http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-04-11

ข่าวที่ไม่เคยได้ยินจากภัยพิบัติญี่ปุ่น และ ปีศาจญี่ปุ่นจากสงครามโลก โดย วีรกร ตรีเศศ

.
ข่าวที่ไม่เคยได้ยินจากภัยพิบัติญี่ปุ่น
โดย วีรกร ตรีเศศ คอลัมน์ อาหารสมอง
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 08 เมษายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1599 หน้า 48


ภัยพิบัติธรรมชาติซึ่งเกิดจากแผ่นดินไหว ทำให้คนญี่ปุ่นประสบอันตรายใน สามประการด้วยกันคือ แผ่นดินไหว (บ้านเรือนพัง ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย) สึนามิซึ่งตามมาจากแผ่นดินไหวและภัยจากกัมมันตรังสีจากโรงงานผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์

เราเห็นภาพคนญี่ปุ่นต่อสู้ ยืนหยัดอย่างน่าทึ่ง อย่างมีวินัยและมีศักดิ์ศรี อย่างไรก็ดี บางครั้งก็มีข้อยกเว้นเหมือนกัน

ภาพของคนญี่ปุ่นที่ปรากฏสู่โลกหลังจากภัยธรรมชาติครั้งนี้ถือว่าเป็นบวกอย่างยิ่ง สื่อทั้งนอกและในประโคมข่าวความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นหลังภัยพิบัติที่ ชิลี จีน สหรัฐอเมริกา (เฮอร์ริเคน Katrina) ฯลฯ และญี่ปุ่น

โดยปกติ ทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติขึ้น ผู้คนที่เดือดร้อนต่างต่อสู้เพื่อความอยู่รอด สิ่งเลวร้ายที่สุดในตัวมนุษย์ก็ปรากฏออกมาให้เห็น ("ผมไม่กลัวมนุษย์ แต่กลัวสิ่งเลวร้ายที่แฝงอยู่ในตัวมนุษย์") การบุกเข้าขโมยหยิบของ จี้ปล้น งัดแงะตู้ ATM หรือตู้หยอดเหรียญ เป็นเรื่องธรรมดาที่มักเกิดตามมาจากภัยพิบัติเสมอ

ชาวโลกเห็นภาพคนญี่ปุ่นต่อสู้อย่างอดทน (เราไม่เคยเห็นภาพศพคนตายที่น่ากลัวและน่าสมเพชเลยจากสื่อนอกและสื่อในประเทศญี่ปุ่น อย่างดีก็เห็นแค่ถุงใส่ศพ เข้าใจว่าเป็นผลงานของทางการญี่ปุ่นที่ไม่ยอมให้ภาพเช่นนี้หลุดออกมาได้) ไร้การปล้นสะดมหรือบุกเข้าขโมยของ

อย่างไรก็ดี โดยแท้จริงแล้วมันไม่สวยสดงดงามไปทั้งหมดดังที่ชาวโลกเชื่อกัน



เนื่องจากผู้เขียนพยายามเขียนเรื่องที่ไม่มีใครเขียนถึง จึงจำเป็นต้องเขียนเรื่องความเป็นมนุษย์ (ไม่ดี) ของชาวญี่ปุ่นบางส่วนเพื่อให้เห็นความจริงของชีวิตมนุษย์ ว่าไม่มีชนชาติใดเพอร์เฟ็กต์ไปหมดเสียทุกอย่าง ขั้นสุดท้ายอยู่ที่ว่า ชาติใดมีสัดส่วน "คนไม่ดี" มากน้อยกว่ากันเท่านั้นเอง

หนังสือพิมพ์ Asia Wall Street Journal ฉบับ 23 มีนาคม 2011 ลงข่าวว่า หลังจากน้ำทะเลจากสึนามิซึ่งพัดขึ้นมาทำความเสียหายให้แก่โรงเก็บสินค้าของโรงเบียร์ Kirin ในเมือง Sendai ลดลง ผู้คนนับเป็นร้อยแห่กันมาเก็บเบียร์ทั้งขวดและกระป๋อง ตลอดจนน้ำผลไม้ กาแฟ ที่ทะลักออกมาจากโรงเก็บสินค้า ใส่รถเข็นหรือท้ายรถของตนเพื่อนำกลับบ้าน

