http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-09-24

ยิ่งลักษณ์เดินดิน...ทักษิณเหยียบเมฆ, +จะทำสงครามกัน?, สู้กันได้ทุกรูปแบบ โดย มุกดา สุวรรณชาติ

.

ยิ่งลักษณ์เดินดิน...ทักษิณเหยียบเมฆ ปฏิบัติการกัมพูชา...เพื่อประชาธิปไตย
โดย มุกดา สุวรรณชาติ คอลัมน์ หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1623 หน้า 20


เส้นทางเดินดิน ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์

วันนี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องการกำลังใจอย่างมาก แม้จะเคยผ่านประสบการณ์ในองค์กรขนาดใหญ่ แต่ไม่มีทางเทียบกับปัญหาที่เผชิญอยู่ ซึ่งเป็นปัญหาของประเทศและประชาชน เฉพาะที่เห็นอยู่ข้างหน้ามีสารพัดเรื่องกองสูงเท่าภูเขา แต่พอก้าวเท้าออกจากทำเนียบรัฐบาล น้ำก็ท่วมถึงเอวแล้ว

วันนี้ชาวบ้านมองเห็นเมฆฝนเต็มท้องฟ้า แต่นายกมองเห็นเมฆดำทางเศรษฐกิจตั้งเค้าทะมึน รออยู่ข้างหน้า

ข้อมูลความล้มเหลวทางเศรษฐกิจของยุโรปและอเมริกาถูกป้อนให้รับรู้ทุกวัน คนที่เกี่ยวข้องก็กังวลอยู่ว่ามันจะกลายเป็นพายุพัดผ่านเข้าประเทศไทยเมื่อใด

ส่วนปัญหาการเมืองก็ไม่มีการหยุดปะทะ ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ อำนาจนอกระบบก็จ้องขย้ำทุกเวลานาที

มีคนเรียกร้องให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์เป็นตัวของตัวเอง แต่บนเส้นทางที่เธอเดินอยู่มีกับดักมากมายจึงต้องมีความระมัดระวังสูงถ้าอยู่ในบ้านคงทำได้ แต่เมื่อก้าวเท้าออกจากบ้านก็เหมือนลงสนามแข่งฟุตบอลต้องเล่นเป็นทีม ต้องทำตามแผน แต่ต้องเชื่อมั่นในตนเอง กล้าเล่นลูก กล้ายิงประตูในจังหวะที่สมควร

สองเดือนที่ผ่านมานายกฯ หญิงเหมือนนักกีฬาที่ยังไม่ชินสนาม ไม่ชินต่อเสียงโห่ร้องของผู้ชม เกิดอาการเกร็งทำให้เล่นไม่ค่อยออก แต่ประสบการณ์ที่ได้รับจะทำให้เธอแข็งแกร่งและชำนาญมากขึ้น

เวลานี้ต้องประคองจิตใจให้นิ่งเหมือนสีหน้า อีกไม่นานก็จะผ่านด่านนี้ไปได้

ถึงอย่างไรวันนี้หนูน้อยหมวกแดง ยิ่งลักษณ์..ก็หลุดรอดกับดัก เดินผ่านป่าทึบเข้ามาในบ้านคุณยายได้แล้ว แต่ก็มีหมาป่าแปลงกายคอยอยู่ในบ้านอีกหลายตัว

ความแตกต่างของเรื่องนี้อยู่ตรงที่หนูน้อยหมวกแดงมีคนแคระทั้งเจ็ดคอยช่วยเหลือ

คนแคระจะกระโดดข้ามจากเรื่องสโนไวท์มาได้อย่างไร เรื่องแบบนี้ต้องมีคนจัดให้

ไม่มีคำถามสำหรับการเยือนกัมพูชาของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ข่าวและการคาดคะเน ก็คือไปแนะนำตัวต่อผู้นำประเทศเพื่อนบ้านในฐานะนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ไปปูทางเพื่อเจรจาแก้ปัญหาความขัดแย้ง และเปลี่ยนเป็นความร่วมมือ ในปัญหาเขาพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย 26,000 ตารางกิโลเมตร

นายกฯ ยิ่งลักษณ์เดินผ่านทหารกองเกียรติยศอย่างสง่างามพูดกับนายกฯ ฮุน เซน 1,000 คำ ก็เดินทางกลับ จากนี้ไป การเจรจาในรายละเอียดจะเดินหน้าต่อโดยฝ่ายการเมืองและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง มีบางเรื่องที่นายกฯ ควรทำ บางเรื่องควรให้ข้าราชการทำ และบางเรื่องต้องให้ผู้เชี่ยวชาญทำ

บนเส้นทางประชาธิปไตย นายกฯ ยิ่งลักษณ์ต้องบริหารงานเพื่อประชาชนใช้อำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่ ปัญหาใดที่ใช้อำนาจหน้าที่แก้ไขไม่ได้ก็ปล่อยให้ฝ่ายอื่นหรือคนอื่นแก้ไขแทน

วันนี้ไม่มีหนทางอื่นให้เลือกเดินนอกจากเดินไปตามเส้นทางประชาธิปไตย

แม้จะมี 3 นายกรัฐมนตรีที่ถูกกำจัดออกไป ในรอบ 5 ปีนี้ แต่สถานการณ์ทางการเมืองก็เปลี่ยนไปมาก การตื่นตัวต่อกระแสประชาธิปไตยของประชาชน และแรงสนับสนุน ของคน 16 ล้าน จะยังเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนให้รัฐบาลเดินหน้าไปบนผิวดิน ซึ่งเป็นเส้นทางเดินธรรมดา

