http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-09-17

สารภาพ, บน "ภู" สูง, คัน-คัน-คันหู, ดื่มน้ำตา, หญิงอกตัญญู โดย ทราย เจริญปุระ

.

สารภาพ
โดย ทราย เจริญปุระ คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1622 หน้า 80


หนังสือเล่มนี้เริ่มต้นด้วยสิ่งที่เหมือนจะเป็นตอนจบ

มันเริ่มด้วย เรื่องของครูสาวคนหนึ่งที่มาบอกกับนักเรียนในห้องว่าจะสอนวันนี้เป็นวัน สุดท้าย

แต่ขอพูดกับพวกเธอทุกคนไว้เรื่องหนึ่งก่อนจากกันว่า, ก่อนหน้านี้ที่มีเด็กตกสระน้ำโรงเรียนตาย

เด็กคนนั้นเป็นลูกของครูเอง

นี่คือบทแรก



จริงๆ แล้วเราคุ้นเคยกับการเฉลยตัวคนร้ายที่ต้องเก็บซ่อนเอาไว้จนท้ายเรื่อง

แต่ "คำสารภาพ" เลือกจะบอกความจริงที่สำคัญมากข้อนี้ออกมาตั้งแต่บทเริ่มต้น

เพราะถึงแม้มันจะเป็นข้อมูลที่สำคัญ เป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นคำตอบ

เป็นเหมือนบทสรุปส่งท้ายในหนังสือเล่มอื่นๆ แต่, มันก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด

เฉกเช่นชีวิตจริงของเราทุกคน

นอกจากเด็กที่จมน้ำตายที่สระน้ำโรงเรียนจะเป็นลูกของครูแล้ว เธอยังเปิดเผยสิ่งที่เธอรู้เพิ่มขึ้นไปอีก

ด้วยการระบุออกมาว่า, มีนักเรียนสองคนในห้องนี้แหละเป็นคนฆ่าลูกของเธอ

และท่ามกลางความเงียบของความจริง สิ่งที่หญิงผู้เป็นแม่และเป็นครูพูดทิ้งท้ายไว้ ก็ทำให้ทุกอย่างพังทลาย

เธอกล่าวว่าเธอจะไม่บอกตำรวจหรอก เพราะตอนนี้เธอใส่เลือดติดเชื้อ HIV ลงในนมที่สองคนนั้นดื่มเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วง, ทั้งสองน่าจะยังมีเวลาใช้ชีวิตอีกหลายปี จงใช้ชีวิตต่อไปเถอะ

แล้วครูก็จากไป

ถ้าใครคิดว่าเรื่องที่หนังสือเล่มนี้ได้เล่าออกมาในช่วงแรกนั้นมันเลวร้ายแล้ว

สิ่งที่จะปรากฏต่อไปอาจทำให้คุณขนลุก เพราะสิ่งที่ครูบอกออกมานั้นเป็นเพียงก้าวแรก

ความเลวร้ายที่แท้จริงนั้นอยู่ในเหตุการณ์และความจริงเบื้องหลังความจริงที่เกิดขึ้นจากคำสารภาพนั้นต่างหาก



คนเราส่วนใหญ่อยากฟังความจริง

แต่มีน้อยคนที่ฟังแล้วจะชอบมัน

ลองนึกดูว่าก่อนที่เราจะโกหกนั้น เราจะคิดหาเหตุผล พยายามใส่น้ำหนักความน่าเชื่อถือลงไป

ซักซ้อมท่าทางตอนบอกเล่าให้ดูสบายและสมจริงสมจังที่สุด

แต่ความจริงมักไม่ใช่อย่างนั้น

มันเกิดขึ้นเพราะมันแค่เกิดขึ้น เราทำเพราะเราอยากทำ

แค่นั้น

ใจของคนเราที่พยายามจะเชื่อความเป็นจริงจึงรับไม่ค่อยได้ที่มันไร้เหตุผล

และอีกประการของความจริงคือ, มันมักไม่น่าฟัง

มันทำให้เราแย่ ทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้เป็นคนสำคัญอะไร

ทำให้ความสวยงามของชีวิตหายไปเพราะสิ่งที่เรียกว่าความจริง

หนังสือ ทำลายภาพที่เราวาดไว้ในใจของผู้ที่เป็นครูและนักเรียนลงอย่างสิ้นเชิง

มันปลดเปลื้องเอาความคิดในแบบอุดมคติอันงดงาม รอยยิ้ม ความอ่อนน้อมถ่อมตน การเป็นผู้ให้ความรู้ และผู้พร้อมจะเรียนรู้ทิ้งไปจนหมดสิ้น

เหลือเพียงความเป็นมนุษย์ที่ยินดีจะปกป้องสิ่งที่ตนรักในทุกวิถีทาง

-ทุ ก วิ ถี ท า ง-



ภายใต้ความเกี่ยวข้องของชุดความจริงจากการสารภาพ เราจะได้สัมผัสกับความมืดดำในจิตใจ ความคิดอันผิดเพี้ยนและการแก้แค้นแสนเจ็บปวด ปมเงื่อนที่ผูกเอาพวกนักเรียนรังแกเพื่อน พวกชอบความรุนแรงแต่ทำเป็นอ้างความยุติธรรม พวกชอบนินทา เด็กที่อยากได้รับการยอมรับจากเพื่อน เด็กที่โหยหาการยอมรับจากแม่ เด็กที่มองสังคมนี้เป็นแหล่งรวมความน่ารังเกียจ พ่อที่ไม่ได้สนใจครอบครัว แม่ที่ไม่เคยเห็นลูกตัวเองผิด ครูที่เชื่ออย่างไร้เดียงสาถึงการทำเพื่อนักเรียน และครูที่รู้ว่าภาพพจน์ของครูคืออะไรและความต้องการของตัวเองคืออะไร

