http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-03-04

“น้ำเดือด” กับ “เปลวไฟ”/ ..กุ๊ยคีย์บอร์ด โดย หนุ่มเมืองจันท์/ จอห์น

.

: เมื่อความจริงเผยตัว ผู้คนยอมรับความรับผิดชอบต่อสิทธิความเป็นมนุษย์...การปรองดองก็จะเกิด

________________________________________________________________________________________________________

“น้ำเดือด” กับ “เปลวไฟ”
โดย หนุ่มเมืองจันท์ www.facebook/boycitychanFC
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 02 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1646 หน้า 24


ไม่ได้ดูช่องสารคดีของ "ทรูวิชั่นส์" มานานแล้ว
จนวันก่อนกดรีโมตไปเจอเรื่องประเพณีล้างแค้นแบบ 80 ปีก็ยังไม่สายของชาวอินคา ในประเทศเปรู
ดูจนจบเลยครับ

"อินคา" นั้นเคยเป็นชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่มาก่อน
จักรวรรดิอินดานั้นกินอาณาเขตจากเปรู ไปโคลัมเบียและเอกวาดอร์ รวมทั้งบางส่วนของอาร์เจนตินา โบลิเวียและชิลี
ยิ่งใหญ่มาก
จนวันหนึ่ง อาณาจักรอินคาต้องล่มสลายเมื่อ "สเปน" บุกเข้ายึดครอง ทิ้งแต่ความยิ่งใหญ่ไว้ในตำนาน
จนถึงวันนี้นานถึง 80 ปีแล้ว

แต่เชื่อไหมครับว่าชนเผ่าอินคายังไม่ลืมความแค้นนั้น
ทุกปีเขาจะมีประเพณี "อีแร้งจิกวัวกระทิง"
"อีแร้ง" เป็นสัญลักษณ์ประจำเผ่าอินคา แสดงถึง "อิสรภาพ"
ส่วน "วัวกระทิง" คือสัญลักษณ์ของ "สเปน"

ประเพณีเริ่มจากการจับ "อีแร้ง"
เขาใช้วิธีนำซากสัตว์ไปล่อให้อีแร้งลงมากิน พอ "อีแร้ง" อิ่มก็จะบินไม่ไหว
กลุ่ม "จิตอาสา" ของ "อินคา" จะกรูเข้ามาจับ "อีแร้ง" ไปทำพิธีแก้แค้นชาวสเปน
วิธีการแก้แค้น คือ นำวัวกระทิงที่ดุร้ายที่สุดมาทำให้โกรธด้วยการเอามีดกรีดที่ใบหูและจมูก
เจาะหนังบางส่วนตรงหลัง เอาเชือกร้อยผ่านรูบนผิวหนัง แล้วนำมามัดกับขาของ "อีแร้ง"
"อีแร้ง" จะบินหนีก็ไม่ได้ เพราะขาถูกมัดไว้บนหลังของวัวกระทิงที่กำลังโกรธ

จากนั้นชาวอินคาก็จะปล่อยวัวกระทิงลงไปในสนาม
มีคนถือผ้าสีต่างๆ ล่อวัวกระทิง
กระทิงยิ่งเจ็บ ยิ่งโกรธ มันจะวิ่งไล่ขวิดไปทั่วสนาม
"อีแร้ง" ก็พลิกไปพลิกมาตามทิศทางที่วัววิ่ง
หลังจากเริ่มกางปีกประคองตัวได้ "อีแร้ง" จะเริ่มจิกไปที่ต้นคอของวัวกระทิง

โหดร้ายมากเลยครับ
เพราะยิ่งจิก วัวกระทิงก็ยิ่งโกรธ
ยิ่งมันวิ่งสะบัดมากมากเท่าไร "อีแร้ง" ก็ยิ่งจิก

ชาวอินคาที่ยืนอยู่รอบสนามก็จะโห่ร้องด้วยความสนุกสนาน
เหมือนได้ระบายความแค้นที่สั่งสมมานานถึง 80 ปี
พักใหญ่ วัวกระทิงจะหยุด และยืนนิ่งหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อย
เกมจึงจบลง
ถือว่า "อีแร้ง" หรือชาวอินคา ชนะแล้ว
จากนั้นชาวอินคาก็นำ "อีแร้ง" ไปปล่อยที่หน้าผาสูง
เป็นการสิ้นสุดประเพณีประจำปี



