http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-03-04

สิ่งประดิษฐ์ที่ถูกลืม, ลูกปีมังกร, เหยียดผิวในสนามฯ, เบื้องหลัง..ดาราในงานออสการ์ โดย พิศณุ นิลกลัด

.

5 สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่กำลังจะถูกลืม
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1641 หน้า 96


เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ข่าวการยื่นล้มละลายของบริษัทโกดักในอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ผลิตฟิล์มและกล้องยักษ์ใหญ่ของโลกที่มีอายุเก่าแก่ถึง 131 ปี สร้างความใจหายให้กับคนที่เกิดทันยุคกล้องใช้ฟิล์มแบบม้วนที่สมัยนั้นเวลาจะถ่ายรูปต้องลุ้นกันตั้งแต่ตอนดึงหางฟิล์มเข้าแกนหมุนฟิล์ม หากสอดไม่ดีรูปถ่ายออกมาไม่ติด เสียทั้งค่าฟิล์มและค่าล้างรูป

แม้จะใส่ฟิล์มได้แล้ว กว่าจะกดชัตเตอร์แต่ละครั้งก็คิดแล้วคิดอีกว่าแสงพอหรือเปล่า เพราะเสียดายฟิล์มที่ 1 ม้วนถ่ายได้เพียง 36 ภาพ พอถ่ายฟิล์มหมดม้วนก็ต้องมาลุ้นกันต่อหลังถ่ายจบม้วนว่าล้างออกมารูปจะสวยถูกใจมั้ย

ดังนั้น เมื่อเทคโนโลยีกล้องดิจิตอลเข้ามา ความนิยมของกล้องที่ถ่ายด้วยฟิล์มจึงหมดไปอย่างรวดเร็ว เพราะกล้องดิจิตอลถ่ายปุ๊บเห็นภาพปั๊บ หากไม่ถูกใจลบทิ้งได้ทันที และสามารถถ่ายภาพได้เป็นร้อยเป็นพันภาพ

การที่โกดักปรับตัวช้าไม่ตามกระแสเทคโนโลยีกล้องดิจิตอล ส่งผลให้ต้องยื่นล้มละลาย

แต่ไม่ได้หมายความว่าโกดักจะล้มหายไป ที่ทำไปก็เพื่อปรับโครงสร้างการบริหารใหม่ให้อยู่รอด



ในอนาคตยังมีนวัตกรรมอีกหลายอย่างที่จะค่อยๆ เสื่อมความนิยมและถูกลืมเลือนไป อย่างเช่น เพจเจอร์, เครื่องพิมพ์ดีด และเทปคาสเส็ต

มาร์ก เพชชี่ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกัน ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนสัญชาติเป็นออสเตรเลียได้ทำนายว่าในอนาคตยังมีเทคโนโลยีสิ่งประดิษฐ์อีก 5 ชิ้นจะสูญหายไป ได้แก่...

โทรศัพท์บ้าน โดยโทรศัพท์มือถือจะเข้ามาแทนที่ 100 เปอร์เซ็นต์ มาร์ก เพชชี่ บอกว่า ในอนาคตเวลาคนใช้โทรศัพท์ก็จะไม่ได้ยินเสียงตู๊ดยาวแบบเวลายกหูโทรศัพท์บ้านเตรียมจะโทร.ออกซึ่งแสดงว่าเครื่องพร้อมที่จะโทร.ออก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่คนใช้โทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่ลืมคิดถึงว่าได้หายไปแล้ว เพราะสมัยนี้เวลาหยิบมือถือขึ้นมาก็กดหมายเลขได้เลยโดยไม่ต้องรอเสียงตู๊ดยาวว่าโทรศัพท์พร้อมที่จะโทร.ออก

ตู้ถ่ายรูป เมื่อสมัยสิบกว่าปีก่อน ตู้ถ่ายรูปหรือตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์เป็นที่นิยมมากในหมู่วัยรุ่นไทย แต่สมัยนี้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปออกมาได้คมชัดเหมือนกับกล้องถ่ายรูป

