http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-03-09

ข้างหลัง "หมัด"/ วงค์ ตาวัน: ภัยปืน

.
- ผ่าปูม"แฝดเกรียน" รุมต่อย"วรเจตน์" เหยื่อกระแสคลั่ง ระวังซ้ำ" 6 ตุลา 19" โดย อาชญา ข่าวสด
- เงื่อนงำอำพราง กรณี 2 แฝดทหารพราน ชกต่อยวรเจตน์

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ข้างหลัง "หมัด"
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 09 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1647 หน้า 9


หากมองในแง่ปรากฏการณ์ เหตุการณ์ฝาแฝด "สุพจน์-สุพัฒน์ ศิลารัตน์" บุกไปทำร้ายร่างกาย "วรเจตน์ ภาคีรัตน์" นักวิชาการคณะนิติราษฎร์ ถึงคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์

คงเป็นเรื่องของกำปั้นเถื่อนๆ สองคู่ ที่กระหน่ำชกใส่ปัญญาชน ซึ่งนำเสนอแนวคิดทวนกระแสสังคม

แต่หากลองมองทะลุไปสู่เบื้องหลังของ "หมัด" เหล่านั้น และรอยฟกช้ำบวมเป่งบนใบหน้าวรเจตน์

เราจะพบประเด็นอื่นๆ ซ่อนแฝงอยู่มิใช่น้อย


เริ่มจากกรณี "สุพจน์-สุพัฒน์" ที่เมื่อถูกตรวจสอบประวัติแล้ว ดูเหมือนจะไม่ใช่คนหนุ่มบ้าระห่ำ "ธรรมดา" ทั่วๆ ไป
ทั้งคู่เป็นสมาชิกเว็บบอร์ดคนรักปืน และครอบครองปืนใน "โครงการสวัสดิการข้าราชการของรัฐ" ด้วยสถานะอาสาสมัครทหารพราน

ยิ่งกว่านั้น หลังก่อเหตุทำร้ายวรเจตน์และเข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในอีกหนึ่งวันต่อมา
คู่แฝดก็เดินทางไปพักผ่อนที่ "ฮาวาย" กับครอบครัว และมีกำหนดเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 11 มีนาคม

ส่งผลให้คำอธิบายว่าการก่อเหตุชกนักวิชาการนิติราษฎร์เป็นเรื่อง "ความคลั่งส่วนบุคคล" ถูกถ่วงดุลด้วยเรื่อง "การถูกว่าจ้าง-สั่งการมา" มากขึ้นเรื่อยๆ



แต่ไม่ว่าจะเป็นความคลั่งหรือถูกสั่งการมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนแสดงให้เห็นถึงอาการ "ป่วยไข้เรื้อรัง" ของสังคมไทย

ซึ่งเพื่อนนักวิชาการหลายคนของวรเจตน์สามารถสะท้อนออกมาได้อย่างคมชัด

"สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" จากภาควิชาประวัติศาสตร์ มธ. ตั้งคำถามว่า ย้อนหลังไปเมื่อช่วงเดือนมกราคม มีคนของรัฐบาลและสื่อบางฉบับ โจมตีนิติราษฎร์รายวัน
"คนเหล่านี้จะต้องรับผิดชอบทางคุณธรรมอะไรหรือไม่ ที่ช่วยกันสร้าง "กระแส" และ "บรรยากาศ" ของความไม่มีเหตุผล ความ 'คลั่ง'? "ถือเป็นการวางแบ๊กกราวด์ "ปูทาง" มาสู่เหตุต่อยวรเจตน์

สมศักดิ์ยังให้ความสนใจกับปรากฏการณ์ที่ผู้คนจำนวนมากในโลกออนไลน์ ซึ่งเขาประเมินว่าส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางและมีการศึกษา แสดงความ "สะใจ" หรือเชียร์ว่า "น้อยไป" ต่อการทำร้ายวรเจตน์
โดยวิพากษ์ว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวบ่งบอกถึงอาการ "ป่วย" มากๆ ของประเทศนี้ ที่คนมีการศึกษา ผ่านการอบรมบ่มเพาะเรื่องความรู้สมัยใหม่และชอบยกเรื่องคุณธรรมจริยธรรมมาเป็นข้ออ้าง สามารถมีความ "ป่าเถื่อนทางจิตใจ" เช่นนี้ได้


"เกษียร เตชะพีระ" แห่งรัฐศาสตร์ มธ. ตั้งข้อสังเกตว่า ก่อน "หมัดเถื่อน" นั้นจะชกออกมา "สื่อมวลชน" และ "นักวิชาการ" จำนวนหนึ่ง ได้สร้างคำโกหกเรื่อง "ล้มเจ้า"
เพื่อปูทางหรือเชียร์ให้คนบ้าเลือดพร้อมจะลงมือทำร้ายวรเจตน์และคณะ