ใช่, มันฟังดูป่วยไข้เกินเยียวยา

แต่หนังสือไม่ได้นำเสนอภาพตัวละครเหล่านี้ออกมาเป็นคนร้ายโรคจิต เที่ยวถือมีดถือขวานไล่ฆ่าคน หรือทำท่ามีลับลมคมในคอยวางแผนการร้ายอยู่ในหัวตลอดเวลาอย่างที่เราเห็นใน หนังในละคร

พวกเขาเหล่านั้นคือคนธรรมดา คนแบบที่เราเห็นทุกเมื่อเชื่อวัน คนแบบที่เป็นหมอของเรา เป็นครูของเรา เป็นเพื่อนของเรา เป็นแม่ของเรา เป็นตำรวจของเรา เป็นพระของเรา เป็นสามีของเรา

และคนแบบที่เราเป็น



กี่ครั้งแล้วที่เราฟังข่าวใครสักคนที่ลากปืนและอาวุธครบมือออกมากราดยิง คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจนดับดิ้นไปเป็นสิบๆ ชีวิต

กี่ครั้งแล้วที่มีข่าวใครสักคนวางยาพิษคนทั้งบ้านก่อนจะฆ่าตัวตายตาม

หลายครั้งใช่ไหม

คุณอาจจะโทษก็ได้ว่าสังคมของเขานั่นล่ะ ความเก็บกดของชาวญี่ปุ่นนั่นล่ะที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เราพยายามมองหาข้อแก้ตัวที่จะช่วยให้รู้สึกสบายใจขึ้น เช่นว่า เด็กพวกนี้เป็นพวกต่อต้านสังคม เป็นคนนอกที่ใครๆ ไม่ยอมรับ ถูกล้อเลียน ถูกรังแกเสมอๆ พ่อแม่ไม่ค่อยอยู่บ้าน ชอบเล่นเกม หรือฟังเพลงและเสพสื่อที่รุนแรง

แต่ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น, เราต่างก็รู้ดี

คุณอาจจะเป็นคนมีฐานะดี พ่อแม่รักใคร่ เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ ก็ได้

คุณจะเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวหรือจำต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดในสังคมก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ เพราะมันไม่ใช่สาระสำคัญ

มันเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ กับใครก็ได้ สังคมใดก็ได้ ประเทศที่นับถือศาสนาใดก็ได้ทั้งนั้น

การสารภาพคือการบอกเรื่องจริง เราต่างเชื่อกันเช่นนั้น

แต่ความจริงไม่ได้ปลดปล่อยเราเสมอไป

ภายใต้ความจริงซึ่งมาจากการสารภาพนั้นเราต้องเจอะเจออะไรซุกซ่อนอยู่ เราจะชอบสิ่งที่เราได้ยินหรือไม่ เราจะปล่อยมันผ่านไป หรือเราจะหมกมุ่นอยู่กับมัน

หนังสือเล่มนี้จบลงแล้ว

และความจริง, กำลังจะตามมา

. . . . . . . . . . . . . . . . . .

" คำสารภาพ " เขียนโดย มินะโตะ คะนะเอะ แปลโดย กนกวรรณ เกตุชัยมาศ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 โดย แพรวสำนักพิมพ์. ก.ย.,2554



++

บน "ภู" สูง
โดย ทราย เจริญปุระ คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 09 กันยายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1621 หน้า 80


ฉันนั่งเขียนบทความนี้ที่หมู่บ้านหม่องกั๊วะ หมู่บ้านกลางหุบเขาใน อ.อุ้มผาง จ.ตาก

อาชีพฉันน่ะดี, แต่ไอ้คนแบบที่ฉันเป็นและวิธีคิดแบบฉันนี่ล่ะที่อาจไม่ค่อยเข้าท่านัก เพราะการได้เดินทางไปที่นั่นที่นี่ ทั้งในและนอกประเทศ ทั้งแปลกทั้งหลากหลายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบอาชีพฉันนั้น ก็ทำให้มนุษย์อย่างฉัน-ซึ่งบางทีก็ผ่าไปสนใจอะไรที่คน

เขาไม่ได้ยกมาเป็น ประเด็นสำคัญ-มีเรื่องอะไรมาให้ได้คิดอยู่บ่อยๆ รวมถึงเรื่องราวในสถานที่ซึ่งฉันก็ไม่เคยรู้ว่ามีมันอยู่ เช่นหมู่บ้านกลางดอยนี้ด้วย

20 กิโลเมตรของที่นี่กับบนพื้นราบนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ในกรุงเทพฯ หากไม่เผชิญกับการจราจรที่เป็นพิษเสียแล้ว 20 กิโลเมตรนี่เป็นระยะทางที่ฉันใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ไปถึงที่หมายได้สบาย

