http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-05-15

คดีโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 G:ฯ..ใครถ่วงความเจริญ? โดย สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

.
คดีโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 G: ประโยชน์สาธารณะอยู่ที่ไหนและใครถ่วงความเจริญ ?
โดย สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
ในมติชน ออนไลน์ ฉบับวันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เวลา 11:59:15 น.


เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมามีข่าวบริษัท ดีแทค ฟ้องร้อง กสท โทรคมนาคม ต่อศาลปกครอง เพื่อให้ยกเลิกสัญญาให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ระหว่าง กสท.และบริษัทในเครือของ ทรู คอร์ปอเรชั่น และขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการดำเนินการต่างๆ ตามสัญญาดังกล่าวเป็นการชั่วคราว ในช่วงที่หน่วยงานรัฐต่างๆ กำลังพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของสัญญา คดีนี้ถือเป็นคดีเกี่ยวกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 G คดีที่สอง ที่มีการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง โดยในครั้งแรกนั้น กสท ได้ฟ้องร้อง กทช ที่กำลังจะประมูลใบอนุญาตโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 G จำนวน 3 ใบ เมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา

การตั้งข้อสังเกตต่อความไม่ชอบมาพากลต่อกระบวนการและเนื้อหาของสัญญา ทำให้ผู้เขียนถูกผู้เสียผลประโยชน์บางรายกล่าวหาว่า พยายาม “ถ่วงความเจริญ” ไม่ให้ประเทศไทยมีบริการโทรศัพท์ 3G ใช้ .. จุดประสงค์ของบทความนี้ก็เพื่ออธิบายว่า สัญญาต่างๆ และคดีที่เกิดขึ้นนี้เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของประชาชนอย่างไร? และทำไม ผู้เขียนซึ่งเป็นนักวิชาการที่ไม่ได้มีผลประโยชน์โดยตรง จึงต้องออกมาแสดงความคิดเห็น?


แม้ว่า การฟ้องร้องในคดีโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 G ทั้งสองคดี น่าจะเกิดจากการแรงจูงใจในการรักษาผลประโยชน์ส่วนตนของผู้ฟ้องเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นรัฐวิสาหกิจคือ กสท หรือเอกชนคือ ดีแทค ก็ตาม การที่ผู้เขียนต้องออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ ก็เพราะเชื่อว่า มีประโยชน์สาธารณะ (public interest) ซึ่งหมายถึงผลประโยชน์ของประชาชน เกี่ยวข้องกับคดีทั้งสองอย่างมีนัยสำคัญ

วิธีหนึ่งที่เราจะสามารถพิจารณาประโยชน์สาธารณะที่เกี่ยวข้องในคดีทั้งสองได้ก็คือ การตั้งคำถามว่า หากไม่มีการฟ้องร้องกัน ซึ่งทำให้การดำเนินการต่างๆ เกิดขึ้นต่อไป จะเกิดอะไรขึ้นกับประชาชน ทั้งนี้ ในกรณีนี้ ประชาชนอาจมีได้ 3 ฐานะคือ หนึ่ง การเป็นผู้ใช้บริการหรือผู้บริโภคของบริการโทรศัพท์ 3G สอง การเป็นผู้เสียภาษีให้รัฐ และ สาม การเป็นพลเมืองเจ้าของประเทศ


ในคดีที่ กสท. ฟ้องร้อง หากไม่มีการฟ้องร้องโดย กสท และให้การคุ้มครองชั่วคราวโดยศาลปกครอง สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในความเห็นของผู้เขียนก็คือ

1. ประเทศไทยจะมีผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้นอีก 3 ราย แข่งขันกันให้บริการ 3G นอกเหนือจาก ทีโอที ซึ่งให้บริการอยู่แล้ว โดยการแข่งขันจะมีความเสมอภาค ซึ่งจะทำให้ประชาชนในฐานะผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด

2. รัฐจะได้ค่าประมูลคลื่นความถี่ไม่ต่ำกว่า 3.9 หมื่นล้านบาท จากการออกใบอนุญาต 3 ใบ ใบละไม่ต่ำกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้สามารถลดภาระภาษีที่รัฐต้องจัดเก็บจากประชาชน หรือสามารถเพิ่มบริการสาธารณะต่างๆ เช่น การศึกษา หรือสวัสดิการแก่ประชาชนได้ ซึ่งจะทำให้ประชาชนในฐานะผู้เสียภาษีได้รับประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ ค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่ดังกล่าวจะไม่ทำให้ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่สูงขึ้น เพราะเป็นเงินที่ถูกเก็บมาจากกำไรส่วนเกินของผู้ประกอบการ ไม่ใช่ส่วนที่ไปเพิ่มต้นทุน อย่างที่มักมีความเข้าใจผิดกัน

3. ระบบใบอนุญาตโดยหน่วยงานกำกับดูแลอิสระคือ กสทช. เป็นระบบมีความโปร่งใสมากกว่าและไม่เลือกปฏิบัติ จะมาทดแทนระบบสัมปทานของรัฐวิสาหกิจ ที่เต็มไปด้วยความไม่โปร่งใส และการแสวงหาผลประโยชน์ของฝ่ายการเมือง ซึ่งทำให้เกิด “อภิมหาเศรษฐี” ขึ้นมาในระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งภายหลังก้าวเข้าสู่การเมือง และเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งในสังคมในปัจจุบัน ระบบใหม่นี้จะมีผลในการลด “ธนกิจการเมือง” (money politics) และทำให้ประชาธิปไตยของไทยตอบสนองความต้องการของประชาชนในฐานะพลเมืองมากขึ้น

ดังนั้น หากมองว่า ประโยชน์สาธารณะคือ ประโยชน์ของประชาชน ถ้ามีการประมูลคลื่น 3G ตั้งแต่ปีที่แล้ว ผู้เขียนเห็นว่า ประชาชนทั้งในฐานะผู้บริโภค ผู้เสียภาษีและพลเมือง จะได้ประโยชน์สูงสุดด้วยเหตุผล 3 ประการข้างต้น

น่าเสียดายที่ การประมูลดังกล่าวไม่เกิดขึ้น เนื่องจาก ศาลปกครองรับฟ้องและให้การคุ้มครองชั่วคราวตามคำขอของ กสท. โดยอ้างเหตุผล 3 ประการโดยสรุปคือ

หนึ่ง ยังไม่มีการจัดทำแผนแม่บทบริหารคลื่นความถี่และตารางกำหนดคลื่นความถี่แห่งชาติ ซึ่งทำให้การประมูลของ กทช. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย สอง การให้การคุ้มครองของศาลจะกระทบเฉพาะต่อผู้ประกอบการเพียง 3 รายเท่านั้น และสาม การยังไม่มีบริการ 3G ไม่เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการสาธารณะ

โดยส่วนตัว ผู้เขียนเห็นแตกต่างจากศาล เนื่องจากคำสั่งให้การคุ้มครองดังกล่าวของศาลกระทบต่อบริการสาธารณะอย่างชัดเจน และกระทบต่อผู้ที่รอใช้บริการจำนวนมาก ไม่ใช่ผู้ให้บริการเพียงสามรายเท่านั้น


ส่วนในข้อแรก

แม้การพิจารณาว่า การดำเนินการของ กทช ไม่ชอบด้วยกฎหมายจะมีน้ำหนักก็ตาม ผู้เขียนก็เห็นสอดคล้องกับนักกฎหมายมหาชนบางคนที่เชื่อว่า กสท ไม่น่าจะมีสิทธิฟ้องในฐานะผู้เสียหาย ในการฟ้องคดีนั้น กสท อ้างว่า การประมูลคลื่น 3G ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ของ กทช. จะทำให้ตนสูญเสียรายได้จากสัมปทานที่มีอยู่