ถ้าอุปสรรคที่มาขวางขนาดไม่ใหญ่มาก ก็กวาดทิ้งไป ถ้าขนาดใหญ่ก็ต้องระดมกำลังประชาชนเข้าช่วย ถึงวันนี้ทุกคนรู้แล้วว่าถ้าไม่ทำให้สำเร็จ ผลเสียก็จะตกกับคนส่วนใหญ่



เส้นทางของทักษิณ...
แม้อยากจะลงดิน แต่ต้องบินเหนือเมฆ

อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ถูกแรงกดดันทางการเมืองจากกลุ่มอำนาจเก่าบีบจนไม่อาจกลับเข้าประเทศไทยได้ ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยในวันนี้ก็ยังไม่ใช่หลักประกัน อาจมีการยึดอำนาจอีกครั้งก็ได้ ขณะนี้รัฐบาลยังมีคนเสื้อแดงหลายล้านเป็นกำแพงค้ำยัน ให้เผชิญกับแรงกดดันต่างๆ ได้ แต่จะต้องเดินหน้าเปลี่ยนประเทศไทยให้มีสภาพประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์โดยเร็ว ซึ่งหลายฝ่ายต้องช่วยกันทำ

สำหรับทักษิณ เขาไม่มีโอกาสได้เดินดินตามปกติ แต่ก็มีงานที่ต้องเคลื่อนไหวอีกแล้วเป็นการเคลื่อนไหว ที่ต้องเหยียบเมฆแทนดิน บินแทนเดิน เพื่อส่งคนแคระทั้งเจ็ดไปช่วยหนูน้อยหมวกแดง ยิ่งลักษณ์ เพื่อสู้กับหมาป่าแต่จะใช้คนแคระทั้ง 7 ได้ก็ต้องบินไปกัมพูชา

หลายคนถามว่าอดีตนายกฯ ทักษิณไปเยือนกัมพูชาทำไม ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ แถมยังอยู่ยาวนานกว่าหลายวัน

มีคำตอบให้เลือกหลายข้อ

ก. ไปร่วมงานประชุมองค์กรรัฐสภาเอเซีย-แปซิฟิก

ข. ไปดูฟุตบอลกระชับมิตรนักการเมืองไทยกับกัมพูชา

ค. ไปพบคนเสื้อแดง

ง. ไปเยี่ยมนายกฯ ฮุน เซน ตามคำเชิญ และปาฐกถาเรื่องธุรกิจให้กลุ่มผู้ลงทุนฟัง

ที่จริงถูกทุกข้อ เพราะทั้งหมดเป็นกิจกรรมที่ประกาศถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นของอดีตนายกฯ ทักษิณกับนายกฯ ฮุน เซน และเป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันของรัฐบาลไทยปัจจุบัน กับรัฐบาลกัมพูชา นอกจากนี้ ยังเป็นการแสดงการยอมรับฐานะทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง แม้ไม่ได้เป็นพรรคการเมือง

ผู้สังเกตการณ์ที่มีความรู้เรื่องการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้ร่วมกันวิเคราะห์ไว้ดังนี้

ทักษิณไม่เคยมองการเติบโตของประเทศไทยอย่างโดดๆ แต่มองไปพร้อมกับเพื่อนบ้านที่เป็นวงรอบใกล้ชิด เช่น กัมพูชา ลาว พม่า

มาเลเซียและประเทศอาเซี่ยน จากนั้นจึงโยงไปถึงวงรอบที่สอง คือประเทศใหญ่ในเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศในตะวันออกกลาง สุดท้ายก็พยายามสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศใหญ่ทั่วโลก

หลังถูกรัฐประหาร ทักษิณบินไปทั่วโลกได้รู้มากขึ้น เห็นมากขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น คิดอะไรได้มากขึ้น แต่ที่ทักษิณคิด รัฐบาลจะทำได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

การร่วมมือเพื่อต่อสู้ยกระดับราคาของยางพาราในเมื่อหลายปีที่แล้ว ทำให้ทักษิณมองเห็นพลัง ถ้าประเทศเพื่อนบ้านร่วมมือกันทางด้านการค้า เช่น ข้าว แก๊ส น้ำมัน ช่วงที่เป็นรัฐบาลเขาดำเนินการต่อเนื่องจากรัฐบาลก่อนหน้า ซื้อก๊าซจากพม่า ซื้อไฟฟ้าจากลาวและมองเห็นปัญหาการขาดแคลนพลังงาน

ในอ่าวไทยซึ่งเป็นเขตทะเลตื้นมีแหล่งน้ำมันและก๊าซอยู่มากมาย ข้อมูลเหล่านี้บริษัทที่ทำมาหากินอยู่ตลอด 50 ปีพยายามปิดเป็นความลับแต่ก็ทำไม่สำเร็จ

ถามว่าแหล่งทรัพยากรเหล่านี้มีมากมายขนาดไหน คำตอบคือ มีมากพอสมควรถ้าดูจากข้อมูลที่สำรวจแล้วในปี 2542 จะพบว่าจากหลุมสำรวจ 200 หลุม พบก๊าซจำนวน 20 หลุม พบน้ำมันจำนวน 4 หลุม พบก๊าซและก๊าซเหลว จำนวน 1 หลุม พบก๊าซธรรมชาติเหลวและน้ำมันจำนวน 2 หลุม พบน้ำมันและก๊าซจำนวน 2 หลุม

ในปี 2548 บริษัทเชฟรอน (Chevron Crop) ประกาศว่าพบน้ำมันดิบที่หลุมทดสอบ 5 ใน 7 แห่งนอกชายฝั่งสีหนุวิลล์ และจากการประเมินของธนาคารโลกคาดว่าพื้นที่ทับซ้อนไทยกับกัมพูชาในอ่าวไทยตามกฎหมายทางทะเลซึ่งกินเนื้อที่ประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตรจะมีแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาลอยู่ข้างใต้ โดยการคาดคะเนว่าจะมีน้ำมันอยู่ประมาณ 2,000 ล้านบาร์เรล มีก๊าซธรรมชาติอยู่ 10 ล้าน ล้านลูกบาศก์ฟุต

