http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-05-04

ฝุ่นตลบ ตบเท้า เข้าทางเหยี่ยว แต่.. โดย มุกดา สุวรรณชาติ

.
ฝุ่นตลบ ตบเท้า เข้าทางเหยี่ยว แต่....ทักษิณจะเล่นการเมืองอีก 20 ปี
โดย มุกดา สุวรรณชาติ คอลัมน์ หลักศิลากลางน้ำเขียว
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1602 หน้า 20


สถานการณ์การเมืองวันนี้อยู่ในสภาวะฝุ่นตลบเพราะการตะลุมบอนของทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นไปหลายยกแล้ว สังเกตได้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปตามแผน การต่อสู้จึงเกิดขึ้นและลุกลามตามสถานการณ์ทางการเมืองที่พาไป ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับความเสียหาย แถมยังส่งผลร้ายต่อประชาชนและประเทศชาติ

เขียนวิเคราะห์สถานการณ์ 2 เดือนหลังรู้สึกว่า วนอยู่กับเรื่องเลือกตั้งและรัฐประหาร บ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้มาหลายสิบปีแล้ว เพราะใคร? ทำไม?

วันนี้แม้กระแสลมประชาธิปไตยยังพัดแรง แต่ฝูงเหยี่ยว ฝูงแร้ง ก็ยังบินว่อนเต็มท้องฟ้า ฝูงนกพิราบจะบินได้ถึงเป้าหมายหรือไม่ยังไม่รู้

ภายในฝุ่นควันที่ปลิวฟุ้งตลบมีการกล่าวหาเรื่องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ, มีเสียงตบเท้าด้วยความไม่พอใจของนายทหารบางกลุ่มต่อแกนนำ นปช. และการลาออกจากพรรคเพื่อไทยของ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ การตัดสินใจไม่ลงสนามเลือกตั้งของพรรคการเมืองใหม่

ทั้งหมดเกิดขึ้นในกระแสข่าวที่ว่าคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยนำหน้ามาแรงกว่าพรรคอื่น

เกิดขึ้นในขณะที่เสียงของประชาธิปัตย์ (ปชป.) ลดลง ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาการบริหาร ชาวบ้านเผชิญกับปัญหารูปธรรมคือความเดือดร้อนจากน้ำท่วม ปัญหาน้ำมันปาล์ม ปัญหาไข่ ความไม่พอใจจากการพยุงราคาน้ำมันดีเซล

เรื่องเหล่านี้เกี่ยวโยงถึงกันหมด แต่ ทักษิณ ชินวัตร ไม่สนใจฝุ่นตลบยังสวนทางด้วยการโฆษณานโยบายที่จะแก้ปัญหาของประเทศไทย ผ่านการเลือกตั้ง



พรรคเพื่อไทยเสี่ยงโชว์พลัง เรียกทั้งมิตรและศัตรู

หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เมื่อข้อมูลจากการสำรวจภาคสนามได้ถูกส่งกลับไปให้ทั้งสองฝ่าย ทุกกลุ่มย่อยต่างก็ได้มีโอกาสประเมินความนิยมของประชาชนที่มีต่อพรรคต่างๆ ข่าวจากการสำรวจของสายทหารที่ลงไปไหนพื้นที่ของชนบทจริง การจ้างนักวิชาการสำรวจของพรรคเพื่อไทย การประเมินของพรรค ปชป. และการลงพื้นที่บางส่วนของพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กได้คำตอบที่คล้ายกันคือ

1. พรรคเพื่อไทยจะได้จำนวน ส.ส. เป็นที่หนึ่งแต่จะได้เกินครึ่งหรือไม่ยังไม่แน่ ตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 233-267 ดังนั้น โอกาสตั้งรัฐบาลพรรคเดียวก็มีความเป็นไปได้

2. จากตัวเลข จำนวน ส.ส. ของเพื่อไทยทำให้ฝ่ายตรงข้ามปรับยุทธศาสตร์จากต้องการเป็นที่ 1 เปลี่ยนเป็นสกัดเพื่อไทยเพื่อให้ได้

คะแนนไม่ถึงครึ่ง โดยจะหวังสกัดให้อยู่ที่ 210-233 คน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น พรรคอื่นๆ ที่ก็ยังสามารถรวมกันตั้งรัฐบาลผสมได้