ผู้เขียนก็ไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวอ้างดังกล่าว เพราะแม้ กทช. หรือ กสทช. ที่จะตั้งขึ้นจะดำเนินการตามกฎหมายทุกขั้นตอน เช่น จัดทำแผนแม่บทบริหารคลื่นความถี่แล้วก็ตาม กสท ก็ยังจะเสียหายจากรายได้จากสัมปทานที่จะลดลง จากการออกใบอนุญาต 3G อยู่นั่นเอง ความเสียหายของ กสท จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายในการดำเนินการของ กทช. กสท จึงน่าจะไม่ใช่ผู้เสียหายที่มีสิทธิฟ้องต่อศาลปกครอง



ส่วนในคดีล่าสุดที่ ดีแทค ฟ้องร้องต่อศาลปกครองนั้น หากไม่มีการฟ้องร้องเพื่อระงับกระบวนการที่เป็นอยู่ สิ่งที่ผู้เขียนคาดว่า จะเกิดขึ้นก็คือ

1. นอกเหนือจาก ทีโอทีแล้ว ประเทศไทยจะมีผู้ให้บริการ 3G อีกเพียงรายเดียว คือ ทรู ซึ่งจะให้บริการ 3G ก่อนรายอื่น โดยไม่แน่ชัดว่า เอไอเอส และดีแทค ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญจะสามารถเริ่มให้บริการได้เมื่อใด และภายใต้เงื่อนไขที่เสมอภาคกันหรือไม่

โดยเฉพาะกรณีของดีแทค ซึ่งประสบปัญหาในการได้รับอนุญาตเปิดบริการ 3G จาก กสท นั้นก็ยิ่งไม่แน่ชัดว่าจะได้รับอนุญาตเมื่อใด เพราะถูก กสท ปฏิเสธมาแล้ว

ทั้งหมดนี้จะก่อให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม อันจะนำไปสู่การผูกขาดตลาด ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเสียประโยชน์จากค่าบริการที่แพงและคุณภาพบริการที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งยากจะแก้ไขโครงสร้างตลาดให้กลับมาเป็นตลาดที่แข่งขันกันได้ในภายหลัง

2. รัฐจะเสียหายจากการไม่ได้รับค่าประมูลคลื่นความถี่ไม่ต่ำกว่า 3.9 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก กสท นำคลื่นของตนไปให้ ทรู ใช้ โดยไม่ได้คิดต้นทุน ซึ่งภายหลังจะเป็นเหตุให้ เอไอเอส และดีแทค นำไปเป็นข้ออ้างไม่ยอมจ่ายค่าคลื่นความถี่ให้แก่รัฐได้ในอนาคต ซึ่งก็เป็นความเสียหายที่ยากจะแก้ไขกลับคืนมาได้เช่นกัน

3. สัญญาที่มีลักษณะคล้ายสัมปทานระหว่าง กสท และทรู จะทำให้เกิดความไม่โปร่งใส และการแสวงหาผลประโยชน์ในตลาดโทรคมนาคมของฝ่ายการเมืองคงอยู่ต่อไปอีก 14-15 ปี ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อทั้งตลาดโทรคมนาคมเอง และเกิดปัญหา “ธนกิจการเมือง” ที่ทำให้ประชาธิปไตยของไทยไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชน จากอิทธิพลของกลุ่มผลประโยชน์ที่เข้ามาแทรกแซงไปอีกนาน

มาถึงจุดนี้ ท่านผู้อ่านคงเห็นแล้วว่า ประโยชน์สาธารณะในคดี 3G ทั้งสองคดีดังกล่าวอยู่ที่ไหน? และใครกันแน่ที่เป็นผู้ถ่วงความเจริญของประเทศไทย?


++

ตอบ ทรู คอร์ปอเรชั่น เรื่องสัญญา 3G ระหว่าง ทรู กับ กสท.
โดย สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
ในมติชน ออนไลน์ ฉบับวันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เวลา 19:00:00 น.