Sendai อยู่ในจังหวัด Miyagi อยู่ทางตอนเหนือโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima ประมาณ 150 กิโลเมตร ประชาชนในแถบนั้นโดนสึนามิกันย่ำแย่ แต่คนบางส่วนก็มีใจเข้มแข็งพอจะออกมากวาดเก็บข้าวของจากโกดังมาเป็นของส่วนตัว

ผู้สื่อข่าวถามตำรวจว่ามีกรณีของอาชญากรรมมากน้อยเพียงใดในบริเวณ Miyagi ที่โดนสึนามิอย่างนัก คำตอบก็คือ ประมาณไม่เกิน 12 ราย แต่ไม่มีกรณีรุนแรง อย่างไรก็ดี ผู้สื่อข่าวได้ถ่ายภาพตู้ ATM ที่ถูกงัดเอาเงินสด แต่ไม่เชื่อว่าจะมีหลายตู้นักที่ถูกโจรกรรม

บริษัทเบียร์ Kirin นั้นไม่ตอบว่าได้มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดเป็นประเด็นขึ้นจนอาจเสียหายเชิงธุรกิจในเวลาต่อไปได้ แต่ชาวบ้านบริเวณนั้นยืนยันว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวจริง และมีผู้พยายามจะเข้าไปในอาคารของบริษัท Kirin ด้วย แต่ถูกห้ามปรามเสียก่อน

การกระทำ "สิ่งไม่ดี" ของคนญี่ปุ่นส่วนนี้หลังภัยพิบัติเพื่อค้นหาสินค้าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะทุกคนมุ่งความอยู่รอดของครอบครัวด้วยกันทั้งนั้น ในยามปกติ การไม่เห็นประโยชน์ส่วนตัวเหนือส่วนรวมนั้นสามารถทำกันได้อย่างดี แต่ในยามทุกข์เข็ญนั้นอะไรก็เป็นได้ทั้งนั้น

การดูแลป้องกันบ้านช่องและครอบครัวตนเองยามเมื่อมีจลาจล ภัยพิบัติ ไฟไหม้ ฯลฯ เป็นเรื่องพึงพิจารณาอย่างยิ่ง เพราะช่วงเวลาเหล่านี้จะนำสิ่งเลวร้ายของมนุษย์ออกมาให้เห็นอย่างไม่น่าเชื่อ


ผมเห็นชาวบ้านที่ชัยนาทออกมานอนบนถนนที่อยู่เหนือน้ำและห่างไกลจากบ้าน แต่ต้องพายเรือกลับไปบ้านเพื่อดูแลข้าวของในบ้านอยู่เป็นระยะ อย่างชนิดที่ทิ้งไม่ได้และเป็นภาระพอควร เพราะมีคนแอบพายเรือมาขโมยถังแก๊ส ของมีค่าในบ้าน และสิ่งอื่นๆ ที่ลอยน้ำได้

คิดดูเถอะ ในยามลำบากกันอย่างนี้ ยังมี "คนไม่ดี" จากถิ่นอื่นคิดจะซ้ำเติมกันให้หนักมือยิ่งขึ้น



ในทุกสังคมมีทั้งคนดีและคนเลวปนกัน ประเด็นมันอยู่ที่ว่า สังคมใดมีสัดส่วน "คนไม่ดี" มากกว่ากัน และการกระทำที่ไม่ดีนั้นมันเลวขนาดไหน ภาพหลังภัยพิบัติในบางสังคมอาจมีการใช้อาวุธจี้ปล้นอย่างเอิกเกริก ถึงกับฆ่าแกงกัน แต่ที่ญี่ปุ่นนั้นไม่มีข่าวเรื่องการจี้ปล้นหรือข่มขู่รุนแรง ข่าวที่ได้ยินมีเพียงการแห่กันเข้าไปขนสินค้าจากโกดังของเบียร์ Kirin กลับบ้านเท่านั้น