เกษียรไม่ได้คาดหวังว่า "สื่อ-นักวิชาการ" เหล่านั้น จะออกมายอมรับผิด และเรียกร้องให้ยุติการใช้ความรุนแรงต่อวรเจตน์และพวก ทว่ากลับทำนายอนาคตไว้ว่า
"พวกคุณต้องรับผิดชอบที่หว่านเพาะเชื้ออวิชชา มุสาวาทา และความเกลียดชัง เพิ่มพูนขึ้นแก่สังคมไทย ลูกหลานครอบครัวของพวกคุณจะอยู่ในสังคมเดียวกันนี้ที่คุณหว่านเพาะอวิชชา มุสาวาทา และความเกลียดชัง จนกลายเป็นความรุนแรงไปแล้ว

"ผมหวังว่ากรรมจะตามสนองพวกคุณทุกๆ คน ทุกๆ ถ้อย ทุกๆ คำ"


แต่ยังมีนักวิชาการบางคนที่แสดงความเห็นผิดแผกไปต่อกรณีนี้ เช่น "สมบัติ ธำรงธัญวงศ์" อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)ซึ่งเห็นว่า กรณีวรเจตน์ถูกทำร้ายร่างกาย เกิดจากความขัดแย้งของสังคม อันเนื่องมาจากการแสดงความคิดเห็น
ดังนั้น การที่นักวิชาการจะเสนอความเห็นต่างๆ จึงต้องระมัดระวัง เพราะอาจจะกระทบกับอารมณ์ความรู้สึกของคนในสังคม และอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งได้

ส่งผลให้ "พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย" อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ออกมาโต้แย้งว่า การที่สมบัติบอกให้นักวิชาการระมัดระวังในการแสดงความเห็น แทนที่จะประณามผู้กระทำความผิด แสดงว่า อธิการบดีนิด้ามิได้ให้ความสำคัญกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางวิชาการเป็นการแสดงความคิดเห็นทางวิชาการที่ไม่ใช่การด่าทออย่างไร้เหตุผล อันนำไปสู่การรบพุ่งกัน แต่อย่างใด



อย่างไรก็ตาม ในภาพเลวร้ายของอาการป่วยไข้ที่รุมเร้าสังคมไทย ยังปรากฏภาพดีๆ อยู่ข้างหลัง "หมัด" ของฝาแฝดสุพจน์-สุพัฒน์

คือ ภาพ "สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" เข็นรถพยาบาลให้ "วรเจตน์ ภาคีรัตน์" นั่ง ขณะไปตรวจรักษาอาการบาดเจ็บที่โรงพยาบาล ซึ่งถูกแบ่งปันกันอย่างแพร่หลายในเฟซบุ๊ก

ผู้อยู่ในเหตุการณ์ระบุว่า แอ๊กชั่นสะดุดตาในภาพถ่ายดังกล่าวเป็นเพียงการแสดงเล่นๆ เมื่อเพื่อนๆ ของคณะนิติราษฎร์ ออกไอเดียให้วรเจตน์ที่มิได้เจ็บหนักถึงขนาดเดินเหินไม่สะดวก ลงไปนั่งบนรถเข็น แล้วเชิญชวนให้สมศักดิ์ที่เดินทางไปเยี่ยมวรเจตน์ มารับบทคนเข็นรถ ก่อนจะกดชัตเตอร์บันทึกภาพแห่งความทรงจำนั้นไว้

น่าสนใจว่า วรเจตน์ คือผู้เสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
ขณะที่สมศักดิ์ กลับมีข้อเสนอที่ไปไกลกว่านั้น คือ ให้ยกเลิก ม.112 พร้อมวิจารณ์ว่า ข้อเสนอของนิติราษฎร์ถือเป็นการฉุดรั้งความก้าวหน้าของมวลชนบางส่วน

น่าสนใจว่า หลังจากถูกทำร้ายร่างกาย วรเจตน์, คณะนิติราษฎร์ และคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) ยังคงเลือกจะ "สู้" ด้วยการเดินหน้ารณรงค์ล่ารายชื่อประชาชนเพื่อเสนอร่างแก้ไข ม.112 ให้รัฐสภาพิจารณาต่อไป
แต่สมศักดิ์กลับเสนอให้ยุติการรณรงค์ล่ารายชื่อแก้กฎหมาย เพื่อถนอมกำลัง ป้องกันความสูญเสีย ไว้สำหรับการต่อสู้เรื่องความคิดและอุดมการณ์ในระยะยาว

ภาพประทับใจระหว่างวรเจตน์กับสมศักดิ์ ข้างหลัง "หมัดเถื่อน" ของสองฝาแฝด จึงบ่งบอกว่า

แม้คนเราจะคิดต่างกัน ก็สามารถอยู่ร่วมอย่างมีมิตรจิตมิตรใจต่อกันฉันเพื่อนมนุษย์ได้