อย่าคิดเป็นเงิน เพราะนี่คือแหล่งพลังงานที่จะเลี้ยงโลกอีกหลายปี



ไทยและกัมพูชา
จะบริหารผลประโยชน์จากน้ำมันและก๊าซในอ่าวไทย
ให้ได้ประโยชน์สูงสุดอย่างไร

แน่นอน ว่าข่าวของปลาที่ยังตกไม่ได้ย่อมตัวใหญ่เสมอ เพชรที่ยังขุดไม่พบก็มีขนาดใหญ่มากตามจินตนาการ เป็นความฝันของผู้ลงทุนทั่วทั้งโลกเพราะวันนี้ราคาน้ำมันแพงมาก อีก 10 ปีข้างหน้าน้ำมันและก๊าซจะยิ่งขาดแคลน ราคาก็ยิ่งแพงไปกว่าอีกหลายเท่าตัว แต่เรื่องแบบนี้เป็นทั้งประโยชน์และโทษ

ตัวอย่างก็คือ อิรักซึ่งเคยขายน้ำมันนำรายได้เข้าประเทศ แต่ก็ถูกอเมริกาบุกเข้าไปยึด อเมริกาไม่พบนิวเคลียร์และอาวุธเคมีตามที่อ้างแต่หลังจากที่โค่นซัดดัมลง ก็ได้น้ำมันมาขาย

กรณีลิเบียก็เช่นกัน ประชาธิปไตยที่ได้มาของลิเบียในวันนี้จะเป็นประชาธิปไตยในบ่อน้ำมันซึ่งฝรั่งเศสและอังกฤษจะได้ประโยชน์สูงสุด

การเคลื่อนไหวเพื่อโค่นทักษิณก็เริ่มในปี 2548 และถูกรัฐประหารในปี 2549 เป็นช่วงที่ข่าวการแย่งชิงน้ำมันในอ่าวไทยกำลังดัง

ดังนั้น ไทยและกัมพูชาจะต้องจัดการเรื่องน้ำมันและก๊าซในอ่าวไทยให้ได้ประโยชน์ ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ เพราะปัจจุบันพลังงานเป็นสินค้าที่ไม่ต้องง้อลูกค้า จะมีคนมาต่อคิวซื้ออยู่เสมอแต่จะจัดสรรอย่างไรให้เหมาะสมเพราะเป็นความจำเป็นของคนทั้งโลก

วันนี้ข่าวเรื่องแหล่งน้ำมันและก๊าซในอ่าวไทยกระจายไปทั่วโลกไม่เพียงบริษัทเชฟรอน จากอเมริกาที่เฝ้าอ่าวไทยมา 50 ปี แต่ยังมี บริษัทชีนุก (China national offshore Oil Crop - CNOOC) ของประเทศจีน บริษัท Total SA ของฝรั่งเศส นอกจากนี้ยังมีบริษัทจากออสเตรเลีย อังกฤษ สวีเดน ญี่ปุ่น และตะวันออกกลาง

แน่นอนว่า บริษัท ปตท. สผ. ของประเทศไทยก็ย่อมสนใจการลงทุนในแหล่งนี้เช่นกัน ถ้าจัดการไม่เหมาะสม แม้จะได้เงินแต่อาจมีผลเสียทางการเมืองใหญ่หลวง



ไทยและกัมพูชา จะทำอย่างไร...

กลุ่มผู้วิเคราะห์ประเมินไว้ดังนี้

1.หลังการรัฐประหาร 2549 ทำให้โครงการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันชะงักลงเมื่อความสัมพันธ์ไทยและกัมพูชาเกิดการร้าวฉานในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โอกาสลงทุนก็แทบจะหมดไป แต่เมื่อรัฐบาลเพื่อไทยได้รับชัยชนะ โอกาสการลงทุนก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง นักลงทุนทั่วโลกจ้องดูการพบปะของนายกฯ ยิ่งลักษณ์กับนายกฯ ฮุน เซน กับความหวัง แต่ทุกคนสนใจการจับมือกันอย่างแนบแน่นของ ฮุน เซน กับทักษิณมากกว่า เพียงแต่ว่าวันนี้ทักษิณมีความรู้เรื่องพลังงานมากกว่าเดิม หลายปีในดูไบและจากการเดินทางไปทั่วโลก ทำให้เขารู้และเข้าใจกลไกและเล่ห์เหลี่ยมของการค้าน้ำมันและก๊าซ

2. ทั้งทักษิณและ ฮุน เซน ก็เข้าใจการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจเป็นอย่างดี ทั้งสองคนรู้ดีว่าแหล่งทรัพยากรในอ่าวไทยไม่ใช่ปั๊มน้ำมันที่จะขายให้รถคันไหนก็ได้ แต่จะเป็นสนามการค้าและการเมืองระหว่างประเทศ การถ่วงดุลอำนาจระหว่างประเทศใหญ่เป็นศิลปะขั้นสูง จะถูกขย้ำหรือได้ประโยชน์ก็อยู่ที่การเดินหมากของไทยและกัมพูชา

ในขณะที่พวกความคิดคับแคบ ก็ยังคิดเรื่องผลประโยชน์จากค่าคอมมิชชั่นว่าจะได้กี่เปอร์เซ็นต์ จะมีการโกงกันไปกี่พันกี่ร้อยล้าน