ตามที่ ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้นำเสนอ “ข้อเท็จจริง” ในมุมของตน และกล่าวหาว่า บทความของผู้เขียนได้พาดพิงถึงทรูอย่าง “คลาดเคลื่อนข้อเท็จจริง” และมีการ “คาดเดา” หลายเรื่องโดยไม่ถูกต้องนั้น ผู้เขียนยินดีอย่างยิ่งที่จะได้เสนอ “ข้อเท็จจริง” ในมุมของผู้เขียนในฐานะนักวิชาการ ซึ่งไม่มีส่วนได้เสีย แต่ได้ติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เพื่อให้สาธารณชนได้พิจารณาอย่างรอบด้านว่า “ข้อเท็จจริง” ในเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่


ก่อนอื่น ผู้เขียนขอทบทวนสัญญา 3G ระหว่าง ทรู กับ กสท โดยสังเขป สาระสำคัญส่วนใหญ่ของการทำสัญญาดังกล่าวอยู่ในสัญญา 2 ฉบับหลักคือ “สัญญาเช่า” และ “สัญญาขายส่ง” ในส่วนของสัญญาเช่านั้น กสท จะ “เช่า” อุปกรณ์โทรคมนาคมจาก ทรู มาติดตั้งบนเสาที่ กสท จะสร้างขึ้น ซึ่งเป็นการเช่าทรัพย์สินกันตามปรกติ อย่างไรก็ตาม สัญญาดังกล่าวมีข้อกำหนดที่เกินจากสัญญาเช่าทั่วไปโดยกำหนดว่า “กสท จะนำคลื่นความถี่ในย่าน 800 MHz จำนวน 15x2 MHz … มาใช้กับเครื่องและอุปกรณ์ของบริษัทเท่านั้น” (ข้อ 2.12) ส่วนสัญญา “ขายส่ง” นั้น กสท จะนำเอาโครงข่ายทั้งหมด รวมทั้งอุปกรณ์ที่เช่าจากทรู มา “ขายส่ง” กลับให้ ทรู โดย ทรู มีสิทธิใช้โครงข่ายดังกล่าว 80% ซึ่งทำให้สัญญาขายส่งนี้มีผลบังคับผู้ขายเกินกว่าสัญญาขายส่งทั่วไปและกีดกันผู้ซื้อรายอื่น

ประเด็นที่ ทรู โต้แย้งผู้เขียนมี 3 ข้อ คือ 1. การทำสัญญา 3G ระหว่าง ทรู กับ กสท จะทำให้มีผู้ให้บริการ 3G รายเดียวนอกจาก ทีโอที คือ ทรู หรือไม่? 2. การทำสัญญาดังกล่าวจะทำให้รัฐเสียค่าประมูลคลื่นความถี่มูลค่า 3.9 หมื่นล้านบาทหรือไม่? และ 3. สัญญาดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน ต้องทำตามกฎหมายร่วมทุนฯ หรือไม่?



ในประเด็นแรกนั้น ผู้เขียนกล่าวไว้ว่า หากปล่อยให้สัญญาดังกล่าวเกิดขึ้น “นอกเหนือจาก ทีโอทีแล้ว ประเทศไทยจะมีผู้ให้บริการ 3G อีกเพียงรายเดียว คือ ทรู ซึ่งจะให้บริการ 3G ก่อนรายอื่น โดยไม่แน่ชัดว่า เอไอเอส และดีแทค ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญจะสามารถเริ่มให้บริการได้เมื่อใด” ทั้งนี้ คำว่า “ผู้ให้บริการ” ดังกล่าวของผู้เขียนหมายถึงผู้ประกอบการที่มีโครงข่าย เพราะการแข่งขันที่แท้จริงจะเกิดขึ้นจากผู้ประกอบการที่มีโครงข่ายหลายรายแข่งขันกันอย่างเสมอภาคเท่านั้น ทรู กล่าวว่า ผู้เขียนเข้าใจผิด เพราะในปัจจุบัน นอกจาก ทีโอที แล้ว ยังมีผู้ให้บริการขายส่ง (ซึ่งมีโครงข่าย) อีกรายหนึ่งคือ กสท ส่วนผู้ให้บริการขายต่อ (ซึ่งไม่มีโครงข่าย) ก็มีอยู่แล้วหลายราย ทั้งนี้ กสทและทีโอทีต้องปฏิบัติต่อผู้ขายต่อทุกราย รวมทั้ง ดีแทคและเอไอเอสอย่างเสมอภาคกัน