โดยไม่ต้องลงมือทำร้ายกันด้วยความโหดเหี้ยมเกลียดชังเสมอไป



++

ภัยปืน
โดย วงค์ ตาวัน คอลัมน์ ชกคาดเชือก
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 09 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1647 หน้า 98


พฤติกรรมของฝาแฝดเกรียนที่ก่อเหตุสะท้านสังคมที่อ้างกันว่าเจริญทางปัญญาแล้ว ด้วยการใช้ความรุนแรง ใช้กำลังเข้าทำร้ายคนที่คิดต่าง แถมกระทำกับนักวิชาการร่างบอบบาง ซึ่งไม่เคยก้าวร้าวท้าตีท้าต่อยกับใคร

ได้ทำให้เห็นธาตุแท้ของกลุ่มแนวคิดขวาจัดในสังคมไทยอย่างเปิดเผยอีกครั้ง

ไม่สามารถใช้เหตุผลข้อมูลมาโต้แย้งได้ ก็หันมาใช้กำลัง

แบบเดียวกับที่กลุ่มกระทิงแดง อันธพาลทางการเมืองในอดีต กระทำกับนักศึกษาปัญญาชน ในยุคปี 2517-2519

ไม่เท่านั้น ด้วยความกว้างไกลของสังคมยุคข้อมูลข่าวสาร ทำให้สังคมได้รับรู้ถึงรสนิยมส่ออันตรายของฝาแฝดเกรียนคู่นี้อีก ว่าเป็นนักเล่นปืนตัวยง
ทั้งปืนยาว ปืนสั้น ซึ่งก็ไม่ใช่แค่อาวุธปืนขนาดเล็กขนาดพอสมควรที่คนทั่วไปสามารถมีได้ เพื่อคุ้มครองตัวเองตามสมควร
แต่เป็นปืนขนาดรุนแรงที่มีใช้เฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐอีกต่างหาก

ลำพังบุคคลธรรมดา ก็น่าสงสัยว่าสามารถจดทะเบียนมีและใช้อาวุธขนาดนี้ได้อย่างไร
แถมเป็นบุคคลที่แสดงออกให้สังคมประจักษ์ว่าพร้อมจะใช้กำลังกับคนที่ไม่ได้รู้จักหรือมีเรื่องขัดแย้งส่วนตัวอะไรเลย

พฤติกรรมเช่นนี้ ทำให้เกิดคำถามว่า จะปล่อยให้ครอบครองอาวุธปืนที่มีระดับรุนแรงอยู่ในสังคมนี้ได้หรือ!?
หากพื้นฐานเป็นคนใช้ความรุนแรงเป็นประจำสม่ำเสมอ ก็น่าเป็นห่วง
ไปดักรอนักวิชาการ ในสถาบันการศึกษาที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะปัญญาชนที่มีเสรีภาพทางความคิด
แล้วลงมือชกต่อย
ชกต่อยแบบจู่โจมไม่ให้เหยื่อได้รู้ตัว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะน่าภาคภูมิใจได้อย่างไร

คนที่หมกมุ่นกับการใช้ความรุนแรง แถมไม่ทำแบบสุภาพบุรุษใจนักเลงจริงๆ ไม่ควรจะปล่อยเลยไป
เพียงแค่การถูกลงโทษในคดีข้อหาทำร้างร่างกายแบบไม่สาหัสเท่านั้น
คนแบบนี้ต้องได้รับการตรวจสอบและจับตาเป็นพิเศษ
สมมติว่า ถ้าหากมีการพกพาอาวุธปืนไปด้วยเล่า เพราะชอบเล่นปืนเหลือเกิน
อะไรจะเกิดขึ้น!?



ปกติการอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปสามารถมีและใช้อาวุธปืน ไปจนถึงอนุญาตให้สามารถพกพาอาวุธปืนได้นั้น ถ้าหากว่ากันตามกฎระเบียบจริงๆ ถือว่าเข้มงวดมาก
จะต้องเป็นบุคคลที่มีฐานะทางสังคมพอสมควร ต้องมีบัญชีเงินฝากแสดงให้เห็น
จะต้องมีอาชีพการงานเป็นหลักแหล่ง แต่พร้อมๆ กันก็ต้องบ่งบอกให้เห็นว่า เป็นบุคคลที่มีความจำเป็นให้มีและใช้ปืน ไปจนถึงจำเป็นต้องพกพาติดตัวไป
ต้องเป็นอาชีพที่มีความจำเป็นแน่นอน เป็นนักธุรกิจที่อาจถูกคู่แข่งดักทำร้ายได้
เป็นอาชีพที่ต้องเดินทางไกล จำเป็นต้องมีปืนไว้ป้องกันตัว

แต่ทั้งหมดนี้ ก็มักได้รับอนุญาตให้มีปืนที่มีขนาดเหมาะสม
เช่น ปืนขนาด.22 ปืนขนาด.38 เป็นต้น