3. ทั้ง ฮุน เซน และทักษิณกำลังประเมินน้ำหนักของอเมริกา จีน ฝรั่งเศส อังกฤษ ญี่ปุ่น คิดถึงโรงกลั่นในไทย โรงกลั่นสิงค์โปร์ วันนี้ อำนาจกับเงินไหลปนกันอยู่ในน้ำมัน แต่ทักษิณยังต้องการความมั่นคงทางการเมือง ต้องการได้รับความเชื่อถือจากทั่วโลก ความไว้วางใจจาก ฮุน เซน และการที่ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ โดยมีเสียงสนับสนุนถึง 16 ล้านเสียง ทำให้ความมั่นคงทางการเมืองระหว่างประเทศของตัวเขาแข็งแรงขึ้นมีอำนาจต่อรองมากขึ้น

การร่วมมือของไทยกับกัมพูชาจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะใช้เสียงของมหาอำนาจมาปกป้องประชาธิปไตย ปกป้องรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้พ้นจากการรัฐประหาร ไม่ว่าด้วยกฎหมายหรือปืน เพราะไม่มีใครอยากเห็นการต่อสู้และความวุ่นวายในสองประเทศนี้ อิทธิพลของประเทศใหญ่ทั้งหลาย คือ คนแคระทั้ง 7 ที่จะคอยช่วยหนูน้อยเสื้อแดงยิ่งลักษณ์ ทำให้หมาป่าไม่กล้าเข้าจู่โจมโดยตรง

4. เชื่อว่าทั้งไทยและกัมพูชาจะไม่รีบให้สัมปทานกับใครง่ายๆ เพราะน้ำมันแพงขึ้นทุกปี และ ประเทศมหาอำนาจต่างก็จะได้แบ่งแปลงสัมปทานกันไปตามสัดส่วนของอำนาจและเงิน แต่จะมีส่วนหนึ่งถูกเก็บไว้เพื่อเป็นพลังสำรองทางเศรษฐกิจและใช้ต่อรองทางการเมือง

การเดินทางไปกัมพูชาของทักษิณครั้งนี้ เหยียบไปบนเมฆ แต่เปิดเผย เพื่อบอกให้ทั้งโลกรู้สถานะทางการเมืองของเขา ใครที่คิดว่าน้ำมันเป็นแค่เรื่องเงิน กลับไปคิดใหม่ ปฏิบัติการกัมพูชา...เพื่อประชาธิปไตยจะจบลง เมื่อเสียงนกหวีดของกรรมการในสนามฟุตบอลเป่าหมดเวลา

คนเสื้อแดงเก็บกระเป๋ากลับบ้าน แต่ทักษิณไม่มีบ้านให้กลับ ชีวิตเหมือนนักรบพเนจร เขาถูกฝ่ายตรงข้ามบังคับให้ต้องบินไปรอบโลกอีกหลายรอบ บินไปรบไป จนกว่าจะได้รับชัยชนะ



++

บทความปีที่แล้วช่วงใกล้เคียงกัน ( พ.ศ. 2553 )

เขาเตรียมจะทำสงครามกันแล้วหรือ ?
โดย มุกดา สุวรรณชาติ คอลัมน์ หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 30 ฉบับที่ 1565 หน้า 30


ข่าวการตั้งกองพลทหารราบที่ 7 และ ข่าวการวางระเบิดกลางเมืองหลวงและ ทำให้บางคนตั้งคำถามว่าการต่อสู้ทางการเมืองกำลังขยายไปสู่การใช้กำลังอาวุธทำสงครามกันแล้วหรือ ?

สามารถวิเคราะห์เรื่องนี้และสรุปความเป็นไปได้ดังนี้

ปัจจุบันความขัดแย้งระหว่างฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐกับผู้ที่ต่อต้านยังคงดำรงอยู่ ฝ่ายผู้กุมอำนาจรัฐยังคงใช้นโยบาย "มือขวาถือกฎหมาย มือซ้ายถือปืน" มีทหารเป็นส่วนสำคัญในการค้ำอำนาจรัฐให้ดำรงอยู่ได้

องค์กรที่ออกหน้าคือ ศอฉ., ดีเอสไอ นอกนั้นส่วนอื่นคือตัวประกอบ

นโยบายที่ใช้ทหารเข้าควบคุมการเคลื่อนไหวทางการเมืองยังดำรงอยู่ พ.ร.ก. ฉุกเฉินจึงเป็นอำนาจสารพัดนึก ที่สามารถใช้ปราบปรามจับกุมควบคุมสอบสวนได้ตั้งแต่เด็กนักเรียนถึงคนแก่

นับแต่มีการรัฐประหารประชาชนได้จับตามองการเคลื่อนไหวของกองทัพมาตลอดไม่ว่าจะเรื่องซื้อ GT-200 รถเกราะ เรือเหาะ เครื่องบิน

พอมีข่าวว่าจะตั้ง พล.ร.7 ที่อาจจะใช้งบถึงหมื่นล้าน ก็เลยมีคนสงสัยว่าตั้งขึ้นมาเพื่อเตรียมไว้ใช้ต่อสู้กับฝ่ายต่อต้านอำนาจรัฐใช่หรือไม่

กองทัพชี้แจงเหตุผลว่ามีความจำเป็น เนื่องจากกองพลทหารราบที่ 4 ไม่สามารถดูแลพื้นที่ชายแดนภาคเหนือได้ทั่วถึง และที่ต้องขออนุมัติในช่วงนี้เพราะรัฐบาลยังต้องพึ่งพาทหารในเรื่องความมั่นคงเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ขอตอนนี้จะไปขอตอนไหน แม้ว่าช่วงนี้เงินจะหายากก็ตามแต่เชื่อว่ารัฐบาลจะต้องยอมแน่นอน



