพื่อสถาบันที่รัก และรับได้กับผลที่ตามมา

ด้านนายสุพจน์ ศิลารัตน์ ซึ่งเป็นสมาชิกของเว็บบอร์ด gun.in.th ได้เข้าไปตั้งกระทู้ว่า "จากใจเลวๆ ของฝาแฝด..." เวลา 18:02:45 วันที่ 2 มี.ค. ระบุว่า "ตอนนี้ข่าวเล่นผมเละ.... ผมขอบอกไว้ตอนนี้เลยว่า ผมไม่เหลือง ผมไม่แดง ผมไม่เคยไปเผาหุ่น ปืนผมซื้อมายิงแต่เป้ากระดาษ ผมรักกีฬานี้.....และผมรักสถาบันของผม...มาก ชีวิตผมไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานเท่าไร.... อย่างน้อยในซักครั้ง ที่ผมได้ทำเพื่อชาติ เพื่อสถาบัน ที่ผมรัก.... ผลที่ตามมา....ผมรับได้.... วันที่ 12 มีนา ตำรวจนัดที่ สน ชนะสงคราม และจะพาไปศาลแขวงล่ะมั้ง...ผมไม่แน่ใจ และน้ำใจของพี่น้องและคุณน้าทั้งสามท่าน...ที่นำดอกไม้ไปมอบที่โรงพักพร้อมทั้งยินดีมอบเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย... ผมต้องขอบอกว่า ผมไม่รับเงินช่วยเหลือนะครับ เกรงว่าจะมีคนแอบอ้างหลอกเงินกัน... ผมทำด้วยใจจริงๆครับ...และเข้าใจในความหวังดีของทุกท่าน..แต่ผมอยากคงความภูมิใจผมไว้อย่างนี้....ตลอดไป อดเยี่ยงอย่างเสือ...สงวนศักดิ์ โซก็เซาะใส่ท้อง...หาเนื้อกินเอง..."

และนอกจากนี้ในเว็บข่าวสด ได้มีการเผยแพร่คลิปนายสุพจน์และนายสุพัฒน์ซ้อมยิงปืนด้วย



.