แต่ถ้าเป็นปืนที่มีขนาดใหญ่และรุนแรงกว่า เช่น 11 ม.ม. ปืน.45 ปืนขนาด.357 มักจะไม่อนุญาตให้กับประชาชนทั่วไป ปืนขนาดนี้จะมีใช้เฉพาะข้าราชการ ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองในชนบท
ไม่เท่านั้น โดยส่วนใหญ่การขอใบอนุญาตเพื่อมีและใช้อาวุธปืน ถ้าดำเนินตามขั้นตอนปกติ ถือว่ากว่าจะได้รับอนุญาตค่อนข้างยาก

ขั้นต่อมา เมื่อสามารถมีและใช้ปืนได้ ยังต้องยากกว่านั้นอีกในกรณีการขอใบอนุญาตเพื่อพกพาอาวุธปืนติดตัวไปตามที่ต่างๆ
กว่าจะได้รับอนุญาตยากเย็นแสนเข็ญจริงๆ
รวมทั้งการพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อตรวจสอบประวัติอาชญากรก็เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่ขาดไม่ได้

นั่นเป็นกรณีของประชาชนทั่วไป ที่จำเป็นต้องมีและใช้ปืน เพื่อคุ้มครองตนเองตามความจำเป็นของอาชีพ หรือบางครั้งเพราะบ้านเรือนอยู่ห่างไกล อยู่ในสถานที่สุ่มเสี่ยงจะถูกอาชญากรบุกไปเยือน

แต่กรณีฝาแฝดเกรียนที่ก่อเหตุสะเทือนวงการนักคิดปัญญาชน

เหตุใดจึงพบว่าสามารถมีอาวุธปืนในขนาดที่มีใช้ในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐได้



หลังการก่อเหตุชกต่อยนักวิชาการแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล โดย พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น., พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รอง ผบช.น. ได้เร่งออกติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุ จนตรวจสอบได้ชื่อเสียงเรียงนามชัดเจนจากทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ที่คนร้ายใช้
จนต่อมาฝาแฝดผู้ก่อเหตุตัดสินใจชิงเข้ามอบตัว
แน่นอนว่าคดีชกต่อย โดยไม่ถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส ถือเป็นคดีที่มีโทษเบา

อีกทั้งเมื่อผู้ต้องหามามอบตัว ตามกฎหมายนั้นจำเป็นต้องปล่อยตัวชั่วคราวไปทันที เมื่อรับมอบตัวตามขั้นตอนเสร็จสิ้น
แต่ตำรวจนครบาลก็มิได้นิ่งเฉยเพียงเท่านั้น
เพราะต่อมาเมื่อปรากฏคลิปและภาพถ่ายนิ่งที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์
พบว่าฝาแฝดคู่นี้ มีพฤติกรรมชอบเล่นอาวุธปืน เป็นปืนขนาดรุนแรงอีกด้วย
ชอบไปซ้อมยิงปืนตามสนามซ้อมต่างๆ
นิยมชมชอบอาวุธปืนอย่างเข้าขั้น

ตำรวจนครบาลจึงให้ความสนใจและขุดคุ้ยประเด็นที่ว่า กรณีบุคคลที่มีพฤติกรรมส่อความก้าวร้าวรุนแรงเป็นอันตรายต่อสังคม อีกทั้งหากมีประวัติเคยต้องโทษคดีใช้ความรุนแรงมาก่อน
สมควรจะต้องถอนใบอนุญาตครอบครองปืนหรือไม่!?

ขณะเดียวกัน การที่สามารถมีปืนไว้หลายกระบอก แถมเป็นอาวุธปืนขนาดที่เกินกว่าคนปกติสามารถมีได้ ก็พบว่ามีการอ้างอิงสถานะอาสาสมัครทหารพรานมาใช้เพื่อการซื้อและครอบครองปืนขนาดนี้
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องตรวจลึกลงไปอีกว่า สถานะดังกล่าวจริงหรือไม่
ที่แน่ๆ ก็คือ บัดนี้ฝาแฝดที่มีพฤติกรรมใช้กำลังขาดเหตุผลนี้ ถูกสังคมจับตามองอย่างยิ่ง

ทั้งเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบความเหมาะสมว่าควรถอนใบอนุญาตปืนหรือไม่

ขึ้นชื่อว่าเป็นคนชอบใช้กำลัง ขึ้นชื่อว่าเป็นคนชอบเล่นอาวุธปืน

นี่แหละคือบุคคลที่เป็นเหยื่อปลุกปั่นกระแสล้าหลังให้เกลียดชังกลุ่มนักวิชาการนักคิดอย่างขาดสติ