3. ปฏิบัติการของทั้งสองฝ่ายวันนี้ทำเพื่อบรรลุเป้าหมาย พรรคเพื่อไทยเองต้องพยายามให้ได้ ส.ส. ถึง 270 คนเพื่อความปลอดภัยจากการถูกสอยด้วยใบแดง ฝ่ายตรงข้ามเองก็ต้องเริ่มปฏิบัติการ ตัดคะแนนนิยม ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจะต้องเผชิญกับอีกหลายด่าน หากเดินพลาดตาไหน ก็จะถูกโจมตีทันที

ข้อหาเรื่องล้มเจ้าเป็นเรื่องที่ต้องเกิดอยู่แล้ว และกระแสอันนี้ ฝ่ายตรงข้ามจะซัดสาดเข้าใส่ตลอดเพื่อใช้เป็นข้ออ้าง ที่จะปิดโอกาสในการตั้งรัฐบาลผสม ในกรณีที่ได้เสียงเป็นที่ 1 แต่ไม่ถึงครึ่งสภา

เรื่องแบบนี้ผู้นำของพรรคเพื่อไทยต้องพาพรรคปลีกตัวออกจากเกมนี้ เปลี่ยนไปเล่นเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ โจมตีเรื่องการบริหาร การคอร์รัปชั่น ดังนั้น พรรครัฐบาลและทหารซึ่งต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดซื้อและการทำงานก็ต้องระวังการสวนกลับซึ่งอาจจะมาจากพรรคเพื่อไทยหรือกลุ่มคนเสื้อแดงก็ได้

ใกล้เลือกตั้งฝุ่นจะตลบกว่านี้ ข้อแนะนำสำหรับประชาชนวันนี้ เตรียมตัวเลือกตั้ง สถานการณ์จะแปรเปลี่ยนก็ต่อเมื่อการเลือกตั้งสิ้นสุดลง และรู้ผลแล้ว



สิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้น "คือการตบเท้า"

เรื่องนี้เคยเกิดมาหลายครั้งแต่นานแล้ว ที่จริงแล้วความรู้สึกเจ็บปวดของชาวบ้านอาจจะเก็บไว้ในใจก็ได้ แต่บังเอิญมาเกิดเรื่องนี้ในขณะที่สัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมหายไปเกือบ 3 ชั่วโมง จึงได้เห็นปฏิกิริยาของพ่อค้าประชาชน ที่แสดงออกอย่างวิตกกังวล

พวกเขาโทรศัพท์ปรึกษากันเพราะการรัฐประหารตั้งแต่ปี 2549 จนถึงบัดนี้ได้ทำลายโอกาสการทำมาหากินไปมากมายหลายอย่าง พวกเขาต้องทำงานหนัก เพื่อเลี้ยงตัวเอง และเสียภาษีให้รัฐ จะให้พวกเขาคิดอย่างไรในเมื่อเห็นท่าทีของคนถืออาวุธออกมาข่มขู่วันสองวันก่อนมีเรื่อง จึงสรุปกันไปเองว่าคงจะเกิดรัฐประหารแน่

ในท่ามกลางความวิตกกังวลของชาวบ้านยังมีเสียงหัวเราะของหลายคนที่รู้สึกสะใจ รู้สึกว่าได้ผล หวังว่าคนคงกลัวกันจนหัวหด

น่าสงสารชาวบ้านจริงๆ พวกเขารู้สึกกลัว กลัวจนไม่อยากเสียภาษีอีกแล้ว ไม่มีใครอยากให้เอาเงินภาษีไปซื้ออาวุธมายิงกันหรอก

อยากให้ไปตบเท้าแถวชายแดน ถ้าจำเป็นประชาชนอาจจะใช้มาตรการไม่เสียภาษีให้รัฐ ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล จะไม่มีโอกาสได้ใช้งบประมาณเยอะๆ อีกแล้ว

บางทีการที่มีงบประมาณน้อย อาจทำให้การแก่งแย่งอำนาจรัฐลดความรุนแรงก็ได้

มัวแต่ตกใจกับเรื่องตบเท้า เผลอแวบเดียว ก็มีข่าวการอนุมัติซื้อปืน ซื้อเรือดำน้ำและที่น่าตกใจคือการซื้อเครื่องบินโดยสาร ล่วงหน้า 12 ปี จำนวน 75 ลำ เกินกว่า 4 แสนล้าน คงแบ่งกันลงตัวพอดี คราวนี้คงยุบสภาได้แล้ว



