http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-05-01

ประเทศเสรี, สาวสีลม, "ส" ส่งเสริม และ บาปบุญตรงไหน โดย ทราย เจริญปุระ

.

ประเทศเสรี
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1602 หน้า 80


มีอะไรหลายอย่างวนเวียนอยู่ในสมอง

ไม่ใช่เหตุการณ์จริงในชีวิต แต่เกิดขึ้นเฉพาะในสมองน้อยๆ ของฉัน

สาวสีลม ใครยิงใครก่อน อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ดาวเทียมไทยคม การปฏิวัติ และเด่นจันทร์

ฉันไม่รู้จะเลือกสนใจอะไรก่อนดี

ช่วงนี้เจอคนมากมายผ่านเข้ามาในชีวิต

บางคนก็เจอซ้ำๆ บางคนก็เจอแล้วผ่านเลยไป

สุดท้ายใครกันจะกลายเป็นเพื่อนของเรา

จำนวนเพื่อนเฉียดพันใน Facebook จะเป็นตัวบอกได้หรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้วใครจริง

เราไม่ยิงเขาก่อน เราดีกว่า เราใหญ่กว่า เราเจริญกว่า
นี่หรือความคิดของผู้นำกองกำลัง
ความอหังการเช่นนี้เคยมีประโยชน์กับผู้ใด
ภาพสุดท้ายที่ฉันทนดูได้ก่อนปิดทีวีคือท่านผู้นำท่านนี้
ยิ้มแย้มหัวร่อร่วนในงานศพของทหารพราน


โหลดบิตติดคุกสามปี แลกคลิปถูกปรับสาหัส เต้นเปลือยอกท้ายรถถูกบีบบังคับให้ขอโทษคนทั้งประเทศ

แต่ใช้อำนาจในทางมิชอบ พูดอย่างทำอย่าง เล่นพรรคเล่นพวก กลับไม่เป็นอะไร

และยังคงเชื่อมั่นกันอยู่ได้ว่าใครๆ เขาคงไม่รู้ทัน

อยู่ในประเทศเสรี เสรีที่จะคิด จะพูด จะเขียน จะกระทำ ไม่มีทางโดนจับ หากไม่ทำร้ายใคร *

แต่คนที่พยายามจะให้ทุกคนสามารถพูดและวิพากษ์ทุกสิ่งได้อย่างเสรี กลับถูกดำเนินการทางกฎหมายและสังคมอย่างร้ายแรง



ไม่มีใครเชื่อถ้าเราบอกว่าเราน่ะโคตรกลาง ไม่ซ้าย ไม่ขวา ไม่หน้า ไม่หลัง ไม่ส้ม ไม่แสด เพราะถ้าถือข้างใดข้างหนึ่งความรักของเราจะน้อยลงไป

เพราะอะไรรู้ไหม
เพราะเราต้องเกลียดอีกข้างไง *

เราต่างโดนหลอก
โดยสรรพสิ่งในทีวี *

ทีวีดับ จอดำทำเสียขวัญกันทั้งประเทศ

บ้างก็กลัวว่าจะเกิดปฏิวัติ บ้างก็บอกว่าเป็นเพียงผลกระทบจากปฏิกิริยาในอวกาศ

พูดกันไปต่างๆ นานา

แต่สุดท้ายคงเป็นเพียงความกลัวว่าจะไม่ได้ดูเรยาและเด่นจันทร์

และคงไม่มีอะไรไว้คุยกันในวันพรุ่งนี้

.......................................................

