http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-05-27

ด้วยรักจากกะทิ และ กูเบื่อมึง โดย คำ ผกา

.
ด้วยรักจากกะทิ
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1605 หน้า 89


To ทัดดาว
Cc พี่ทอง, พจมาน, เรยา, ดี๋, เด่นจันทร์


เพื่อนๆ ที่รักและคิดถึงอย่างลึกซึ้ง

เพื่อนๆ เป็นอย่างไรกันบ้าง กะทิห่างหายจากการติดต่อเพื่อนๆ ไปเสียนาน กลัวจังว่าเพื่อนๆ จะนึกว่ากะทิหนีไปแต่งงานกับหนุ่มผู้โชคร้ายคนไหนเข้าสักคนและลุ่มหลงสามีจนลืมเพื่อนฝูง อิอิ

นานทีปีหน ขอกะทิปล่อยมุขห่ามๆ อะไรบ้างนะ เดี๋ยวคนจะค่อนแคะเอาได้ว่าลูกหลานอำมาตย์อย่างกะทิพูดจาภาษาชาวบ้านไม่เป็น

ช่วงนี้ฝนตกฉ่ำฟ้า กะทิคิดถึงบ้านของคุณตาที่อยุธยาเป็นที่สุด หลับตาลงยังได้ยินเสียงเม็ดฝนตกลงใส่กาละมังซักผ้าของยายดังก๊องแก๊งที่คุณตามักจะทำเป็นบ่นว่าหนวกหู น่ารำคาญให้คุณยายหมั่นไส้ค้อนขวับๆ เข้าให้

กะทิแอบมาหลบอยูในกระท่อมน้อยกลางซอกเขา ฝนตก ฟ้าฉ่ำทีไร ภูเขาก็เหมือนหญิงสาวขี้อายหายวับไปจากสายตาของเราทุกที พอฟ้าเปิด แดดกระจ่าง เจ้าหญิงภูเขาขี้อายก็จะค่อยเยี่ยมใบหน้าแสนสวยของเธอออกมาทักทายเราใหม่

ธรรมชาติที่หลายคนอาจมองว่าซ้ำซาก น่าเบื่อ แต่สำหรับกะทิ แค่ได้นั่งมองเจ้าหญิงภูเขาผลุบโผล่เล่นซ่อนหากับสายฝนก็ให้รู้สึกสนุกนัก ท่ามกลางธรรมชาติอันเรียบง่ายและสงบงามอย่างนี้ บางทีกะทิก็อดถามตัวเองและเข้าใจมนุษย์ไม่ได้เอาเสียเลยว่าทำไมถึงต้องมาเสียเวลารบราฆ่าฟันกันเพียงเพื่ออยากได้อำนาจมาครอบครอง

หากคนเหล่านี้จะสละเวลาสักสอง-สามนาทีเพื่อจะทำความเข้าใจในคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเขาจะรู้ว่าลาภ ยศ สรรเสริญนั้นได้มาก็เสื่อมและหมดไป อำนาจไม่ใช่ของจีรังยั่งยืนเสียจนต้องเอาชีวิตเข้าแลก อำนาจทางการเมือง ประชาธิปไตย เผด็จการ ล้วนแต่เป็นเรื่องสมมุติ เป็นกิเลส เป็นตัณหา บัณทิตอย่างเราต้องฝึกตน รู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อวาทกรรมเหล่านั้น

โอ๊ย นี่กะทิมาขึ้นโพเดียมเทศน์เพื่อนๆ ทำไมกันเนี่ยะ หวังว่าเพื่อนๆ จะไม่คิดว่ากะทิแอบมาบวชชีเพราะหนีรักหรอกนะ อิอิ



เรื่องทัดดาวกับพี่ทอง...กะทิของแสดงความยินดีด้วย มันจะมีอะไรวิเศษไปกว่าการที่เพื่อนที่เรารักที่สุดคนหนึ่งกับคนที่เราเคยรักที่สุดคนหนึ่งมารักกัน!

นี่เป็นของขวัญที่วิเศษที่สุดในโลกนี้เท่าที่ทัดดาวกับพี่ทองจะมอบให้แก่กะทิได้ (ถ้าแม่ที่อยู่บนสวรรค์ของกะทิรู้ว่ากะทิพูดอะไรได้เหมือนนางเอกนิยายของบาบาร่า คาร์ตแลนด์แบบนี้ แม่คงภูมิใจ)

ทัดดาวกับพี่ทองคะ, กะทิคิดถึงพี่ทั้งสองคนมาก และเฝ้ามองความเคลื่อนไหวทั้งติดตามความคิดเห็นของพี่ทั้งสองอยู่เสมอ กระทิมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าพี่ทั้งสองคนหวังดีต่อชาติบ้านเมือง อยากต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม แต่กะทิไม่อยากพูดและไม่อยากถามอีกเป็นครั้งที่ล้านว่า พี่เข้าใจคำว่าประชาธิปไตยดีแค่ไหน