วิทยุ สมัยนี้คนฟังเพลงในรถหรือทางโทรศัพท์มือถือ วิทยุแบบเครื่องจะค่อยๆ หายไปในที่สุด เหมือนกับวิทยุทรานซิสเตอร์

เครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์และเครื่องสแกนเนอร์ มาร์ก เพชชี่ เห็นว่าสมัยนี้โทรศัพท์มือถือหลายรุ่นเริ่มมีเครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์ติดอยู่ ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์ที่มีขนาดใหญ่เทอะทะ

ส่วนสแกนเนอร์จะใช้เวลานานกว่าหน่อยในการถูกลืม เพราะในบริษัทต่างๆ ยังคงใช้เครื่องสแกนเนอร์ในการสแกนเอกสารสำคัญทางกฎหมาย

เครื่องเล่น DVD ต่อไปเวลาคนจะดูหนังทางดีวีดี ก็ไม่จำเป็นต้องใช้แผ่นดีวีดี แต่จะใช้เครื่องเล่น Blu-ray ที่มีรายละเอียดของภาพและเสียงชัดกว่า ซึ่งเครื่องเล่น DVD ก็จะสูญหายไปเหมือนๆ กับเครื่องเล่น VDO

และอีกไม่นานเครื่องเล่น Blu-ray ก็จะถูกแทนที่โดยสัญญาณผ่านระบบอินเตอร์เน็ต หรือ Online Streaming



ส่วนนวัตกรรมอีก 3 ชิ้น ที่ มาร์ก เพชชี่ คาดการณ์ว่าในอนาคตจะมีบทบาท การใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไป ในชีวิตประจำวันของเรา ก็คือ

โทรทัศน์ บทบาทของโทรทัศน์จะถูกใช้เป็นเครื่องเล่นวิดีโอ เกม หรือเล่นอินเตอร์เน็ตมากกว่าที่จะใช้ดูรายการโทรทัศน์จริง เพราะในอนาคตคนจะนิยมดูรายการที่ชอบผ่านทางอินเตอร์เน็ต ไม่จำเป็นต้องรอดูอยู่หน้าจอโทรทัศน์

หนังสือ สมัยนี้คนนิยมอ่านหนังสือผ่านทางเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หรือ e-Reader เพราะเบากว่าและสะดวกในการพกพาเมื่อเทียบกับหนังสือเป็นเล่มๆ แต่ข้อเสียก็คือจะไม่มีหนังสือตั้งอวดในตู้หนังสือเวลาที่คนมาเยี่ยมบ้านหรือห้องทำงาน

มาร์ก เพชชี่ ทำนายว่าในอนาคตจะมีผู้คิดเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่แสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราอ่านหรือสะสมหนังสือประเภทใดบ้าง เพราะนิสัยมนุษย์อยากที่จะโชว์ออฟว่าตัวเป็นผู้รู้ อ่านหนังสือที่มีสาระ

นาฬิกาข้อมือ สมัยนี้คนนิยมดูเวลาที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ ดังนั้น บทบาทของนาฬิกาข้อมือจะเปลี่ยนไป ไม่ใช่มีไว้สำหรับดูเวลา แต่ใส่เป็นเครื่องประดับแสดงฐานะ

ซึ่งเรื่องนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดในสังคมไฮโซเมืองไทยร่วมๆ สิบปีแล้ว



++

คิดให้ดีถ้าอยากมีลูกปีมังกร
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1640 หน้า 96


ปี2555 เป็นปีมังกรตามปฏิทินโหราศาสตร์จีน คนจีนและผู้คนอีกหลายประเทศในแถบเอเชียรวมถึงคนไทยเชื่อว่าลูกที่เกิดในปีมังกรทองจะเป็นเด็กที่นำโชคลาภ ความเจริญมาสู่ครอบครัว จึงทำให้คู่สามีภรรยามากมายตั้งใจมีลูกและให้ลูกคลอดในปีมังกร

ตามวัฒนธรรมจีน มังกรเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ ความกล้าหาญ ความเป็นมงคล

ต่างจากวัฒนธรรมตะวันตก ที่มังกรเป็นสัตว์ร้ายในวรรณคดีที่มักถูกอัศวินฆ่าตายซะเป็นประจำ