แต่ 20 กิโลเมตรกว่าจะมาถึงบ้านหม่องกั๊วะนี้ฉันใช้เวลาเดินทางหัวสั่นหัวคลอนในรถปิกอัพอยู่ถึง 3 ชั่วโมง และสำหรับชาวบ้านที่ยังใช้การเดินเป็นวิธีสัญจรหลักๆ ของเขา การเดินทางแต่ละครั้งจะใช้เวลาร่วม 6 ชั่วโมงเลยทีเดียว



สูงสุดสูง และแสนลำบากในการเข้าถึง แต่เราก็ยังดั้นด้นดันทุรัง นำสิ่งที่เรียกว่าความเจริญมายัดเยียดให้เขา มันเป็นของใหม่ มันน่าสนใจ มันสะดวกสบาย มันให้ความรู้

แต่มันดีจริงหรือ?

สิ่งที่เราชอบ เราว่าดีนั้นมันมีความเป็นสากลแค่ไหน?

มันควรจะยัดเยียดให้เขาใช้หรือให้โอกาสเขาได้เลือกมากกว่ากัน

ฉันเดินทางมากับรายการโทรทัศน์ ที่ต้องการมาถ่ายทอดถึงการพัฒนาชนบทและผู้อยู่ห่างไกล โดยการจัดตั้งโรงเรียน ต.ช.ด.ที่มีเหล่าตำรวจตระเวนชายแดนมาเป็นครูผู้สอน

น่าชื่นใจ, แต่ฉันก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้

ระหว่างการนั่งคุยกัน ฉันถามเหล่านักรบผู้เปลี่ยนจากถือปืนมาถือชอล์กเหล่านี้ว่าอะไรคือจุดประสงค์ในการตั้งโรงเรียน

คำตอบคือความต้องการในการหาและสื่อสารกับสายข่าว

สุดท้ายแล้วก็เป็นการช่วงชิงปลูกฝังความเป็นพวกพ้อง

หาก พม่า หรือลาว หรือกัมพูชาเข้าถึงตัวพวกเขาเหล่านี้ก่อน บทเพลงในโรงเรียนก็คงเปลี่ยนไป

เนื้อหาใจความและการเรียนการสอนก็คงเป็นไปอีกทาง

และฉันก็คงไม่ได้มายืนยิ้มแย้มพูดคุยกับเขาแบบนี้ ตชด.ที่จะมาเจอพวกเขาก็คงไม่ได้มาเจอเพื่อสอนวิชา



ในเวลานี้, ณ สถานที่แห่งนี้ พวกเขาคือคนไทย

แต่ถ้าเขาอยากเป็นกะเหรี่ยงล่ะ แค่อยากเป็นคนแบบที่เราเป็นนั้นได้ไหม

การเป็นคนไทยนั้น เหมือนเป็นค่าตอบแทนแก่พื้นที่ที่เขาอยู่

มันคือเขตแดนที่ไม่เคยมีใครมองเห็น แต่วันหนึ่งมันก็ถูกกำหนดขึ้นมา

ฉันลองมานั่งคิดดูว่า, ถ้าเขาอยากแค่เรียนเพื่อให้รู้ แล้วกลับสู่ชุมชนของเขาล่ะ เราจะรู้สึกว่าเขาอกตัญญู, เอาเปรียบ หรือไม่สำนึกคุณแผ่นดินไหม

แผ่นดินที่เมืองหลวงของเรายังคงจำกัดชนชั้นของเขาไว้แค่ที่การขายแรงงาน, เป็นคนใช้, เป็นแรงงานก่อสร้าง

เขาจะเป็นหมอ เป็นครู เป็นผู้นำได้เฉพาะในหมู่บ้านของเขาเท่านั้นเอง

อย่าบอกเลยว่าไม่จริง, คุณเคยเห็นหมอผ่าตัดเป็นชาวกะเหรี่ยง, ผู้นำแฟชั่นชาวขมุ หรือราษฎรตัวอย่างชาวมอเก็นบ้างไหม?

เขาถูกอะไรบางอย่างผลักดันให้มาเรียนในหลักสูตรเดียวกับเรา แต่เขาก็ไม่มีวันได้เป็น-ใครบางคน-เสียที

หากยังอยู่ภายใต้แผนที่ที่กำหนดว่าเป็นประเทศไทย, ประเทศอเมริกา หรือประเทศไหนๆที่สายลมแห่งโชคชะตาจะพัดพาพวกเขาไป



หากเขาจะขอรู้สึกว่าเขาเป็นชาวกะเหรี่ยง เป็นชาวไทใหญ่แห่งแคว้นฉาน ผู้ถูกทหารพม่าบีบบังคับให้ออกจากแผ่นดินเกิดของพวกเขา

แล้วอยู่มาวันหนึ่งในแผ่นดินที่ไร้ผู้คน, พวกเขารวมตัวกันขึ้นมา อยู่กันอย่างเงียบสงบ ก็มีคนมาบอกพวกเขาว่า "คุณคือคนไทย เพราะคุณอยู่ในเขตของประเทศไทย คุณต้องเรียนภาษาไทย คุณต้องให้ความร่วมมือกับเรา"

จะย้อนกลับไปก็ไม่ได้ แต่หากจะปฏิเสธไม่ให้ความร่วมมือกับคำขอต่อไป แล้วเขาจะต้องไปอยู่ที่ไหนกัน

เราจะอยู่เฉยๆ โดยไม่ต้องเป็นพวกใครเลยได้หรือไม่?