คนญี่ปุ่นนั้นอึดกับสถานการณ์ยากลำบาก โดยเฉพาะจากแผ่นดินไหวเป็นอย่างดี ปัจจุบันคนกว่า 300,000 คนต้องอยู่อาศัยในที่พักชั่วคราวภายใต้ความหนาวเย็น บางแห่งขาดไฟฟ้า ขาดอาหาร และน้ำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องธรรมดา

แต่ว่าคนญี่ปุ่นผู้โชคร้ายเหล่านั้นช่วยกันทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดา ด้วยความอดกลั้น ประนีประนอม สุภาพและอดทน

ทุกคนจดจำการเล่าขานเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในบริเวณ Kanto (บริเวณโตเกียวและปริมณฑล รวมทั้ง 7 จังหวัดใกล้เคียง) ในปี 1923 ขนาด 7.9 Richter scale (ครั้งนี้ 9 Richter scale ระหว่างสเกล 8 ไป 9 ความรุนแรงเพิ่มขึ้น 10 เท่าตัว) มีคนตายไป 100,000-140,000 ศพ ซึ่งถือว่าเป็นแผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่สุดของญี่ปุ่น (พระพุทธรูปนั่งขนาดใหญ่ที่เมือง Kamakura ซึ่งอยู่ไกลออกไปจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว 60 กิโลเมตร หนัก 121 ตัน เคลื่อนจากที่ไปไกลถึงเกือบ 2 ฟุต)

สังคมญี่ปุ่นไม่เพอร์เฟ็กต์เหมือนที่คนจำนวนหนึ่งพยายามเชื่อ คนที่หาประโยชน์จากภัยพิบัติ และความเดือดร้อนของคนอื่นก็พอมีให้เห็น แต่มีเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก อีกทั้งความรุนแรงของอาชญากรรมก็น้อยกว่าสังคมอื่น

คำถามก็คือ สังคมญี่ปุ่นสั่งสอนคนของเขาอย่างไร และสังคมอื่นสามารถถอดเอามาเป็นบทเรียนได้อย่างไร


เครื่องเคียงอาหารสมอง :
ยาเคที่ได้ยินกันบ่อยๆ นั้น สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ให้ข้อมูลว่ายาเคมาจากคำว่าเคตามีน (Katamine) เคตาวา (Katava) หรือเคตารา (Ketara) หมายถึงยาที่มีอันตรายสูงที่แพทย์จะจ่ายให้กับผู้ป่วยเฉพาะเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น

ยาเคถูกสังเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ โดยใช้เป็นยาสลบมีชื่อเรียกในวงการแพทย์ว่า "Katamine HLC." มีลักษณะเป็นผงสีขาว และน้ำบรรจุอยู่ในขวดสีชา การนำไปใช้นั้นปกติแพทย์จะฉีดเข้าเส้นเลือดในอัตรา 1 ถึง 2 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยยาจะออกฤทธิ์ทำให้หมดสติภายในเวลา 1 นาที

หรืออาจใช้วิธีฉีดเข้ากล้ามเนื้อ แต่วิธีนี้จะใช้ปริมาณยามากกว่าการฉีดเข้าเส้นเลือดประมาณ 3 เท่า

อาการหมดสติจากการใช้ยาเคจะเป็นอยู่นานประมาณ 10-15 นาที เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ยาเคจึงถูกนำมาใช้ในกรณีของการผ่าตัดที่ใช้ระยะเวลาสั้นๆ หรือใช้ทำให้ผู้ป่วยสลบก่อนที่จะผ่านไปสู่ใช้ยาสลบชนิดอื่น

