http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-03-18

ความเหลวไหลของ "ประชาธิปไตย, ศีลธรรม" ในมือของ "คนดี" โดย สุรพศ ทวีศักดิ์

.
บทความ ม.ค.55 - พุทธศาสนาภายใต้ “ความเป็นไทย” โดย สุรพศ ทวีศักดิ์

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

สุรพศ ทวีศักดิ์ : ความเหลวไหลของ "ประชาธิปไตย" และ "ศีลธรรม" ในมือของ "คนดี"
ในมติชน ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 19:30:00 น.


ทำไมจึงมีคำถามกับ "คนดี" และ "ความดี" ตามความคิดกระแสหลักในสังคมไทยมากขึ้น ?

ผมคิดว่า เกิดจากปรากฏการณ์ที่ประชาธิปไตยและศีลธรรมตกอยู่ในมือ หรืออยู่ใน "อำนาจการตีความ" ของ "เครือข่ายคนดี" และการกระทำ "ความดี" ของพวกเขาเหล่านั้น ก็ส่งผลให้เกิด "ความเหลวไหล (absurd)" ของประชาธิปไตยและระบบศีลธรรมของสังคมไทยอย่างน่าตระหนก ในระยะเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมา

ลองพิจารณาความหมายของ "คนดี" และ "ความดี" ตามความคิดกระหลัก ดังเช่น
"คนดี" คือคนเช่นไร? ตอบว่า "คนดีในอุดมคติ" ตามความคิดกระแสหลักของสังคมไทย คือคนซื่อสัตย์ ไม่โกง จงรักภักดี กตัญญูต่อแผ่นดิน และ/หรือคนดีตามบรรทัดฐานศีลธรรมทางศาสนาที่ดีพร้อมทั้งกาย วาจา ใจ

ตัวอย่างของคนดีตามนิยามดังกล่าว เช่น คนที่ได้รับยกย่องว่า เป็น "เสาหลักทางจริยธรรม" และเครือข่ายคนดีที่ยกย่องกันว่าซื่อสัตย์ ไม่โกง

แต่การเกิดรัฐประหาร 19 กันยา กลับมี "ข้อกังขา" ที่สำคัญยิ่งว่า คนดีเหล่านั้นซื่อสัตย์ต่อหลักการ อุดมการณ์ประชาธิปไตยหรือไม่? กตัญญูต่อประชาชน และเคารพการตัดสินใจของประชาชนผู้เป็นเจ้าของ "อำนาจอธิปไตยสูงสุด" ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่?

"ความดี" คืออะไร? ตอบได้ว่า ความดีของคนดีเหล่านี้ คือ "การกระทำทุกวิถีทางไม่เลือกวิธีการว่าถูกหรือผิด" เพื่อขจัด "คนเลว" (บางที "เลว" เพียงเพราะมีความเห็นต่าง มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างจากพวกตน)

เช่น อ้างความจงรักภักดี อ้างศาสนา อ้างธรรมนำหน้า อ้างสถาบันกษัตริย์แบ่งแยกประชาชนในประเทศเป็นฝักฝ่าย จนนำไปสู่การทำรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ใช้กฎหมายแบบ "สองมาตรฐาน" ขจัดนักการเมือง พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม โจมตีใส่ร้ายเรื่องล้มเจ้า อ้างข้อหาล้มเจ้าสลายการชุมนุมทางการเมืองของประชาชนด้วย "กระสุนจริง" เป็นต้น

รวมทั้งที่ออกมาต่อต้านการเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายอาญา ม.112 ด้วยข้อกล่าวหาว่า "ล้มเจ้า" อย่างที่พยายามทำกันอยู่ในขณะนี้ !