ปีมังกรปีนี้อยู่ระหว่างวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2555 ถึง 3 กุมภาพันธ์ 2556

เฉพาะในนครเซี่ยงไฮ้เมืองเดียวคาดการณ์ว่าในปี 2012 จะมีเด็กเกิดถึง 180,000 คน

จากสถิติของสหประชาชาติปี 2009 ประเทศจีนมีประชากร 1,334 ล้านคน พอถึงปี 2020 จีนจะมีประชากร 1,388 ล้านคน



สําหรับคู่สามีภรรยาที่ตั้งใจจะมีลูกและให้ลูกคลอดในปีมังกรแพทย์แนะนำว่าควรตรึกตรองให้ละเอียดรอบคอบ เพราะในปีที่คนนิยมตั้งครรภ์เพราะเชื่อเรื่องโชคชะตาจะมีเด็กเกิดมาก ทำให้ลูกต้องแก่งแย่งกับเด็กทารกอื่นๆ ตั้งแต่อยู่ในท้อง เข้าโรงเรียนอนุบาล ไปจนถึงเข้ามหาวิทยาลัยเลยทีเดียว

เมื่อปี 2000 หรือปี พ.ศ.2543 ปีนั้นก็เป็นปีมังกร คนเชื้อสายจีนทั่วโลกนิยมมีลูกกันมาก

ในปีนั้นที่ไต้หวันมีจำนวนเด็กเกิดเพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมปีละ 320,000 คน เป็น 380,000 คน ที่สิงคโปร์ก็มีเด็กเกิดเพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์

สิ่งที่พ่อแม่และลูกต้องเผชิญในปีที่คนนิยมตั้งท้องกันมากมีดังนี้

1. แม่ที่ตั้งครรภ์จะต้องเข้าคิวรอพบแพทย์นานกว่าปกติเวลาฝากครรภ์

2. เมื่อถึงเวลาคลอดแม่ก็ต้องแย่กันจองเตียงคลอด

3. เมื่อถึงเวลาเข้าโรงเรียนก็ต้องแก่งแย่งกันหาที่เรียน

4. เมื่อเข้าโรงเรียนห้องเรียนก็จะแออัดมากกว่าปกติ ครูไม่สามารถเอาใจใส่ได้อย่างทั่วถึง

5. เมื่อถึงเวลาเข้ามหาวิทยาลัยก็จะมีคู่แข่งเยอะ การชิงทุนการศึกษาไม่ว่าจะเป็นทุนนักกีฬาหรือทุนเรียนดีก็แข่งกันเข้มข้นยิ่งขึ้น

6. เมื่อเรียนจบ ถึงเวลาหางาน ก็ต้องแก่งแย่งกันอีก



สมัยปี 2007 หรือ พ.ศ.2550 ซึ่งเป็นปีหมูทอง (Golden Pig Year) ปีนั้นผู้หญิงจีนและผู้หญิงเกาหลีตั้งครรภ์มากที่สุดในรอบหลายสิบปี ด้วยเชื่อว่าเด็กเกิดปีหมูทองจะมีสุขภาพดีและฉลาด โดยปีหมูทองเริ่มตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2550 ไปสิ้นสุดวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2551

ปีหมูทองไม่ได้มีบ่อยๆ ปฏิทินโหราศาสตร์บางตำราบอกว่า 60 ปี ปีหมูทองถึงจะเวียนมาหนหนึ่ง แต่บางตำราบอกว่าต้องรอ 600 ปี จึงจะมีหนึ่งหน

นักการตลาดบอกว่าผู้ที่ได้ประโยชน์เต็มๆ จากการที่คนนิยมมีลูกในปีหมูทองและปีมังกรก็คือผู้ผลิตสินค้าสำหรับทารกและเด็ก เช่น นมผง ผ้าอ้อม เสื้อผ้าเด็ก ซึ่งพ่อแม่เด็กต้องซื้อติดต่อกันสองสามปีเลยทีเดียว