การวิเคราะห์ชี้ให้เห็นความจำเป็นอีกสองสามประการคือ

1. สภาพการแข่งขันแย่งตำแหน่งกันในกองทัพมีสูงมากเพราะตำแหน่งมีน้อย การเพิ่มกำลังระดับกองพลจะช่วยระบายความอึดอัดลงไปได้บ้าง เพราะไม่ใช่มีแค่ตำแหน่งผู้บัญชาการกองพล ยังมีรองผบ...เสธ...ผู้การกรม...ผบ.พัน...ไล่ไปจนถึงชั้นประทวน ถ้าทำได้สำเร็จก็จะหายใจกันได้สะดวกขึ้นลดความขัดแย้งได้บางส่วน แต่ใครจะได้ตำแหน่งเหล่านั้นก็ต้องแล้วแต่ว่าเป็นคนของใครไปแย่งกันเอาเอง

2. สถานการณ์ในสามจังหวัดภาคใต้ยังต้องใช้กำลังทหาร และงบประมาณมากที่สุด แม้จะมีการหมุนเวียนกำลังพลลงไปผลัดกันปฏิบัติหน้าที่ แต่ในพื้นที่อันตรายอย่างนั้นไม่มีใครอยากลงไป การเพิ่มกำลังพลให้มากขึ้นและผลัดกันไปนานๆ ครั้งก็ลดความเครียดของกำลังพลลงได้

3. มีคำถามว่าตั้งกองพลใหม่ขึ้นมาจะเอามาใช้ควบคุมการเคลื่อนไหวของฝ่ายต่อต้านหรือเปล่า ฝ่ายทหารก็ปฏิเสธ ชี้แจงว่าสถานการณ์ปัจจุบันนี้ไม่มีความจำเป็นต้องใช้กำลังมากมายอะไร

คำตอบนี้เป็นทั้งเรื่องจริงและไม่จริง ที่ว่าจริงก็คือในปัจจุบันการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลด้วยการชุมนุมมีน้อยมาก ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหารเลย และที่บอกว่าไม่จริงก็เพราะนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ยังมีการใช้กำลังทหารเข้าควบคุมการเคลื่อนไหวทางการเมืองซึ่งในระบบสากลเขาไม่ทำกัน

แต่เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาทหารได้เข้ามายุ่งกับการเมืองไปแล้ว นับตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 จนถึงการตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และถลำลึกเข้าไปปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ จนกระทั่งมีประชาชนเสียชีวิตเกือบร้อยคน บาดเจ็บเกือบสองพันคน หลังจากนั้นยังไล่ล่าฝ่ายตรงข้ามจนต้องหนีลงใต้ดิน หรือไม่ก็ต้องถูกจับไปขัง

เป้าหมายการคงอำนาจรัฐไว้ให้นานที่สุด ถึงแม้ว่าจะไม่มีศอฉ.หรือพรก.ฉุกเฉินแต่ถ้าหากมีการชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐบาลขึ้นอีก การใช้กำลังทหารเข้าควบคุมจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การชุมนุมที่จะเกิดขึ้นคาดว่าจะมีจำนวนคนมากกว่าครั้งที่ผ่านมา และไม่เพียงเกิดการชุมนุมในกรุงเทพฯ อาจจะเกิดในต่างจังหวัดอีกหลายจังหวัดพร้อมกัน

การใช้กำลังทหารจำนวนมากเพื่อควบคุมฝูงชน กระชับพื้นที่ ขอคืนพื้นที่ ฯลฯ ต้องเกิดขึ้นแน่นอน กองพลใหม่ที่ตั้งขึ้นมาจึงหนีไม่พ้นที่จะมาทำหน้าที่นี้เช่นกัน

และไม่เพียงทำหน้าที่ในพื้นที่ภาคเหนือ แต่ต้องลงมาปฏิบัติการในกรุงเทพ ฯซึ่งเป็นศูนย์กลางของอำนาจรัฐ



มาดูเรื่องระเบิดกลางกรุงเทพฯ กันบ้าง

ตอนนี้ดีเอสไอจับผู้ต้องสงสัยซึ่งดูแล้วคงห่างไกลจากความเป็นจริง ถ้าสองสามคนนี้ไม่มีภรรยาคงไม่สารภาพหรอก

เรื่องนี้มีผู้วิเคราะห์ว่าระเบิดลูกแรกเป็นการสร้างสถานการณ์

ส่วนระเบิดลูกที่สอง ก็วิเคราะห์ว่าเป็นฝีมือของอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อเตือนผู้สร้างสถานการณ์ว่า "อย่าทำอีก เดี๋ยวบ้านเอ็งจะพัง" ระเบิดทั้งสองลูกจึงไม่ได้หมายความถึงการส่งสัญญาณพร้อมรบ เพราะขณะนี้ยังไม่มีใครพร้อมทำสงคราม ที่วิเคราะห์อย่างนี้บางคนอาจคิดว่าสวนกับกระแสข่าวที่พูดถึงการลงใต้ดิน การใช้ความรุนแรง การฝึกอาวุธ (ซึ่งภายหลังเจ้าหน้าที่รัฐก็ออกมาปฏิเสธ)