สาเหตุที่ทำให้ยาเคกลายเป็นปัญหาเพราะวัยรุ่นบางกลุ่มได้นำยาเคมาใช้เป็นสิ่งมึนเมา โดยนำมาทำให้เป็นผงด้วยกรรมวิธีผ่านความร้อน หลังจากนั้นจึงนำมาสูดดมเพื่อให้เกิดอาการมึนเมา และมักพบว่ามีการนำยาเคใช้ร่วมกับยาเสพติดร้ายแรงชนิดอื่น เช่น ยาอี และโคเคน

ยาเค เป็นยาที่ออกฤทธิ์หลอนประสาทอย่างรุนแรง เมื่อเสพเข้าไปจะรู้สึกเคลิบเคลิ้ม รู้สึกว่าตนเองมีอำนาจพิเศษ มีอาการสูญเสียกระบวนการทางความคิด ความคิดสับสน การรับรู้และการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมทั้งภาพ แสง สี เสียง จะเปลี่ยนแปลงไป ตาลาย ร่างกายเคลื่อนไหวไม่สัมพันธ์กัน

หากใช้ในปริมาณมากจะทำให้เกิดการติดขัดในการหายใจ (respiratory depression)

อาการที่ไม่พึงประสงค์เหล่านั้น (bad trip) จะปรากฏให้เห็นคล้ายกับอาการทางจิต ซึ่งหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะปรากฏอาการเช่นนี้บ่อยๆ เรียกว่า flashbacks

ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว จะทำให้ผู้เสพประสบกับสภาวะโรคจิตและกลายเป็นคนวิกลจริตได้


น้ำจิ้มอาหารสมอง :
Courage is the ability to distinguish between real and perceived threats, being able to know what should be feared and what should not be.
ความกล้าหาญคือความสามารถที่จะแยกแยะให้ออกระหว่างสิ่งคุกคามจริง และสิ่งคุกคามที่จินตนาการขึ้น โดยมีความสามารถที่จะรู้ว่าอะไรควรกลัว และอะไรไม่ควรกลัว
Bettany Hughes (2001)
อ้างถึงคำแนะนำที่ Socrates นักปราชญ์ร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าได้ให้ไว้


++

ปีศาจญี่ปุ่นจากสงครามโลก
โดย วีรกร ตรีเศศ คอลัมน์ อาหารสมอง
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1597 หน้า 50


เนื่องจากคอลัมน์นี้พยายามเขียนเรื่องที่ไม่มีใครเขียนถึง จึงขอนำเสนอข่าวใหญ่ของญี่ปุ่นข่าวหนึ่งซึ่งถูกบดบังด้วยข่าวสึนามิและปัญหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

เรื่องก็มีอยู่ คือเมื่อปี 2006 หญิงชราญี่ปุ่นอายุ 88 ปี ชื่อ Toyo Ishii ออกมาชี้เบาะแสว่าในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองเธอเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลทหารในโตเกียว เธอพบว่าหมอที่นั่นชอบทำอะไรวุ่นกับชิ้นส่วนอวัยวะของมนุษย์ที่ดองไว้เสมอ

เมื่อทหารอเมริกันชนะสงครามและเข้าถึงโตเกียวใน ค.ศ.1945 เธอกับเพื่อนๆ ก็ถูกสั่งให้จัดการเอาเศษอวัยวะเหล่านั้นไปฝังเพื่อทำลายหลักฐาน

บริเวณสถานที่ที่เธอระบุนั้นอยู่แถว Shinjuku และเคยมีการขุดพบกระดูกมนุษย์หลายศพใกล้ๆ กันในปี 1998 ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการไต่สวนของศาล

ผู้รู้ประวัติศาสตร์ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือหลักฐานสนับสนุนความเชื่อกันมานานกว่า ณ สถานที่แห่งนี้ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ในโตเกียวของหน่วยงานที่มีชื่อว่า Unit 731 มีการเอามนุษย์เป็นๆ มาเป็นหนูทดลองทางวิทยาศาสตร์อย่างโหดร้ายทารุณ