ทั้งยังอดไม่ได้ให้คิดถึงคดีเกรียวกราวเมื่อไม่นานมานี้ กรณีนักการเมืองถูกกล่าวหาว่าใช้อาวุธปืนยิงคนตายหน้าห้องน้ำปั๊มน้ำมัน

โดยการสืบสวนสอบสวนของตำรวจได้พยานหลักฐานว่า บันดาลโทสะหลังถกเถียงเย้ยหยันกันในเรื่องส่วนตัว

นี่อาจเป็นอีกกรณีตัวอย่างของภัยอาวุธปืนที่ติดตัวคนบางกลุ่มไปไหนมาไหน

ปืน-ใช้กำลังความรุนแรง-ภาวะอารมณ์-การยับยั้งชั่งใจ

เป็นสูตรอันตรายที่สังคมไทยไม่ควรปล่อยเลย !



+++

ผ่าปูม"แฝดเกรียน" รุมต่อย"วรเจตน์" เหยื่อกระแสคลั่ง ระวังซ้ำ" 6 ตุลา 19"
โดย อาชญา ข่าวสด คอลัมน์ อาชญากรรม
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 09 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1647 หน้า 97


กลายเป็นกระแสร้อนแรงยิ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กรณีเหตุไม่คาดฝันที่พี่น้องฝาแฝด นายสุพจน์ และ นายสุพัฒน์ ศิลารัตน์ อายุ 30 ปี ชาว อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ดักทำร้าย นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ บริเวณลานจอดรถ มธ. ท่าพระจันทร์

หลังหลบหนีเพียงวันเดียวผู้ต้องหาก็เข้ามอบตัว พร้อมคำสารภาพว่าลงมือเพราะไม่พอใจการเสนอแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สังคมที่แตกเป็น 2 ฝ่ายอยู่แล้ว ยิ่งแสดงออกชัดเจน เพราะฝ่ายหนึ่งออกมาประณามการกระทำที่รุนแรง

ขณะที่อีกฝ่ายซึ่งยัดเยียดข้อหาหมิ่นสถาบันให้กับกลุ่มนิติราษฎร์ ออกมาสนับสนุนและยกย่อง 2 พี่น้อง

พร้อมกับการตรวจสอบประวัติว่าทั้งคู่มีความเป็นมาเช่นไร และการลงมือครั้งนี้ทำด้วยตัวเอง หรือมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างอื่น!??


แฝดเกรียนดักชก"วรเจตน์"

นายวรเจตน์ หรืออาจารย์วรเจตน์ ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงเมื่อช่วงเย็นวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ระหว่างขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ช่วงที่ยืนคุยกับเพื่อนอาจารย์ คู่แฝดที่มาดักรออยู่ตั้งแต่เช้าก็เดินดุ่มมาด้านหลัง นายสุพจน์สาวหมัดเข้าใส่ ก่อนที่น้องชายคู่แฝดจะตามมาซ้ำ ก่อนวิ่งหนีไปขึ้นรถจักรยานยต์ขี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

อาจารย์วรเจตน์ ถึงกับล้มทรุดเมื่อโดนหมัดลุ่นๆ เข้าใบหน้า และกระแทกจนแว่นแตก

คดีนี้มีพยานหลักฐานจำนวนมาก รวมทั้งภาพ 2 พี่น้องจากกล้องวงจรปิดของมหาวิทยาลัย

ที่น่าตระหนกผู้ต้องหาเหมือนต้องการให้รู้ด้วยซ้ำว่าใครทำ เพราะประกาศก้องก่อนหลบหนีว่า

"ถ้ามึงอยากรู้ว่ากูเป็นใคร ให้ไปดูกล้องวงจรปิดก็จะรู้ " !??

ตำรวจเช็กข้อมูลไม่นานก็ตามไปถึงที่พักอยู่ในหมู่บ้านแพรมาพร เพลส เลขที่ 12/382 หมู่ 4 ต.บึงยี่โถ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี จึงไปเฝ้าดักรอแต่ไม่พบ

กระทั่งรุ่งเช้าทั้งคู่เดินทางเข้ามอบตัว

พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. สอบปากคำด้วยตัวเอง ทั้งคู่ให้การว่ามีอาชีพขายเสื้อผ้าและน้ำหอมทางอินเตอร์เน็ต กลางคืนไปเป็น รปภ.หมู่บ้าน ซึ่งตำรวจพบว่าจริงๆ แล้วไปดูแลบ้านให้เศรษฐินีคนหนึ่งในละแวกบ้านของตัวเอง

ส่วนสาเหตุคู่แฝดอ้างว่าทำไปเพราะไม่พอใจ ที่นายวรเจตน์กับกลุ่มนิติราษฎร์ กรณีแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112

คำให้การนี้ตำรวจยังไม่ปักใจ และให้สอบสวนทางลึกว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรือไม่!??

เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มนิติราษฎร์แทบไม่มีความเคลื่อนไหวกรณีมาตรา 112 แล้วด้วยซ้ำ

แต่จู่ๆ กลับมีคนมาลอบทำร้ายกลุ่มนิติราษฎร์ โดยอ้างเหตุผลเรื่องนี้!??


แฉประวัติคดีติดตัวเพียบ

ส่วนฉายา"แฝดเกรียน" มีสื่อตั้งให้ในภายหลัง เพราะระหว่างแถลงข่าวทั้งคู่ไม่มีอาการสะทกสะท้าน และยังพูดเสียงดังฟังชัดว่า

"อยากเตะนักข่าว"

นอกจากนี้ ที่มาของฉายาอีกประการ เนื่องจากทั้งคู่เล่นเฟซบุ๊ก โดยโพสต์รูปตัวเองกำลังเล็งปืน และแอ๊กชั่นต่างๆ คู่กับอาวุธร้ายแรง รวมทั้งโชว์รอยสักลายพร้อยทั่วตัว

ลักษณะของภาพและแอ๊กชั่นต่างๆ คล้ายกับ 2 พี่น้อง"โจ๊ก-จิ๊บ ไผ่เขียว" นายชาญชัย ประสงค์ศิล และ นายนพพล ประสงค์ศิล แก๊งยาบ้า จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ใช้ปืนยิงใส่รถประชาชนบนถนนสายเอเชีย ทำให้"น้องโตมี่ "ด.ช.โภคิน ดีผิว วัย 12 ปี เสียชีวิตเมื่อปี 2553

คดีดังกล่าวตำรวจจับตายนายโจ๊ก และจับเป็นนายจิ๊บ โดยทั้งคู่เช็กประวัติพบว่าเป็นคนชอบเล่นปืน สักลายพร้อยทั้งตัว รวมทั้งถ่ายภาพแอ๊กชั่นกับปืนแบบต่างๆ

เรียกว่าทั้งคู่แฝด และพี่น้องทมิฬโจ๊ก-จิ๊บ มีลักษณะการถ่ายภาพคล้ายกันอย่างมาก!??

นอกจากนี้ ตำรวจพบภายหลังว่าคู่แฝดมีอาวุธปืนในครอบครองหลายกระบอกด้วยกัน ทั้งปืนยาว.22 ปืนพกสั้นขนาด 9 ม.ม. และขนาด.45

โดยเฉพาะปืนพกขนาด.45 ถือว่าเป็นอาวุธร้ายแรงที่ปกติจะไม่อนุญาตกันง่ายๆ ยกเว้นเป็นทหาร-ตำรวจ หรือข้าราชการหน่วยความมั่นคง เท่านั้น

ตำรวจเช็กประวัติของทั้ง 2 พี่น้อง พบว่าเคยต้องคดีเกี่ยวกับอาวุธปืน และทำร้ายร่างกาย ทำให้เสียทรัพย์ โดยเฉพาะนายสุพัฒน์ คนน้อง มีคดีทำร้ายร่างกาย 4 คดี และทำให้เสียทรัพย์ 1 คดี เคยถูกจำคุก 2 ครั้ง ครั้งและ 1 เดือนกับ 6 เดือน!!!

ส่วนนายสุพจน์ เคยถูกจับคดีอาวุธปืนผิดมือ ศาลพิพากษาจำคุกแต่ให้รอลงอาญา 2 ปี


อ้างเป็นทหารพราน

จากพฤติกรรมรุนแรงและมีประวัติต้องคดีอาญาทั้งพี่ทั้งน้อง ทำให้ตำรวจสงสัยว่าทำไมถึงได้รับอนุญาตให้มีอาวุธได้หลายกระบอก ที่สำคัญพบว่าการอนุญาตเกิดขึ้นหลังจากทั้งคู่เคยต้องคดีอาญามาแล้ว ซึ่งตามปกติเจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาต

"จะทำหนังสือถึงกระทรวงมหาดไทย เพื่อตรวจสอบและขอยึดใบ ป.4 เนื่องจากมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง อาจเป็นภัยต่อสังคม นอกจากนี้ให้เจ้าหน้าที่ทำหนังสือเพื่อขออาวุธปืนมาตรวจสอบด้วย ว่าเคยนำไปใช้ก่อเหตุอื่นๆ หรือไม่"

พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รอง ผบช.น. กล่าว

ขณะที่ตำรวจประสานไปยังนายทะเบียนธัญบุรี ที่ออกใบอนุญาต โดย นายสมศักดิ์ พัวพันธุ์ นายอำเภอธัญบุรี ระบุว่านายสุพจน์ ขอทะเบียนอาวุธปืนพกสั้น กึ่งอัตโนมัติ .45 หมายเลข เค 302994 คิมเบอร์ กท.5344892 เป็นอาวุธปืนในโครงการสวัสดิการข้าราชการของรัฐ เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2553 โดยใช้บัตรประจำ อส.ทพ. สังกัดหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 จ.บุรีรัมย์ ระบุวันออกบัตร 1 พ.ค. 2551 หมดอายุ 1 พ.ค.2553