ทันทีที่ดูสารคดีชุดนี้จบลง

ภาพของ "คิม ฟุค" ก็แวบเข้ามาทันที

เคยเห็นภาพรางวัลพูลิตเซอร์ช่วงสงครามเวียดนามไหมครับ
เครื่องบินรบของสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดนาปาล์มที่คล้ายกับระเบิดเพลิงลงถล่มหมู่บ้าน
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้วิ่งหนีระเบิดด้วยร่างกายที่ปราศจากเสื้อผ้าอยู่กลางถนนพร้อมกับเด็กอีกหลายคน ด้านหลังมีควันดำทะมึนและเปลวไฟ
"คิม ฟุค" เป็นเด็กผู้หญิงคนนั้น
ตอนนั้นเธออายุ 9 ขวบ เปลวไฟจากระเบิดลุกไหม้เสื้อผ้าของเธอ "คิม ฟุค" จึงถอดเสื้อผ้าทิ้งแล้ววิ่งหนี

ภาพนี้ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ปี 2516

"คิม ฟุค" ต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานถึง 14 เดือน เปลวไฟได้เผาลวกผิวหนังถึง 65%

เธอต้องผ่าตัด 17 ครั้งกว่าจะหายเป็นปกติ

บนร่างกายของเธอเต็มไปรอยแผลจากเปลวไฟ

แผลบนผิวกายแห้งสนิทแล้ว

แต่แผลในใจของเด็กน้อยยังคงอยู่

เรื่องราวของ "คิม ฟุค" หายไปจากความรับรู้ของผู้คน

จนเมื่อปี 2539 เธอได้ปรากฏตัวอีกครั้งที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา

ดินแดนของคนที่เคยถล่มหมู่บ้านของเธอ ฆ่าพี่น้องของเธอหลายคน และเกือบทำให้เธอเสียชีวิต

"คิม ฟุค" ได้รับเชิญให้ไปพูดในวันทหารผ่านศึก เพื่อจะบอกเล่าถึงความเลวร้ายของสงคราม

หลังจากเล่าประสบการณ์อันเจ็บปวดจบลง "คิม ฟุค" ก็เอ่ยขึ้นว่ามีเรื่องหนึ่งที่เธออยากจะบอกต่อหน้านักบินที่ทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านของเธอ

"ฉันอยากบอกเขาว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ แต่เราควรพยายามทำสิ่งดีๆ เพื่อส่งเสริมสันติภาพทั้งในปัจจุบันและอนาคต"

ไม่ใช่แค่ "สันติภาพ" ในโลก

แต่ยังหมายถึง "สันติภาพ" ในใจตนเองด้วย



วินาทีนั้น มีคนส่งข้อความว่า "นักบิน" ที่เธออยากบอกเขามากนั่งอยู่ในห้องนี้ด้วย

และเมื่อ "คิม ฟุค" พูดจบ ลงจากเวที

"นักบิน" คนนั้นยืนรอด้วยสีหน้าเจ็บปวด

วันนี้ เขาเป็นอนุศาสนาจารย์ประจำโบสถ์แห่งหนึ่ง

"ผมขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ" เขาร้องไห้สะอึกสะอื้น

ไม่ใช่เพียงแค่ "ผู้ถูกกระทำ" เท่านั้นที่เจ็บปวด

คนที่ลงมือทำ ก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน เมื่อเขาเห็นผลพวงแห่งความรุนแรงที่เขาเป็นผู้กระทำอยู่เบื้องหน้า

"คิม ฟุค" โอบกอดเขา

"ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย ฉันให้อภัย"

ประโยคนี้เธอไม่ได้พูดเป็นครั้งแรก แต่พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในใจเธอตลอดมา


"คิม ฟุค" บอกว่าเหตุการณ์ที่สุดแสนเจ็บปวดครั้งนั้น สร้างความทุกข์ให้กับเธออย่างแสนสาหัสทั้งร่างกายและจิตใจ
จนเธอนึกไม่ออกว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร
แล้วเธอก็พบว่าสิ่งที่ทำร้ายเธอไม่ใช่ใครที่ไหน
หากแต่เป็น "ความเกลียดชัง" ที่ฝังแน่นในใจ
"การบ่มเพาะความเกลียดชังเอาไว้ สามารถฆ่าฉันได้"