จะเห็นว่า ผู้เขียนและทรู เห็นตรงกันว่า หากนับเฉพาะผู้ประกอบการ 3G ที่มีโครงข่ายนั้น ในปัจจุบัน นอกจาก ทีโอทีแล้ว ก็เหลืออีกเพียงรายเดียว ซึ่งทรูระบุว่าคือ กสท แต่ผู้เขียนมองว่าคือ ทรู นั่นเอง เพราะทรูได้สิทธิในการใช้โครงข่ายของ กสท ไปถึง 80% จึงมีสภาพเสมือนเป็นผู้ประกอบการที่มีโครงข่ายแทน กสท (แม้จะใช้กลเม็ดทางกฎหมายขอใบอนุญาตแบบไม่มีโครงข่ายก็ตาม) ในสภาพเช่นนี้ กสท ย่อมไม่สามารถปฏิบัติต่อรายอื่นได้อย่างเสมอภาคกับทรูได้ เพราะเหลือความจุอีกเพียง 20% เท่านั้น นอกจากทีโอที แล้ว ตลาดจึงเหลือผู้ให้บริการ 3G ที่มีโครงข่ายเพียงรายเดียวคือ ทรู

นอกจากนั้น กสท ยังให้ทรูเริ่มให้บริการก่อนรายอื่น และไม่อนุญาตให้ ดีแทคให้บริการ 3G บนคลื่นที่ดีแทคใช้บริการ 2G อยู่ การกระทำดังกล่าวทั้งหมดทำให้ ทรู ได้เปรียบในการแข่งขันเป็นอย่างมาก เพราะหากคู่แข่งต้องการได้คลื่นความถี่เพียงพอที่จะแข่งขันกับทรู ก็จะต้องรอการจัดสรรคลื่นจาก กสทช. จึงไม่น่าแปลกใจที่รายงานของที่ปรึกษาการเงินของ กสท คือบริษัท BNC และ Value Partners เองก็ได้วิเคราะห์ว่า ทรู จะมีส่วนแบ่งตลาด 3G เพิ่มขึ้นถึง 5% จากการได้ทำการตลาดก่อนรายอื่น



ในประเด็นที่สอง ทรู โต้แย้งว่าการทำสัญญาดังกล่าวจะไม่ทำให้รัฐเสียค่าประมูลคลื่นความถี่ 3.9 หมื่นล้านบาท โดยอ้างว่า คลื่นความถี่ของ กสท เป็นคลื่นความถี่เดิม และ กสท ไม่ได้นำคลื่นความถี่มาให้ ทรู ใช้ เพียงแต่ขายต่อบริการให้ทรู ผู้เขียนแปลกใจที่ ทรู กล่าวอ้างดังกล่าว เพราะสัญญาเช่า ข้อ 2.12 ที่ยกมาข้างต้น ระบุอย่างชัดเจนว่า กสท ต้องนำคลื่นความถี่ของตนมาใช้กับเครื่องและอุปกรณ์ของทรูเท่านั้น และสัญญาขายส่งก็ทำให้ทรูได้ใช้คลื่นนั้นถึง 80% ทั้งนี้ กสท ไม่ได้คิดมูลค่าของคลื่นความถี่ดังกล่าวแต่อย่างใด เมื่อทรูได้คลื่นความถี่มาฟรี หากผู้ประกอบการรายอื่นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการประมูลคลื่นความถี่ ก็ย่อมไม่สามารถแข่งขันกับ ทรู ได้ จึงเป็นเหตุให้ กสทช ไม่สามารถกำหนดมูลค่าคลื่นความถี่ตั้งต้นไว้ที่ 1.3 หมื่นล้านบาทตามที่เคยกำหนดไว้ หากต้องการรักษาการแข่งขันที่เสมอภาค ซึ่งจะเป็นเหตุให้รัฐเสียรายได้จากการประมูลคลื่นความถี่ไปในที่สุด