อย่างไรก็ดี ภาครัฐญี่ปุ่นไม่เคยยอมรับการมีตัวตนของ Unit 731 อย่างเป็นทางการเลย ทั้งๆ ที่มีผู้เขียนหนังสือเปิดเผยความชั่วร้ายของ Unit 731 อยู่หลายเล่ม

เมื่อคุณย่า Toyo ออกมาเป็นพยานชี้ชัดจึงมีแรงผลักดันให้มีการขุดพื้นดินในบริเวณนั้นขึ้นมาพิสูจน์ให้เห็นกัน แต่แรงยื้อยุดการเมืองไม่ให้มีการขุดก็มาแรง เพราะมนุษย์ที่ถูกทดลองเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นคนจีน คนเกาหลี และมีรัสเซียปนอยู่บ้าง รวมแล้วถึง 200,000 คน

หากขุดขึ้นมาพิสูจน์ DNA และพบว่าเป็นคนชาติเหล่านี้จริงๆ อาจเกิดเป็นปัญหาการเมืองขึ้นได้ ถึงแม้เรื่องมันจะผ่านไปเกือบ 70 ปีแล้วก็ตาม



หลังจากสู้กันอยู่นานก็สามารถรื้อย้ายที่อยู่อาศัยในบริเวณที่เชื่อว่ามีศพฝังอยู่ออกไปได้ในที่สุด (ผู้อยู่อาศัยเดิมไม่รู้ว่าตนนอนทับสถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งชั่วร้ายอย่างสุดๆ และอาจมีโครงกระดูกอยู่ใต้พื้นห้องนอน) และเริ่มมีการขุดค้นหากันเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2011 ที่ผ่านมา

จำนวนทั้งหมด 200,000 คน มิได้ตายในที่แห่งนี้ หากมีหน่วยย่อยทดลองกระจายกันอยู่ไปทั่ว (เช่น Unit 8604 ที่กวางโจว/Unit 1855 ปักกิ่ง/Unit 200 แมนจูเลีย/ Unit 9420 สิงคโปร์) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีน ศูนย์ทดลองใหญ่ของ Unit 731 อยู่ที่เมือง Harbin ในแมนจูเรีย ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ดินแดนที่ญี่ปุ่นบุกยึดจากจีนและตั้งชื่อว่า Manchukuo

ที่ Harbin ญี่ปุ่นกักขังคนไว้กว่า 580,000 คน เพื่อทดลองการสร้างสงครามเชื้อโรค (Germ Warfare) โดยทดลองกับคนเป็นๆ เหยื่อเหล่านี้ได้มาจากผู้ต่อต้านญี่ปุ่นที่ Kempeitai (สารวัตรทหารที่โหดร้ายของญี่ปุ่น) จับมาได้

นักโทษสงคราม พลเรือน ทหาร ฯลฯ ทั้งหญิงและชาย มารวมสะสมกันที่นี่เป็นส่วนใหญ่ ในจำนวน 200,000 คนที่ตาย กว่าร้อยละ 95 เป็นคนจีนและเกาหลี ที่เหลือร้อยละ 5 คือพวกเอเชียใต้ (อินเดีย ศรีลังกา) และชาวเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก

หัวหน้าใหญ่ของค่ายที่ Harbin เป็นทหารหมอชื่อ Shiro Ishii (คงไม่ได้เป็นญาติกับคุณย่าฮีโร่ของเราเป็นแน่) และเรียนจบปริญญาเอกทางมานุษยวิทยาด้วย เป็นผู้สนใจในการใช้เชื้อโรคเป็นอาวุธ เขาทดลองความทนทานของมนุษย์ต่อเชื้อโรคชนิดต่างๆ โดยฉีดเชื้อโรคเข้าร่างกายนักโทษเพื่อดูการออกฤทธิ์ จนทำให้หลายคนตายอย่างทุกข์ทรมาน