แน่นอนว่า "ประชาธิปไตย" และ "ศีลธรรม" ในมือของบรรดาคนดีเหล่านี้ ย่อมบิดเบี้ยว และ "เหลวไหล" ไปด้วย กล่าวคือ

"ความบิดเบี้ยวเหลวไหลของประชาธิปไตย" ที่ไม่ปรับใช้ "หลักการสากล" คือ หลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคกับ "ทุกคน" อย่างเท่าเทียม ซึ่งขัดกับ "แก่นสาร" ของความเป็นประชาธิปไตยที่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้หลักการสากลดังกล่าวอย่างเสมอกัน

แต่เพื่อปกป้อง "ความบิดเบี้ยวเหลวไหลของประชาธิปไตย" พวกคนดีจึงต่อต้านการแก้ไข ม.112 และรัฐธรรมนูญบางหมวดอย่างแข็งขัน พร้อมๆ กับการโจมตีใส่ร้าย ปลุกปั่นความเกลียดชังฝ่ายที่เรียกร้องให้แก้ไขปัญหาดังกล่าว
ทั้งๆ ที่เป็น "ข้อเรียกร้อง" เพื่อเปลี่ยนความบิดเบี้ยวเหลวไหลของประชาธิปไตยสู่ความมี "แก่นสาร" คือ ความเป็นประชาธิปไตยที่หลักการสากลถูกปรับใช้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมแบบอารยประเทศ ซึ่งย่อมส่งผลดีแก่ทุกสถาบัน ทุกสี ทุกฝ่ายในสังคมอย่างเสมอหน้ากัน!

"ความบิดเบี้ยวเหลวไหลของศีลธรรม" แน่นอนว่า เมื่อระบบสังคม-การเมืองบิดเบี้ยวเหลวไหลแล้ว "ศีลธรรมทางสังคม-การเมือง" ก็ย่อมบิดเบี้ยวเหลวไหลตามไปด้วยอย่างจำเป็น (necessary)
เช่น แทนที่สังคมนี้จะเน้น "ศีลธรรมเชิงหลักการ" หรือเน้นการใช้ศีลธรรมสากล หรือศีลธรรมภาคสาธารณะเป็นบรรทัดฐานในเรื่อง "ถูก-ผิด" ทางการเมือง กลับไปเน้นเรื่องความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์ ความกตัญญูต่อตัวบุคคลให้เป็น "ศีลธรรมที่เหนือกว่า" การเคารพ หรือปฏิบัติตามหลักการสากล ศีลธรรมสากล หรือศีลธรรมภาคสาธารณะ คือ หลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค

ฉะนั้น จึงเกิด "ภาวะบิดเบี้ยวเหลวไหลทางศีลธรรม" คือ เกิดการอ้างความดีงามของความจงรักภักดีต่อตัวบุคคลทำลายหลักการสากลอันเป็นศีลธรรมทางสังคม หรือศีลธรรมภาคสาธารณะ ซึ่งเป็น "แก่นสาร" ของความเป็นประชาธิปไตย


ภายใต้ความบิดเบี้ยวเหลวไหลของประชาธิปไตยและศีลธรรมดังกล่าวนี้ ยังก่อให้เกิด "ความบิดเบี้ยวเหลวไหล" ที่สำคัญตามมาอีกอย่างน้อยสองเรื่องที่สำคัญ คือ

"ความบิดเบี้ยวเหลวไหลของนักสันติวิธี" ที่มองไม่เห็นปัญหาระดับรากฐานที่สุด คือความไม่เป็นประชาธิปไตยที่ "ไม่ปรับใช้หลักการสากลกับทุกคนอย่างเท่าเทียม" อันเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ไม่สามารถพูดถึง "ความจริงของสาเหตุแห่งปัญหา" ได้อย่างถึงที่สุด
ซึ่งทำให้ปัญหาความอยุติธรรม ความไม่เป็นประชาธิปไตย มองไม่เห็นทางแก้ไข และกลายเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งที่ไม่สิ้นสุด!