เธอเริ่มสวดมนต์และให้อภัยแก่ศัตรู
"ฉันน่าจะโกรธ แต่เลือกอีกทางหนึ่ง แล้วชีวิตของฉันก็ดีขึ้น"
"คิม ฟุค" อยู่กับ "ความโกรธ-เกลียด" และ "ความขมขื่น" มายาวนาน
ทำให้เธอรู้คุณค่าของ "การให้อภัย"

คงเหมือนที่มีคนบอกว่าเพราะเราทุกข์ เราจึงเห็นคุณค่าของความสุข
"คิม ฟุค" ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้
เธอมีรอยแผลเป็นเต็มตัว เธอเจ็บปวดต่อการสูญเสียคนที่ใกล้ชิด
นั่นคือ สิ่งที่เธอ "เป็น"

ถ้าจิตใจของเธอยังวนเวียนต่อความแค้น และการแก้เค้น
โลกนี้จะไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
สิ่งที่ "ดีที่สุด" สำหรับวันนี้ของเธอจึงเป็น "การให้อภัย"



"ความเจ็บปวด" นั้นเหมือน "น้ำเดือด"

ส่วน "ความแค้น" เหมือนเปลวไฟ

ยิ่งเติมไฟ น้ำยิ่งเดือด

80 ปีผ่านไป ชาวอินคายังคงเติมไฟให้กับน้ำเดือด

ระบายความแค้นผ่าน "อีแร้ง" และ "วัวกระทิง" ที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย

แต่ "คิม ฟุค" กลับเลือกดับไฟแค้น และเปิดรูระบายความร้อนด้วย "การให้อภัย"

ยิ่งนาน ยิ่งเย็น

เมื่อความร้อนจาก "ความทุกข์" ลดลง

"ความสุข" ในใจก็เพิ่มมากขึ้น



++

สมาชิกรัฐสภา ติ่งหู และ กุ๊ยคีย์บอร์ด
โดย จอห์น วิญญู spokedark.tv
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 02 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1646 หน้า 79


เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน ผมเกือบซวยไปมีเรื่องกับน้อง "ติ่งหู" กลุ่มหนึ่งในทวิตเตอร์ครับ เหตุเกิดก็เพราะผมดันทะลึ่งไปรีทวีตคลิปวิดีโอเหตุการณ์จลาจลย่อยๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อนักร้องเกาหลีกำลังจะเดินทางออกจากประเทศไทย แล้วแฟนคลับที่ไปส่งก็ทั้งเบียดทั้งดันทั้งรุมจนนักร้องต้องขอทางด้วยเสียงอันดัง พร้อมทั้งโบกมือในท่า "แหวก"

ซึ่งอาจมองเจตนาได้สองอย่าง คือ หนึ่ง คนเยอะ และเสียงกรี๊ดดังมากจนต้องตะโกนขอทางให้ดังกว่า และ

สอง ตะแกโมโหที่ไปไหนไม่ได้ซักที แถมด้วยความกลัวว่าอาจโดนเหยียบแบนแต๊ดแต๋โดยแฟนคลับของตัวเองให้ต้องตายในหน้าที่ไปก่อนเวลาอันสมควร

หรือ ทั้งหนึ่งและสองบวกกัน

แต่ลูกพี่เอ๊ย
ขนาดตะโกนขอทางและโบกมือท่าแหวกทะเลแควนขวับ ลูกพี่ยังเท่จนผมต้องแอบลองทำตามอยู่ที่หน้ากระจกห้องน้ำที่บ้านเลย อะไรมันจะขนาดนั้น!
เป็นท่าที่ดูแพงมาก ขอบอกๆ