เราจะแค่เป็นเราโดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการปลูกจิตสำนึก หรือการสถาปนาตนของรัฐชาติ รัฐใดเลยได้หรือไม่ ?

ในหมู่บ้านนี้มีกลุ่มซึ่งนับถือลัทธิฤๅษี, ไม่กินของที่เลี้ยงในบ้าน ไม่ว่าไก่หรือหมู

พวกเขายินดีล่า พวกเขาไม่อยากเลี้ยง ไม่อยากขาย ไม่อยากซื้อ ไม่อยากสร้างระบบเพื่อครอบครองสิ่งใด

พวกเขาแค่อยากมีชีวิต

วันหนึ่งมีคนไปหาเขา ขอร้องแกมบังคับว่าต้องเรียนรู้ ไม่เช่นนั้นก็ออกไป

พวกเขายอมมาเรียนกับเรา

แล้วพวกเราล่ะ? ยินดีไปเรียนรู้วิถีของเขาหรือเปล่า?

ฉันว่าคงเป็นเพราะออกซิเยนที่เบาบางบนยอดเขา สมองเจ้ากรรมของฉันจึงได้ฟุ้งซ่านสงสัยอะไรเพี้ยนๆ เช่นนี้ขึ้นมา

แต่ก็ยังดีที่ฉันแค่สงสัย ไม่ได้ออกปากถาม

อย่างน้อย, ฉันก็โดนการศึกษาฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี

. . . . . . . . . . . . . . . . . .

"ภู-มี-ศาสตร์ " เขียนโดย บินหลา สันกาลาคีรี พิมพ์โดย สำนักพิมพ์โพสต์บุ๊กส์ ตุลาคม, 2551



+++

คัน-คัน-คันหู
โดย ทราย เจริญปุระ คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 02 กันยายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1620 หน้า 80


ว่าจะไม่เขียนแล้ว แต่ก็อดไม่ได้

ก็เรื่องเกี่ยวกับหนัง "รักจัดหนัก" ที่ฉันมีส่วนร่วมอยู่ กับอีกเรื่องก็คือ, น้องจ๊ะ แห่งวงเทอร์โบ เจ้าของบทเพลง "คันหู" ที่แสนฮือฮา

ถ้าใครเคยได้ชมและฟังบทเพลงของน้องแล้วคงนึกออกว่าทำไมมันถึงฮือฮา แต่ถ้าใครยังไม่ได้ฟังและชมก็โปรดหาลู่ทางเอาเถิด มันเกินกว่าที่ฉันจะอธิบายได้จริงๆ

ปัญหามันอยู่ตรงที่คนกลุ่มหนึ่งรุมด่าประณามน้องเขาอย่างเสียหาย ชนิดแทบไม่ได้ผุดได้เกิดกันเลยทีเดียว

น้องจ๊ะ ยังเรียนอยู่ และเธอก็บอกว่าเธอหาเงินเรียนหนังสือและเลี้ยงครอบครัว เธอรู้ว่าภาพมันออกมาไม่ดี แต่เธอก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ใครๆ คิดกัน

คิดไปได้อย่างไรว่าถ้าร้องเพลงแบบนี้ แสดงแบบนี้ ก็ต้องเป็นคนแบบนี้

ทุกคนมีความจำเป็นส่วนตัวกันทั้งนั้น และหนทางดิ้นรนก็ไม่เหมือนกัน

ด่าทอว่าน้องเค้าไปเพิ่มอัตราการข่มขืน

ขอโทษเถอะ, ผู้ชายไม่คิดจะหักห้ามใจตนเองกันบ้างเลยหรือ นอกจากการโทษเพศหญิง

อะไรที่ผลักน้องเขามาตรงนี้

ก็เพราะน้องเขารู้ว่ามันขายได้

ขายให้ใคร

ก็พวกคุณนั่นแหละ

ใช่...มันมากกว่าที่เคยมีใครทำมา

แต่ในเมื่อโลกไม่ได้แตกพรุ่งนี้ เพลงคันหูนั้นจึงไม่อาจนับได้ว่าเป็นที่สุดแล้วของความน่าละอายและทำลายวัฒนธรรม

ผู้ทรงศีลทั้งหลาย...หากคุณยังไม่ตายพรุ่งนี้ จงเร่งทำใจให้หนักแน่นขึ้นเถิด

เพราะโลกในวันต่อๆ ไปนั้น มันมีแต่จะมากขึ้นและมากขึ้น

คุณไม่มีทางไปไล่ด่าทอหรือโปรดสัตว์เขาได้ทันหรอก

หันมาทำความเข้าใจ และมองใครๆ ว่าเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับคุณจะง่ายกว่า

จะแอบเหยียดหยามในใจซักหน่อยก็ได้, พวกศีลธรรมจางอย่างฉันใจกว้าง แต่อยากจะบอกว่าโลกแห่งความเป็นจริงนี้สนุก และมีอะไรมากมายให้ค้นหา กว่าโลกที่คุณเห็นมากมายนัก



