http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-03-31

ศิลา: เรียนร่ำ เรียนรู้/ ทราย: ระหว่าง "คนสองคน"

.
คอลัมน์ การ์ตูนที่รัก - เมื่อวานเจ๊ทานอะไร? (1) โดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เรียนร่ำ เรียนรู้
โดย ศิลา โคมฉาย คอลัมน์ แตกกอ-ต่อยอด
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1650 หน้า 67


ผมกับภรรยา ตกลงใจยอมกระเบียดกระเสียร ทุบทุกกระปุก ควักทุกกระเป๋า รวบรวมทุนให้ลูกสาวได้ไปประเทศจีนช่วงสั้นๆ ตอนปิดเทอมตามโครงการของโรงเรียน
ไปร่วมกิจกรรมศึกษาเรียนรู้ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และท่องเที่ยว กับโรงเรียนพันธมิตร
โรงเรียนซึ่งตั้งอยู่ในท้องถิ่นที่อาจนับเป็นบ้านนอก
ต้าลี่ เขตปกครองตนเองชนชาติไป๋ มณฑลยูนาน

ต้าลี่ที่นานมาแล้ว ประวัติศาสตร์ไทยเคยจินตนาการเอาว่า เป็นตาลีฟู แห่งอาณาจักรน่านเจ้า คนวัยผ่านครึ่งร้อยไปลิบแล้ว ลองหาของแข็งเคาะกะโหลกตนเองดู พระนามกษัตริย์ไทยแปลกๆ อาจจะหลุดออกมาให้ได้เห็น อย่างพระเจ้าสินุโล พระเจ้าพีล่อโก๊ะ พระเจ้าโก๊ะล่อฝง อะไรทำนองนี้

สาวน้อยเลือกเรียนสายศิลป์ภาษา ทั้งไม่ได้รักการเรียนเป็นพิเศษ เพราะเติบโตขึ้นมาในแวดวงลุง ป้า น้า อา ที่ส่วนใหญ่เป็นศิลปิน พวกหน่ายห้องเรียน หนักไปทางรักสนุก เราจึงไม่ได้ตั้งความหวังอะไรนัก แค่คิดว่าเธอน่าจะได้คำภาษาจีนเพิ่มขึ้นจาก สวัสดี...ลาก่อน..ฉันรักเธอ...หิวข้าว...กระหายน้ำ...ถ่ายหนัก...ถ่ายเบา...ที่เรียนจากห้องเรียน
แต่คิดถึงผลพลอยได้จากการต้องอยู่กับคนอื่น ท้องถิ่นอื่น กับวิถีซึ่งแตกต่างออกไป
สถานการณ์อาจกระตุ้น ผลักดันให้เธอต้องค้นหาศักยภาพตัวเอง เพื่อใช้มันเป็นเครื่องมือให้สามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัย ค้นคิดและสร้างสรรค์ศิลปะการประสานสัมพันธ์กับผู้คน
เรียนรู้จากการสัมผัส สังเกตสังกา ซึมซับเอา

หรือหากโชคดี เธออาจได้พบแรงบันดาลใจ

ผมคาดคิดแบบกลวงๆ เอาจากประสบการณ์ของตัวเอง คนไม่ค่อยรักเรียนผู้เป็นต้นแบบของลูกๆ มองผ่านชีวิตระหกระเหิน จากปักษ์ใต้ถึงเมืองหลวง ท่องไปอีสาน ข้ามสู่ลาว ถึงสิบสองปันนาในจีน ย้อนมาปักหลักในภาคเหนือ กับคนเมืองและชนเผ่าบนภูดอย
พานพบชีวิต วัฒนธรรมหลากหลาย มีมิตรสหายไม่น้อย
ที่มักแอบปลื้มอยู่ลึกๆ คือ ผมอ่านหนังสือ ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และ ขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติฯ ของ จิตร ภูมิศักดิ์ ได้ง่ายขึ้น

ลูกควรได้เรียนเพื่อรู้ เป็นพื้นฐานหรือเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้อย่างกว้างขวาง
มิควรแค่ร่ำเรียน อันมีความหมายว่า เรียนให้ขึ้นใจ เพื่อหวังผลเฉพาะหน้า