ว่ากันตามจริงลูกจะเกิดปีมังกร ปีหมูทอง ปีจอ หรือปีอื่นใดก็ไม่สำคัญเท่ากับลูกที่เกิดมาแล้วได้รับความรัก ความอบอุ่น เอาใจใส่ดูแลจากพ่อแม่ ซึ่งเป็นหลักประกันความสำเร็จของลูกในอนาคต

ปี 2554 ปีกระต่ายผ่านไปแล้ว ใครที่ซื้อกระต่ายมาเลี้ยงเพื่อเสริมดวงก็อย่าทิ้งขว้างกระต่าย

ที่ประเทศสิงคโปร์ตอนนี้พบว่าเมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมามีจำนวนกระต่ายถูกเจ้าของนำไปทิ้งไว้ที่ศูนย์สงเคราะห์สัตว์เพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคมปี 2553 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เพราะคนนิยมซื้อกระต่ายมาเลี้ยงเพื่อเอาเคล็ดกันมากในปีกระต่าย

พอหมดปีกระต่ายก็เอากระต่ายไปทิ้งเป็น "กระต่ายข้างถนน" เพราะตลอด 1 ปีที่เลี้ยงนั้นเลี้ยงเพราะรักตัวเอง ไม่ได้รักกระต่าย



++

การเหยียดผิวในสนามฟุตบอล
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1645 หน้า 96


การเหยียดสีผิวในวงการฟุตบอลเป็นเรื่องราวใหญ่โตอีกครั้ง เหตุเกิดจากเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วที่ ลูอิส ซัวเรซ นักเตะผิวขาวชาวอุรุกวัยของทีมลิเวอร์พูล ไม่ยอมจับมือกับ ปาตริซ เอฟร่า นักเตะผิวเข้มชาวฝรั่งเศสเชื้อสายเซเนกัลของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตามธรรมเนียมที่นักฟุตบอลของทั้งสองทีมต้องจับมือกันก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น

นัดนี้เป็นการเจอหน้ากันในสนามแข่งครั้งแรกของคู่กรณีทั้งสองหลังเกิดเหตุมีปากเสียงกันเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ทำให้ซัวเรซถูกห้ามลงแข่งถึง 8 นัด เพราะเรียก

ปาตริซว่านิโกร ถึง 7 ครั้ง ขณะที่ทีมลิเวอร์พูลแข่งกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

แม้ซัวเรซจะอ้างว่าคำว่า นิโกรเป็นคำที่คนอุรุกวัยเรียกคนผิวสีเข้ม และไม่ถือว่าเป็นการดูถูกคนผิวสี เพราะตามรากศัพท์ภาษาสเปนซึ่งเป็นภาษาหลักของอุรุกวัย Negro แปลว่าสีดำ

แต่สมาคมฟุตบอลอังกฤษซึ่งทำหน้าที่ไต่สวนเรื่องนี้เห็นว่าซัวเรซเล่นฟุตบอลกับทีมในทวีปยุโรปตั้งแต่ปี 2006 น่าจะรู้ว่าการเรียกคนผิวสีเข้มว่านิโกรเป็นสิ่งที่หยาบคายที่สุดและเป็นคำที่แสดงการเหยียดสีผิว



คําว่านิโกร (Negro) ซึ่งเป็นคำที่คนไทยจำนวนไม่น้อยในสมัยนี้ยังใช้เรียกคนแอฟริกันผิวสีเข้มโดยไม่ได้มีจิตคิดเหยียดผิว แต่เพราะชินปากจากที่เรียกติดมาหลายสิบปี

แต่ปัจจุบันในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่และประเทศในยุโรปที่มีผู้อพยพผิวสีเข้มอาศัยอยู่เยอะ คำว่า นิโกร หรือ นิกเกอร์ ถือว่าหยาบคายมากถึงขั้นเป็นคำต้องห้าม เพราะว่าไปแล้วระดับความหยาบคายแย่ยิ่งกว่าคำด่าว่า F*CK ที่เรียกสมัยนี้แบบสุภาพหน่อยว่า เอฟ เวิร์ด (F-Word) ทำให้เวลาพูดถึงคำสองคำนี้คนจะพูดว่า เอ็น เวิร์ด (N-Word) แทน

ดังนั้น เวลาเดินทางไปต่างประเทศอย่าเผลอเรียกคนผิวสีเข้มว่านิโกรเด็ดขาด ต้องรู้จักปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและคำพูดให้เข้ากับวัฒนธรรมของประเทศที่เราไปเที่ยว

คำถามต่อมาก็คือแล้วจะเรียกคนผิวเข้มเป็นภาษาอังกฤษว่าอย่างไร ถึงจะถือว่าสุภาพ?