เรื่องต่อมาคือหนังของฉันเอง

เป็นธรรมเนียมของภาพยนตร์ที่จะผลิตเสื้อยืดออกมาเป็นกึ่งๆ ของที่ระลึกให้ทีมงานได้ใส่กันและใช้แจกจ่ายไปในการร่วมสนุกเพื่อโปรโมตหนัง

ก็ปรากฏว่ามีคนไปเห็นทีมโปรโมตใส่เสื้อยืดซึ่งสกรีนลายด้านหน้าเป็นลายเส้นกราฟฟิกสีชมพูรูปสัญลักษณ์ภาษามือที่มีความหมายถึงการบอกรัก

และลายกราฟฟิกนั้นก็ไปปรากฏอยู่ที่ด้านหลังเสื้อยืดด้วย ต่างกันเพียงว่าสัญลักษณ์ภาษามือคราวนี้เป็นการชูนิ้วกลาง

เท่านั้นแหละคุณเอ๋ย...ก็มีผู้ไปตั้งกระทู้ว่าเสื้อนี่มันรุนแรงและแสนจะไม่เหมาะไม่ควรเสียเหลือเกิน และเรียกร้องให้มีผู้ออกมารับผิดชอบในเว็บบอร์ดชื่อดังของประเทศไทย

ก็พอเข้าใจได้ว่าคนตั้งกระทู้อ่านเป็นโรคหัวใจอ่อนไหวแสนทรมานจนไม่อาจทนดูความหยาบคายบนเสื้อยืดได้

แต่ที่ฉันปลงมากกว่าคือความเห็นหนึ่งในกระทู้นั้น

ดราม่าเอย จงซับซ้อนยิ่งขึ้น

มันซับซ้อนจนฉันไม่อาจเข้าใจได้อีกแล้วว่าตีความมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร

"นี่แหละครับ สังคมบูชาเงินมากกว่าจริยธรรม "

มีคนออกความเห็นเช่นนี้จริงๆ

สาบาน

กระทั่งเสื้อยืดยังไปกันได้ถึงเพียงนั้น ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนังคงโดนกระทืบจากมนุษย์ในอุดมคติเหล่านั้นอย่างไม่มีชิ้นดี

ดังนั้น, ฉันขอย้ำอีกทีนะคะ หนังเรื่องรักจัดหนักนี้

เราไม่ได้สอน เราไม่ได้เสริม เราไม่ได้สั่ง

แต่, เราเล่าให้ฟัง

ถ้าคุณรู้สึกว่ามันมากไป ก็แค่หมายความว่าคุณไม่เคยทำ

แต่ใช่ว่าจะไม่มีใครทำ



โลกมันเป็นอย่างนี้

เรื่องบนโลกมีมากมายให้เล่า ทำไมต้องมาเล่าเรื่องแบบนี้ด้วย, คุณว่าเราเช่นนั้น

ก็บนโลกนี้มีเรื่องมากมายจริงอยู่ ทำไมเราต้องละเลยไม่เล่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งทั้งที่มันเกิดขึ้นจริงด้วยเล่า

คอกที่คุณล้อมไว้มันจะแข็งแรงและครอบคลุมได้ไกลถึงไหนกัน

คุณเองก็รู้ว่ามันมี คุณถึงตั้งแง่กับมันว่ามันรุนแรง

แล้วไง

ไปๆ มาๆ ฉันว่าเยาวชนไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไหร่

ผู้ใหญ่นี่แหละ, น่าห่วงกว่า



หนังวัยรุ่นใสๆ ชวนกันไปสวดมนต์อย่างนั้นหรือที่คุณอยากดู

เพราะรู้แต่ไม่ยอมรับนี่แหละ หนทางแก้ไขมันถึงดูตีบตันนัก เหลือเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปตามมีตามเกิด หาใช่เป็นหนทางรับมือหรือป้องกันไม่

น่าตลกที่ว่า, ประเทศเปี่ยมอาบไปด้วยความดีงามและขนบธรรมเนียมประเพณีของเรานั้น กลับท่วมท้นไปด้วยปัญหาทำแท้งเถื่อนและโสเภณีมากกว่าประเทศทางตะวันตก ซึ่งคุณเหยียดหยามว่าเป็นดินแดนฟรีเซ็กซ์อย่างเทียบกันไม่ติด

คุณจะคอยแต่ปฏิเสธไม่รับรู้รับเห็น แล้วคอยดักประณามใครที่ไม่เข้ามาตรฐานคุณว่าต่ำทรามอย่างเดียวก็ได้

แต่ในฐานะของคนคนหนึ่ง, การปฏิเสธจะมีส่วนร่วมหาทางแก้ไขหรือรับรู้ในปัญหา แล้วเอาแต่คอยด่าประณามคนอื่นเพียงอย่างเดียว

ด้วยท่าทีสูงส่งนั้น

ฉันว่าคุณใจแคบค่ะ




++++

ดื่ม"น้ำตา"
โดย ทราย เจริญปุระ คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 01 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1611 หน้า 80


มีทฤษฎีบทหนึ่งระบุไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดในธรรมชาติสูญหาย เสียงทุกเสียงที่เกิดขึ้น คำพูดทุกคำที่เอื้อนเอ่ยออกมา ยังคงดำรงอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้วงอวกาศและกาลเวลา และสักวันหนึ่งอาจมีผู้รำลึกนึกได้