พี่คะ, ในยุโรป ในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศในโลกนี้เขาโยนประชาธิปไตยแบบที่พี่ทัดดาวกับพี่ทองเรียกร้องกันทิ้งไปตั้งนานแล้ว สังคมมันซับซ้อน ละเอียดอ่อนกว่านั้นมากนัก มิใช่ประชาธิปไตยบวกทุนนิยมสามานย์หรอกหรือที่พร่าผลาญทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ทำร้ายผืนป่า ข่มขืนสายน้ำ นำมาซึ่งหายนะทั้งปวงมาสู่มนุษยชาติอย่างที่เรากำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้

ทัดดาวนั่งดูสายน้ำพัดพาบ้านเรือนผู้คนเสียหาย ชาวบ้านนั่งดูน้ำท่วมด้วยดวงตาท้อแท้สิ้นหวังแล้วน้ำตาก็ไหล ไม่ใช่สิ่งเหล่านี้หรอกหรือที่เราควรใส่ใจ หรือ การปั่นจักรยาน โครงการรณรงค์ลดโลกร้อน ปั่นจักรยาน มันไม่เท่ มันไม่มีวีรชน ทำแล้วไม่เด่นไม่ดัง พี่ๆ และเพื่อนๆ ของเราบางคนจึงเลือกที่จะไป move บนถนนเรียกร้องเอาเศษซากประชาธิปไตยอันเป็นอุดมการณ์ของตะวันตกที่แม้แต่คนตะวันตกก็ไม่เอาอีกต่อไปแล้ว เพียงเพราะทำแล้วมันดังกว่า เท่กว่าอย่างนั้นหรือ

มันช่างน่าขันนะ ในขณะที่ฝรั่งต้นตำรับประชาธิปไตยพากันไปสวนพลัม นั่งสมาธิ ไปหากระบวนการที่จะทำให้ตัวเองเล็กลงเพื่อจะประจักษ์ในความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ เพราะรู้แล้วว่าประชาธิปไตยไม่ใช่ทางออก แต่ในเมืองไทยคนจำนวนมากกลับถูกหลอกให้หลงใหลในการสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับตัวตน อีโก้ ความเป็นปัจเจกในนามของประชาธิปไตย

นี่กะทิยังไม่ได้พูดถึงเบื้องหลังขบวนการทางการเมืองล้าหลังอันมีนักการเมืองชั่วหากินกับชีวิตของมวลชน

อย่างไรก็ตาม กะทิอยากจะบอกพี่ทองกับพี่ทัดดาวว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในมิตรภาพของเรา กะทิเคารพในสิ่งที่พี่เลือกแม้กะทิจะไม่เห็นด้วยเลยก็ตามที ...เวลา ธรรมชาติ และธรรมะอันเป็นสัจธรรมเท่านั้นจะบอกเราว่าอะไรคือ "ของจริง" และอะไรคือ "มายา"



เจ้าหญิงภูเขาโผล่หน้ามาหากะทิอีกแล้ว เย้ๆๆ แดดอ่อน ลมพัดเย็น กลิ่นดินหอมๆ กาแฟร้อนๆ และจิตที่โปร่ง เบา และว่าง กะทิถามจริงๆ ว่า เราจะเอาทักษิณ เอ๊ย เอาประชาธิปไตยที่มาพร้อมกับนักการเมืองชั่วกลับมาทำไม

เพื่อนๆ คงอยากรู้ว่ากะทิมาแอบอยู่ในกระท่อมน้อยกลางหุบเขาห่างไกลผู้คนอย่างนี้ทำไม?

คำตอบก็คือกะทิคงจะเริ่มเบื่อคน โดยเฉพาะคนที่ชอบคิดว่าตนเองกลับมาต่อสู้เพื่อคนยากคนจน

อีกอย่างคุณตาของกะทิไปช่วยปะติลูบประเทศได้เงินค่าจ้างค่าออนมานิดหน่อย เลยแบ่งมาให้กะทิเอามาทำโครงการทดลองทำไร่สะตอบอแหล เอ๊ย สตรอว์เบอร์รี่ปลอดสารพิษ คุณตาบอกว่านี่จะเป็นหนทางการช่วยปะติลูบประเทศอีกหนทางหนึ่ง นั่นคือ ผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งเก๋ทั้งฉลาด มีจิตสำนึกที่ดี แถมยังนั่งภาวนาอย่างสม่ำเสมอจะลุกขึ้นมาเป็นเกษตรกรตัวอย่างให้แก่ชาวไร่ชาวสวนชาวนาทั่วประเทศได้เห็นว่า อนาคตที่ดีเราสร้างได้ เลิกที่คิดพึ่งรัฐบาลอย่างเดียวได้แล้ว

คุณตายังบอกอีกว่า คนไทยถูกปลูกฝังให้คิดอยู่ในพาราดามเดิมๆ นั่นคือเมื่อมีปัญหาแล้วแทนที่จะคิดพึ่งตนเอง แก้ไขปัญหาด้วยตนเองหรือพลังของชุมชน ก็มีแต่ออกไปก่นด่า ประท้วง เรียกร้อง กดดันรัฐบาล เมื่อเป็นอย่างนี้ รัฐบาลจึงดูยิ่งใหญ่เหลือเกิน สำคัญเหลือเกิน