เรามีความเชื่อว่าลูกเป็นประชากรโลก ความรู้ตามระบบการศึกษา ซึ่งในทางปฏิบัติถูกลดค่า เป็นแค่ใบผ่านทาง ไม่น่าจะพอเพียงกับการดำเนินชีวิตในฐานะชาวประชาคม เมื่อประเทศไร้พรมแดนผู้คนต้องร่วมมือกันและเป็นคู่แข่งขันกันทั้งภูมิภาค เด็กชาวเพื่อนบ้านที่มีพื้นฐานภาษาที่สอง-ที่สาม มาจากยุคล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ย่อมอยู่ในฐานะได้เปรียบ เราจำเป็นต้องเติมการเรียนเพื่อรู้อย่างกว้างขวาง เพื่อการยกระดับคุณภาพคน
เป็นคนซึ่งมีทัศนคติถูกต้องเหมาะสม
ลูกควรได้รับโอกาสได้ไปถึงจุดนั้น

และบางทีอาจเป็นแรงขับลับๆ ผลจากการได้สัมผัสถึงปัญหาทางธุรกิจของเพื่อน เจ้าของโรงเรียนเอกชนในหัวเมือง ผู้ตั้งใจจะจัดการเรียนการสอน เพื่อเด็กในท้องถิ่นได้เรียนเพื่อรู้อย่างมีความสุข แต่ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับของผู้ปกครอง
พวกเขาวัดความสำเร็จของโรงเรียนที่ จำนวนเด็กประถมซึ่งสามารถสอบผ่านเข้าเรียนต่อในโรงเรียนมัธยมสาธิตได้

เพื่อนจึงตกอยู่ในภาวะสับสน ควรจะลดการลงทุนเกี่ยวกับการเรียนการสอน ภาพลักษณ์ต่างๆ ลง แล้วเปลี่ยนไปทุ่มเสาะแสวงหาข้อสอบ แนวข้อสอบ ช่วยให้เด็กสอบเข้าเรียนได้ตามประสงค์ สนองประดาผู้ปกครองเพื่อผลทางธุรกิจ
ผมได้แต่รับฟังอย่างสะทกสะเทือน
หรือแม้แต่โครงการเรียนรู้กู้บ้านเกิด ของตี้ กรรมาชน เมื่อหลายปีก่อน รับเอาเด็กชาวเขาเผ่าม้ง ลัวะ จากจังหวัดน่านและตาก มาเรียนต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนของเขา ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เรียนตามหลักสูตรสายสามัญ และหลักสูตรเพิ่มเติมที่เน้นการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง ผ่านการลงมือปฏิบัติจริงทางการงาน กิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรม และดนตรี
เด็กยินดีเข้าร่วม เพราะได้เห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำแบบจับต้องได้

ผลที่เกิดได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ทุกฝ่ายนิยมชมชื่น แม้ในหมู่ผู้ปกครองของเด็กชาวเมือง แต่ไม่มีใครยินดีเข้าร่วมการเรียนตามโครงการนี้
ใครๆ ล้วนมีความคิดว่า ลูกควรร่ำเรียนเพื่อสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัย



บางทีการปรับเปลี่ยนทัศนะเรื่องเช่นนี้ อาจจะเริ่มได้ในยุคเด็ก ป.1 ได้รับการแจกแท็บเล็ต เครื่องไม้เครื่องมืออำนวยความสะดวกเพื่อการเข้าถึงแหล่งความรู้

เห็นว่ารัฐมีแนวคิดจะสร้างผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคขั้นเทพ 100 องค์ เพื่อสร้าง 1,000 แกนนำไปขยายความรู้ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี โอกาสนี้ควรจะเพิ่มอีก 100 เซียน เพื่อปลูกฝัง ทั้งเน้นย้ำให้ตระหนักกันเป็นสำคัญว่า เครื่องมือเครื่องไม้ ล้วนมีไว้เพื่อการเสาะแสวงหาความรู้ สืบค้น เข้าถึงอย่างไร้ขีดจำกัด นำมาคัดกรองเพื่อใช้ประโยชน์