ทรู ยังเข้าใจผิดด้วยว่า รายได้จากการประมูลคลื่น 3G ไม่ได้เป็นรายได้เข้ารัฐ ทั้งที่ กฎหมายองค์กรจัดสรรคลื่นฯ ซึ่งผู้เขียนมีส่วนในการยกร่าง กำหนดไว้ในมาตรา 45 ว่า “เงินที่ได้จากการประมูลเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วให้ส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน”



ในประเด็นที่สาม ที่ว่า สัญญาดังกล่าวเป็นสัมปทานที่ต้องทำตามกฎหมายร่วมทุนฯ หรือไม่นั้น กฎหมายร่วมทุนฯ กำหนดไว้ว่า การลงทุนใน “กิจการของรัฐ” ที่มีการร่วมการงานกับเอกชน ซึ่งมีมูลค่าเกินกว่า 1 พันล้านบาทนั้น ต้องดำเนินการตามกฎหมายร่วมทุนฯ ไม่น่าจะมีข้อสงสัยว่า สัญญาดังกล่าวมีการ “ร่วมการงานกับเอกชน” อย่างชัดเจน เพราะการร่วมการงานหมายความรวมถึง “ร่วมลงทุนกับเอกชนไม่ว่าโดยวิธีใด หรือมอบให้เอกชนลงทุนแต่ฝ่ายเดียว โดยวิธีการอนุญาต หรือให้สัมปทาน หรือให้สิทธิไม่ว่าในลักษณะใด” และมีความชัดเจนว่า โครงการดังกล่าวมีมูลค่าเกินกว่า 1 พันล้านบาท เพราะ กสท ก็ให้ข้อมูลว่า ตนจะได้ผลตอบแทนถึง 1.4 หมื่นล้านบาท ประเด็นที่เหลืออยู่จึงมีเพียงว่า โครงการนี้เป็น "กิจการของรัฐ" ตามกฎหมายหรือไม่เท่านั้น


มาตรา 5 ของกฎหมายร่วมทุนฯ บัญญัติไว้ว่า "กิจการของรัฐ" หมายความว่า “กิจการที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหน่วยใดหน่วยหนึ่งหรือหลายหน่วย รวมกัน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ต้องทำตามกฎหมายหรือกิจการที่จะต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือทรัพย์สินของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ” เป็นที่ชัดเจนว่า โครงการนี้ได้ใช้คลื่นความถี่ ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติ ดังปรากฏในสัญญาเช่า ข้อ 2.12 ข้างต้น



ทรู อ้างว่า สัญญาดังกล่าวได้ผ่านการตรวจสอบของ “นักกฎหมายอาชีพผู้มีประสบการณ์หลายสิบคน แต่ไม่มีใครเห็นว่าสัญญาดังกล่าวมีลักษณะเหมือนสัมปทาน” แต่เมื่อดูรายชื่อที่ทรูอ้างถึงก็พบว่า เกือบทั้งหมดเป็นนักกฎหมายหรือที่ปรึกษาของทรู หรือ กสท หรือธนาคารที่ให้กู้ในโครงการนี้ ซึ่งล้วนมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องหรือได้รับค่าตอบแทนจาก ทรู หรือ กสท ในทางใดทางหนึ่งทั้งสิ้น ยกเว้นสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ผ่านมา กสท และทรู ก็อ้างมาตลอดว่า สำนักงานอัยการสูงสุดให้ความเห็นชอบสัญญานี้แล้ว