* ข้อความจากในหนังสือ " สิ่งที่สวยงามมักจะอยู่ไกลออกไป " เขียนโดย เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2554 โดยสำนักพิมพ์รูปจันทร์



++

สาวสีลม หน้าไหว้ หลังหลอก
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1601 หน้า 80


ฉันเพิ่งซมซานกลับมาอย่างหมดแรงจากเทศกาลเปิดร้านค้าแห่งชาติ

ยังไม่ทันจะตั้งตัวโงหัวขึ้นมาจากความเหนื่อยและเมา ก็มาเจอเข้ากับประเด็นร้อนตอนสงกรานต์เสียก่อน

จะเป็นเรื่องอะไรไปเสียมิได้ นอกจากสามสาวสีลม

ประเทศเราช่างมีแต่คนดี

ทุกคนผ่องใส สุขใจอยู่ในศีลธรรมจารีต รักใคร่ปรองดองกลมเกลียวเป็นใจเดียวกัน

เราไม่ชอบกินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เราไม่มีอาบอบนวด อะโกโก้และสถานเริงรมย์

ถ้าคุณบอกว่ามันก็มี แต่ต้องจัดระเบียบให้ดี คนพวกนี้ อาชีพพวกนี้ทำให้ประเทศเรามีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี

ภาพลักษณ์ ภาพลักษณ์ ภาพลักษณ์

สุดท้ายก็เป็นเรื่องของภาพมากกว่าความเป็นจริง


แล้วคนที่ทำงานในนั้นเขาไม่มีอารมณ์อยากเล่นสงกรานต์เท่าพวกคุณหรือ

คุณไม่เคยสนุกสนานกับการทำอะไรห่ามๆ บ้างเลยหรือ

คุณไม่เคยเมาแล้วขับเพราะคิดว่าตัวเองยังไม่เคยเมาบ้างเลยหรือ

มันผิดร้ายเพียงใดถึงจงใจไล่ล่ากันถึงเพียงนี้

ทำไมทุกคนต้องทำหน้าขยะแขยงเธอทั้งสามคนถึงขนาดนี้

เอาจริงๆ มันก็เป็นนมต้มเนื้อหนังของพวกเธอทั้งนั้น ใครไม่ทำก็อย่าไปทำ การที่เธอเปลือยนมกันมันไม่ควร แต่มันไม่ได้ทำให้สังคมล่มสลายใช่ไหม

บางทีสังคมเราก็อุดมจริตกันจนเกินไป และติดกับคำหวานๆ หรือการสร้างวาทกรรมที่ดูดีแบบใหม่กันเกินงาม

ไม่มีใครอยากเป็นอย่างอื่นกันบ้างเลยเหรอ



"...ถ้าเราเชื่ออยู่อย่างเดียว เช่น ถ้าทุกคนขยันเรียนจนเป็นเจ้าคนนายคนกันหมด แล้วใครจะเป็นลูกน้อง ใครจะปลูกข้าว ใครจะกวาดขยะ ผมว่าคละๆ กันเอาไว้แบบนี้น่ะดีแล้ว มีคนขยันเรียนบ้าง ขี้เกียจเรียนบ้าง จนบ้าง น่ารักบ้าง งี่เง่าบ้าง ช่างมันเถอะ

เพราะโครงสร้างสังคมออกแบบไว้แล้วว่าถ้ามีโจรปล้นฆ่า เราก็มีคุก มีตำรวจ มีศาลสถิตยุติธรรม

ถึงแม้ว่าบางทีก็หลุดๆ เลอะๆ หรือสกปรกบกพร่องบ้าง ก็หาทางแก้ไขกันต่อไปด้วยความเมตตา..."*


ทำไมทุกคนต้องตกใจวุ้ยว้ายอะไรกันขนาดนั้น

ในเมื่อก็รู้กันอยู่แล้วว่าการจัดงานนี้ให้คึกคักเป็นที่น่าสนใจนั้นต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบหนึ่ง และองค์ประกอบหลักนั้นก็มักจะลากเอาอีกองค์ประกอบหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยที่เราทุกคนต่างก็รู้ดี

แต่ก็มีการเอาหูไปนา เอาตาไปไร่กันเสียมาก

ทั้งที่รู้กันอยู่กระจ่างใจว่าส่วนประกอบทั้งสองนี้สามารถสร้างให้เกิดผลลัพธ์พิสดารยากจะคาดเดาได้เสมอ นั่นคือวัยรุ่น และเหล้า