มิใช่แค่ก๊อบปี้ข้อมูลแบบมักง่ายไม่ต้องคิดอ่าน ทำรายงานส่งครูเอาคะแนนเก็บ

เด็กยุคบำรุงเลี้ยงด้วยแท็บเล็ต ต้องเป็นนักเรียนเพื่อรู้ และใฝ่รู้



++

ระหว่าง "คนสองคน"
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1650 หน้า 80


เธอ และ เขา
เธอ-รอคอยความรักจากเขา
เขา-รอคอยความรักจากใครสักคน

สถานที่
ทุกที่ เมื่อคนทุกคนลุกจากไปแล้ว และเหลือเพียงความเงียบอันหนักอึ้ง กับความจำเป็นที่ต้องสร้างบทสนทนาที่ต่างก็พยายามหลีกเลี่ยง


บทสนทนา

เขา-ผมอยากเจอใครสักคน คนที่พอดี คนที่เข้ามาแล้วล่วงรู้ทุกอย่างว่าผมต้องการอะไร ทำไม เข้ามาใกล้เมื่อผมต้องการ ห่างออกไปเมื่อผมอยากอิสระ
เธอ-มันจะเป็นไปได้อย่างไร การที่มนุษย์คู่หนึ่งจะมาอยู่ร่วมกันได้นั้น แน่นอนว่าย่อมต้องมีความเหมือนกัน แต่ความเหมือนกันจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีความต่างเลย มันจะไม่เหมือนการใช้ชีวิตกับเงาในกระจกหรือร่วมรักกับตัวเองหรืออย่างไร

เขา-เมื่อก่อนนั้น ผมเคยไปหาคนที่รักผม เขารักผมมาก รักผมที่สุด เขารอคอยผม พอผมไปหาเขา เขาบอกว่าผมมาช้าเกินไป ถัดขึ้นมาอีกไม่นาน ผมรักคนคนหนึ่งมาก รักที่สุด สุดหัวใจ แต่เขาไปมีคนอื่น เขาไม่เข้าใจผม
เธอ-แน่ใจหรือว่าเขาไม่เข้าใจ?

มนุษย์นั้นหากมีความหวังในความรักซักน้อยนิดให้พอเป็นแสงส่องทาง
มนุษย์เราย่อมกล้าที่ก้าวไปหาแสงนั้น

แต่หากความหวังซึ่งเปรียบเป็นเหมือนแสงสว่างวูบลับดับหายไปต่อหน้าต่อตา
เหมือนกับการแสดงกริยาอันเปรียบได้กับคำว่า "ไม่รัก"
คนที่หลงอยู่ในความมืดของความรักอันเปี่ยมล้นย่อมเคว้งคว้างเสียกำลังใจ
แรกๆ อาจยังยอมกัดฟันฝ่าก้าวไปในความมืด แต่จะไปได้ไกลแค่ไหนกัน?

เดินไปเพื่อหวังว่าเดี๋ยวมันคงจะมีแสงขึ้นมาจนได้อย่างนั้นหรือ? มันเป็นเรื่องน่าขำเกินไปไหม


เขา-ก็แบบนี้ไง ผมถึงบอกว่าผมต้องการคนที่พอดี คนที่รู้ว่าผมรักเขาโดยที่ไม่ต้องอยู่ด้วยกันตลอด แต่อยู่เฉพาะเวลาที่ผมต้องการ
เธอ-เห็นแก่ตัว
เขา-ก็คุณถามผมถึงสิ่งที่ผมต้องการ ผมก็บอกในสิ่งที่ผมต้องการ คุณจะมาว่าผมเห็นแก่ตัวได้อย่างไร

เธอ-ถ้าคุณยังคงกลัวการที่โดนคนว่า ว่าเห็นแก่ตัวหรือโง่หรืออะไรก็ตาม คุณจะไม่มีวันได้เจอคนแบบที่คุณต้องการหรอก

มิพักต้องพูดถึงความต้องการของคุณที่ใหญ่จนล้นโลกหล้า และเป็นการร้องขอที่ไม่เคยให้คืนแล้ว
คุณยังเป็นคนที่พยายามปฏิเสธตัวเองอีกว่าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น