เช่นเดียวกับนายสุพัฒน์ ก็ใช้บัตรทหารพรานลักษณะเดียวกันมาขอมีปืนถึง 2 กระบอก

เจ้าหน้าที่จึงประสานไปยังกรมทหารพราน เพื่อขอประวัติของคู่แฝดว่าเป็นทหารพรานจริงหรือไม่

ปรากฏว่า พ.อ.ณัฎฐ์ ศรีอินทร์ ผบ.ฉก.กรม ทพ.26 ค่ายปักธงชัย ระบุว่าตรวจสอบไม่พบชื่อคู่แฝดเป็นกำลังพลสังกัดกรม ทพ.26 หากใช้บัตร อส.สังกัด ทพ.26 ไปยื่นข้ออนุญาตมีอาวุธปืน แสดงว่าจงใจแอบอ้างและปลอมแปลงเอกสาร

โดยตำรวจให้ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง หากไม่ใช่ทหารพรานอย่างที่กล้าวอ้าง จะโดนดำเนินคดีเพิ่มขึ้นอีก

ในส่วนของคดีทำร้ายร่างกายนั้น ตำรวจนัดสรุปสำนวนและส่งฟ้อง 2 พี่น้องในวันที่ 12 มีนาคม ซึ่งตามข้อหาแล้วมีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี โดยเสนอให้บวกโทษเพิ่มจากคดีเก่าด้วย

เพราะเห็นว่าเป็นพฤติกรรมที่มีการวางแผนล่วงหน้า ที่สำคัญไม่ต้องการให้เป็นตัวอย่างของการใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน



แฉปั่นกระแสจนคลั่ง

เหตุที่เกิดขึ้นกับนายวรเจตน์ กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วถึงการใช้ความรุนแรง และที่สำคัญตามเว็บไซต์ต่างๆ แสดงความเห็นในกรณีนี้อย่างกว้างขวางทั้งประณามและสนับสนุน

ที่น่าเป็นห่วงคือกลุ่มสนับสนุน เหมือนนิยมให้ใช้ความรุนแรง ให้เกิดความเกลียดชัง ทั้งที่ยังไม่ทราบจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของนิติราษฎร์!??

ทั้งที่ส่วนใหญ่แล้วคนที่คัดค้านหรือกล่าวหาล้มเจ้า แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเสนอแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 ของกลุ่มนิติราษฎร์ มีเนื้อหาเช่นไร และจุดประสงค์เพื่ออะไร!??

แต่เพราะถูกปั่นกระแสจากกลุ่มที่พยายามโยงนิติราษฎร์เข้ากับพรรคเพื่อไทย พร้อมยัดเยียดข้อหา"ล้มเจ้า"เพื่อหวังโค่นรัฐบาล

ขณะที่นายวรเจตน์ ยืนยันว่ากลุ่มนิติราษฎร์เสนอแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 มีจุดมุ่งหมายสำคัญคือรักษาสถาบัน และป้องกันดึงเบื้องสูง มาใช้ทำลายฝ่ายตรงข้าม!!!

"การเสนอแก้ ม.112 ทำเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลใดนำสถาบันไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ปัญหาที่เกิดเพราะเป็นภาพที่สร้างขึ้นมา พอพูดถึงสถาบันแล้ว พูดถึงการแก้ไขปรับปรุงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จะถูกหาว่าล้มเจ้าทั้งหมด สังคมกำลังสุดโต่งมากเกินไป"

นายวรเจตน์ แสดงความเห็น และว่า มีการสร้างกระแสว่าถ้าแก้ไขกฎหมายมาตรานี้ จะทำให้ประชาชนบางส่วนใช้ถ้อยคำหยาบคายหรือหมิ่นประมาทสถาบันได้ง่ายขึ้น ไม่เป็นความจริง เพราะความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ยังอยู่เช่นเดิม

เพียงแต่แยกความผิดฐานหมิ่นประมาท กับดูหมิ่นและแสดงความอาฆาตมาดร้ายออกจากกัน และกำหนดโทษไว้แตกต่างกัน ตลอดจนแบ่งแยกความผิดต่อพระมหากษัตริย์ออกจากพระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ออกจากกัน"

แต่เพราะการปั่นกระแสล้มเจ้า และต้องการโยงเข้าหาพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม จึงพยายามปลุกกระแสให้เกิดความเกลียดชัง

พฤติกรรมแบบนี้ เหมือนอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ก่อนแผนล้อมฆ่านักศึกษาในธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ "6 ตุลา 19"

ยุคนั้น กลุ่มกระทิงแดงและนักการเมือง รวมทั้งสื่อรับใช้เผด็จการ ปั่นกระแสกล่าวหานักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ละเมิดเบื้องสูง จนนำไปสู่การฆ่าหมู่ที่เหี้ยมโหดกลางเมืองหลวง

และตอนนี้ แผนร้ายดังกล่าว ถูกนำมาปัดฝุ่นใช้อีกครั้งอย่างน่ากลัวยิ่ง!??