เมื่อมองไม่เห็น นักสันติวิธีก็พยายามรักษา "บทบาทเป็นกลาง" อย่างสุดโต่ง ทำได้แค่เรียกร้องให้ทุกฝ่ายไม่โกรธ ไม่เกลียดกัน ไม่ใช้ความรุนแรงต่อกัน เปิดใจรับฟังเหตุผลของกันและกัน ลืมความหลัง หันหน้ามาปรองดอง แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง ฯลฯ
แต่ทั้งหมดนั้นคือ "ข้อเสนอนามธรรมแบบสูตรสำเร็จ" ที่ไม่ตอบปัญหาความอยุติธรรม และความไม่เป็นประชาธิปไตย อันเป็นรากฐานของความขัดแย้งแต่อย่างใด


"ความบิดเบี้ยวเหลวไหลของสื่อ" ไม่ใช่เรื่องไม่เป็นกลางหรือเลือกข้าง แต่เป็นเรื่อง "ซีเรียส" กว่านั้น คือสื่อหลักไม่มีความกล้าหาญที่จะใช้ "เสรีภาพ" ในการเสนอความเห็นต่าง หรือ "ความคิดนอกกระแสหลัก" ในบริบทของ "ยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนผ่าน"

ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านเช่นนี้ สื่อที่มีความรับผิดชอบ ย่อมตระหนักว่า "ความคิดนอกกระแสหลัก" มีคุณค่ามาก เนื่องจากเราได้เห็นแล้วว่า ความคิดกระแสหลักที่ว่ามานั้นทำให้ประชาธิปไตย และศีลธรรมของสังคมบิดเบี้ยวเหลวไหลไปอย่างไร

ฉะนั้น "ความคิดนอกกระแสหลัก" ถ้ามันจริง ถูกต้อง มันก็จะเปลี่ยนความคิดกระแสหลักที่ไม่จริง ที่ผิด ถ้ามันไม่จริง หรือมันผิด ก็จะกระตุ้นความคิดกระแสหลักเข้ามาปะทะสังสรรค์ทำให้มีพลังเข้มแข็งขึ้น

และถึงแม้ว่า "ความคิดนอกกระแสหลัก" ที่จริง ที่ถูกต้องนั้นๆ มันอาจจะดูเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้ในขณะนี้ สื่อก็ต้องเปิดโอกาสให้มันได้แสดงออก ได้ "บ่มเพาะ" ตัวมันเองในสังคม เพื่อให้งอกงามเติบโต ซึ่งจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นในระยะยาว



กล่าวโดยสรุป สภาวะบิดเบี้ยวเหลวไหลของคนดี ความดี และความบิดเบี้ยวเหลวไหลของประชาธิปไตย และศีลธรรมในมือของคนดีเหล่านั้น เกิดจาก "ระบบสังคม-การเมืองที่ไม่ปรับใช้หลักการสากลกับทุกคนอย่างเท่าเทียม" นั่นเอง

ระบบนี้แหละคือที่มาของ "ความบิดเบี้ยวเหลวไหลของทุกสิ่ง"

ทางออกจึงอยู่ที่การเปิดพื้นที่ให้กับความเห็นต่าง หรือ "ความคิดนอกกระแสหลัก" ได้ปะทะสังสรรค์กับ "ความคิดกระแสหลัก" ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ในที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่า "ความคิดนอกกระแสหลัก" จะบ่มเพาะตัวมันเอง และเจริญเติบโตจนมีพลังเปลี่ยนแปลงสังคมในอนาคตให้มีความเป็นประชาธิปไตยที่ปรับใช้หลักการสากลกับทุกคนอย่างเท่าเทียม เฉกเช่นกับอารยประเทศ!



+++

สุรพศ ทวีศักดิ์: พุทธศาสนาภายใต้ “ความเป็นไทย”
จาก www.prachatai.com/journal/2012/01/38880 . . Mon, 2012-01-23 00:13


ข้อโต้แย้ง (argument) หลักประการหนึ่ง ของฝ่ายคัดค้านการแก้ไขหรือยกเลิก ม.112 คือ การอ้าง “ความเป็นไทย” ซึ่งมี “ลักษณะพิเศษ” ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนใครในโลก

หากถามว่า “ลักษณะพิเศษ” ที่ว่านี้คืออะไร คำอธิบายที่เรามักพบเสมอ คือความเป็นสังคมที่มีความทรงจำหรือ “สำนึก” ทางประวัติศาสตร์ว่า พระมหากษัตริย์เป็นวีรบุรุษเสียสละกู้ชาติ สร้างชาติ รักษาชาติบ้านเมืองมาให้พวกเราได้มีแผ่นดินอยู่อาศัยในปัจจุบัน ฉะนั้น สถาบันกษัตริย์จึงเป็นสถาบันที่มีบุญคุณต่อสังคมไทย ที่ต้องปกป้องไว้ด้วยเลือดเนื้อและชีวิต แต่เมื่อเราไปดูประวัติศาสตร์ของประเทศต่างๆ ในโลกนี้ ทุกประเทศที่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์มาก่อน ต่างก็พูดถึง “ยุคกษัตริย์” ของตนเองในทำนองเดียวกันนี้ทั้งนั้น คือกษัตริย์เป็นนักรบ นักปกครอง สร้างชาติชาติบ้านเมืองมาก่อน
ทว่าก็มีข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งว่า ทุกประเทศก็มีทั้งกษัตริย์ที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ภายใต้ระบบกษัตริย์นั้นก็มีการชิงอำนาจกันระหว่างพ่อ แม่ ลูก พี่น้องกันเองบ้าง ขุนพลต่างๆ ล้มบัลลังก์สถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์บ้าง ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป เอเชีย แม้แต่ในสยามประเทศเองก็เป็นแบบนี้เช่นกัน

ฉะนั้น ข้อโต้แย้งข้างต้น จึงไม่ได้บ่งบอก “ลักษณะพิเศษ” ของสังคมไทยที่ไม่เหมือนสังคมไหนในโลกแต่อย่างใด เมื่อถูกโต้แย้งกลับเช่นนี้ ก็มักจะมีคำอธิบายต่อมาอีกว่า กษัตริย์ของไทยไม่เหมือนกษัตริย์ที่ไหนในโลก เพราะกษัตริย์ไทยทรงทศพิธราชธรรม ปกครองแผ่นดินโดยธรรมมาตลอดทุกพระองค์ คนไทยจึงศรัทธาเคารพรักกษัตริย์ของตนเองยิ่งกว่าคนชาติไหนในโลก เพราะคนไทยถือว่ากษัตริย์คือ “ศูนย์รวมจิตใจ” ของคนในชาติ

แต่อันที่จริงชาวอังกฤษ ญี่ปุ่น เป็นต้น เขาก็คงศรัทธา เคารพรักกษัตริย์ของพวกเขาไม่น้อยไปกว่า (หรือาจจะมากกว่า?) คนไทย แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว เขาก็มีการทำข้อตกลงที่ถือเป็น “สัญญาประชาคม” ชัดเจนว่า สถานะ อำนาจ บทบาท หรือตำแหน่งแห่งที่ของสถาบันกษัตริย์ของเขาต้อง “อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ” ตามอุดมการณ์ประชาธิปไตย ซึ่งหมายความว่าสถาบันกษัตริย์ไม่ได้อยู่สถานะที่เป็น “เจ้าของอำนาจอธิปไตย” และมี “ความศักดิ์สิทธิ์” ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบไม่ได้เหมือนในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกต่อไป

หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ในประเทศอารยะสถาบันกษัตริย์อยู่ภายใต้อุดมการณ์ประชาธิปไตย ไม่ใช่ลดทอนอุดมการณ์ประชาธิปไตยให้อยู่ภายใต้อุดมการณ์กษัตริย์นิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์