เวลาเห็นใครออกความเห็นว่ารู้อย่างนี้ไม่พาลูกไปเที่ยวสงกรานต์ที่นั่นดีกว่า ฉันจะตกใจเสมอว่า คนที่เปรยประโยคแบบนี้ออกมาไปอยู่เสียที่ไหนในโลกนี้? ไม่รู้จริงๆ หรือว่าจะพาลูกไปเจอกับอะไร ไม่เอะใจบ้างหรือว่าข้างนอกเขาเป็นอย่างไรแล้ว

ฉันไม่ได้บอกว่าความเกินเลยของความสนุกนั้นเป็นเรื่องถูกต้องไปเสียทั้งหมด แต่คุณมีลูกของคุณเอง คุณไม่ควรหวังให้ทุกคนในสังคมมาทำตัวเป็นพี่เลี้ยงลูกให้คุณได้

ที่ที่คนเยอะ เบียด มีการดื่มเหล้ายา

และเต็มไปด้วยมนุษย์มากมายหลายหลากที่มีความตั้งใจเดียวกันคือการมาสาดน้ำใส่กันนั้น คุณจะคาดหวังอะไร?

สอนลูกในความจริงกันดีกว่าไหม เพราะประเทศไทยก็ไม่ได้เพิ่งเป็นแบบนี้

คิดอย่างสุดโต่งไปเลยฉันก็คิดว่าเลิกนำเสนอข่าวสงกรานต์ไปจะดีกว่า

ชาวต่างชาติจะได้เห็นแต่การสาดน้ำเบาๆ มาลัยมะลิและรอยยิ้มเอียงอายของหญิงสาวใบหน้าพราว ด้วยหยดน้ำในภาพข่าวสมัยดึกดำบรรพ์ ที่เราคัดเลือกแล้วในการนำเสนอ

พ่อ แม่ก็อย่าพาลูกไปเล่นสาดน้ำนอกสถานที่ เพราะมันจะเป็นการเพาะนิสัยการสร้างความรุนแรงและการเอาชนะให้แก่เด็กประเภทสาดมาต้องสาดกลับอะไรเทือกนี้

ไม่งั้นก็จัดโซนกันไปให้ชัดเจน ใครมีจิตใจใสสะอาดก็จัดสาดน้ำกันเบาๆ ในวัด

ใครอยากเล่นหนักก็เชิญไปข้าวสารหรือสีลม อย่าได้มาก้าวก่ายกัน



ฉันแค่ไม่เข้าใจ

สาวทั้งสามคนนั้นไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่ดารานักแสดง ไม่ใช่ผู้นำใดๆ ทางสังคมที่ส่งผลต่อวิถีคิดของผู้คน ทำไมต้องกระเหี้ยนกระหือรือในการตามหาเธอถึงเพียงนั้น

ทีเรื่องใหญ่ๆ กว่าในสังคมเรายังพร้อมใจกันลืมได้เลย เรื่องภาษี เรื่องข้าวของราคาแพง เรื่องการโกงกิน เรายังไม่สนใจจะตั้งคำถาม

หรือถ้าจะมีคนถามเราก็จะพร้อมใจกันช่วยลืมเสียด้วยซ้ำ

แล้วทำไมต้องเรียกร้องให้พวกเธอออกมาขอโทษสังคม สังคมเลี้ยงเธอมาแบบนี้เราจะไปคาดหวังอะไร พวกเธอต้องออกมาขอโทษ

เพราะพวกเธอไปเหยียบตีนสังคมหรือไร?

ก็ใช่, มันไม่ควร การถอดเสื้อเต้นในที่สาธารณะไม่ใช่สิ่งที่วิญญูชนพึงกระทำ

แต่มันอะไรกันนักหนา มันน่ารังเกียจวี้ดว้ายอะไรกันขนาดนั้นเลยเหรอ

นี่พวกเราอยู่ในเมืองที่หน่วยงานภาครัฐสนับสนุนให้จัดงานรื่นเริงบนถนนที่มีคนตายในเวลาไม่ทันถึงปีนะ