การรีทวีตของผมไม่ได้มีการบวกความเห็นเพิ่มเติม แค่เห็นว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจดี อาจจะเก็บไว้ต่อยอดเป็นประเด็นในรายการได้ ก็เท่านั้น
ปรากฏว่าน้องๆ แฟนคลับจำนวนหนึ่งเกิดความรู้สึกไม่พอใจ ผมก็โดนด่าไปในทำนองว่าไม่รู้เรื่องอย่ามายุ่ง คนนอกไม่เกี่ยว นี่เรื่องของ "คนใน" เค้า หรือ "ไม่เข้าใจกรุณาอย่าเอือก" ทำนองนี้
เอาเถอะๆ ไอ้กระผมมันก็ไม่อยากจะโม้วววหรอกนะว่าผมก็นั่งโซฟาเดียวกันสัมภาษณ์พี่ๆ สินปินเกาหลีที่แวะเวียนมาถ่ายโฆษณาเล่นคอนเสิร์ตอยู่บ่อยๆ แบบว่า ใกล้จนเห็นขนจมูกกันก็บ่อยไป๊ (พวกนี้เค้าก็มีขนจมูกเหมือนกันนะ เผื่อใครไม่รู้ อิอิอิ เออๆๆ เค้าขี้กันด้วยนะ)

และแล้วประเด็นดังกล่าวก็กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตในเว็บบอร์ดต่างๆ
และยังลามออกมาในสื่อกระแสหลักอีกต่างหาก ว่าด้วยเรื่องของ "ความไม่เหมาะสม" ของพฤติกรรมพฤติเวรของเหล่าวัยรุ่น
แควนขับเคป๊อบ ด่ากันไปด่ากันมาลากพ่อลากแม่ ลากเรื่องความรัก บุญคุณ ช่องคลอด รูทวาร มาด่ากันจนในที่สุดก็มีฝ่ายหนึ่งหมดหนทางจะด่าต้องลากเอาคำศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่รู้ว่าหมายความว่าไงเหมือนกัน แต่ใช้แล้วชะงัดดีนักก็คือ เริ่มงัดเอา "ชาติ" มาด่า
ประมาณว่าพวกคลั่งเกาหลีนี้เป็นพวก "ขายชาติ"
ชาติคืออะไร? (เรื่องนี้ต้องไปถามคุณพ่อผม อิอิอิอิอิ)

สังคมไทยเป็นสังคมขี้สั่งสอนครับ แต่จะขี้สั่งสอนเฉพาะคนที่ 1.เด็กกว่า 2.คนที่มั่นใจว่ามีสถานะทางสังคมต่ำกว่า หรือ 3.คนที่มั่นใจว่าจะมาเอาคืนไม่ได้ (นี่คือที่มาของกุ๊ยคีย์บอร์ดทั้งหลาย)

เมื่อ set up มันมาแบบนี้ แพะอันดับหนึ่งของสังคมจะเป็นใครไปได้นอกจาก วัยรุ่น??

(อ้อ จำเลยร่วมล่าสุด - Facebook ครับพี่น้อง สภาพัฒน์ออกมาแถลงว่าเฟซบุ๊กเป็นตัวการทำให้วัยรุ่นท้องไม่พร้อม - - - มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก เค้าขั้นเทพจริงๆ อยู่ตั้งไกลขนาดนั้น)



ด้วยความสัตย์จริงนะครับน้องๆ ครับ ผมเห็นใจน้องๆ นะ คือเอะอะอะไรก็โดนด่าอ่ะ

ผมว่านะ เค้าจะคลั่งอะไรแล้วมันหนักหัวกบาลอะไรใคร จริงๆ นั่นแหละ

เค้าจะรักดงบังมากกว่าพ่อแม่ตัวเอง มันก็เป็นเรื่องของเค้า พ่อแม่เค้าอาจจะไม่น่ารักจริงๆ ก็ได้

คุณไปอยู่บ้านเค้ามาเหรอครับ ถึงได้รู้ว่าพ่อแม่ทุกคนในโลกนี้ประเสริฐเป็นพรหมของลูกกันหมดอ่ะ

แล้วถึงพ่อแม่เค้าเป็นพ่อแม่ที่ประเสริฐจริงๆ แต่เค้าไม่รัก เค้ารักเกาหลีมากกว่า แล้วมันหนักหัวกบาลอะไรคุณ?