ที่สหรัฐอเมริกามีการทำสำรวจโดยแกลลอป โพลเมื่อปี 2007 ว่าคนอเมริกันผิวเข้มชอบให้คนเรียกตัวเองว่าอะไร

ผลออกมาอยากให้เรียกว่า แอฟริกันอเมริกัน (African-American) 24 เปอร์เซ็นต์

เรียกแบล็ก (Black) 13 เปอร์เซ็นต์

อีก 61 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าสองคำนี้ใช้คำไหนก็ได้ไม่มีปัญหา

สำหรับคนสีผิวเข้มที่ไม่ใช่คนอเมริกัน สามารถใช้คำสุภาพเรียกเป็นกลางๆ ว่า ดาร์ก สกินน์ด (Dark-skinned)

คนไทยมักตั้งฉายาให้เพื่อนฝูงคนสนิทโดยเอารูปลักษณ์ภายนอกมาเรียกล้อเลียน

เช่น ไอ้ดำ ไอ้ปื๊ด ไอ้เตี้ย ไอ้โย่ง ไอ้เหยิน แม้เวลาไปอยู่เมืองนอกก็ยังไปตั้งฉายาคนชาติอื่นอีก เช่น ไอ้กัน ไอ้มืด ไอ้แหม็ก ไอ้ผิน ไอ้ยุ่น

การล้อเลียนผู้อื่นที่สีผิว เชื้อชาติ หน้าตา แสดงให้เห็นถึงความเป็นคนที่มีโลกทัศน์คับแคบ

ถึงจะอ้างว่าเรียกด้วยความเอ็นดู ขบขัน แต่ถ้าลองถามคนที่ถูกตั้งฉายา รับรองว่าไม่มีใครพอใจ ขบขัน หรือรู้สึกถึงความเอ็นดูจากการถูกตั้งฉายาล้อเลียนแบบนี้

ความแตกต่างในรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ นับเป็นความสวยงามและความมหัศจรรย์ของมนุษยชาติ ทำให้โลกน่าสนใจ มีสีสัน

นายเนลสัน แมนเดล่า อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้เคยกล่าวไว้ว่า "ไม่มีใครเกิดมาแล้วเกลียดคนอื่นเพราะสีผิว พื้นเพที่มา หรือศาสนา คนเรียนรู้ที่จะเกลียด และถ้าสามารถเรียนที่จะเกลียดได้ ก็สามารถได้รับการสอนที่จะรักได้เช่นกัน ความรักสามารถมาจากใจของมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่าความเกลียด"



++

เบื้องหลังความสวยสุดขีดของดาราในงานออสการ์
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 02 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1646 หน้า 96


ผมชอบดูงานประกาศผลรางวัลออสการ์ทั้งเนื้อหาบนเวทีและดู "น้ำจิ้ม" คือการเดินบนพรมแดงเพื่อเข้าสู่โกดัก เธียเตอร์ ของบรรดาอภิมหาดาราแห่งโลกมายา

ถ้าถามว่าระหว่างการแสดงและการประกาศผลว่าใครจะได้รางวัลตุ๊กตาทองซึ่งอยู่ในเธียเตอร์ กับการปรากฏตัวของดาราบนพรมสีแดงที่หน้างาน อย่างไหนน่าดูว่ากัน?