หนทางปะติลูบของคุณตาคือการบอกว่าการลดความเหลื่อมล้ำจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อ ประชาชนเห็นความสำคัญของ "ข่ายใยชีวิต" รู้ว่าการจัดองค์กรชีวิตเป็นรูปแบบหรือ configuration ของความสัมพันธ์ในบรรดาองค์ประกอบของระบบองค์กรชีวิต นิยามโครงสร้างของระบบว่าอยู่ในฐานะทางวัตถุเพื่อการแฝงฝังของแบบแผนแห่งการจัดองค์กรของมัน...

โอ้ คุณตาของกะทิต้องเป็นอัจฉริยะแน่ๆ เพราะมีแต่อัจฉริยะเท่านั้นที่จะใช้ภาษาเหนือมนุษย์เหล่านี้ได้

ใครอยากอ่านภาษาที่มนุษย์อ่านแล้วไม่เข้าใจนี้ โปรดติดตามงานของคุณตากะทิที่รู้จักกันในนามของ ม๋อปาเว็จ วัดศรี



โครงการของกะทิชื่อว่า "ฉันอยากเป็นชาวสวนสตรอว์เบอร์รี่"

ปล่อยให้คนกระหายอำนาจเอาชีวิตของมวลชนมาเป็นเดิมพันต่อไปเถอะ กะทิรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่กะทิจะเข้าไปช่วยเหลืออะไรประเทศไทยได้ สิ่งที่มันจุกอยู่ในอกและเต็มตื้นอยู่ในหัวใจของกะทิตอนนี้คือ กะทิรู้ดีว่า มนุษย์นั้นกระจ้อยร่อยเพียงใด ไร้ซึ่งอำนาจเพียงใด อ่อนแอเพียงใด และในฐานะของมนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง กะทิรู้ตัวดีว่าอะไรที่กะทิทำได้ อะไรที่กะทิทำไม่ได้

ตอนนี้ความฝันสูงสุดของกะทิมีแค่ทำอย่างไรจะส่งสตรอว์เบอร์รี่ของกะทิเข้าไปขายในร้าน "ทองคำสถาน" ได้ และกะทิจะให้โลกได้ประจักษ์ว่าด้วยศักยภาพและความอุดมสมบูรณ์ในเนื้อนาดินแผ่นดินไทย แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองของเรา คนไทยจะได้ผลิตสตรอว์เบอร์รี่ที่อร่อยไม่เหมือนใครในโลกนี้ออกมาให้ชาวโลกได้ตื่นตะลึง

ดูสิ ในประเทศเล็กๆ ดินแดนแห่งรอยยิ้ม และความโอบอ้อมอารี ที่เรียกว่าสยามแห่งนี้ยังมีอะไรรอคอยให้คนตัวเล็กๆ อย่างเรามาริเริ่มลงมือทำ อย่ามัวแต่ไปปราศรัย พูดจาวางโต โอ้อวด เสียดสี เหน็บแนม และเฝ้าแต่โทษผู้อื่นอยู่เลย ถึงเวลาแล้วที่พวกเราควรพูดให้น้อยลง ทำให้มากขึ้น เริ่มจากสิ่งเล็กน้อยใกล้ตัว ...ความดีเล็กๆ ของคนเล็กๆไม่ใช่หรือที่จะสร้างความอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ให้แก่โลกใบนี้

มีคำพูดหนึ่งที่กะทิได้ฟังมาจากวงคุยของเพื่อนคุณตาแล้วกะทิประทับใจมาก เขาบอกว่า

"ใครก็ตามที่รู้ ย่อมรู้

ใครก็ตามที่คิดว่าตนเองรู้ ย่อมไม่รู้

ใครก็ตามที่คิดว่าตนไม่รู้ ย่อมเข้าใกล้ความรู้"

กะทิหวังว่าตัวเองจะอยู่ในกลุ่มสุดท้าย กะทิรู้ดีกว่าตนเองคือคนไม่รู้ ถ้วยชาหากมีน้ำชาเต็มเสียแล้ว มันจะเติมอะไรลงไปได้อีก มีแต่จะกระฉอกล้นออกมา-พี่ทัดดาวกับพี่ทองคงเคยได้ยินอะไรอย่างนี้กันมาบ้าง และเผื่อว่าจะลืม และเพื่อเตือนตัวเองด้วยกะทิจึงอยากจะขอจบจดหมายฉบับนี้ด้วยปรัชญาว่าด้วยถ้วยชาและน้ำชาเสียเลย



สายแล้ว ตอนนี้เจ้าหญิงภูเขายิ้มเจิดจ้าราวกับจะเป็นของขวัญกำลังใจให้กับกะทิ เจ้าหญิงภูเขาจ๋า เจ้าหญิงช่างสวย สูงตระหง่าน สง่างามเหลือเกิน บางครั้งกะทิอยากจะเชื่อว่าเจ้าหญิงเป็นเพื่อนบ้านกับแม่ของกะทิที่อยู่บนสวรรค์ แม่คงแอบอยู่แถวๆ หลังเจ้าหญิงกระมัง