เราทุกคนต่างมีความเห็นแก่ตัวในความรัก เราอยากได้รักดีๆ
รักที่เป็นเหมือนกระจกเงาที่สะท้อนกลับมาบ้าง ไม่ใช่รักที่เป็นเหมือนกระจกใส
ให้ไปเท่าไหร่ก็สะท้อนผ่านเลยไปไม่เคยมีอะไรกลับมาให้ชม

เขา-ไหนว่าความรักอันยิ่งใหญ่นั้นต้องไม่หวังผลตอบแทน
เธอ-แล้วคุณหวังไหม
เขา-... (เงียบ)
เธอ-ก็นั่นอย่างไร, คุณหวังจะได้ แต่ไม่หวังจะให้

ความรักที่ไม่หวังผลตอบแทนนั้นคือรักของพ่อและแม่ ที่ก็ไม่อาจจะพูดได้ว่าไม่หวังผลตอบแทนในท้ายสุดอย่างแท้จริง แต่อาจเป็นความหวังว่าจะให้ลูกมาดูแลเมื่อตัวแก่เฒ่าลงไป หวังว่าลูกจะเป็นเหมือนอย่างใจตน ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างจากความรักของหนุ่มสาวซักนิด เพียงแต่ไม่มีด้านของเพศสัมพันธ์มาเกี่ยวข้องเท่านั้นเอง


เขา-คุณก็รักผมนี่
เธอ-ใช่, ฉันรัก และฉันหวังจะได้รับความรักตอบ

ฉันเป็นคนใส่ใจคนที่ฉันรักอย่างที่ไม่ทำกับคนอื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ฟรีๆ แบบเปลืองเปล่า ฉันรักคุณ แต่ถ้าคุณไม่รักฉัน ฉันก็เสียใจ

แต่มันไม่ใช่ความผิดของคุณ
สิ่งเดียวที่ฉันอยากให้คุณรู้สึกจากการไม่รักฉัน คือความสำนึกผิด
การมองกลับไปที่ตัวเองและเห็นอนาคตที่ว่างเปล่าของคุณ
หรือเห็นไปถึงวันหนึ่งที่คุณไม่มีใครแล้วต้องคว้าเอาอะไรที่จำใจมาอยู่ข้างกายเพียงเพื่อจะได้บอกตัวเองว่าคุณมีคนรัก คุณเจอคนนั้นแล้ว ทั้งที่จริงมันไม่ใช่ และคุณต้องอยู่กับความสำนึกเสียใจนี้ในทุกวันของชีวิต

เขา-อ้าว ตอนแรกคุย คุณดูเข้าอกเข้าใจกว่านี้

เธอ-ความเข้าใจมาพร้อมกับความรัก ในเมื่อคุณไม่รักฉัน ฉันจึงเหลือเพียงคำสาปแช่งเท่านั้นที่จะให้

ไอ้เวร!
แล้วบทสนทนาอันว่าด้วยความรักระหว่างคนทั้งสองก็จบลงไปตลอดกาล



+++

เมื่อวานเจ๊ทานอะไร? (1)
โดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ คอลัมน์ การ์ตูนที่รัก
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1650 หน้า 85


การ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องใหม่ เมื่อวานเจ๊ทานอะไร เล่มหนึ่ง หน้าปกสีครีมเป็นรูปชายหนุ่มสองคน คนแรกใส่สูทผูกไทถือหม้ออาหาร คนที่สองใส่สเว็ตเตอร์สวมแว่นยืนทำท่าเสมือนชื่นชมอาหาร เมื่อพลิกดูปกหลังไม่พบเรื่องย่อใดๆ ตามที่ควรจะมี เป็นที่ผิดสังเกตยิ่งนัก

เมื่อพยายามมองหาเรตติ้งจึงพบว่าเป็นกลุ่มเหมาะสำหรับผู้อ่านระดับวัยรุ่นขึ้นไป
เป็นธรรมเนียมที่หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นวางแผงใหม่จะถูกห่อพลาสติกมิให้แกะเล่น ก็พอเดาได้แล้วว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร

ผลงานของ ฟูมิ โยชินากะ


"นี่นี่ ข้าวเย็นเมื่อวานกินอะไรบ้าง" โอซามุ ทนายร่างท้วมเอ่ยขึ้น
ขณะที่สาวๆ ในสำนักงานนึกคำตอบไม่ออก ทนายอาวุโสก็นึกไม่ออก โอซามุจึงหันมาถามคาเคย์ ทนายหนุ่มรูปงาม คาเคย์ตอบว่า

"เอ่อ... ไก่ทอดคาราอาเกะกับสลัดมันฝรั่ง แล้วก็... เอ่อ ซุปเต้าเจี้ยวเนี่ยใส่เครื่องอะไรบ้างนะ ใส่ผักกวางตุ้งต้นหอมญี่ปุ่นวาคาเมะแล้วก็เต้าหู้แผ่นทอด นอกจากนั้น ข้าวขาวที่กินยังผสมข้าวกล้องงอกไปด้วย 1/3 ทั้งหมดก็มีเท่านี้" คาเคย์ในชุดสูทสีเข้มผูกไทค่อยๆ ตอบ "ปีกไก่กับหัวไชเท้าต้มหวานเค็มตามด้วยบร็อกโคลีคลุกปลาโอแผ่นแห้ง ยังมีเมนูที่เป็นนางะอิโมะกับไข่ปลาเมไทโกะคลุกกับน้ำส้มสายชูสองช้อนแต่งหน้าด้วยวาซาบิสาหร่ายแล้วก็..."
ทั้งสำนักงานอึ้ง

คาเคย์มิได้เปิดเผยว่าเขาเป็นเกย์ คนในสำนักงานรู้เพียงว่าเขาอายุสี่สิบสามและยังไม่แต่งงาน คาเคย์เป็นคนรูปหล่อแต่งกายเนี้ยบและชอบทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ
เขามิใช่ทนายที่ขยันแต่เขาไม่เคยปฏิเสธงานด้วยเช่นกัน อะไรที่ใครไม่อยากทำก็สามารถส่งให้เขาได้ขอเพียงอย่างเดียวคือเขาจะทำงานตามเวลา มาตรงเวลากลับตรงเวลา ทำงานตามที่รับผิดชอบ ไม่น้อยกว่าไม่มากกว่า

คาเคย์มิเพียงชอบทำอาหาร เขาทำอาหารแต่ละมื้อเยอะมากๆ ในทุกๆ บทที่จะอ่านต่อไปเขาต้องทำอาหารอย่างน้อยหนึ่งมื้อ การ์ตูนจะบรรยายกรรมวิธีเตรียมและทำอาหารอย่างละเอียดหลายหน้าเสมือนหนึ่งเป็นการ์ตูนหรือตำราทำอาหารเสียมากกว่า
คาเคย์มิเพียงชอบทำอาหารแต่ละมื้อมากๆ เขาชอบนำอาหารเหลือกินหรือเศษของเครื่องปรุงและวัตถุดิบเล็กๆ น้อยๆ ในตู้เย็นมาปรุงเป็นอาหารสุดวิเศษอีกด้วย

"จะได้ไม่อ้วน" เป็นคำอธิบายว่าทำไมเขาทำกับข้าวมากมายเพื่อจะได้ไม่ต้องกินข้าวมากเกินไป
"ไม่เคยเห็นคาเคย์ป่วยเลย" คนในสำนักงานตั้งข้อสังเกต เพราะเขากินอาหารครบห้าหมู่ตลอดเวลานั่นเอง
ที่คนอื่นไม่รู้คือเขาทำกับข้าวเพื่อกินด้วยกันกับเคนจิ คนรักซึ่งเป็นช่างตัดผมที่อาศัยอยู่ด้วยกัน



"กลับมาแล้วจ้า" คาเคย์ถือถุงสำรับกับข้าวเข้าบ้านเตรียมปรุงอาหารมื้อเย็นมื้อใหญ่ตามเดิม นอกจากเขาจะรูปงาม ไม่อ้วน เป็นเกย์ ทำงานดี และนิยมทำอาหารแล้ว เขายังเป็นคนประหยัดไปจนถึงงกเล็กน้อยกับการใช้เงินและเลือกซื้อกับข้าว