สถานการณ์เข้าทางสายเหยี่ยว

ส่วนพวกที่เขาอยากให้กลัวการตบเท้าคือคนเสื้อแดง ดูจะไม่สะทกสะท้าน คนที่รู้สึกหวั่นไหว อาจจะเป็นบางส่วนของพรรคเพื่อไทย เพราะในคนเสื้อแดงก็มีบางกลุ่มที่เป็นสายเหยี่ยว พวกเขาไม่กลัวการรัฐประหาร ซ้ำยังไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง เพราะคิดว่าเป็นการปฏิรูปที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงช้าลงไปอีก

ดังนั้น เมื่อมีการตบเท้า มีข่าวรัฐประหาร ก็จะถูกใจพวกสายเหยี่ยวทุกกลุ่ม ทั้งเขียว เหลือง แดง

แต่นั่นหมายความว่า พวกเขากำลังจะลากพาคนทั้งประเทศ เข้าสู่ความขัดแย้งระดับสงคราม และในปัจจุบัน ไม่มีใครไปรบกันในป่าอีกแล้ว ถ้ามีสงครามก็หมายถึงรบกันกลางเมืองนี่แหละ เดี๋ยวนี้ทั้งโลกเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็น ลิเบีย ไอวอรี่โคสต์ ฯลฯ

ถ้าไม่ต้องการให้เกิดสงคราม ก็ต้องปิดทางเดินเส้นนี้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เพราะถ้าเกิดเรื่องแล้ว ฝ่ายที่เลือกความรุนแรงจะอ้างว่า แนวทางของพวกเขาถูกต้อง แนวทางรัฐสภาใช้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะหยุดสงครามได้ง่ายเพราะชายแดนไทยยาวเหยียดเป็นพันๆ กิโลเมตร จะไปสกัดอาวุธไม่ให้ไหลเข้าไหลออกได้อย่างไร

ทุกวันนี้ แม้แต่หอมกระเทียม ผลไม้เถื่อน ยังผ่านได้เป็นร้อยๆ ตัน แรงงานเถื่อนก็ผ่านเข้าออกเป็นหมื่นเป็นแสนคน

ปัญหาที่สำคัญอีกอย่างคือ นี่เป็นความขัดแย้งของคนในชาติ ไม่มีใครเห็นศัตรูชัดเจน ไม่รู้ว่าคนข้างๆ คิดอย่างไร ผู้ใต้บังคับบัญชาคิดอย่างไร จะมีการรบกันตั้งแต่ในครัวที่บ้าน...ยันชายแดนประเทศ



ต้องมีคนพาขบวนเลี้ยวออกจากสนามรบ
ผู้ที่ทำได้คือ กลุ่มผู้กุมอำนาจเก่าตัวจริง
และนายกฯ ทักษิณ

ฝ่ายผู้กุมอำนาจตัวจริงสามารถพาประชาชนออกจากสนามรบได้โดยไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแต่ปล่อยให้การเลือกตั้งเป็นไปตามกลไกปกติ

ที่ต้องระวังที่สุดคือไม่ควรให้เกิดการยุบพรรคเด็ดขาด (ช่วงนี้ลือกันจัง) เพราะนั่นจะเป็นจุดระเบิดของสงคราม ข้อควรระวังข้อที่สองคือกรรมการ ทั้ง กกต. ท้องถิ่น กกต.ใหญ่ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกระบวนการยุติธรรม ถ้าการโกงไม่ชัดเจน ก็คงจะพอยอมๆ กันได้ แต่ถ้าชัดเจนต้องตัดสินอย่างยุติธรรม ประชาชนไม่มุ่งหวังว่าการเลือกตั้งนี้จะมีความบริสุทธิ์ ยุติธรรมสมบูรณ์แบบ แต่ต้องมีมาตรฐานเดียว

วันนี้ฝ่ายผู้กุมอำนาจวางจุดหนักไว้ที่การเอาชนะในการเลือกตั้งซึ่งพวกเขาพอจะรู้แล้วว่า คงมีโอกาสชนะแบบ 4 รุม 1 คือผลการเลือกตั้งคงจะไม่ได้รับเลือกเป็นที่ 1 แต่จะตั้งรัฐบาลผสมโดยใช้พรรคลำดับที่ 2 + 3 + 4 + 5 รวมกันให้ได้เสียงเกินครึ่งสภา