และในบางคราที่เจ้าหญิงยิ้มกว้างกว่าปกติ มันเป็นรอยยิ้มที่แม่ของกะทิฝากมาให้กะทิด้วยหรือเปล่า

แดดชักร้อน และชาวสวนอย่างกะทิก็ไม่มีเวลาโอ้เอ้อีกต่อไป คนงานพม่าที่จ้างมาราคาถูกแถมทำงานอึดกว่าคนไทยหลายเท่าทำงานได้น่าชื่นชมมาก เดี๋ยวกะทิจะต้องไปคุมคนงานทำงานแล้วล่ะ อยากให้เพื่อนๆ มาเห็นกะทิสวมงอบ ใส่เสื้อแขนยาว ยืนตะโกนโหวกเหวกสั่งงานคนงานผู้ชายตัวใหญ่ๆ จังเลย หลายคนบอกว่ามันเป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง แต่กะทิว่าคนพูดเขาหมายถึง "ตลก" มากกว่า กระนั้น อย่าหวังว่ากะทิจะยอมแพ้

พรุ่งนี้กะทิมีนัดคุยกับพะตีตาแบ๊ะ ปราชญ์ชาวบ้านที่รู้ว่าจะพลิกฟื้นผืนดินตามตำรับดั้งเดิมของชาวปกากะญออย่างไร กะทิตั้งใจเอาไว้แล้วว่าสวนของกะทิจะต้องไม่ใช้สารเคมีเลยโดยสิ้นเชิง

พวกคนที่ชุมนุมกันที่อยู่ที่กรุงเทพฯ จะรู้ไหมหนอว่า ในชนบทยังมีภูมิปัญญาไทยรอคอยการค้นพบอีกมหาศาล ยังมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย งดงาม ทว่านักการเมืองชั่วได้พรากสิ่งเหล่านี้ออกไปจากชีวิตของพวกเขา เหยียดว่าความรู้ของพวกเขามันต่ำต้อย ทำให้เขาหมดซึ่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

กะทิสัญญาว่า ด้วยกำลังอันน้อยนิดที่กะทิมีอยู่ กะทิจะกอบกู้สิ่งเหล่านั้นกลับคืนสู่ชุมชน

เจ้าหญิงภูเขาเป็นพยาน

ด้วยสันติ ภราดรภาพ และความผูกพันจากใจของเด็กหญิงตัวน้อยในจักรวาลอันไพศาล

กะทิ



++

กูเบื่อมึ
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1606 หน้า 89


To นังกะทิ
Cc ทัดดาว, พี่ทอง, นังดาวพระศุกร์, นังเด่นจันทร์, นังคุณดี๋


สวัสดีทุกๆ คน ทัดดาวกับพี่ทองอย่าว่าฟ้าหยาบคายเลยนะ แต่อ่านอีเมลของกะทิฉบับล่าสุดแล้วไม่ไหว อ้วกจะแตก แล้วฟ้าก็ไม่เข้าใจว่ามันจะ cc มาถึงฟ้าทำไม บอกไปล้านครั้งแล้วว่าอยากจะไปเทศนาสั่งสอนใครก็เชิญ แต่ไม่ต้องมานั่งเทศน์ให้ฟ้าฟัง แถมบทเทศน์ของกะทิยังน้ำเน่าชวนฝัน ภูเขานางฟ้งนางฟ้า บ้าหรือเปล่า เพ้อเจ้อ!

จะแสร้งทำตัวให้น่ารักน่าเอ็นดูไปถึงไหน คนเค้ารู้ทันเธอหมดแล้วกะทิ แล้วถ้าเธอคิดว่าจะมาใช้มุขปัญญาชนโรแมนติกซ่าหริ่มติสต์แตกเพื่อโน้มน้าวให้พี่ทองทิ้งทัดดาวกลับมาหาเธอแล้วก็ ชั้นขอบอกว่าเธอคิดผิด คิดสั้น คิดตื้นแล้วล่ะ มุขนางเอกโบร่ำโบราณแบบนี้ พระเอกอย่างพี่ทองเค้าตาสว่างรู้ทันเธอแล้วย่ะ

แหม...ไร่สตรอว์เบอร์รี่ ฟ้าว่าไร่สะตอบอแหลน่ะถูกต้องแล้ว แน่จริงเปิดโปงข้อมูลมาสิว่าเงินลงทุนน่ะเอามาจากไหน แล้วไอ้ไร่สวนบนภูเขานางฟ้าของเธอรุกที่ป่าไปกี่ร้อยไร่ ที่ดินบนภูเขาแบบนั้นขึ้นไปทำไร่โรแมนติก มีกระต๊อบแบบรีสอร์ต น้ำ ไฟ พร้อม แอร์พร้อม น้ำอุ่นพร้อม แถมยังมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตอีกด้วย