"คุณชิโรเนี่ย งกจังเลย" เคนจิพูดกับคาเคย์ขณะกินข้าวด้วยกัน "อาชีพทนายน่าจะทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำนะ"
"ไอ้เรื่องนั้นน่ะ ถ้าเป็นสำนักงานทนายความขนาดใหญ่ก็ได้เป็นกอบเป็นกำอย่างที่นายว่านั่นแหละ แต่ต้องทำงานหนักปางตายเลยทีเดียว สำหรับฉันล่ะก็ขอทำงานรายได้ธรรมดาๆ แต่ได้ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ดีกว่า" คาเคย์ ชิโร พูดไปกินไป "ยิ่งกว่านั้นถึงฉันจะงกเงินแล้วจะเสียหายตรงไหน เกย์ที่ไม่มีลูกๆ มาเลี้ยงดูตอนแก่น่ะก็มีแต่เงินเท่านั้นแหละที่พึ่งพาได้"

คุณแม่ของคาเคย์โทรศัพท์เข้ามาหา "วันก่อนแม่ไปดูหนังเรื่องทรานส์อเมริกามา ลูกไปดูหรือยัง"
"แม่คร้าบ ผมบอกแม่ตั้งหลายหนแล้วว่าผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น" คาเคย์เซ็ง

หนังอินดี้ Transamerica เล่าเรื่องคนที่เป็น Transvestism ผ่าตัดแปลงเพศ แต่ว่าคาเคย์มิใช่ทรานส์เวสไตซ์ เขาเป็นโฮโมเซ็กชวล อันที่จริงถ้าคุณแม่ของเขาจะเข้าใจเขามากขึ้นควรดูเรื่อง I Love You Philip Morris มากกว่า จิม แครีย์ และ ยวน แม็กเกรเกอร์ เป็นเกย์ทั้งคู่ ทั้งสองรักกันเสมือนชายหนุ่มหญิงสาวทั่วไปที่รักกัน มิได้มีใครต้องการผ่าตัดแปลงเพศ

"เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แม่ไปเข้ากลุ่มพ่อแม่ที่มีลูกเป็นโรคผิดปกติในเอกลักษณ์ทางเพศด้วย"
"เอาอีกแล้วเหรอ ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้เป็นอย่างพวกนั้น" คาเคย์รำคาญ
"ไอ้เรื่องที่ลูกเป็นรักร่วมเพศน่ะ ได้แสดงออกให้ที่ทำงานรู้หมดแล้วใช่มั้ย"
"ไม่มีใครรู้ทั้งนั้น เรื่องแบบนี้จำเป็นต้องบอกให้ใครรู้ซะที่ไหน" คาเคย์กุมขมับ
"บอกให้รู้กันไปเลย เป็นเกย์ไม่ใช่เรื่องน่าอายสักหน่อย มนุษย์เราน่ะแต่ละคนมีความเป็นตัวของตัวเองต่างกันออกไป เป็นเรื่องวิเศษออกที่เราได้รู้จักตัวตนของเราเอง"
"เอ้อ เท่านี้นะครับ ผมจะวางสายแล้ว" คาเคย์เหลืออด



เป็นบทสนทนาที่ดีจริงๆ แทนที่การ์ตูนจะเล่าเรื่องความไม่สบายใจหรือความผิดหวังของคนเป็นแม่ออกมาตรงๆ กลับใช้บทสนทนาทางโทรศัพท์ยาวสองหน้าแสดงให้เห็นว่าคุณแม่พยายามกลบเกลื่อนอาการไม่ยอมรับด้วยการแสดงออกแบบ "เข้าใจ"

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า "โรคผิดปกติในเอกลักษณ์ทางเพศ" ซึ่งควรกล่าวซ้ำๆ อีกว่าโฮโมเซ็กชวลหรือเกย์มิใช่โรค ไม่ต้องการการรักษาแต่ต้องการการยอมรับของสังคม (อันที่จริงผมไม่ทราบว่าต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นมีคำว่า "โรค" ปรากฏด้วยหรือเปล่า)