มีข้อสังเกตขำๆ ว่าในเพจของกระทรวงวัฒนธรรมยังมีรูปนางกินรีหรือนางฟ้า

นางอัปสรสวรรค์เปลือยอกพนมมือแต้อยู่ระหว่างเต้าอันทองอร่ามกลมกลึงให้ได้ดูกัน

ดังนั้น, เห็นทีว่าสงกรานต์ปีหน้าเราคงจะต้องแต่งตัวเป็นนางกินรีมาเล่นน้ำเสียแล้ว ถ้าไม่อยากโดนล่าโดนล้างจากสังคม

เผลอๆ ยังจะถูกเชิดชูเกียรติว่าสนับสนุนความเป็นไทยเสียอีก

แต่ฉันก็ไม่ได้คลิกเข้าไปดูเสียด้วยว่าหน้าเพจของหน่วยงานที่มีนางกินรีมายกมือไหว้สวยงามนั้น ข้างหลังจะเป็นอย่างไร

เพราะกลัวแต่จะไปสนับสนุนภาษิตไทยๆ เข้าอีกอัน

ก็อันที่ว่า, หน้าไหว้ หลังหลอก นั่นเอง

.......................................................

*ข้อความจากในหนังสือ " มีตำหนิ " เขียนโดย วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ฉบับรวมเล่มครั้งแรก มีนาคม, 2554 โดยสำนักพิพ์ โอเพ่นบุ๊กส์



+++

"ส" ส่งเสริม
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1600 หน้า 80


หนังฉายแล้วค่ะ หนังเรื่องที่ฉันเล่นนี่ล่ะค่ะ เรื่องนั้นล่ะ หนังแห่งสยามประเทศภาค 3 นั่นล่ะ

ระดับผู้ชมที่เหมาะสมสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้

คนส่วนใหญ่คงรู้กันคร่าวๆ อยู่แล้ว ถึงเกณฑ์ในการจัดระดับผู้ชม ว่าหนังที่มีความรุนแรงในด้านต่างๆ มีแนวคิดเป็นภัยต่อระบบ

ระบอบหรือมีการแสดงออกทางเพศก็จะต้องถูกจำกัดกลุ่มอายุคนดูไปตามความเหมาะสมของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ที่เป็นเหมือนองค์กรลับกุมชะตาฟ้าดินและความบันเทิงของมนุษยชาติ ว่าใครคนใด อายุมากน้อยขนาดไหนสมควรจะได้ดูหนังเรื่องนี้

หรือหนังเรื่องนี้หยาบคายร้ายแรงอี๋แหวะถึงขนาดไม่ควรให้สิ่งมีชีวิตใดๆ ได้รับชม

การณ์มันก็เป็นแบบนี้ค่ะ คือภาพยนตร์แห่งสยามประเทศนี้ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก (ไม่นับสารคดีบางเรื่องก่อนหน้านี้) ที่ได้รับการประทับตราจัดเรตติ้งให้ว่า "ส" ซึ่งย่อมาจาก "ส่งเสริมให้ควรดู"

ส่งเสริมนี่คือทุกเพศ, ทุกวัย, ทุกหย่อมหญ้าควรจะมาดูกันนะจ๊ะเธอจ๋า

แต่ในเมื่อหนังมันว่าด้วยการกอบกู้อิสรภาพของชาติ ซึ่งเราต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อ หนังจึงไม่ได้แสดงถึงการตีคลีหรือเล่นหมากรุกชิงเมือง แต่เป็นการรบราฆ่าฟันกันอย่างจะจะ ถึงเลือดถึงเนื้อ

ฉันจึงพูดไม่ออกที่เห็นมีคนอุ้มลูกน้อย อายุไม่เกินสามขวบเข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้

แน่นอนว่าเวลาสองชั่วโมงครึ่งนั้น นานเกินกว่าที่เด็กเล็กๆ จะอดทนประคองสมาธิอยู่ได้ ความรำคาญจึงมาตกอยู่กับผู้ร่วมชมภาพยนตร์ในรอบนั้น