ฉะนั้น หากจะระบุ “ลักษณะพิเศษ” ของสังคมไทยที่ไม่เหมือนสังคมใดๆ ในโลกอย่างตรงไปตรงมา ก็คือ “ความเป็นสังคมที่ลดทอนอุดมการณ์ประชาธิปไตย (และ/หรืออุดมการณ์อื่นใด) ให้อยู่ใต้อุดมการณ์กษัตริย์นิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์” นั่นเอง
รูปธรรมที่เห็นชัดก็เช่น รัฐธรรมนูญมาตรา 8 ป.วิอาญา มาตรา112 การจัดวางระบบอำนาจ เครือข่ายของสถาบันกษัตริย์ เช่น ระบบองคมนตรี กองทัพ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ การประชาสัมพันธ์ “คุณวิเศษ” ด้านเดียว เป็นต้น ลักษณะพิเศษดังกล่าวนี้เองที่เรียกได้ว่า คือ “ความเป็นไทย” อย่างแท้จริง
และไม่ว่าอะไรก็ตามที่เรารับเอามาจากต่างชาติจะต้องถูกปรับให้สอดคล้อง สนับสนุน และ/หรือไม่ขัดแย้ง ไม่เป็นปฏิปักษ์หรือเป็นอันตรายต่อ “ความเป็นไทย” อันถือเป็น “แกนหลัก” ดังกล่าวนี้

จะว่าไป ไม่ว่าพุทธศาสนาที่เรารับมาจากอินเดีย ประชาธิปไตย หรือกระทั่งวิทยาศาสตร์ที่เรานำเข้าจากฝรั่งก็ล้วนแต่ถูกปรับ ถูกลดทอดความหมาย หลักการบางอย่างให้สอดคล้อง และ/หรือสนับสนุน “ความเป็นไทย” อันเป็นลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนใครในโลกดังกล่าวนี้ทั้งสิ้น

ว่าเฉพาะพุทธศาสนาเถรวาทไทยปัจจุบันนั้น ต้องนับว่าเป็น “พุทธศาสนาภายใต้ความเป็นไทย” ในความหมายดังกล่าว เคยมีนักวิชาการหลายคนบอกว่า “ความเป็นไทยคือความเป็นพุทธ” หากนิยามนี้หมายถึง “ความเป็นไทยอยู่ภายใต้ความเป็นพุทธ” ผมว่าน่าจะเป็นนิยามที่ผิดจากความเป็นจริงอยู่มาก เพราะไม่มี “ความเป็นไทยภายใต้ความเป็นพุทธ” อยู่จริง มีแต่ “ความเป็นพุทธภายใต้ความเป็นไทย” เหมือนประชาธิปไตยภายใต้ความเป็นไทย อย่างที่เราเรียกกันว่าพุทธแบบไทยๆ


ประชาธิปไตยแบบไทยๆ (หรือวิทยาศาสตร์แบบไทยๆ เป็นต้น) พุทธภายใต้ความเป็นไทย หรือพุทธแบบไทยๆ ย่อมมีเนื้อหาและรูปแบบที่ตรงข้ามกับพุทธแบบดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญ

เพราะพุทธแบบดั้งเดิม (early Buddhism) คือ พุทธที่กำเนิดขึ้นในบริบททางสังคมวัฒนธรรมที่เชื่อว่า ระบบชนชั้นศักดิ์สิทธิ์ ธรรมะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นฐานรองรับความศักดิ์สิทธิ์ของระบบชนชั้น ความดี ความชั่ว หรือบุญ กรรม เป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่มี “อำนาจลึกลับ” กำหนดชะตากรรมของคน มีปาฏิหาริย์ดลบันดาลสุข ทุกข์ โชคลาภ เจริญ เสื่อม ฯลฯ ในชีวิตของผู้คน และ/หรือในความเป็นไปของโลก แต่พุทธแบบดั้งเดิมปฏิเสธความเชื่อเหล่านั้นทั้งหมด แล้วนิยามความหมายของ “ธรรม” ใหม่ว่า “ธรรมคือของธรรมดา” ไม่ใช่ของศักดิ์สิทธิ์ที่มีอำนาจลึกลับดลบันดาลใดๆ