ขอถามหน่อยว่าโฉนดนั้นท่านได้แต่ใดมา แล้วใครอยู่เบื้องหลังการถ่ายทำแต่ละฉาก แต่ละตอนของการเป็นนางเอกผู้สมถะของเธอบ้าง คนงานต่างด้าว คนงานคนพื้นเมือง คนใช้ แม่บ้าน รถโฟร์วีลที่จะพาเธอลงมาทำเก๋อยู่ในเมือง บินกลับกรุงเทพฯ เพื่อทำแคมเปญโฆษณาโครงการสมถะพอเพียงของเธอ แถมต้องเจียดเวลามาให้สัมภาษณ์นิตยสาร ทีวี ไหนจะพาทีมงานทีมถ่ายทำคอยเก็บภาพสาวชาวสวนของเธออีก

กะทิ, ฟ้าจะบอกอะไรให้นะ สำหรับฟ้าเธอมันแค่คนที่คอยเกาะกระแสสร้างความนิยมให้กับตนเอง มีปมด้อยอะไรนักหนาในชีวิต เป็นฮิสทีเรียขาดความรักหรือไง ชีวิตนี้ถึงได้คอยเกาะดูว่ากระแสภูมิปัญญาของสังคมมันพัดไปทางไหน แล้วฉันจะพัดตาม วลีไหน วรรคไหนกำลังฮิต ฉันต้องหยิบมาพูด มาเขียน

กระแสวัฒนธรรมชุมชนที่เธอมาพร่ำเพ้อละเมอหาน่ะมันมีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2525 เธอจะมาฮิตติดลมบนอะไรกะเค้าในตอนนี้ อ้อ แล้วสถานีโทรทัศน์ไทยในยุคนู้นมีแต่จะกล่าวหาว่า กระแสนี้เป็นคอมมิวนิสต์ เป็นพวกต่อต้านรัฐ เป็นอนาคิสต์ พอมายุคนี้ที่อยากจะทำลายนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเพื่อปลุกกระแสอยากได้คนดีมาเป็นผู้นำ (ใครแต่งตั้งมาช่างหัวมัน) ก็นู่น รีบไปหยิบเอาเรื่อง วัฒนธรรมชุมชน ผู้นำตามธรรมชาติ การต่อสู้กับทุนสามานย์ อะไรต่อมิอะไร รวมทั้งแถไปหาธรรมาธิปไตย

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะบอกว่า กูไม่ชอบนักการเมือง กูไม่อยากให้นายกฯ มาจากการเลือกตั้งของคนบ้านนอกไร้การศึกษาที่ดันเป็นเสียงส่วนใหญ่ของคนในประเทศ

กะอีแค่เนี่ยะ ปัญญาชนดัดจริตอย่างกะทิและพรรคพวกต้องแถไปถึงไหนไกลจนกู่ไม่กลับ อันที่จริงจะมายอมรับซื่อๆ แบบซูโม่ตู้ไปเลยดีกว่า "กูไม่เอาประชาธิปไตย กูไม่เชื่อเรื่องการเลือกตั้ง กูไม่ต้องการให้ลิงบาบูนมาออกเสียงเลือกตั้ง มีไรป่าว"

พูดชัดๆ แบบนี้น่าฟังกว่าการมาอ้างว่า "การเลือกตั้งเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของประชาธิปไตย", "การเลือกตั้งไม่ใช่ทั้งหมดของประชาธิปไตย" จากนั้นก็ทำเนียนๆ เรียกนักการเมืองว่า "นักเลือกตั้ง" และเรียกการเลือกตั้งว่า "เกมการเลือกตั้ง"

กระบวนการดิสเครดิตทางภาษาแบบนี้เป็นเกมที่คนแบบคุณดี๋ถนัดเล่นชิบหายเลย คือถนัดทำตัวเป็นพวกขาวใสไร้มนุษยธรรม



แต่พูดกันแบบนักกีฬา ฟ้ายอมรับเลยว่าฟ้าตอแหลได้ไม่เนียน ไม่ถูกจริตชนชั้นกลางร่วมสมัยได้เท่ากับกะทิจริงๆ

อันนี้ขอคารวะในความสามารถอันแนบเนียนของเธอนะกะทิ อันที่จริงจะใช้คำว่าแนบเนียนก็ไม่ตรงเสียทีเดียว เพราะการที่สังคมไทยต้อนรับขับสู้คนอย่างเธอ วิธีคิดแบบเธอมันชี้ให้เห็นว่าเธอกับสังคมนี้เข้าใจ "รหัส" ว่าด้วยความดี ความเลว ความถูกต้อง ที่เป็นรหัสชุดเดียวกันอยู่แล้ว

และหากมีใครลุกขึ้นมาบอกว่า เฮ้ย รหัสที่เราใช้กันอยู่มันทะแม่งๆ มันมีโครงสร้างของการใช้อำนาจผ่านกระบวนการถ่ายทอดคุณค่าว่าด้วยความจริง ความดี ศีลธรรม - พลันคนคนนั้นจะกลายเป็นตัวป่วน เป็นตัวสร้างความแตกแยกในสังคมขึ้นมาทันที

ถามว่าทำไมความแตกแยกเป็นเรื่องที่ไม่ดี?