ซึ่งฉันมีความเห็นว่าถ้าจะมีการเก็บกล้องถ่ายรูปและโทรศัพท์มือถือก่อนเข้าโรงหนัง ก็น่าจะเก็บเด็กเล็กๆ เหล่านี้ใส่ถุงรวมกันไปด้วยเลย

ใช่, คนไม่รักเด็กอย่างฉันรำคาญและไม่มีสมาธิเวลามีเด็กเล็กๆ มางอแงงึมงำในโรงหนัง

แต่คนไม่รักเด็กอย่างฉันอีกเช่นกันที่สงสัยว่าทำไมพ่อแม่ถึงพาลูกมานั่งจ้องความรุนแรงต่อเนื่องดั่งการสะกดจิตกว่าสองชั่วโมงเช่นนี้?



ยุคนี้ที่ใครๆ ก็พร้อมใจกันชี้นิ้วใส่สื่อบันเทิงว่านำมาซึ่งความรุนแรง
ยุคนี้ที่ก้นของตัวการ์ตูนเด็กชายถูกเบลอเพราะเป็นภาพโป๊อันไม่เหมาะสม
ยุคนี้ที่หนังอาจจะไม่ได้ฉายเพราะมีภาษาปากแบบวัยรุ่นอยู่ในชื่อเรื่อง
ยุคนี้ที่หนังไม่ได้ฉายเพราะทัศนคติทางเพศบางประการของผู้ตัดสินและผู้จัดทำไม่สอดคล้องกัน

แต่ให้เด็กก่อนวัยเรียนไปนั่งจ้องคนโดนฟันคอ เอาหอกแทงทะลุอกได้อย่างนั้นเหรอ?

คนให้เรต "ส" มา เซ็นอนุมัติผิดเรื่องหรือเปล่า?

และสำหรับผู้ที่พาลูกน้อยไปเข้าชมคะ...

แค่เขาส่งเสริมให้ดูก็ทำให้ทุกคนพร้อมใจกันลืมมาตรฐานที่มีอยู่งั้นหรือ?

ทำไมไม่มีใครเอะใจ? หากวันหนึ่งมีข่าวเยาวชนใช้มีดดาบไล่ฟันกันภาพยนตร์เรื่องนี้จะตกเป็นจำเลยเหมือนที่เรื่องอื่นๆ เคยโดนมาหรือไม่?

ฉันเชื่อว่าเราๆ ท่านๆ คงรู้คำตอบดี


ประเทศเราตอนนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยหน่วยงาน, องค์กร, บอร์ดบริหาร และคณะกรรมการผู้แสนห่วงใย คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการผู้ทรงเกียรติ คณะกรรมการ คณะกรรมการ คณะกรรมการ และคณะกรมการซึ่งมีหน้าที่คิดแทน ทำแทน และจัดทางให้เราได้เดินตามอย่างเป็นระเบียบ

ถึงแม้เขาจะคิดมาให้เราเสร็จสรรพ แต่ผลลัพธ์นั้นก็เกิดขึ้นกับชีวิตของเราอยู่ดี และเมื่อผลอันรุนแรงนั้นเกิดขึ้นแล้ว เขาเหล่านั้นอีกนั่นแหละที่เข้ามาจัดแจงควบคุมชีวิตเรา ก็จะให้ทำอย่างไร

ในเมื่อเราไม่เอะใจว่าสิ่งที่เขาส่งเสริมนั้น เสริมเพื่อใครกันแน่

เรา, เขา หรือสัญลักษณ์ยอดนิยมที่เรียกว่าชาติบ้านเมือง



++++

บาปบุญตรงไหน
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1596 หน้า 80


ช่วงนี้คงไม่มีข่าวไหนอยู่ในความสนใจของผู้คนมากไปกว่าเรื่องของสึนามิและแผ่นดินไหวถล่มเกาะญี่ปุ่น
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดค่ะ
แต่ตอนนี้ฉันเบื่อ
ฉันเบื่อ เบื่อ เบื่อ

เบื่อที่จะต้องมานั่งฟังประโยคในแนวทางซ้ำๆ ว่า

"ไม่รู้คนญี่ปุ่นเขาทำบาปอะไรไว้เนอะ ถึงต้องมาเจออย่างนี้"

"กรรมของชาวญี่ปุ่นที่กินปลามามาก ปลาเลยมาทวงคืนด้วยการทำให้เกิดสึนามิ"

"เราน่ะมีบุญแล้วที่เกิดมาเป็นคนไทย"

มันเกี่ยวกับบาปบุญตรงไหนกัน เรื่องที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนไหวและภัยธรรมชาติเนี่ย?