ดังพุทธทาสภิกขุสรุปความหมายของธรรมะที่เป็นของธรรมดานั้นว่า ธรรมะคือ ธรรมชาติ กฎธรรมชาติ การปฏิบัติตามกฎธรรมชาติ และผลที่เกิดจากการปฏิบัติตามกฎธรรมชาติ จะเห็นว่า พุทธแบบดั้งเดิมได้เปลี่ยนความหมายของ “ธรรม” จากความเป็น “ของศักดิ์สิทธิ์” ที่อยู่เหนือเหตุผล ให้กลายเป็นของธรรมดาที่มีความเป็นเหตุเป็นผล ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมเป็น “เอหิปสฺสิโก” คือ “ทนต่อการพิสูจน์” หมายความว่า ธรรมเป็นของที่สามารถพิสูจน์ซักไซ้ไล่เรียงให้เห็นความสมเหตุสมผลได้ (ในทางตรงข้าม อะไรก็ตามที่คนเชื่อว่า “ศักดิ์สิทธิ” หรือมี “ฤทธิ์ดลบันดาล” ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจซักไซ้ไล่เรียงให้เห็นความเป็นเหตุเป็นผลได้)

ขณะเดียวกันพุทธแบบดั้งเดิม ก็ปฏิเสธความศักดิ์สิทธิ์ของระบบชนชั้น ถือว่าคุณค่า หรือศักดิ์ศรีของมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานะสูง-ต่ำทางชนชั้น แต่ขึ้นอยู่กับ “การกระทำทางศีลธรรม” (กรรม) หรือ การกระทำดี หรือชั่วของแต่ละคน การกระทำทางศีลธรรม (moral action) หรือ “กรรม” ตามความคิดของพุทธแบบดั้งเดิม มีความหมายกว้างๆ ว่า “การกระทำใดก็ตามที่เป็นการเบียดเบียนก่อโทษทุกข์แก่ตนเองและผู้อื่น และหรือส่วนรวม ย่อมถือเป็นการกระทำที่ไม่ดี หรือผิดศีลธรรม” ส่วน “การกระทำใดก็ตามที่ไม่เป็นการเบียดเบียน และ/หรือเป็นการกระทำที่ส่งเสริมประโยชน์สุขแก่ตนและคนอื่น หรือส่วนรวม ย่อมเป็นการกระทำที่ดี หรือถูกในทางศีลธรรม” กรรมในความหมายดังกล่าวนี้สอดรับกับความหมายของ “หัวใจ” พุทธศาสนาคือหลัก “อริยสัจสี่” ซึ่งเป็นหลักการเรื่องทุกข์กับความดับทุกข์

กรรมชั่วหรือการกระทำที่ไม่ดีทางศีลธรรม ก็หมายถึงการกระทำที่สร้างทุกข์ก่อปัญหา ส่วนกรรมดี หรือการกระทำที่ถูกทางศีลธรรม ก็คือการกระทำที่เป็นไปเพื่อลดทุกข์ หรือเพื่อความสิ้นทุกข์ ฉะนั้น กรรมในความหมายของพุทธแบบดั้งเดิม จึงไม่ใช่สิ่งลึกลับที่มีอำนาจดลบันดาลใดๆ แต่เป็นเรื่องความเป็นเหตุเป็นผลระหว่างการกระทำกับผลที่ตามมา และยังรวมเอาความหมายของเสรีภาพในการเลือกการกระทำ ความรับผิดชอบต่อการกระทำ และความเสมอภาคทางศีลธรรมเข้าไว้ในความคิดเรื่องกรรมนี้ด้วย


แต่ “พุทธศาสนาภายใต้ความเป็นไทย” หรือพุทธศาสนาแบบไทยๆ กลับไปรับเอาความคิด ความเชื่อทั้งปวงที่พุทธศาสนาแบบดั้งเดิมเคยปฏิเสธมาไว้ทั้งหมด
คือเป็นพุทธศาสนาที่เชื่อว่าธรรมเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ความดี บุญ กรรม มีอำนาจลึกลับดลบันดาลความเป็นไปในชีวิต และมีอำนาจพิเศษกำหนดสถานะสูง-ต่ำทางชนชั้นของผู้คน