ก็เพราะรหัสที่เราใช้และเข้าใจกันอยู่ กำหนดกรอบให้เราคิดได้แต่เพียงว่า สังคมที่ดีคือสังคมที่เราจะต้องรักกัน และรักในที่นี้แปลว่า เราต้องตั้งอยู่ในความสงบ อย่าเอะอะ โวยวาย อย่าพยศ อย่าเถียง อย่าคิดนอกคอก เมื่อไหร่ที่เราคิดนอกคอก ตั้งคำถาม ยุกยิก ทำลายความสงบ สังคมนี้จะบอกว่าผู้มีอำนาจมีสิทธิที่จะฆ่าเรา จับเราไปขังคุก เพราะสิ่งที่เราทำนั้นคือการทำลายความรัก ความสามัคคีของคนในสังคม

ล่าสุดกับการที่ฟ้าเป็นผู้หญิง "นอกคอก" (แปลว่านอกรหัส (คอก) "ความดี" ที่สังคมไทยรับรู้) มีพระมายุ่งกับชีวิตของฟ้าอีกแหละ บอกว่าดูละครเรื่องชีวิตของฟ้าในดอกส้มสีทองแล้วให้ถือว่าเป็นการดูละครแล้วย้อนดูตัว ดูไว้เป็นบทเรียน ดูไว้เป็นนิทานสอนใจ อะไรที่ไม่ดีก็อย่าทำ

ปั๊ดโธ่ ฟ้าเบื่ออะไรแบบนี้เสียจริง ละครนะเฟ้ย ไม่ใช่นิทานอีสป จะมาเอาคติสอนจงสอนใจอะไร คนดูมีร้อยพ่อพันแม่ มีวิธีที่จะตีความละครได้ร้อยแบบพันแบบขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ปูมหลัง ทัศนะทางการเมือง และอื่นๆ ของคนดูแต่ละคน

ทำไมสังคมไทยถึงชอบให้พวกครู หมอ พระ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมมานั่งสอนศีลธรรมเหมือนเป็นเด็กอมมือ



กําลังกริ้วเรื่องพระ ตวัดสายตามาอ่านเจอบทสัมภาษณ์คนทำรายการ คน ค้น ฅน อาการกริ้วของฟ้าก็มากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ จากนั้นก็ลืมตัวอุทานว่า "ชิบหายแล้ว"

เค้าว่ามางี้ :

"ถ้ามันมีอยู่แค่เพียงถ้อยคำ แต่มันไม่มีอยู่ในจิตใจของคน ถามว่ามันจะส่งผลไหม ถ้าสมมุติผมเป็นคนผิวดำ แต่ผมไม่รู้สึกถึงความดี ความด้อย แม้ใครจะมาล้อผมว่าไอ้ดำ! ก็ผมไม่โกรธ สิ่งนั้นก็ไม่มีผลต่อความรู้สึกนึกคิด หรือต่อสภาวะจิตใจผม ตรงกันข้าม ถ้าผมฉลาดกว่านั้นคือ ผมรู้ ผมสามารถเวทนาคนที่แสดงออกต่อผมด้วยกิริยาแบบนั้น ผมอาจจะสงสารเขาก็ได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะ "ไพร่" หรือ "อำมาตย์" เวลาที่พูดคำนี้ใน พ.ศ.นี้ เรานี่แหละเป็นคนที่สร้างความรู้สึกที่มีต่อคำคำนี้ โดยที่คำก็ทำหน้าที่รับใช้เจตนาของผู้สร้าง พอมีอารมณ์ใส่เข้าไปด้วย เลยเกิดเป็นความรู้สึก และทำให้การต่อสู้ของคนรุนแรงทุกระดับ

ความปรารถนาของ "เช็ค" ในฐานะ "ปุถุชน" คืออยากให้การเมืองเจริญขึ้น ทั้งด้านจิตใจ-กระบวนการ-วิธีการของคนที่อยู่ในแวดวงอำนาจ เพราะสิ่งแย่ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่เคยนำประโยชน์สุขอะไรต่อส่วนรวมเลย แต่นำประโยชน์สุขเฉพาะตน หรือพวกพ้อง แม้แต่กระทั่งการอภิปรายในสภา ดูแล้วมันเหนื่อย เห็นแต่สิ่งเดิมๆ ที่เต็มไปด้วยอวิชชา ผิดศีล โกหก และอัดแน่นด้วยอารมณ์โกรธ เกลียด และเจตนาไม่สร้างสรรค์

ท่านพุทธทาสท่านพูดว่า ถ้ามีธรรมะแล้ว ก็ไม่ต้องมีการเมือง ประเทศไทยภายใต้ธรรมนิยมคือ มีความเข้าใจในความเป็นจริง เข้าใจความเป็นไปของชีวิต เข้าใจความเป็นไปของโลก และเท่าทันมัน ในเชิงธรรมมะสุดท้ายแล้วชีวิตก็เป็นเรื่องชั่วคราว สุดท้ายตายแล้ว ก็เอาอะไรไปไม่ได้ " www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1306070426&grpid=01&catid&subcatid