+++

เงื่อนงำอำพราง กรณี 2 แฝดทหารพราน ชกต่อยวรเจตน์
ในข่าวสดออนไลน์ วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


พลันที่มีการทำร้าย นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ณ ลานจอดรถมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อตอนบ่ายวันที่ 29 กุมภาพันธ์ กรณีก็ขยายและบานปลายออกไปเป็นลำดับ

เป็นปฏิบัติการสั่งสอนแกนนำคณะนิติราษฎร์แน่นอน

แต่ขณะเดียวกัน เมื่อฝาแฝด 2 พี่น้องเริ่มปฏิบัติการ ผลแห่งการกระทำที่คุกคามและละเมิดของพวกเขาก็มีแรงสะเทือน
ที่เห็นๆ ก็คือ คำพิพากษาของศาลแขวงดุสิตเมื่อวันที่ 8 มีนาคม
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้องจริง จึงตัดสินจำคุกคนละ 6 เดือนแต่จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกคนละ 3 เดือนโดยไม่รอลงอาญาเนื่องจากเห็นว่ามีพฤติกรรมไม่เคารพกฎหมาย

ความสะใจอันปรากฏผ่านเวทีเสวนากลุ่มสยามสามัคคี กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ กลุ่มเสื้อหลากสี จึงรับผลผ่านคำพิพากษาเช่นนี้
กระนั้น ที่นึกไม่ถึงก็คือผลและความต่อเนื่อง


เป็นผลและความต่อเนื่องอันเนื่องจากพี่น้องฝาแฝด 2 คนได้รับใบอนุญาตให้มีปืน ป.4 อย่างมากด้วยเงื่อนงำพิสดารอย่างยิ่ง
นั่นก็คือ เขาได้รับอนุญาตในฐานะเป็นอาสาสมัครทหารพราน
นั่นก็คือ หลักฐานการรับรองลงนามโดย พ.อ.ศิริชัย สร้อยแสน นายทหารพระธรรมนูญ กรมทหารพรานที่ 26 จ.บุรีรัมย์

เป็นบัตรอาสาสมัครทหารพราน วันที่ 1 พฤษภาคม 2552 หมดอายุวันที่ 1 พฤษภาคม 2554

ปรากฏว่าเป็นหลักฐานปลอม เป็นการอ้างชื่อของ พ.อ.ศิริชัย สร้อยแสน โดยที่ พ.อ.ศิริชัย สร้อยแสน ไม่ได้เป็นนายทหารพระธรรมนูญ กรมทหารพรานที่ 26 จ.บุรีรัมย์ เคยอยู่บุรีรัมย์จริงแต่อยู่ระหว่างปี 2529 ถึงปี 2532 และย้ายไปหลายหน่วยกระทั่งมาอยู่กองบัญชาการกองทัพไทย

ตรงนี้แหละจะกลายเป็นเรื่อง
ความน่าสนใจของการได้ใบป.4 ของสองพี่น้องฝาแฝดแห่งจังหวัดปทุมธานีในฐานะอาสาสมัครทหารพรานเกิดขึ้นในห้วงของปี 2552
ปี 2552 เป็นปีที่อยู่ในรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เรื่องทั้งหมดนี้สัมพันธ์กับกรมทหารพรานที่ 26 จังหวัดบุรีรัมย์ สัมพันธ์กับกระทรวงมหาดไทยในยุค นายชวรัตน์ ชาญนุกูล

สัมพันธ์กับการจัดระบบบริหารราชการในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีอย่างเป็นพิเศษ
รายละเอียดอันเกี่ยวกับกรมทหารพรานที่ 26 จังหวัดบุรีรัมย์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รับรู้ข้อเท็จจริงและยอมรับในเรื่องการปลอมแปลงเอกสารแล้ว
อยู่ที่อำเภอธัญบุรี อยู่ที่จังหวัดปทุมธานีจะแสดงบทบาทอย่างไร


เหมือนกับเรื่องของการทำร้าย นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ เป็นอุบัติเหตุ เป็นเรื่องอันเกิดขึ้นเอง

แต่หากสืบสาวรายละเอียดไปจริงๆ จะสัมพันธ์กับบทบาทของนักการเมืองที่เคยส่งกองกำลังติดอาวุธไปปฏิบัติที่พัทยา ที่เคยเล่นใต้ดินในเรื่องรถบรรทุกแก๊สในสถานการณ์ปี 2552

กลายมาเป็นอาสาสมัครทหารพราน 2 แฝดแห่งปทุมธานีจนได้



.