ฉันเป็นเด็กดื้อค่ะ ดื้อมากด้วย
ฉันเลยไม่เชื่อ
ไม่ใช่ว่าฉันจะก๋ากั่นจนไม่คิดทำความดีหรอกนะคะ
การทำความดีเพราะเราจะทำความดีนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง

แต่การทำความดีเพราะกลัวจะเป็นบาปกรรมติดตัวนั้นเป็นคนละเรื่องกัน

การมานั่งแก้ไขสิ่งที่ผ่านไปแล้วก็เหมือนการรักษาความป่วยไข้ของผี

คือมันไม่มีทางเป็นไปได้ นอกจากจะจำเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดอีก



แล้วพอฉันตั้งข้อสงสัยก็จะกลายเป็นพวกหัวรุนแรง ไม่นับถือศาสนา เพราะ "ศาสนาพุทธเนี่ยเค้าสอนเราเรื่องบุญเรื่องกรรมนะจ๊ะ กรรมเป็นตัวกำหนดชีวิตของเรา"

ก็อาจเป็นได้ค่ะ ฉันเองก็ไม่มีทางรู้ว่าทำไมเราถึงมาเป็นเราในปัจจุบัน

แต่ทำไมต้องยอมให้กรรมมากำหนดสมองและกำจัดการใช้เหตุผลไปด้วยล่ะคะ

ไปกันใหญ่เลยคราวนี้

กลายเป็นว่าหลักเหตุผลนั้นไม่สำคัญเท่าความดราม่าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์


ฉันฟังเมื่อไหร่ก็อยากจะหวีดร้องดังๆ ออกมาทุกที
มันแย่พอๆ กับการหลอกผีเพื่อให้เด็กหยุดร้องไห้

ถ้าจะแย่กว่าก็ตรงทุกคนโตๆ กันหมดแล้ว
ก็ยังพร้อมใจกันเชื่อและพยายามหาเหตุผลมาอธิบายแทนด้วยซ้ำ

ไม่ว่ามันจะฟังดูไม่น่าเชื่อขนาดไหน แต่พอเหตุผลนั้นประกอบไปด้วยเรื่องบุญกรรมหรือดวงชะตา
มันก็จะดูดีมีเหตุผล จนทำให้ทุกคนพร้อมใจกันเชื่อและปฏิบัติตามทันที

คนเราจะล่วงรู้อะไรได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ว่าคนที่เกิดมาครอบครัวไม่เคยให้ความรักต้องถูกทุบตีจากสามีมาตลอด
เพราะอดีตชาติเป็นชายชาวเขมร ที่ต้องทำร้ายผู้หญิงที่เป็นนักโทษตกวันละ 20 คน
ผลกรรมที่มีอยู่จึงทำให้ถูกล่วงเกินทางเพศ ตั้งแต่อายุ 16 ปี ชีวิตมีแต่ความกดดัน

และผลกรรมนั้นก็ทำให้ชีวิตถูกผู้ชายทำร้ายเป็นจำนวนมาก นี่ก็เป็นตราบาปที่ต้องแก้โดยการสวดมนต์ภาวนาทุกวัน

ทำไมต้องเป็นชายชาวเขมร?

ถ้าเคยเป็นผู้หญิงคบชู้แล้วจะทำให้ชาตินี้เกิดมาผิดเพศ

ทำไมต้องทำให้ผู้ที่มีใจรักในเพศเดียวกันรู้สึกผิดว่าเพราะเราเคยประพฤติผิดลูกผิดเมียคนอื่นมาก่อนในอดีตชาติอันไกลโพ้น

เป็นกะเทยมันบาปกรรมตรงไหน?