ทำไมวิเคราะห์อย่างนี้...เพราะการทำสงครามต้องมีปัจจัยพร้อมสามอย่าง

1. แนวคิดเกี่ยวกับการใช้กำลังอาวุธเพื่อสร้างอำนาจรัฐและแผนการ

การยึดถือทฤษฎีว่า "อำนาจรัฐมาจากกระบอกปืน" ดูแล้วฝ่ายต่อต้านไม่เคยยึดถือทฤษฎีนี้ ยังคงใช้การต่อสู้ทางรัฐสภา ยังอยากเป็นรัฐมนตรี ยังอยากเป็น ส.ส. ส่วนหนึ่งก็ชอบประท้วงอยู่ตามท้องถนน ขึ้นไปปราศรัยร้องเพลงอยู่บนเวที ในทางตรงกันข้ามฝ่ายกุมอำนาจรัฐกลับยึดถือทฤษฎี อำนาจรัฐมาจากกระบอกปืนได้ดีกว่า ดูจากพฤติกรรมที่ผ่านมาพวกเขาใช้กำลังทหารกำลังปืนเข้ายึดอำนาจรัฐเมื่อปี 2549 และต่อมาก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร สุดท้ายก็ใช้กำลังอาวุธเข้าปราบปรามฝ่ายต่อต้านกลางเมืองหลวงสรุปได้ว่าฝ่ายรัฐบาลกุมทฤษฎีอาวุธคืออำนาจได้มั่นกว่า

ส่วนเรื่องแผนการ ดูเหมือนฝ่ายต่อต้านจะไม่มีเอาเลย ดูการเคลื่อนไหวหลังการสลายชุมนุมก็รู้แล้ว พวกเขายึดหลักอหิงสาจริงๆ

2. โครงสร้างขององค์กรฝ่ายต่อต้านต้องพร้อมสู้รบ

แต่ในความเป็นจริงฝ่ายต่อต้าน เป็นองค์กรแนวร่วมที่ค่อนข้างหลวม หน่วยนำก็ไม่แน่นอนว่าเป็นใคร ไม่เคยมีการจัดตั้งกองทัพหรือกำลังทหารใดๆ ขึ้นมาควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง ความเห็นเรื่องการใช้กำลังก็ไม่เป็นเอกภาพ ส่วนใหญ่แล้วต้องการประท้วงและต่อสู้อย่างสันติ เมื่อโครงสร้างองค์กรเป็นแบบนี้จึงไม่มีลักษณะสู้รบ ไม่มีโอกาสจัดตั้งกองทัพใหญ่น้อยอะไรในช่วงนี้แน่นอน

3. บุคลากรและอาวุธสำหรับปฏิบัติงานทางการทหาร

ฝ่ายต่อต้านไม่เคยเตรียมบุคลากรประเภทนี้ไว้ในทุกระดับ ซึ่งจะต้องใช้เวลาสร้างนานพอสมควรส่วนอาวุธ บั้งไฟกับหนังสติ๊กและระเบิดขวดเอ็ม 100 คงไม่พอ

วิเคราะห์ได้ว่าวันนี้ยังไม่มีสงคราม...แต่วันหน้าอาจจะเกิดได้ เพราะ... นโยบายและการปฏิบัติของฝ่ายกุมอำนาจรัฐ จะทำให้เกิดการโต้ตอบด้วยความรุนแรงแบบอนาธิปไตย

นี่แหละสิ่งที่น่ากลัวในอนาคต

อาจมีการใช้กำลังจากบางคนหรือบางกลุ่ม เป้าหมายกำหนดกันเองดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ประกายไฟเหล่านี้สามารถจะลุกลามต่อไปได้ กลายเป็นสงครามที่ไร้แนวรบ รูปแบบเดียวกับสามจังหวัดภาคใต้ แต่กระจัดกระจายไปทั่วประเทศ ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ จากนั้นจะเกิดความวุ่นวาย สงคราม และจะทำให้เกิดกองทัพของฝ่ายต่อต้านขึ้นจริงๆ

ฝ่ายต่อต้านขอเพียงการปฏิรูปเช่นการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นธรรม การเลือกตั้งอย่างยุติธรรม อย่าไปผลักพวกเขาเข้าสู่เส้นทางปฏิวัติที่ใช้ความรุนแรง

ไม่ว่าระยะสั้นหรือยาวไม่มีใครต้องการสงครามและความรุนแรง


++

สู้กันได้ทุกรูปแบบ
โดย มุกดา สุวรรณชาติ คอลัมน์ หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 30 ฉบับที่ 1564 หน้า 27


ข่าวที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ทุกวันนี้คือการต่อสู้กันทางการเมือง สู้กันไม่หยุดหย่อนชนิดที่หนังสือพิมพ์ไม่มีโอกาสได้พาดหัวข่าวอื่นเลย นับตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมจนถึงปัจจุบัน มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่น่าสนใจเกิดขึ้น 4 เหตุการณ์คือ

1. การเลือกตั้งซ่อม ส.ส. กทม. เขต 6

2. การผูกผ้าแดงที่ราชประสงค์และการทำบุญในวัดปทุมวนาราม

3. การยกป้ายประท้วง พ.ร.ก.ฉุกเฉินของเด็กๆ ในจังหวัดเชียงราย

4. การระเบิดบริเวณริมถนนย่านราชดำริ และซอยรางน้ำ

ทั้ง 4 เหตุการณ์เป็นการต่อสู้ทางการเมืองแต่อาจมีแนวรบที่แตกต่างกันบ้าง



เหตุการณ์ที่ 1 การเลือกตั้งซ่อม ส.ส. กทม.