ถามว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบ อาจเป็นเพราะพุทธศาสนายุคหลังพุทธกาลมีการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดด้วยการ “แปรรูป” ตนเอง โดยการผสมผสานกับความเชื่อในบริบทสังคมวัฒนธรรมในยุคเดียวกันมากขึ้น และพุทธศาสนาที่ “แปรรูป” แล้วนี้ก็ตกทอดมาสู่สังคมสยามยุคราชาธิปไตย แน่นอนว่า ในยุคราชาธิปไตยอำนาจในการนิยามความหมาย การตีความ การใช้พุทธศาสนาก็อยู่ในมือของ “วัง” กับ “วัด” ที่เป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ว่าอำนาจที่เหนือกว่าย่อมเป็น “อำนาจวัง” ฉะนั้น “โฉมหน้า” ของพุทธศาสนาภายใต้อำนาจของวัดกับวัง จึงเป็นโฉมหน้าของพุทธที่เน้นการสถาปนาสถานะของพระพุทธเจ้าให้เป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์เหนือมนุษย์ธรรมดา

สถาปนาให้ธรรมะเป็นของศักดิ์สิทธิรองรับความศักดิ์สิทธิ์ของสถานะแห่งพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวก ตลอดถึงพระเกจิอาจารย์รุ่นหลังๆ ซึ่งธรรมอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ย่อมรองรับสถานะอันศักดิ์สิทธิของกษัตริย์ในฐานะ “ธรรมราชา” อย่างมีนัยสำคัญด้วย ดังบางยุคกษัตริย์สถาปนาตนเองให้เป็นพระโพธิสัตว์ หรือกระทั้งเป็นพระพุทธเจ้าเลยก็มี ดังนามของกษัตริย์หลายองค์ที่ใช้ฉายานามของพระพุทธเจ้าเป็นชื่อของตนเอง หรือดังคำราชาศัพท์ที่ว่า “ข้าพระพุทธเจ้า” ก็แปลว่า “ข้าฯของพระพุทธเจ้า” นั่นเอง

สรุปว่า “พุทธศาสนาภายใต้ความเป็นไทย” ก็คือพุทธศาสนาที่ถูก “แปรรูป” ในยุคหลังพุทธกาลโดยการไปรับเอาหลักความเชื่อสำคัญที่พุทธแบบดั้งเดิมเคยปฏิเสธ และสังคมไทยยุคราชาธิปไตยก็นำเข้ามาสนับสนุนความเข้มแข็งของระบบศักดินา จนตกทอดมาถึงปัจจุบันที่เราเรียกกันว่า “พุทธเถรวาทไทยมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์” นั่นเอง


ปัจจุบันพุทธศาสนาภายใต้ความเป็นไทย นอกจากจะเป็นเครื่องมือสนับสนุน “ความศักดิ์สิทธิ์” ของอุดมการณ์กษัตริย์นิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้ว นิยามของธรรมะ ความดี บุญ กรรม ที่มีความหมายเป็น “ของศักดิ์สิทธิ์” มีอิทธิฤทธิ์ดลบันดาลยังถูกใช้เป็นเครื่องมือส่งเสริมสถานะอันศักดิ์สิทธิ์ของพระสงฆ์ สร้างความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรม วัตถุมงคลพาณิชย์ ธุรกิจบุญขายตรง ธรรมโฆษณาที่เน้นการใช้ธรรมะ

ใช้รูปแบบการปฏิบัติธรรมสร้างภาพลักษณ์ความเป็นคนดี คนอิ่มบุญ คนสงบ สะอาด สูงส่ง เหนือคนธรรมดาทั่วไป

แต่เป็นคนดี คนอิ่มบุญ คนสงบ สะอาด สูงส่ง ที่ไม่ใส่ใจใดๆ กับทุกขสัจจะที่เป็นความอยุติธรรมทางสังคม

และ/หรือระบบมอมเมาเชิงความเชื่อ อุดมการณ์ที่ขัดต่อหลักการของพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม!



.