อ่านๆ ไปแล้วฉันก็แทบเขวี้ยงหนังสือ "เกิดแต่กรรม" ทิ้ง ไม่รู้ว่าเขวี้ยงแล้วจะเกิดกรรมอะไรกับฉันหรือเปล่า

ถ้าอย่างนั้นที่ฉันเกิดมาเป็นคนแบบนี้ คงเพราะชาติที่แล้วฉันเป็นพระเทวทัตนั่นล่ะค่ะ

กลายเป็นว่าคนเราเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้มากกว่าสิ่งที่เห็นและจับต้องได้จริงอย่างการกระทำของตนเองใน เวลานี้ ปัจจุบันนี้

น่าเศร้าใจที่สุด



การเข้าสถานปฏิบัติ (ฉันไม่รู้จะเรียกยังไงค่ะ จะว่าวัดก็ไม่ใช่ จะว่าศูนย์บำบัดก็ไม่เชิง เลยเรียกสถานปฏิบัติเอาแล้วกัน) เป็นกระแสยอดนิยมในช่วงนี้

ฉันขออนุโมทนาบุญด้วยสำหรับใครที่ไปแล้วได้อะไรดีๆ

แต่ก็อดจะรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ว่าไปกันเพราะอยากไปหรือเพราะอะไรกันแน่

เรียกว่ารู้สึกพิลึกพิลั่นตั้งแต่วันปีใหม่มาแล้ว ที่มีโครงการรณรงค์ให้คนสวดมนต์ข้ามคืนกัน เพราะมีบางคนที่ไปในวันนั้นเพิ่งนั่งกินเหล้ากับฉันถึงห้าทุ่ม เพื่อจะไปสวดมนต์แล้วกลับมากินเหล้าต่ออย่างสบายใจ ด้วยเชื่อว่าชีวิตจะดีเลิศตลอดปี ด้วยตัวได้ไปสวดมนต์ข้ามคืนมาแล้ว

ฉันไม่ได้ตามผลต่อหรอกนะคะว่าคืนนั้นเพื่อนร่วมวงเหล้าของฉันคนนี้จะถูกจับและปรับจากข้อหาเมาแล้วขับหรือเปล่า

เพราะฉันกลัวว่าถ้ารู้ผลจะอดใจไม่ให้สมน้ำหน้า หรือให้คำแนะนำห่ามๆ ประเภทที่ว่าเวลาเจอด่านให้สวดมนต์ใส่ไม่ได้



เชื่องมงายแบบนี้ฉันว่าเราก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ในยุคเริ่มต้นที่ ไหว้ลม ไหว้ฝน และมีจารีตแปลกๆ ที่คนในยุคนี้รู้เข้าก็ต้องร้องวุ้ยว้ายตกใจเอามือทาบอกกันเป็นแถวๆ

ก็ไม่รู้จะตกใจทำไม ในเมื่อไม่ว่าจะยุคไหนๆ เราก็ใช้มนุษย์บูชายัญเพื่อสังเวยความเชื่อของตัวเราเองไม่ต่างกัน


ถ้านึกไม่ออกว่าเคยไปบูชายัญใครไว้เมื่อไหร่

ก็ลองนึกถึงลัทธิล่าแม่มดที่เพิ่งเกิดซ้ำในเมืองไทยมาไม่นานนี้เถอะค่ะ

นึกดูว่าคุณเคยประณามสาปแช่งหรือขุดคุ้ยชีวิตของใครบางคนที่คุณเชื่อว่าไม่ดีเพราะมีความเห็นตรงข้ามกับคุณไปกี่คน

นึกดูว่าคนที่ตายไปเกือบร้อยคนในเดือนเมษายนที่แล้วนั้น เขาตายไปเพื่ออะไร

นึกดูว่าคุณเคยสมน้ำหน้าพวกเขาหรือไม่

นึกดูว่าตอนนี้, เทพเจ้าในใจคุณเริ่มอยากได้เหยื่อรายใหม่ๆ หรือยัง


.