หากแต่ไม่ต้องถึงขั้นเดินทางย้อนเวลาเพื่อจะค้นหามัน

เราทุกคนต่างมีแถบบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นไว้กับตัวแล้ว และบางครั้งบางคราว เรื่องราวเหล่านั้นก็ซุกซ่อนตัวคอยบงการชีวิตและการตัดสินใจของเราอยู่อย่างเงียบงัน แถบบันทึกที่ว่านี้ได้รับการขนานนามว่า

-ความทรงจำ-



การขับรถกลับมายังบ้านของฉันนั้นใช้เวลาจริงหนึ่งชั่วโมง กับเวลาจากความทรงจำอีกยี่สิบปี มีเรื่องมากมายเหลือเกินที่เราต้องจดจำและรำลึก

ชีวิตที่ดูปกติธรรมดาของฉัน คนแบบที่คุณนึกว่าฉันเป็นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง

และความเป็นจริงกำลังเติบโตจนยากจะหลงลืมหรือหลบเลี่ยงได้อีกต่อไป

ฉันจะกลับมาจัดการกับความเป็นจริงข้างหน้า และลืมว่าก่อนหน้านี้ฉันเคยเป็นเช่นไร เพื่อจะได้ไม่รู้สึกผิดกับการที่ยังมีคนหวนหาสิ่งที่ฉันดูเหมือนจะเคยเป็น เพื่อจะได้ไม่รู้สึกแย่กับสิ่งที่ฉันเคยทำเพื่อความสบายใจของใครๆ ทั้งที่ไม่ใช่ตัวฉันเอง

ชีวิตของฉันกับยานั้นผูกพันกันอย่างเหนียวแน่นแทบจะแยกไม่ออก ฉันเป็นพวกขี้หงุดหงิดขี้รำคาญเกินกว่าจะรอให้ร่างกายระดมเม็ดเลือดขาวมาทำการรักษาตัวเอง หรือนั่งกินวิตามินไปทีละวันเพื่อหวังผลว่ามันจะช่วยดูแลฉันในวันที่ป่วย

และสำหรับการเจ็บป่วยจากความทรงจำที่ยังไม่มีใครคิดค้นยามารักษาได้โดยตรงนั้น ฉันก็มีสิ่งที่ใช้รับมือกับมันเพื่อช่วยในการเยียวยา

ฉันรักษาด้วยเหล้า ด้วยหลับ และด้วยลืม

แต่ความทรงจำบางเรื่องนั้นแข็งแกร่งเกินต้านทาน

ท่ามกลางความบุบเบลอของท่าทางภายนอก ฉันเป็นคนจำอะไรได้แม่นจนเกินงาม

ไม่ถึงขั้นมีความทรงจำประดุจดังภาพถ่าย แต่เหตุการณ์ใดที่ฝังลึกลงในความทรงจำแล้วก็ยากจะลบเลือน

ฉันจำเป็นเรื่องๆ . . ไม่ได้จำเป็นชิ้น

ดังนั้น ความทรงจำของฉันจะประกอบครบไปทั้งภาพ เสียง กลิ่น สัมผัส

วันนี้ฉันจะกลับมาจัดการกับมัน



ฉันได้ยามาหนึ่งเม็ด แต่ฉันจะไม่บอกกับคุณหรอกว่าฉันได้มันมาอย่างไร

ฉันเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกว่ามีความทรงจำในชีวิตที่แข็งแรงมากเกินกว่าจะไม่ให้มันมามีอิทธิพลเหนือการใช้ชีวิตต่อไปของฉันได้

สรุปง่ายๆ ว่าฉันน่าสมเพชเกินกว่าจะดูดาย

และชีวิตฉันคงก้าวไปไม่ถึงไหนหากยังถูกรั้งไว้ด้วยสมอแห่งความทรงจำเช่นนี้

ข้อแม้เดียวที่จะทำให้ยานี้ได้ผลคือต้องกินมันเข้าไปหลังอาหารทันที

แล้วดื่มน้ำตาตามมากๆ

ปกติแล้ว ยาที่ถูกกำหนดให้กินหลังอาหารทันทีพร้อมกับดื่มน้ำตามมากๆ นั้น

เป็นเพราะมันคือตัวยาที่อาจทำให้คลื่นไส้อาเจียน, อาจตกค้างในไต

หรือมีฤทธิ์เป็นกรดกัดกระเพาะอาหาร

นอกจากความสามารถของมันในการช่วยบรรเทาอาการทางกายแล้ว

มันยังสามารถทำร้ายร่างกายของเราได้ในเวลาเดียวกัน

การกินน้ำตามมากๆ นั้นก็เพื่อช่วยให้การตกค้างหรือความเป็นกรดของมันเจือจาง และทำร้ายร่างกายของเราน้อยลง แต่ยังคงออกฤทธิ์เพื่อรักษาอาการป่วยไข้เอาไว้ได้เช่นเดิม