"นี่ เคนจิ ตอนที่แม่นายรู้ว่านายเป็นเกย์ เป็นไงมั่ง" คาเคย์หันมาถามคนรัก
"แม่ว่าไอ้ลูกอกตัญญู"
"ก็ยังดีนะ อย่างน้อยก็เข้าใจได้ง่ายกว่าแม่ฉัน" คาเคย์สรุป

คาเคย์มิได้เปิดเผยว่าตนเป็นเกย์ไปเรื่อยเปื่อย มิได้ประกาศตนโจ่งแจ้งต่อที่สาธารณะ แต่เขาก็มิได้เดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องนี้มากมายจนต้องปิดบังอย่างแข็งขัน วันหนึ่งเขาเดินไปพบแตงโมลูกใหญ่น่ากินราคา 880 เยน ซึ่งนับว่าถูกมาก แต่ก็ติดปัญหาว่าลูกใหญ่เกินกว่าจะกินหมดอยู่ดี เขาจึงหาแม่บ้านแถวนั้นออกเงินซื้อด้วยกันจนได้ คาเคย์เป็นคนเลือกอาหารโดยดูราคาด้วยเสมอ แบ่งได้แบ่ง ซื้อลดราคาได้ซื้อ เซลที่ไหนไปที่นั่น

"ปกติเราจะเอาช้อนค่อยๆ แคะเม็ดแตงโมออกก่อนแล้วค่อยกิน" คาเคย์นึกในใจ หลังจากถูกคุณแม่บ้านที่หารค่าแตงโมด้วยกันเชิญไปนั่งที่บ้าน "ไอ้วิธีละเลียดกินแบบนี้มันจะดูเป็นเกย์หรือเปล่าน้า ไม่ได้การ อย่างนี้เราต้องกัดคำโตๆ จะได้ดูเป็นแมนหน่อย" ว่าแล้วคาเคย์จึงกัดแตงโมมูมมามให้สมเป็นชาย "จ๊วบ" แย่แล้ว น้ำแตงโมย้อยลงมาตามมุมปาก!
เหตุการณ์ชุลมุนหลังจากนี้กลายเป็นอีกเรื่องที่น่าขำอย่างไม่น่าเชื่อ
"ผมเป็นเกย์ครับ" คาเคย์พูดเสียงดัง

จะเห็นว่าคาเคย์มิได้โฆษณาว่าตนเป็นโฮโมเซ็กชวลแต่เขาก็มิได้พยายามปิดบังอย่างเอาเป็นเอาตาย เขารูปร่างดี สูง แต่งกายเรียบร้อยยามทำงาน ใส่เสื้อลายดอกวันพักผ่อน จ่ายกับข้าวและทำกับข้าวด้วยตนเอง เช่าห้องพักกับผู้ชายอีกคนที่เป็นช่างตัดผม ยอมรับว่าตนเองเป็นเกย์ ยอมรับว่าแม่ไม่ยอมรับ
และยอมรับกับคนอื่นว่าตนเองเป็นเกย์ถ้าเหตุการณ์จะพาไป


หนังสือ Male Homosexuality in Modern Japan : Cultural Myths and Social Realities เขียนโดย Mark J.McLelland สำนักพิมพ์ RoutLedge Curzon ปี 2000 เขียนว่าเกย์ในญี่ปุ่นมีลักษณะเฉพาะคือชอบทำกับข้าว

พวกเขามีวิธีเลือกอาหารแบบของตนเอง ละเอียดลออและประณีต
มีสัมผัสเรื่องกลิ่นพิเศษกว่าพ่อครัวชายหรือแม่บ้านทั่วไป
แน่นอนว่าพวกเขาแต่งกายสุภาพและสะอาดสะอ้านด้วย เป็นนักฟังที่ดี
และมีความสามารถพิเศษเข้าใจจิตใจของผู้หญิงมากกว่าแฟนหรือสามีจริงๆ ของเธอเสียอีก

ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะของ คาเคย์ ชิโร ทนายหนุ่มเกย์ขี้งกผู้พิสมัยการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ



.