ถ้าทำแบบนี้ พรรคเพื่อไทยก็จะกลายเป็นฝ่ายค้านเช่นเดิม



บทบาทของนายกฯ ทักษิณ

ทักษิณเคยบอกกับคนในพรรคว่าเขาจะทำงานการเมืองต่อไปอีกเพียง 20 ปี เขาไม่เคยบอกว่าถ้าจนลงหรือรวยขึ้นหรือเจ็บป่วยแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร แต่ถ้าดูคุณบรรหารวันนี้ อีกปีเดียวก็จะ 80 แล้ว จึงพอเชื่อได้ว่าคุณทักษิณคงจะทำได้เช่นกัน วันเวลาผ่านไปเร็วมาก หลังจากถูกรัฐประหารปี 2549 ตอนนี้คุณทักษิณก็สู้มาเกือบ 5 ปีแล้ว ถ้าสู้ต่อไปอีก 5 ปี + 5 ปี ก็คงไม่แปลกอะไร ถึงวันนั้นยังไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้จะเหลือใครอยู่บ้าง

เชื่อว่าทักษิณจะยังสู้ต่อไปจนครบ 20 ปี ตามที่ตั้งเป้าไว้ได้ ผู้อาวุโสทางการเมืองในวันนี้ หลายคนอาจจะจากไปตั้งแต่ 5 ปี แรก ผู้มีอำนาจวันนี้หลายคนคงจะเกษียณอายุราชการไปนานแล้วและอำนาจก็จะหมุนเวียนมาสู่คนใหม่ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากนี้ไป อีก 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี ไม่มีใครรู้ว่าจะเปลี่ยนมากขนาดไหน


ดูจากสถานการณ์วันนี้ ทักษิณเองยังสนับสนุนสายพิราบ ยังสนใจการเลือกตั้ง คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น เฉพาะหน้านี้ ทักษิณเสนอนโยบายที่จะสร้างความมั่นคงและความสุขให้กับประชาชน ยืนยันว่ามีจุดมุ่งหมายที่การปรองดอง ไม่แก้แค้น แต่จะแก้ไข เขามั่นใจว่ามีโอกาสชนะการเลือกตั้ง

แต่ถ้าได้คะแนนไม่เกินครึ่งของสภา คือต่ำกว่า 250 คน ก็คงไม่มีโอกาสได้เป็นรัฐบาล แต่โอกาสต่อไปก็ยังมี หลังจากสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ถูกปลดปล่อยจากการกักขังทางการเมืองในกลางปี 2555 และนั่นจะเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่า

แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยเกิดได้ ส.ส. ถึง 280 คน ก็จะมีโอกาสได้ตั้งรัฐบาล แต่อย่าเพิ่งดีใจไป มีผู้คาดการณ์ว่า การเป็นรัฐบาลจะไม่ราบรื่น จะมีการเตะตัดขาจากฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา จะมีการแตกแยกกันภายในพรรค และการแตกสามัคคีอาจจะลามไปถึงระหว่างคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทย

ให้ดูตัวอย่างกลุ่มพันธมิตรฯ กับ ปชป. เรื่องแบบนี้ต้องเตรียมใจไว้ให้ดี บางทีการไม่ได้เป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้อาจเป็นโชคดีก็ได้ เพราะพวกเขาจะได้มีเวลาสะสมบทเรียนมากขึ้น และมีโอกาสเตรียมการต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะที่แท้จริง

ปัญหาเฉพาะหน้าคือผู้นำที่มีสติปัญญาและรักประชาชนทุกฝ่ายต้องพาพลพรรคและผู้สนับสนุนหลบหลีกออกจากเส้นทางที่จะนำไปสู่สงคราม และพยายามให้ทุกฝ่ายยอมรับการเลือกตั้ง คำกล่าวที่ว่าการเลือกตั้งไม่ใช่ยาแก้ปัญหาทุกเรื่องอาจถูกเพียงบางส่วนเพราะวันนี้เรายังไม่มีวิธีการอื่นที่จะประนีประนอมความขัดแย้งของประชาชนที่มีความคิดต่างกันได้ดีกว่าวิธีการเลือกตั้ง

นอกจากนี้ การเลือกตั้งยังเป็นการยับยั้งการปะทะของความอยากแก้แค้น ความอยากชนะ ทำให้ทุกฝ่ายหยุดรอดู ว่าจะมีโอกาสดีๆ เกิดขึ้นหรือไม่

ถ้าการดำเนินการในขณะเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งสร้างผลดีให้แก่สังคม สร้างความหวังให้กับประชาชน โอกาสปรองดองก็จะขยายตัวต่อไป