และสำหรับยาตัวนี้ที่ต้องดื่มน้ำตามากๆ นั้น เพราะความทรงจำก็สามารถตกค้าง

และมีฤทธิ์กัดกร่อนเช่นเดียวกัน น้ำตาจะช่วยบรรเทาความรู้สึกผิดในใจ

และเป็นการระบายออกเพื่อเยียวยาและลดผลข้างเคียงทั้งที่เกิดจากความทรงจำ

และจากการลืมเลือน



ฉันร้องไห้มาตลอดทาง มันทุลักทุเลนิดหน่อยสำหรับการเอาแก้วน้ำรองน้ำตาไปในขณะขับรถ แต่มันก็เป็นเพียงวิธีเดียวที่เราจะเก็บน้ำตาเอาไว้ได้ และแม้จะทำหกบ้าง เก็บไว้ไม่ทันบ้าง

ปริมาณน้ำตาของฉันมันก็มากมายจนน่าตกใจแต่ก็ชวนให้อุ่นใจไปด้วยเช่นกันว่า มันคงจะมีมากพอ

ฉันกินข้าว, ร้องไห้อีกครั้ง กินยา กลั้นใจดื่มน้ำตาตามจนหมด แล้วพาตัวเองไปนอน

ฉันหลับใหลไปนานแสนนานจนดูเหมือนว่าเวลานั้นผ่านข้ามเป็นปีแสงก่อนจะตื่นขึ้นอีกครั้ง

ฉันยังคงเป็นฉัน

บางอย่างถูกลบเลือนไป

แต่ดูเหมือนว่า ฉันจะยังกลั่นน้ำตาได้ไม่มากพอจะลดอาการข้างเคียงของยา



ฉันยังคงโดนกัดกร่อนด้วยเศษจากความทรงจำไม่ปะติดปะต่อที่ยังหลงเหลืออยู่ ผีจากอดีตยังคงหลอกหลอนฉันต่อไป

และการไล่ผีนี้ก็ยังไม่มีตัวยาออกมากำจัดให้มันหายไปเหมือนมดหรือแมลงอื่นๆ

อย่างเดียวที่ฉันพอจะทำได้ คือเลิกกลัวมัน

และคนที่จะต้องทำสิ่งนั้น

คือตัวฉันเอง

. . . . . . . . . . . . . . . . . .

"ทานยาหลังอาหาร แล้วดื่มน้ำตามากๆ " เขียนโดย จิราภรณ์ วิหวา ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 เดือนมีนาคม, 2554 โดยสำนักพิมพ์แซลมอนบุ๊คส์


+++++

หญิงอกตัญญู
โดย ทราย เจริญปุระ คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1610 หน้า 80


"เดี๋ยวพ่อก็เดินได้ปร๋อแล้ว"

พ่อก็พูดอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่เริ่มป่วยล้มหมอนนอนเสื่อ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วอย่าว่าแต่เดินเลย ชั้นจะผงกหัวยกตัวขึ้นมาคุยยังแสนยาก สิ่งที่ฉันเห็นคือพ่อนอนอยู่บนเตียง ห่มผ้าคลุมปิดอกไว้ครึ่งๆ และมองไปทางนั้นทางนี้แบบไม่มีจุดหมายใด รอให้ใครมาทักด้วยถ้อยคำหลอกลวงว่า "ดูดีขึ้นนะ" "แข็งแรงจังเลยค่ะ" "แบบนี้ต้องอยู่ไปได้อีกนานเลย"

ฉันเลยไม่เชื่อพ่อ

แต่ไม่เชื่อแล้วจะเป็นอย่างไรได้ พ่อก็คือพ่อ ต่อให้พ่อกล่าวว่าจะสร้างปาฏิหาริย์อะไรยิ่งกว่านั้น

ทั้งหมดที่ฉันต้องทำก็คือ, พยักหน้า



ฉันเป็นหญิงอกตัญญู

ทุกคนรอบตัวบีบคั้นให้ฉันดูแลพ่อ ดูแลพ่อ ดูแลพ่อ

แต่ฉันไม่อยาก

ฉันเหนื่อย ฉันมีหน้าที่ของฉัน ฉันอยากไปหาคนรัก ฉันอยากเที่ยว ฉันอยากนอนค้างอ้างแรมที่อื่น

ฉันไม่ชอบพะเน้าพะนอเอาใจใครด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่า

"ยังไงเขาก็เป็นพ่อแกนะ"

ฉันเป็นคนแยกบุญคุณ ความแค้น และความรักได้กระจ่างเสมอมา

ฉันรู้ว่าวันหนึ่งพ่อต้องป่วย และถัดจากนั้นอีกไม่นานความตายก็จะเดินทางมาถึง

มันจะเป็นอื่นไปได้อย่างไร ในเมื่อมนุษย์ทุกคนเกิดมาก็ต้องผ่านขั้นตอนเหล่านี้ทั้งนั้น

ฉันจึงไม่เห็นว่าสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นโดยธรรมชาติอยู่แล้วนั้นจะมีน้ำหนักให้ลบสิ่งที่พ่อเคยทำ

ความแก่ชราและอาการป่วยไข้ไม่ใช่เหตุที่จะต้องมาให้อภัยหรือหลงลืม

ฉันดุ ฉันไม่มอง ฉันไม่สน ฉันตั้งกฎระเบียบในบ้านตามแบบของฉัน ฉันหาเงินเลี้ยงทุกคน และเลี้ยงพ่อตามหน้าที่