ขอสารภาพว่าตอบยาก

น่าดูพอๆ กัน แต่คนละแบบ ใครดูถ่ายทอดสดเมื่อเช้าวันจันทร์ก็คงเห็นด้วยกะผม

เคยสังเกตมั้ยครับว่าดาราหญิงฮอลลีวู้ดที่มางานนี้แต่งตัวสวยสุดทุกคน

ยิ่งยุคหลังๆ คนบรรยายทีวีตอนถ่ายทอดสดเขาพูดเขาสัมภาษณ์ดาราถึงชุดที่แต่ละคนสวมมางานออกในเชิงพาณิชย์หน่อยๆ บรรดานักออกแบบเสื้อผ้าสุภาพสตรีชั้นนำของโลกจึงใช้พื้นที่บนพรมแดงโชว์ฝีมือและโชว์สินค้ากันเต็มเหนี่ยว

เหล่าดาราหญิงที่ปรากฏตัวบนพรมแดงในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ที่ดูสวยสง่านั้น กว่าจะสวยเป๊ะอย่างที่เห็น พวกเธอต้องเตรียมตัวเรื่อง หุ่น เสื้อผ้า หน้า ผม ล่วงหน้าหลายเดือน

ชุดที่ดาราสาวสวมออกงานออสการ์มีการเตรียมตัวล่วงหน้าหลายสัปดาห์ ดาราหลายคนเตรียมตัวล่วงหน้าสามถึงสี่เดือน

ถ้าเป็นดาราที่มีชื่อเสียงอย่าง แองเจลีน่า โจลี, แคเมร่อน ดิแอซ หรือดาราสาวที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ เหล่าดีไซเนอร์จะส่งแบบสเก็ตช์ชุดหลายแบบไปให้เลือก ซึ่งทีมสไตลิสต์ของดาราจะประชุมเข้มว่าจะเลือกชุดไหน จากนั้นก็จะติดต่อกลับไปยังดีไซเนอร์ที่ตัดสินใจเลือก ตัดเสร็จแล้วต้องมีการแก้ชุดกันหลายรอบกว่าจะลงตัว

ดาราชื่อดังที่ตารางแน่นมาก ไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะพบกับดีไซเนอร์เพื่อวัดตัว ก็ใช้วิธีส่งสัดส่วนรอบอก รอบเอว รอบสะโพกไปให้ดีไซเนอร์ แล้วดีไซเนอร์ก็จะตัดชุดส่งมาให้ทดลอง

ชุดที่สวมนั้นดีไซเนอร์ใช้ผ้าที่ไม่ยับง่าย เพื่อเวลาลงจากรถชุดจะได้ไม่ยับยู่ยี่จากการนั่งในรถ



ท่านที่สงสัยว่าชุดที่ดาราสาวเหล่านี้สวมออกงานออสการ์ หลายคนทั้งรัดรูป และบาง แต่ทำไมไม่เห็นขอบชุดชั้นใน

คำตอบก็คือ ดาราสาวหลายคนไม่ได้สวมชุดชั้นในแบบปกติที่สวมทุกวัน แต่สวมสเตย์รัดรูปแบบไม่มีตะเข็บที่ขึ้นสูงไปถึงใต้อกและยาวเกือบถึงหัวเข่า

สเตย์รัดรูปยี่ห้อดังที่ดาราสาวฮอลลีวู้ดนิยมสวมคือยี่ห้อสแป๊งซ์ (Spanx) สวมแล้วทำให้ไม่มีหน้าท้อง ไม่มีไขมันเป็นชั้นๆ ชุดสวยเนียนเรียบไร้ขอบตะเข็บชุดชั้นใน

ออคเทเวีย สเป็นเซอร์ ที่ได้ออสการ์สาขาดาราประกอบฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมปีนี้ เผยว่า เธอสวมสเตย์รัดรูปยี่ห้อสแป๊งซ์ถึงสามตัวตอนออกงานพรมแดงในงานประกาศผลรางวัลลูกโลกทองคำ เพื่อให้หน้าท้องดูเรียบ แต่เธอก็ยอมรับว่าอึดอัดมาก หลังงานเธอต้องแอบไปถอดในห้องน้ำ

ว่ากันว่าดาราชายหลายคนก็สวมสเตย์รัดหน้าท้องเหมือนกัน ซึ่งสแป๊งซ์ก็มีเสื้อยืดเป็นสเตย์รัดหน้าท้องสำหรับผู้ชายด้วย