ข้อมูลจากงานวิจัยของ Ishii ในเรื่องการใช้โรคฝีดาษ อหิวาตกโรค และสารพัดโรคเป็นอาวุธ ตลอดจนปฏิกิริยาต่อสารเคมีชนิดต่างๆ ทั้งฉีด ทั้งกิน ทั้งทา ฯลฯ กว้างขวางและเป็นระบบ เขาทดลองแม้กระทั่งจับนักโทษห้อยหัวลงเพื่อทดลองว่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าใด เอาฟองอากาศฉีดเข้าเส้นเลือด เอาฉี่ม้าฉีดเข้าไตเพื่อดูปฏิกิริยาของร่างกาย ฯลฯ

นอกจากนี้ ก็มีการทดลองให้อดน้ำ อดอาหาร ให้อยู่ในห้องที่มีความดันสูง เอาเข้าเครื่องปั่นแบบปั่นผ้า เอาเลือดสัตว์และน้ำทะเลฉีดเข้าร่างกายนักโทษ ฉายแสงเอ็กซเรย์อย่างแรง ฯลฯ

ทั้งหมดนี้เพื่อดูความทนทาน และตรวจวัดอุณหภูมิของร่างกายในระยะเวลาต่างๆ ปฏิกิริยาทางเคมีของร่างกายที่มีต่อการทดลอง

เมื่อสงครามสงบลง Shiro Ishii ก็หายตัวไป ไม่ถูกจับลงโทษ เนื่องจาก ฝ่ายอเมริกาแลกข้อมูลที่เขามีกับการไม่ฟ้องศาลข้อหาอาชญากรสงคราม สหรัฐเกรงว่าข้อมูลเหล่านี้จะหลุดไปอยู่ในมือโซเวียต มีข่าวว่าเขาไปอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาด้วยซ้ำ

นี่คือความอยุติธรรมของโลก



เมื่อได้ยินเรื่องนี้ก็ทำให้นึกถึง Dr.Josef Mengele หมอจอมนาซีผู้มีสมญาว่า Angel of Death เนื่องจากมักห่มผ้าขาวยืนเป็นสง่าดูยิวที่กำลังเดินลงจากขบวนรถไฟเพื่อเข้าพักที่ค่าย Auschwitz-Birkenau

ถ้าเขาพบคนน่าสนใจ เช่น เด็กแฝด คนแคระ คนหน้าตาแปลก พอจะเป็น "ตัวอย่าง" เขาก็จะเป็นคนคัดเลือกไว้ ที่เหลือที่เป็นเด็ก อายุมาก ร่างกายไม่แข็งแรง ก็เดินเข้าห้องแก๊สเป็นศพไป ว่ากันว่าข้างกำแพงจะมีขีดไว้สูง 150 เซนติเมตร ถ้าเด็กคนใดมีความสูงต่ำกว่านี้ก็หมายถึงเข้าห้องแก๊ส

Dr.Mengele สนใจในเรื่องชาติพันธุ์ พันธุกรรม ความทนทานของมนุษย์ต่อสารเคมี การทำงานของอวัยวะ ฯลฯ การใช้แฝดถึง 1,500 คู่ ก็เพื่อใช้คนหนึ่งเป็นตัวเปรียบเทียบกับอีกคนที่ถูกทดลอง

ผู้ถูกทดลองจำนวนมากถูกตัดขา ตัดอวัยวะสดๆ โดยไม่มีการวางยา (เพื่อไม่ให้มีอะไรมาปนเปกับผลการทดลอง) ฝาแฝดบางคู่ถูกทดลองจับเย็บให้ตัวติดกันโดยใช้อวัยวะร่วมกัน เอาสีฉีดตาเพื่อดูว่าจะเปลี่ยนสีได้หรือไม่ ทดลองการทำแท้ง การทำหมัน ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่มนุษย์สามารถกระทำกับมนุษย์ด้วยกันได้