คนเราเลือกเกิดไม่ได้ และเลือกไม่ได้ด้วยว่าจะต้องเกิดเป็นลูกใคร



การเป็นลูกของพ่อฉันนั้นหนักหนา

ด้วยว่าพ่อดูจะทำเป็นไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง

ใครๆ ที่ได้เจอก็รักพ่อ ชื่นชมพ่อ มีพ่อเป็นแบบอย่าง

เขาจะรู้บ้างไหมว่า ความเป็นจริงและความดีงามทั้งหลายทั้งปวงของพ่อนั้นก็มีไว้ขาย ไม่ต่างจากของทั่วไปในตลาด

ความสนุกนั้นเป็นเรื่องของหน้าที่ และภาพลักษณ์ที่ดูดีเป็นเรื่องของความรับผิดชอบ

อย่าลืมว่าพ่อก็เป็นมนุษย์

ยิ่งใช้จ่ายความดีเลิศลอย ใช้สอยความเก่ง ออกไปข้างนอกมากเท่าไหร่ สิ่งที่หลงเหลือเอาไว้ให้กับครอบครัวคือความเป็นจริง

ใจร้อน อาละวาด ขว้างปา ด่าทอ ลงไม้ลงมือ

อาจเป็นเพราะอย่างนี้ฉันถึงไม่ได้รักพ่อผู้โด่งดังของฉัน มากไปกว่าใครซักคนที่จะรักพ่อที่เป็นมือปืนของเขาได้

เพราะชีวิตข้างนอกกับข้างในบ้านนั้นต่างกัน

ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเห็นเขาจากด้านไหนของประตูเท่านั้นเอง



"เราต้องการถูกรัก หรือไม่ก็การชื่นชม หรือไม่ก็ความยำเกรง หรือไม่ก็ความเกลียด ความชิงชัง เราทำทุกวิถีทางเพื่อปลุกเร้าความรู้สึกอะไรบางอย่างในตัวผู้อื่น วิญญาณของเราสั่นสะทกกับความว่างเปล่า มันจึงโหยหาความสัมพันธ์ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยราคาใด" *

ยิ่งถูกบังคับ ฉันก็ยิ่งหนี

ยิ่งทุกคนบอกให้ฉันรักพ่อ ห่วงพ่อ อยู่กับพ่อ ดูแลพ่อ ตามใจพ่อ

ฉันก็ยิ่งขวาง

ทำไมจะต้องมาคิดแทนกัน ทำไมจะต้องเอาจริยธรรมและความน่าจะเป็นมานำความจริง

ฉันมีสิทธิ์ที่จะรู้สึกไม่ใช่หรือ

แต่เมื่อฉันตั้งท่าจะอธิบาย อากัปกิริยารุนแรงก็สะท้อนใส่

ไม่มีใครสนใจว่าทำไมฉันจึงดูแลพ่ออย่างเข้มงวด เพราะนิสัยทะนงตนของพ่อนั้นทำให้เขาเชื่อว่าเขากินยาไปแล้วอยู่เสมอ แม้จะยังไม่ได้กินอะไรเลยก็ตาม

เมื่อฉันตั้งคำถามว่าพ่อน่าจะอยู่เกินปีใหม่นี้ไหม เสียงด่าทอก็ดังเข้าหู

ไม่มีใครคิดว่าหากพ่อฉันตายโครมลงไปโดยไม่มีการเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า ฉันจะโกลาหลขนาดไหน ทั้งเรื่องพิธีกรรมมากมาย แถมยังพี่น้องญาติโยมอีกล้านแปดของพ่อที่ฉันต้องรับมือ

ไม่ฟังก็ไม่ฟัง

ฉันจึงเลิกพูด เลิกบอก และเลิกทำความเข้าใจ

และทำสิ่งเดียวที่ฉันพอจะทำได้

คือหนีไปให้พ้นๆ



และในคืนที่ดาวอับแสง

พ่อฉันก็ตาย

ฉันรู้ข่าวนี้หน้าแก้วเหล้าและมวนบุหรี่ที่ถูกจุดทิ้งไว้ครึ่งมวน

ฉันลุกขึ้น เหยียดตัวบิดขี้เกียจและบอกเพื่อนร่วมวงว่าขอตัวกลับก่อน

พอดีพ่อตาย

พ่อนอนอยู่ในที่ที่เคยอยู่มาตลอดตั้งแต่พ่อป่วย

ผอมกรังเหี่ยวแห้ง กระดูกข้อต่องอบิด

ปากพ่อเผยอเล็กน้อย แต่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่รอยยิ้ม

ท่ามกลางเสียงคร่ำครวญและหยาดน้ำตา

ฉันนั่งลงตรงปลายเตียงและพยายามควานหาเท้าของพ่อ

เท้าที่พ่อเคยบอกว่าเดี๋ยวจะใช้มันเดินให้ได้เหมือนเดิม

แต่ใต้ผ้าห่มมีเพียงความว่างเปล่า

พ่อฉันไม่เคยมีเท้า

พ่อฉันไม่เคยเดินด้วยตัวเอง

. . . . . . . . . . . . . . . . . .

* ข้อความจากในหนังสือ ' บันทึกของคนเสื้อขาว ' ( Doctor Glas ) เขียนโดย ยาลมาร์ โซเดอร์เบิร์ก แปลโดย ประสิทธิ์ ตั้งมหาสถิตกุล พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2544 โดยสำนักพิมพ์สมบัติ


.