ใครจะรักหรือไม่รักใครมากน้อยเท่าไหร่ ตราบใดที่เค้าไม่ได้ไปละเมิดสิทธิในส่วนของคุณมันก็ไม่ใช่เรื่องของคุณที่จะมาเดือดร้อน

นอกจากคุณจะว่างจัดอ่ะนะ



แต่เรื่องสะท้อนใจเรื่องหนึ่งที่ผมพบจากการเฝ้าสังเกตการ "ถกเถียง" กันของเราชาวไทยในเว็บบอร์ดหลายๆ เว็บก็คือ

วิธีการแสดงความคิดเห็น การใช้ตรรกะและวิธีการ "โต้แย้ง" นั้น เหมือนกันเป๊ะกับวิธีการ "ถกเถียง" วิธีแสดงความคิดเห็น การใช้ตรรกะและการ "โต้แย้ง" ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของเราครับ

นั่นก็คือ จะมีคนประเภทไม่อยากฟังใครพูด นอกจากตัวเอง มีคนประเภทพูดจาซ้ำแซะเรื่องเดิมๆ แค่เปลี่ยนคำที่ใช้

มีคนประเภทชอบขัดร่ำไป ใครจะพูดอะไรไม่สน ขอขัดไว้ก่อน มันเสียเวลาดี

และคนประเภทจอมป่วน ซึ่งแยกได้เป็นสองประเภท คือ ป่วนแบบหยาบคายกับป่วนแบบนิ่มๆ แต่ทำให้คนอื่นเสียเวลามากพอๆ กัน

และสุดท้าย พวกที่ทำยังไงคงไม่มีวันตายจากไปหมด นั่นก็คือพวกลูกคู่ที่มีหน้าที่ส่งเสียงรับกันเป็นทอดๆ พวกนี้ต้องมาพร้อมกันไปพร้อมกัน จะขี้เหงาเป็นพิเศษ (ชอบไปอยู่รวมกันรอบๆ คนที่กำลังอภิปราย จะได้ออกทีวีกันเป็นหมู่คณะด้วย)

เฮ่อ --- พอกันเลยครับพี่น้อง

แต่ก็นั่นแหละครับ การที่เราดูประชุมสภาและอ่านเว็บบอร์ดเกรียนๆ อันที่จริงแล้วสุดท้ายก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน คือ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

ทั้งนี้ ผมได้ข้อสรุปเล็กๆ ของตัวเองว่าที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรกับคนเสพก็เพราะสารตั้งต้นของการถกเถียงแสดงความเห็นมันเป็นเรื่องกากๆ ไม่มีแก่นสารสาระอะไร

คนที่มาถกเถียงกันก็ไม่ได้พยายามจะยกระดับคุณค่าของหัวข้อดังกล่าวให้เป็นเรื่องที่มีประโยชน์หรือจรรโลงโลกอะไรขึ้นมาเลยเช่นกัน

ในวงถกเถียงเรื่อง "พฤติกรรมแฟนขวับติ่งหูเกาหลี" กับวงที่ถกเถียงกันเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ คนที่เข้ามาร่วมถกเถียงแสดงความคิดเห็นมีวุฒิภาวะพอๆ กัน ไม่มีใครอยากได้ข้อสรุปที่ดีที่สุด ไม่มีใครอยากพบกันครึ่งทาง ไม่มีใครอยากจรรโลงสังคมจริงๆ หรอก พูดไปเอาหล่อๆ งั้นๆ เอง

เพราะ หนึ่ง คนในเว็บบอร์ด ถ้าอยากให้สังคมดีขึ้นจริงๆ คงไม่มาเสียเวลาด่าเด็กที่ตัวเองไม่รู้จักอยู่ในโลกเสมือน คงจะเอาเวลาไปใช้กับการทำให้ "คน" จริงๆ ในชีวิตตัวเองมีความสุขมากกว่า

ส่วนคนที่สภานั้น ถ้าอยากจรรโลงสังคมจริงๆ ก็คงจะไม่เถียงกันแบ๊วๆ พูดจากระแทกแดกดัน กระทบกระเทียบประชดประชัน ป่วน โห่ และพูดจาวกวนหาสาระไม่เจอกันไปเรื่อยๆ เช่นนี้

คิดขำๆ นะครับคุณผู้อ่านที่รัก ถ้าเราเอาคนในสภากับคนในเว็บบอร์ดมาสลับกันน่ะ เผลอๆ เราอาจจะแยกไม่ออกก็ได้นะ ว่าใครเป็นใคร

กรั่ก กรั่ก



.