นี่กะทิ, ฟ้าอยากจะแสดงความยินดีกับเธอด้วยที่คำศัพท์อย่างที่เธอชอบใช้มันติดตลาดมากเลยตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นคำว่า "จิต", "สติ", "ผูกติด", อะกาลิโก, มีธรรมะแล้วไม่ต้องมีการเมือง, ชีวิตเป็นอนิจจัง ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้, ปัญหาแก้ได้จาก รู้ว่าทุกข์คืออะไร เกิดจากอะไร แก้ที่เหตุแห่งทุกข์ ก่อนจะเสนอว่าเราควรเป็นธรรมนิยม ..บลา บลา บลา...

ฟ้าเป็นไพร่นะ แม่เป็นแม่ครัว พ่อเป็นยาม ก็ขอใช้ภาษาให้ตรงกับกำพืดของตนเอง อาการประมาณนี้คนในชนชั้นของฟ้าอยากจะเรียกว่า "เด็กเห่อห-มอย" ได้ไหม? คนที่มันตื่นเต้นกับธรรมะที่หายใจเข้าออกมันต้องพูดคำว่า ทุกข์, สติ, จิต และอนิจจัง กันอยู่เรื่อยไปทำยังกะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่แบบกาลิเลโอที่ค้นพบว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางจักรวาล พวกคนเห่อธรรมะนี่เค้าเป็นกันอย่างนี้จริงๆ คำก็สติ สองคำก็รู้จักพอ สามคำก็ทุกข์ พอคำที่สี่ก็ต้องเอ่ยคำนี้ออกมา "พุทธทาส" - เป็นสูตรสำเร็จยังกะน้ำจิ้มสุกี้

คนเราตายไปเอาอะไรไปไม่ได้ก็ถูก แล้วไง? มีอะไรตื่นเต้น? มีอะไรแปลก? คริสต์ศาสนาก็บอกว่า คนเราเกิดจากดิน ตายไปก็กลับไปอยู่ในดิน ถามจริงๆ ว่ามันต้องใช้ wisdom อะไรนักหนาถึงจะเข้าใจว่ากูตายไปแล้วกูเอาอะไรไปไม่ได้! แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้น ก่อนตายกูจะอยู่ยังไง (โว้ย?)? แล้วที่คนเค้าเรียกร้องสิทธิที่จะปกครองตนเองก็เพราะเค้าคิดกันเรื่อง "จะอยู่อย่างไร" ไม่ได้คิดเรื่อง "ตายแล้วไปไหน เอาอะไรไป"

ปั๊ดโธ่ ชาตินี้ ชีวิตนี้ยังเอาตัวไม่รอด ยังไม่พอกิน ไม่มีใครกระสันมานั่งรำพันว่าตายไปก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ ตอนอยู่ยังไม่มี ไม่สะเออะคิดถึงตอนตายหรอก จะบอกให้เอาบุญ

คุณคน ค้น ฅนก็มีลูก มีเมีย ไม่คิดว่าเหรอว่าก่อนตายลูกจะอยู่ยังไง กินอะไร เรียนหนังสือที่โรงเรียนไหน ฟ้าก็เห็นคุณทำมาหากินหาเงิน หาทอง ซื้อบ้าน ซื้อรถ หาโรงเรียนดีๆ ให้ลูกเรียน หรือต่อให้เป็นโฮมสกูลดูมีอุดมการณ์อยู่ที่บ้าน คุณปฏิเสธหรือไม่ว่านั่นก็คือ การที่คุณกำลังคิดเรื่อง "อยู่อย่างไร" หรือต้องรอให้มีรถสักสิบคันแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า "เฮ้ย ตายไปก็เอาไปด้วยไม่ได้"

แหม...ต้องให้ฟ้าร้องเพลง "กว่าจะรู้เดียงสา" กล่อมเสียหน่อยดีไหม ถ้าฟ้าเจอหน้าคุณจังๆ จะขอถามนะว่า "ที่ออกมาพูดเรื่องธรรมะปาวๆ ที่ใบหน้ายังมียางเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า? ยางอายน่ะ รู้จักไหม?"

