http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-04-24

โลกเปลี่ยน-คนไม่เปลี่ยน และ ประชาธิปไตยแบบ "ผี-ผี" โดย สรกล อดุลยานนท์

.
โลกเปลี่ยน-คนไม่เปลี่ยน
โดย สรกล อดุลยานนท์ คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12
ในมติชน ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 20:00:00 น.


วันก่อนมีโอกาสได้อ่านเอกสารข้อสรุปและข้อเสนอของคณะกรรมการที่ตรวจสอบ "ข้อเท็จจริง" ในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม

อ่านแล้วอึ้งครับ

คณะ กรรมการชุดนี้สรุปว่า ความผิดพลาดครั้งนี้เกิดขึ้นมาจาก "นายกรัฐมนตรี" คิดว่าด้วยกำลังกองทัพที่หนุนหลัง และคะแนนเสียงพรรคร่วมรัฐบาลจะสามารถบริหารราชการแผ่นดินไปได้

ทำให้ไม่ฟังเสียงประชาชน

ทางหน่วยข่าวกรองของทหารก็รายงานผิดพลาด โดยแจ้ง "ผู้บังคับบัญชา" ว่ามีผู้เข้าร่วมชุมนุมไม่ถึงหมื่นและเป็น "มวลชนจัดตั้ง"

นอกจากนั้น ยังประเมินผู้ชุมนุมว่า "จะมาทำลายความสงบเรียบร้อย"

และเป็น "ผู้ก่อการร้าย"


ความผิดพลาดต่อมา คือกองกำลังที่เข้าปฏิบัติการ เป็นกำลังพลที่ไม่เคยฝึกปราบปรามการก่อความไม่สงบหรือจลาจล

อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ก็เป็นอาวุธที่ใช้ในสนามรบและ "กระสุนจริง"

ในการสลายการชุมนุม ทหารที่ใช้กำลังก็เพราะเชื่อว่ากำลังปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบ และขัดขวาง "บุคคลที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติและราชบัลลังก์"


หลังการสอบสวน คณะกรรมการชุดนี้มีข้อเสนอทั้งระยะสั้นและระยะยาว

เขาเสนอว่าในระยะสั้นควรจะ

1.ปรับย้ายผู้บังคับบัญชาที่ใช้วิจารณญาณผิดพลาดและดึง "กองทัพ" ไปเกี่ยวข้องกับการเมืองตั้งแต่ต้น

2.ปรับย้ายฝ่ายเสนาธิการที่ปฏิบัติการผิดพลาด


ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาว "ควรจะปลูกฝังประชาธิปไตยให้เกิดในหมู่ทหาร-สถาบันการศึกษาของทหารทุกระดับ"

ให้ทุกฝ่ายเข้าใจในสิทธิและหน้าที่ของตนในระบอบประชาธิปไตย

หน่วยทหารและผู้นำหน่วยจะต้องไม่เข้าไปก้าวก่ายหรือเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง

จะต้องลบล้างความรู้สึกที่ว่าประเทศไทยจะต้องปกครองโดยทหาร

และทหารจะเป็นองค์กรหลักในการจัดตั้ง "รัฐบาล" หรือจัดตั้ง "วุฒิสภา"

ทั้งหมดนี้คือ "ข้อสรุป" ของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหาร ในเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมของประชาชนระหว่างวันที่ 17-20 พฤษภาคม
พ.ศ.2535 ไม่ใช่ปี 2553


"พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์" องคมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการชุดนี้

ที่บอกว่า "อ่านแล้วอึ้ง" ก็เพราะรู้สึกว่า 18 ปีผ่านไป วิธีคิดของรัฐบาลและกองทัพยังคงเหมือนเดิม
ทั้งการมองว่าเป็นมวลชนจัดตั้งหรือคิดว่าเป็น "ผู้ก่อการร้าย"

ที่สำคัญ ถ้าข้อเสนอระยะยาวเมื่อ 18 ปีที่แล้วเป็นจริง
ไม่ว่าจะเป็นการปลูกฝังประชาธิปไตยในหมู่ทหาร และทำให้นายทหารทุกคนเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตนในระบอบประชาธิปไตย ไม่เข้าไปก้าวก่ายหรือเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง

19 กันยายน 2549 พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน คงไม่ทำรัฐประหาร
ธันวาคม 2551 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา คงไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
และเดือนเมษายน 2554 เราคงไม่ได้ยินคำขู่ว่า "อย่าให้ทหารจับปืน"

18 ปีผ่านไป หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก

แต่ใครจะไปนึกว่าทันทีที่เกิดเหตุโทรทัศน์จอดำทุกช่อง

คนส่วนใหญ่ตกใจเพราะคิดว่ากองทัพทำรัฐประหาร

คำถามก็คือความคิดของคนไทยไม่ปลี่ยน

หรือใครที่ไม่ยอมเปลี่ยน


++

ประชาธิปไตยแบบ "ผี-ผี"
โดย สรกล อดุลยานนท์ คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12
ในมติชน ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 09 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 20:00:00 น.