เป็นการต่อสู้แนวทางรัฐสภาตามกติกาประชาธิปไตย จะผิดปกติไปบ้างก็ตรงที่เบอร์ 4 นายก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยถูกคุมขังอยู่ในสถานกักกัน ไม่มีโอกาสมาหาเสียง (แต่สามารถอัดเทปออกมาเผยแพร่ได้นานถึงสามนาที)

แม้กระนั้นก็ยังถือว่านี่เป็นแข่งขันทางการเมืองกับผู้สมัครเบอร์ 1 ของพรรคประชาธิปัตย์

แน่นอนว่าคนหาเสียงอยู่นอกคุกย่อมชนะคนที่อยู่ในคุกอยู่แล้ว ผลการนับคะแนนคือเก้าหมื่นกว่าต่อแปดหมื่นกว่า

พรรคเพื่อไทยดูเหมือนจะรู้ล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่สี่วันก่อนการลงคะแนน พวกเขาประเมินว่าจะแพ้นิดหน่อยประมาณ 9 : 8 เพราะอีกฝ่ายหนึ่งกุมอำนาจทุกอย่างไว้ในมือ แต่พรรคพวกของคนที่อยู่ในคุกก็พยายามต่อสู้อย่างเต็มที่

ถือว่ายุติธรรมมากพอแล้วในสถานการณ์แบบนี้ ผู้กุมอำนาจย่อมชิงความได้เปรียบทุกอย่างนี่เป็นเรื่องปกติ ฝ่ายที่อยู่ในที่คุมขังก็หาทางสู้เท่าที่จะทำได้

เห็นมั้ยว่าแบบนี้ก็สู้กันได้ แม้ได้คะแนนน้อยกว่าแต่ชนะใจคนดูทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นี่ถ้ามีการเลือกตั้งซ่อมที่อีสานอีกครั้ง น่าจะส่งผู้สมัครที่ถูกคุมขังอีกคนไปลงแข่ง คงจะตื่นเต้นกว่านี้



เหตุการณ์ที่ 2 การผูกผ้าแดงที่ราชประสงค์และการทำบุญที่วัดปทุมวนาราม

เป็นกิจกรรมทางการเมืองซึ่งเป็นข่าวดังไปทั่วโลก เป็นการสู้กันทางการเมืองที่มีรูปแบบที่นิ่มนวลที่สุด แม้อีกฝ่ายหนึ่งจะมาจับตัวคนผูกผ้าแดง (ซึ่งภายหลังก็ต้องปล่อยตัวออกมา) แต่ข่าวก็ดังไปทั่วโลกแล้ว

พอมาทำซ้ำอีกครั้งก็พบเจ้าหน้าที่เป็นร้อยมาล้อมป้ายไว้ แถมยังมีการย้ายป้ายหนี นับเป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ที่มีสาระเรียกร้องความสนใจได้ทั้งในและต่างประเทศ

คราวหน้าหาต้นโพธิ์ใหญ่ๆ แถวๆ นั้น แล้วยกขบวนคนเสื้อแดงไปผูกผ้าแดงไว้ คงไม่มีใครย้ายต้นโพธิ์หนีไปได้ ส่วนการทำบุญในวัดปทุมวนารามถือเป็นรูปแบบการพบปะชุมนุมของคนจำนวนมาก ที่ไม่ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่มีใครกล้าคัดค้านเป็นกิจกรรมที่ทุกฝ่ายรับได้แม้แต่รัฐบาล

เห็นมั้ยว่านี่เป็นการต่อสู้ทางการเมือง เป็นการต่อสู้ในขอบเขตที่กระทำได้ไม่ยาก สามารถใช้ต่อสู้ได้ดีมากๆ ด้วย

ลองนัดกันในคาราโอเกะบ้างสิอาจจะได้นักร้องใหม่ๆ เพิ่มขึ้น



เหตุการณ์ที่ 3 มีเด็กๆ ยกป้ายประท้วง พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เชียงราย

ต้องเข้าใจก่อนว่าอำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้ประโยชน์แก่ผู้กุมอำนาจรัฐ และให้ประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติหลายระดับ มีประโยชน์ในเชิงนโยบายจนกระทั่งถึงเบี้ยเลี้ยง

สำหรับผู้กุมอำนาจรัฐถือว่าในสถานการณ์ที่ล่อแหลมนี่เป็นเรื่องจำเป็น และเป็นเรื่องจำเป็นมากถ้าอำนาจของตัวเองไม่มั่นคง

แต่คนที่เดือดร้อนคือคนค้าขาย คนลงทุน ธุรกิจท่องเที่ยว คนเหล่านี้อยากให้ประเทศไทยดูสงบเรียบร้อยเป็นธรรมดา ไม่ต้องการให้มีบรรยากาศที่ดูเหมือนจะมีผู้ก่อการร้ายออกมาอาละวาดรบรากับทหาร

เมื่อมีคนไม่พอใจ พวกเขาก็คัดค้านด้วยรูปแบบต่างๆ ที่เห็นได้ทุกวันคือในหน้าหนังสือพิมพ์ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน คนอ่านเห็นการคัดค้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉินจนเป็นสิ่งชินชาไปแล้ว

กรณีเด็กๆ ที่ถือป้ายประท้วง เนื้อหาที่เขียนออกมาเบากว่าบทความหรือบทนำในหนังสือพิมพ์เสียอีก แต่โดยรูปแบบเป็นการแสดงความไม่พอใจและเป็นการแสดงการต่อสู้ทางการเมืองอย่างเปิดเผย

ความสำเร็จของการประท้วงครั้งนี้อยู่ที่กลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมา เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐได้เรียกตัวพวกเด็กๆ ไปสอบสวนและต้องการลงโทษ เจ้าหน้าที่อาจลืมคิดไปว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้คุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน ประชาชนมีสิทธิแสดงความไม่พอใจและคัดค้านได้

แนวความคิดที่ต้องการปรามไว้ก่อนเพื่อไม่ให้ใครทำตาม แต่ไม่ได้คิดว่าอาจจะมีคนท้าทายเพิ่มขึ้นอีกห้าสิบคนหรือห้าพันคน ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วจะทำอย่างไรหรือว่าจะเลิก พ.ร.ก.นี้เสียดีมั้ย