แล้วในฐานะที่คุณก็ไปทำสารคดีเอาชีวิตคนจนมาค้าขายทางจอโทรทัศน์จนคุณชักจะมั่งคั่งขึ้นมากับเขาบ้าง คุณไม่เคยตั้งคำถามเลยหรือว่า ทำไมคนกลุ่มหนึ่งถึงขาดโอกาสและยากจน และทำไมคนอีกกลุ่มหนึ่งถึงสามารถสะสมความมั่งคั่งจากรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งได้ไม่ขาดสาย

หรือคุณเชื่อว่านี่เป็นเรื่องบุญ เรื่องบาป เป็นเรื่องบุญทำกรรมแต่ง หรือคุณรู้ทุกอย่างแต่บิดเบือนเรื่องความยากจน และการขาดโอกาสเข้าถึงบริการสาธารณะ ให้มันเป็นเรื่อง "ศักดิ์ศรี", "ความกตัญญู", "ความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค" ฯลฯ


เด็กๆ ขายปาท่องโก๋หาเงินมารักษาพ่อแม่ที่ป่วย แทนที่จะทำให้เราตั้งคำถามต่อระบบประกันสุขภาพ แต่สารคดีของพวกคุณหันไประบายสีที่ความกตัญญู ความน่ารักของเด็ก ความทรหดอดทนของเด็ก

จากนั้นคนอย่างคุณก็หาเงินบริจาคเอาไปช่วยเด็ก - ถามหน่อยว่าเราจะแก้ปัญหาความยากจนด้วยการสงเคราะห์กันไปทีละครอบครัวสองครอบครัวอย่างนี้เรื่อยไปหรือ?

ถามต่ออีกว่าใครได้ประโยชน์จากการสงเคราะห์อันนี้มากที่สุด ไม่ใช่ครอบครัวเด็กคนนั้น ไม่ใช่ปู่เย็น แต่เป็นคุณเจ้าของบริษัทผลิตรายการสารคดี ที่ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งกล่อง (ในฐานะนักบุญ) ได้ทั้งภาพพจน์ของความเป็นคนดีมีคุณธรรม



ฟ้าไม่โทษคุณหรอกนะ แต่โทษสังคมไทยสับปะรังเคที่มันหล่อหลอมให้พวกเรากลายเป็นคนที่เห็นความดีงามกันตื้นๆ ง่ายๆ ใครไปวัดก็ว่าดี ใครไม่กินเนื้อสัตว์ก็ว่าดี ใครบริจาคเงินเยอะๆ ก็ว่าดี ใครชอบอ้างชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ก็ว่าดี ใครพูดจาธรรมะธัมโมหน่อยก็ว่าดี ใครไปปฏิบัติธรรมก็ว่าดี ใครชอบหล่นคำว่าพุทธทาสออกมาบ่อยๆ ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่

โอ๊ย เกิดมาไม่เคยต้องมานั่งเขียนจดหมายอะไรยืดยาวขนาดนี้มาก่อน ฟ้าเรียนหนังสือมาน้อย เขียนอะไรสะเปะสะปะก็ทนๆ อ่านกันไปหน่อยนะ จะให้เขียนอะไรสวยๆ ความดีเล็กๆ คนเล็กๆ ห่าเหวอะไรแบบกะทิ ฟ้าทำไม่เป็น แค่คิดก็จะอ้วก

อีกนิดเดียวถึงคุณ คน ค้น ฅน ที่ว่ามีธรรมะแล้วไม่ต้องมีการเมืองเนี่ยะแปลว่าไรเหรอ ธรรมะคือธรรมะแบบของพุทธเท่านั้นหรือเปล่า

ถ้าเป็นของพุทธอย่างเดียวจะเอาศาสนาอื่นๆไปไว้ที่ตรงไหน? แล้วถ้าบอกว่า ธรรมมะของทุกศาสนาก็แต่ละศาสนาสอนไม่เหมือนกันสักหน่อย เอาแค่พุทธต่างนิกายยังมีแก่นสารไม่เหมือนกัน

แล้วเป็นธรรมนิยมนี้จะหานายกฯ จากไหน? เอาพระมาเป็นนายกฯ หรือให้พระเลือกนายกฯ แล้ว ส.ส. มาจากไหน? ใครจะเข้าไปบริหารบ้านเมือง อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ จะอยู่กันยังไง ไอ้ธรรมนิยมที่ว่า

อ้อ แล้วต้องยกเลิกองค์กรคณะสงฆ์ ตำแหน่งนู่น นั่นนี่ของพระด้วยหรือเปล่า? เพราะนั่นก็ถือว่าเป็นการเมืองนี่นา และแม้การต่อต้านการเมืองของสงฆ์ก็ถือว่าเป็น "การเมือง" อย่างหนึ่ง -


เพราะฉะนั้น มันมีที่ไหน โลกที่ปราศจากการเมือง

เรื่องของเรื่องคือจะบอกว่า ไอ้คำพูดลอยๆ เพ้อๆ แบบที่คุณ คน ค้น ฅน หรือกะทิชอบพูด ฟังผ่านๆ ก็เหมือนจะดี เหมือนจะเคลิ้มอยู่หรอก แต่ถ้าฟังดีๆ อ่านดีๆ จะเห็นว่ามันล่องลอย ไร้หลักการ มันเพ้อเจ้อ ที่สำคัญคุณก็คงรู้อยู่แก่ใจว่ามัน FAKE ...ขอเขียน FAKE ตัวใหญ่ๆ เลยนะ

ยาวเกินไปละ ขอตัวไปหาผัวใหม่ก่อนนะ


ฟ้า (เรยา)

ป.ล. กูเบื่อความ FAKE



.