โลกก็ไม่ยุติธรรมอีกนั่นแหละ เพราะ Dr.Josef Mengele ตายเมื่ออายุ 68 ปี ในปี 1979 ในบราซิล หลังจากหลบหนีอยู่ในอเมริกาใต้เวลากว่า 30 ปี โดยมิได้สำนึกในความชั่วร้ายของตนเองแม้แต่น้อย

พวกเราไม่รู้หรอกว่า ความรู้บางประการจากการทดลองของปีศาจ 2 ตนนี้อาจมีส่วนร่วมในวิธีการรักษาพยาบาลที่กระทำกันอยู่ในปัจจุบันก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่มีประโยชน์เพียงใด ผมคิดว่าผู้มีปัญญาทั้งหลายคงรับไม่ได้เพราะ ends never justify the means ไม่ว่าผลลัพธ์จะเลอเลิศอย่างไร

หนทางไปสู่ผลลัพธ์นั้น มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย


เครื่องเคียงอาหารสมอง :
มีคำเตือนกันมาในอินเตอร์เน็ตว่า

1. เมื่อเข้าไปในรถที่จอดตากอยู่กลางแดด อย่าเพิ่งเปิดแอร์ทันที แต่จงเปิดกระจกให้ลมพัดผ่านเอาไอร้อนที่ผสมออกมาจากการระเหยของสารพลาสติกที่เป็นเบาะ หรือแผ่นคอนโซลหน้ารถ จากการขับรถวิ่งสักพัก การเปิดแอร์ทันทีจะทำให้ผู้อยู่ในรถสูดเอาไอจากสารเหล่านี้เข้าไป ซึ่งไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดโรคร้ายใดบ้าง

2. ถ้าคันเร่งของรถที่มีเกียร์ออโตเกิดค้างขณะวิ่งอยู่ (มีโอกาสน้อยมาก) จนชะลอความเร็วไม่ได้ จงตั้งสติและปลดเกียร์ลงมาที่ N และปิดกุญแจให้เครื่องดับพร้อมกับประคับประคองจอดข้างทาง ห้ามดึงกุญแจออกเป็นอันขาด เพราะจะทำให้พวงมาลัยล็อก (รถหลายรุ่นดึงกุญแจออกไม่ได้เมื่อเกียร์รถอยู่ที่ N)

3. ถ้ามีใครโทรเข้ามาในโทรศัพท์มือถือของคุณ และบอกว่าโทร.มาจากบริษัทโทรศัพท์ขอให้ปิดเครื่องสัก 1-2 ชั่วโมงเพื่อเขาจะเคลียร์บัญชีให้ (?) หรืออ้างว่าจะทำอะไรให้เกิดประโยชน์แก่ตัวคุณ อย่าเชื่อเป็นอันขาด เพราะไม่มีวันใดเป็นอันขาดที่บริษัทโทรศัพท์จะไม่เอาเปรียบเรา

มีกรณีที่คนเชื่อยอมปิดโทรศัพท์ จนโทร.เข้ามาติดต่อไม่ได้ และระหว่างที่ปิดโทรศัพท์นั้นเขาก็ต้มยำทำแกงหลอกเงินจากญาติหรือเพื่อนของคุณเนื่องจากไม่สามารถติดต่อไถ่ถามคุณได้


น้ำจิ้มอาหารสมอง :
There is no limit to what a man can do or where he can go, if he doesn"t mind who gets the credit
{ข้อความบนแผ่นป้ายซึ่งวางอยู่บนโต๊ะทำงานของอดีตประธานาธิบดี Ronald Reagan (ค.ศ.1911-2004)}
ไม่มีขีดจำกัดสำหรับมนุษย์คนหนึ่งที่จะสามารถกระทำได้ หรือจะสามารถบรรลุสิ่งมุ่งหวังได้ ตราบใดที่เขาไม่กังวลว่าใครจะเป็นผู้ได้ชื่อ

.