นอกจากชุดแล้ว เนื้อตัวก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเนี้ยบที่สุดในวันงานออสการ์

อย่าง ซัลม่า ฮาเย็ก นางเอกสาวสวยสุดเซ็กซี่ บอกว่าประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนถึงวันงาน เธอจะไม่ทานอาหารแข็งเลย จะทานแต่อาหารเหลวเท่านั้น เช่น น้ำผลไม้ โปรตีนเชค แม้กระทั่งเนื้อไก่เนื้อปลาก็ไม่แตะ เพื่อรูปร่างจะได้สวยเพรียว

เมื่อเหลือเวลาอีกหนึ่งถึงสองวันก่อนงานออสการ์ ดาราสาวจะไปนวดตัว ขัดหน้า ขัดผิว เพื่อเตรียมพร้อมผิวหน้าและผิวกายให้ดูเปล่งปลั่ง

วันงานออสการ์ ดาราสาวส่วนใหญ่ใช้เวลาแต่งหน้าทำผม ประมาณ 3-4 ชั่วโมง

ก่อนออกงานจะต้องทดลองถ่ายรูปดูก่อน ว่าเสื้อผ้า หน้า ผม ชุด ออกมาดูดีมั้ยเมื่อดูจากภาพถ่าย เพราะบ่อยครั้งตัวจริงดูดีแต่กลับไม่ขึ้นกล้อง อาชีพดารา ภาพที่ออกทีวีและหนังสือพิมพ์สำคัญกว่าตัวจริง เพราะตัวจริงมีคนไม่กี่ร้อยคนที่เห็น แต่ภาพจากกล้องมีคนเป็นร้อยล้านคนทั่วโลกเห็น

ถามว่ากระเป๋าราตรีใบเล็กๆ ที่ดาราสาวถือออกงานที่เรียกว่า คลัตช์ (Clutch) ข้างในมีอะไรบ้าง?

ตอบว่าดาราสาวส่วนใหญ่ใส่ลิปสติกสีเดียวกับที่ทาออกงาน (พกไว้เติมลิปสติก), ลูกอมระงับกลิ่นปากเพราะต้องให้สัมภาษณ์และพูดคุยกับผู้คนมากหน้าหลายตา ดังนั้น กลิ่นปากต้องหอมสดชื่น, แล้วก็ใบขับขี่

ที่อเมริกาใบขับขี่มีความสำคัญเหมือนกับบัตรประชาชนบ้านเรา ที่ต้องพกใบขับขี่ก็เพราะเวลาเข้างานมีการตรวจใบขับขี่ว่าเป็นเจ้าตัวจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็นดาราดังแค่ไหนก็ต้องตรวจใบขับขี่ ซึ่งเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัย เพื่อไม่ให้คนหน้าเหมือนปลอมตัวเข้างาน

ส่วนของจำเป็นอื่นๆ ดาราในงานออสการ์แทบทุกคนจะมีเลขาฯ หรือผู้ช่วยติดตามมาด้วย ซึ่งมีหน้าที่ถือน้ำให้ดื่ม โทรศัพท์มือถือ มีอุปกรณ์เข็มด้ายไว้ซ่อมชุดหากชุดมีปัญหา แผ่นพลาสเตอร์ปิดแผลหากเกิดรอยขีดข่วนที่ไม่คาดคิด และหากจำชื่อดาราหรือคนในวงการไม่ได้ เลขาฯ หรือผู้ช่วยก็จะช่วยกระซิบบอกชื่อ

ชุด และทรงผม ของดาราสาวในงานออสการ์ จะเป็นแฟชั่นที่ดาราสาวทั่วโลก และดาราสาวเมืองไทยทำตาม

ในอเมริกา แฟชั่นเลียนแบบดาราเขาทำกันเร็วมาก งานออสการ์จบวันนี้ วันรุ่งขึ้นชุดที่ดาราสวมก็มีคนตัดออกขาย ทุกแบบทุกสไตล์รับรองว่าเหมือนของจริงเป๊ะ !



.