ตอนนี้การเมืองไทยมี "ผี" อยู่ 2 ตัว ที่กำลังหลอกหลอนคนไทย

"ผี" ตัวแรก คือ ผีรัฐประหาร

ขนาด "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี ประกาศจะยุบสภาไม่เกินสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม
และผลักดัน "กฎหมายลูก" อย่างจริงจัง
แต่คนในแวดวงการเมืองก็ยังถามกันอยู่เลยว่า "จะมีการเลือกตั้ง" หรือไม่

จน "ผู้บัญชาการ" ทุกเหล่าทัพต้องออกมายืนเรียงหน้ากระดานประกาศว่าจะไม่มีการรัฐประหาร และไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง

"ท่านเชื่อเถอะว่าเราจะไม่ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ท่านเลิกเชื่อข่าวลือเถอะ ที่บอกว่าทหารจะปฏิวัติ ไม่มีหรอก ทหารจะ

ไม่เกี่ยวข้องการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น"

ทุกประโยคของพล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด นั้นชัดเจนมาก ไม่ปฏิวัติ และไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง

แต่คนจำนวนไม่น้อยก็ยังไม่เชื่อ


ถามว่าแปลกใจไหม
ตอบได้เลยว่า "ไม่แปลก"

เพราะประวัติศาสตร์ช่วง 5 ปีที่ผ่านมายังสดๆ ร้อนๆ
จำคำสุดฮิตในอดีตได้ไหมครับ
"ลับ-ลวง-พราง"

เป็นคำที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก ภาคภูมิใจมาก
"พูดอย่าง-ทำอย่าง" คือหนึ่งในกลยุทธ์ "ลับ-ลวง-พราง" ของ "บิ๊กบัง"

หรือกรณีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ร่วมประชุมกับ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" และแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลที่ กรมทหารราบ11 รอ.
เสนอ "เงื่อนไขที่ปฏิเสธไม่ได้" เพื่อให้ย้ายขั้วมาหนุน "ประชาธิปัตย์"

นักการเมืองที่อยู่ในวงสนทนาวันนั้นออกมาเล่าให้นักข่าวฟังเป็นฉากๆ
ล่าสุด "ไพโรจน์ สุวรรณฉวี" ก็เพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา

"ความจริง" ในอดีตที่ "ผู้นำ" รุ่นก่อนทำไว้ทำให้คนไม่เชื่อมั่นคำสัญญาของผู้นำเหล่าทัพในวันนี้

"ผีรัฐประหาร" จึงยังคงหลอกหลอน "คนไทย" ต่อไป



ส่วน "ผี" ตัวที่ 2 คือ ผีคอมมิวนิสต์ ครับ

"หมอผี" ที่ปลุกกระแสนี้มาหลอกหลอกคนไทยคือ "สุเทพ เทือกสุบรรณ"
เขากล่าวหา "คนเสื้อแดง" ว่าใช้แนวคิด "คอมมิวนิสต์"
ทั้งที่วันนี้ลัทธิ "คอมมิวนิสต์" มีแต่หดหายไปจากโลก ประเทศคอมมิวนิสต์อย่าง "จีน" ก็กำลังลอกคราบเข้าสู่ "ทุนนิยม"
แต่ "สุเทพ" ก็ยังปลุกผีคอมมิวนิสต์ขึ้นมา

ไม่แปลกหรอกครับที่ "แทน เทือกสุบรรณ" ลูกชายของ "สุเทพ" จะถามคุณพ่อว่าเป็นรัฐบาลมา 2 ปีกว่า ทำไม "คนเสื้อแดง" จึงไม่ลดลง

เพราะเมื่อวิธีคิดผิด การกระทำก็ผิด


"ผี" 2 ตัวในโลกการเมืองวันนี้ล้วนเกิดขึ้นจาก "ความกลัว" ทั้งสิ้น
ตัวหนึ่ง เกิดขึ้นจาก "ความกลัว" ของคนไทยจาก "ความจริง" ในอดีตที่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้
แต่ผีอีกตัวหนึ่ง เกิดจาก "ความกลัว" ของคนที่มีอำนาจ
กลัวจะหลุดจากอำนาจ

ก็เลยทำตัวเป็น "หมอผี" ปลุกผีคอมมิวนิสต์ขึ้นมา

ว่ากันว่า "เหมา เจ๋อ ตุง" ยังบ่นเลย

เอ็งมา ข้ามุด เอ็งหยุด ข้าแหย่ เอ็งแย่ ข้าตาม
...เอ็งอย่าพยายาม ข้าไม่เอาด้วย

.