แต่ถ้าครั้งนี้ทำไม่สำเร็จ คงต้องทำงานหนักกันไปอีกหลายปี



การต่อต้านการเลือกตั้ง
คือการวัดเสียงของพันธมิตรเสื้อเหลือง

ความพยายามของกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองที่จะต่อต้านการเลือกตั้ง เป็นเพราะพวกเขาเห็นปัญหา ที่เกิดขึ้นในขบวนการเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งก็มีปัญหาจริงๆ แต่มันเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข ถ้าในวงการศึกษามีปัญหา เราไม่ยุบโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ถ้าตำรวจมีปัญหา เราก็ไม่ยกเลิกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

เหตุผลที่ซ่อนอยู่อีกข้อหนึ่งก็คือ แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ รู้ว่า ถ้าลงสู่สนามเลือกตั้งในครั้งนี้ พวกเขาจะได้รับเลือกน้อยมาก

ถึงวันนี้ พรรคการเมืองใหม่จึงไม่ส่งคนลงเลือกตั้ง ตรงกับความต้องการของเจ้าของพรรคตัวจริง ใครจะต่อว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ก็ได้ แต่ประชาธิปัตย์ห้ามทำ เพราะสิ่งที่ประชาธิปัตย์ทำในการบอยคอตต์การเลือกตั้งปี 2549 หนักยิ่งกว่าการกระทำของพันธมิตรฯ ครั้งนี้

เมื่อการรอคอยให้มีคนบางกลุ่มมาทำรัฐประหาร แล้วเว้นวรรคระบอบประชาธิปไตยไม่ได้ผล กลุ่มพันธมิตรฯ จึงเปลี่ยนมารณรงค์ให้ VOTE NO ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีผลอย่างไร แต่วันนี้ พวกขาประจำที่เคย VOTE NO ซึ่งการเลือกตั้งคราวที่แล้วมีอยู่กว่า 9 แสนคนบ่นว่า ปวดหัว เพราะถ้าคราวนี้ออกไป VOTE NO ก็จะกลายเป็นพวกพันธมิตรฯ แต่เขาไม่อยากเป็น ถ้าไม่ออกไปใช้สิทธิก็จะเสียสิทธิทางการเมือง เขาบอกว่าจะไปเลือกหลายคน แต่มีวิธีที่ได้ประโยชน์กว่า

สิ่งที่ควรทำในสภาพความขัดแย้งทางการเมืองแบบนี้คือ เราควรจะมีตัวแทน ต้องพยายามเฟ้นหาคนที่พอทำงานได้ ต้องเข้าใจว่า ต่อให้เป็นลูกเป็นหลาน เป็นเพื่อนร่วมงาน ก็ยังไม่สามารถทำถูกใจเราได้ทั้งหมด ดังนั้นเราคงจะสามารถหาคนที่พอใช้ได้เท่านั้น

หลายคนไม่อยากเลือกแดง, ไม่อยากเลือกเหลือง, ไม่ต้องการเลือกพรรคร่วมรัฐบาล, ไม่พอใจพรรคที่ทำให้ของแพง, แต่ยังไงก็ยังมีพรรคเล็กพรรคน้อย มีคนธรรมดาที่มาเสนอตัวให้เลือก

อย่ายอมแพ้ต่ออุปสรรคเพียงแค่นี้ จะทำให้ระบบเลือกตั้งได้ผลไม่คุ้มค่า บางทีการไม่กล้าตัดสินใจก็ไม่แตกต่างอะไรกับคนที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

ทุกวันนี้เราเสียภาษีทุกครั้งที่ซื้อของ ทุกวัน ทุกปี เงินที่รัฐนำไปใช้ทำถนน, ซื้ออาวุธ, แจกชาวบ้าน หรือทำโครงการหมื่นล้าน แสนล้าน เป็นเงินพวกเราทั้งสิ้น มีคนยอมเหนื่อยมาตบเท้า มีคนให้ลูกหลานเล่นการเมืองทั้งตระกูล ทักษิณก็บอกว่าจะเล่นการเมืองอีก 20 ปี ซึ่งคู่แข่งฟังแล้วหนาว แต่ทักษิณก็ต้องจากไปเช่นกัน นักการเมือง, ข้าราชการ, ทหาร มาแล้วก็ไป

แต่ประชาชนต้องเล่นการเมืองตลอดไป ไม่มีทางเลือก เพราะตำแหน่งประชาชนไม่มีเกษียณอายุ ไม่มีการลาออก

.