ปัญหาก็คือ เราไม่เคยได้ทราบเลยว่า สำนักงานอัยการสูงสุดวินิจฉัยด้วยเหตุผลอย่างไรจึงสรุปว่า สัญญาดังกล่าวไม่ต้องทำตามกฎหมายร่วมทุนฯ ทั้งที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติคือคลื่นความถี่ ในส่วนของสัญญา “เช่า” ผู้ที่อ้างว่า สัญญาดังกล่าวไม่ต้องทำตามกฎหมายร่วมทุนฯ มักหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงส่วนของสัญญา “เช่า” แต่อ้างเฉพาะส่วนของสัญญา “ขายส่ง” ว่าเป็นการให้บริการที่ต้องขออนุญาตจาก กทช. จึงไม่เป็นสัญญาสัมปทาน

จริงหรือไม่ที่ อธิบดีอัยการฝ่ายปรึกษา ซึ่งรับผิดชอบสัญญานี้ ยังไม่ได้ให้ความเห็น และยังไม่ได้ตรวจสัญญา เนื่องจากมีข้อสงสัยบางประการ แต่สำนักงานอัยการสูงสุดก็ได้ทำความเห็นกลับไปยัง กสท ให้เดินหน้าโครงการต่อไปเลย? นอกจากนี้ ในการสัมมนาที่คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ อัยการที่ร่วมอภิปรายกับผู้เขียนก็กล่าวในทำนองที่ว่า การทำสัญญาดังกล่าวมีการหลีกเลี่ยงกฎหมาย เพราะทำตรงไปตรงมาไม่ได้ เพียงแต่ท่านเห็นว่า การหลีกเลี่ยงกฎหมายไม่ใช่การฝ่าฝืนกฎหมาย

จึงเกิดคำถามว่า ในการตรวจสัญญาดังกล่าว สำนักงานอัยการสูงสุดได้ใช้ความรอบคอบเพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐ (และประโยชน์สาธารณะ) และได้รายงานถึงข้อเสียเปรียบหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่รัฐ ตามหน้าที่ตามมาตรา 23 ของกฎหมายองค์กรอัยการฯ หรือไม่? เพราะปรากฏว่า สัญญาดังกล่าวน่าจะทำให้ กสท เสียเปรียบ ทรู หลายประการ ที่ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การที่ กสท ให้ทรูใช้คลื่นความถี่ โดยไม่คิดมูลค่าดังที่กล่าวมาแล้ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน สำนักงานอัยการสูงสุดจึงควรเปิดเผยผลการตรวจสัญญาดังกล่าวในทุกขั้นตอนต่อสาธารณะ


นอกจากนี้ ทรู ยังหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงข้อสังเกตของ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ว่า สัญญาดังกล่าวน่าจะเป็นสัญญาตามกฎหมายร่วมทุนฯ หรือข้อสังเกตของ ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ นักกฎหมายจากธรรมศาสตร์ที่มีความเห็นไปในแนวทางเดียวกัน


นอกจากน่าจะขัดกับกฎหมายร่วมทุนฯแล้ว ยังปรากฏเป็นข่าวด้วยว่า สำนักเลขาธิการ กทช ได้ทำความเห็นเพื่อเสนอ กทช ว่า สัญญาดังกล่าวยังอาจขัดกับมาตรา 46 ของกฎหมายองค์กรจัดสรรคลื่นฯ ที่ห้ามผู้ได้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ มอบการบริหารจัดการบางส่วนหรือยินยอมให้ผู้อื่นประกอบการแทน (กรุงเทพธุรกิจ 13 พฤษภาคม 2554)


หรือว่า ทรู ถนัดที่จะอ้างแต่ความเห็นของนักกฎหมายที่มีผลประโยชน์ได้เสียกับตน ใช้สื่อของตนเสนอข้อมูลด้านเดียวต่อประชาชน และกล่าวหาผู้อื่นโดยไม่ให้โอกาสชี้แจง? เพื่อความเป็นธรรมต่อผู้เขียน และเพื่อพิสูจน์ “ข้อเท็จจริง” ของทั้งสองฝ่าย ผู้เขียนพร้อมที่จะอภิปรายร่วมกับทรูในทุกเวที รวมทั้งรายการสดใน ทรู วิชั่นส์ด้วย ว่าแต่ว่า ทรู จะกล้าร่วมอภิปรายกับผู้เขียนหรือไม่?

.