นี่ก็เป็นวิธีต่อสู้ทางการเมืองแบบง่ายๆ ตรงไปตรงมา แบบนี้สามารถสู้กันไปสู้กันมาได้อีกยาวนาน ฝ่ายไหนจะชนะยังต้องใช้เวลาพิสูจน์

แต่ฝ่ายธรรมะคงไม่มีโอกาสแพ้ในระยะยาว


เหตุการณ์ที่ 4 การเกิดระเบิดบริเวณริมถนนราชดำริ และซอยรางน้ำ

การวางระเบิดริมถนนกลางเมืองแบบนั้นเป็นระเบิดการเมืองแน่นอน ไม่มีเป้าหมายทางการทหาร ทั้งบุคคลและยานพาหนะของคู่ขัดแย้ง

จุดนั้นไม่ใช่จุดสำคัญทางยุทธศาสตร์และไม่ใช่จุดสำคัญทางยุทธวิธี

แต่ผลก็คือมีคนไม่รู้เรื่องได้รับบาดเจ็บล้มตายและกลายเป็นข่าวใหญ่

เรื่องแบบนี้ไม่มีใครแสดงตัว ไม่เห็นชัดว่าใครสู้กับใคร ต่างก็กล่าวหาหรือคาดเดากันไป กลุ่มที่อยากทำกิจกรรมทางการเมืองย่านราชประสงค์ ก็ปฏิเสธว่าพวกเขาไม่ได้ทำแน่นอน และรู้สึกเหมือนถูกขู่ว่า "อย่าเข้ามาทำกิจกรรมแถวนี้นะ มีระเบิด" ฝ่ายผู้กุมอำนาจรัฐก็ปฏิเสธเสียงลั่นว่า "ผมเปล่านะผมไม่ได้สร้างสถานการณ์เพื่อขอต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แค่นี้ผมก็เสียพอแล้ว"

ถึงตรงนี้ผู้กุมอำนาจรัฐก็ต้องไปสืบค้นหาคนทำ จะบอกให้ก็ได้ว่าคนร้ายชื่อ "ลอยนวล" แต่เหตุการณ์นี้มีข้อสังเกตสองสามประการคือ มีเสียงแว่วมาว่า "กูว่าแล้ว ถ้าถูกกดดันมากๆ ก็จะมีระเบิดเกิดขึ้น"

หรือเสียงแสดงความสะใจอื่นๆ



อยากจะเตือนว่า ความรุนแรงอย่างเดียวไม่มีทางทำให้ได้รับชัยชนะในทางการเมือง ถ้าความรุนแรงถูกใช้ในช่วงเวลาไม่เหมาะสมจะทำลายการต่อสู้รูปแบบอื่นๆ ให้เสียหายได้

การต่อสู้ทางการเมืองในวันนี้เป็นการต่อสู้ของคนในชาติเดียวกัน คนที่เคยรู้จักกันเคยเป็นเพื่อนกัน แนวรบสามสี่ข้อที่กล่าวมาข้างต้น จึงเป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายสามารถต่อสู้กันในเกมได้ โดยที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ยกเว้นเรื่องเดียวคือการวางระเบิดซึ่งอาจจะไม่ใช่ฝีมือของทั้งสองกลุ่มก็เป็นได้ (เรื่องนี้ต้องโทษมือที่สาม)

ถึงอย่างไร โอกาสประนีประนอมก็ยังมีอยู่ ขอเพียงผู้กุมอำนาจรัฐผ่อนคลายแรงกดดันลง ปรับท่าทีความเป็นมิตรอย่างจริงใจให้มากขึ้น ฝ่ายที่ต่อต้านเองก็ต้องเข้าใจว่านี่คือการต่อสู้ทางการเมือง มีเวทีให้ต่อสู้ มีเกมให้เลือกเล่นได้พอสมควร มองดูสถานการณ์โดยรอบแล้ว ต้องรู้จักคิดว่าช่วงเวลานี้สมควรทำอะไร

ทำอย่างไรจึงจะถือว่าเป็นการรับผิดชอบต่อประชาชน ต่อประเทศ และมีโอกาสได้รับชัยชนะจริงๆ


+ + + +

โพสต์ลิงค์ข่าวที่แสดงความขยันของรัฐบาลเงา ที่ต้องการโชว์ชนชั้นสูงว่า ถ้าช่วยให้ได้เป็นรัฐบาลอีกรอบ จะขยันทุกวันไม่ขี้เกียจเหมือนรอบที่แล้ว

ปชป.แนะสังคมจับตาดู"นิติราษฎร์"อาจเป็นส.ส.ร.54
http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=531082&lang=T&cat=

ฝ่าย กม.ปชป.เตรียมร้องผู้ตรวจการแผ่นดินฯถอดถอน"ปู"ส่อมีผลประโยชน์โครงการบ้านหลังแรกกับ บ.เอสซี
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1317019539&grpid=00&catid=&subcatid=

อสส.เห็นพ้องศาลอุทธรณ์ ไม่ฎีกาคดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินคอร์ป ชี้ไม่มีเหตุทั้งข้อเท็จจริง-กฎหมาย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1317028572&grpid=00&catid=&subcatid=

รัฐมนตรี "เงา" ประชาธิปัตย์ อภิปรายไม่ไว้ใจนอกสภา จากไร่นาถึงบ้านหรู-น้ำมัน และภาษีรถยนต์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1317193204&grpid=01&catid=&subcatid=

เพื่อไทยโวย ปชป. บิดเบือนข้อมูล
http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=531153&lang=&cat=

"ปชป."ซัดเพื่อไทยเล่นการเมืองไม่สร้างสรรค์
http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=531013&lang=T&cat=


.