http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-09-25

5 ปีรัฐประหาร, +ด้วยรัก โดย คำ ผกา, +ทำให้กลัว แล้วปกครอง

.

5 ปี รัฐประหาร
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1623 หน้า 89


ฉันอาจจะเกลียดประเทศไทยว่าเป็นประเทศที่ไม่มีฟุตปาธให้คนบ้ารองเท้าส้นสูงอย่างฉันเดิน

ฉันอาจจะเกลียดประเทศไทยเพราะมีรถไฟที่ห่วยแตก แพง สกปรก ตกรางเป็นนิจ

ฉันอาจจะเกลียดประเทศไทยที่มีแต่ละครหลังข่าวเป็นความบันเทิงภาคบังคับ

ฉันอาจจะเกลียดเมืองไทยด้วยเป็นเมืองที่ดาษดื่นไปด้วยสามานย์ทางรสนิยมปัญญา ภาษา ประวัติศาสตร์

แต่กระนั้นก็ไม่เคยคิดเดียดฉันท์ถึงขั้นขยะแขยงไม่อยากสบตา ไม่อยากสังฆกรรม และวิงเวียนกับความวิปลาสของสังคมไทยที่เกิดขึ้นหลังวันที่ 19 กันยายน 2549

อาทิตย์แรกของการรัฐประหาร ฉันรับโทรศัพท์จากมวลมิตรผู้ล้วนเป็นนักกิจกรรมเพื่อสังคม อดีตนักกิจกรรมยุค 6 ตุลาฯ ศิลปินชื่อก้อง นักเขียนผู้เปี่ยมอารมณ์ขันและเมตตา นักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม นักกิจกรรมอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม และอื่นๆ อันล้วนแต่เป็น "ชนชั้นนำ" ทางปัญญาของสังคม เป็นผู้อ่อนไหวต่อความไม่เป็นธรรม ความฉ้อฉลของอำนาจรัฐที่รังแต่จะไปรังแกคนเล็กๆ - คนเหล่านั้นโทร.มาหาด้วยความปิติ ว่า

"แม่ง รัฐประหารแล้ว สะใจมั้ย ฮ่าๆๆๆ"

"โหย คราวนี้ทหารเอาจริง สะใจจริงๆ"

"ทักษิณไปเสียที แผ่นดินไทยสูงขึ้นอีกเยอะ"

ฯลฯ

ส่วนฉันไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากร้อง "เฮ้ยๆๆๆ" อยู่ในใจ ขณะเดียวกันก็พยายามหลอกตัวเองว่า - ฟังผิด - หรือไม่เพื่อนๆ คงกำลังช็อกกับการรัฐประหารจึงเกิดภาวะวิกลจริตกันชั่วคราว



การรัฐประหารคืออาชญากรรมที่มีต่อประชาชน มีแต่ประวัติศาสตร์และการประดิษฐ์ความทรงจำอันวิตถาร (pervert) เท่านั้นที่ทำให้สังคมไทยในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ไม่อาจแยกแยะสิ่งเหล่านี้ออกจากกันได้

เช่น ไม่อาจแยกแยะการปฏิวัติกับการรัฐประหาร, ไม่อาจแยกแยะสังคมนิยมออกจากคอมมิวนิสต์, ไม่อาจแยกแยะคอมมิวนิสต์ออกจากเผด็จการ, เห็นการปฏิวัติสยาม 2475 เป็นผู้ร้ายแต่กบฏบวรเดชเป็นพระเอก, ใช้ระดับการศึกษาเป็นเครื่องวัดระดับความเข้าใจประชาธิปไตย เป็นต้น

ด้วยความรู้และความทรงจำอันวิตถารเช่นนั้นจึงทำให้คนไทยมองเห็นการรัฐประหารเป็นดั่งการจุติลงมาของผีบุญที่ลงมาปราบทุกข์เข็ญของประชาชนที่กำลังถูกผีห่าซาตานนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งสูบกินเลือดเนื้อและวิญญาณ

การรับรู้ของคนไทยเกี่ยวกับบทบาทของทหารจึงไม่ใช่เรื่องของการป้องกันประเทศ ประชาชน อำนาจอธิปไตย แต่กลับเป็นทหารในฐานะสถาบันสำคัญของประเทศที่มีความใส่ใจในกิจการการเมืองและความมั่นคงภายในประเทศเป็นหลัก ดังนั้น หน้าที่หลักของทหารและกองทัพไทยคือการกำหนดยุทธศาสตร์และหาเป้าหมายของ "ศัตรูภายใน"

ศัตรูภายในนั้นถูกกำหนดขึ้นมาจากโจทย์ของการปกป้องสถาบันจารีตเป็นอันดับหนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยหน้าที่การปกป้องประชาชนจากนักการเมืองเลว นักการเมืองโกง - กองทัพไทยจึงถูกคาดหวังให้ลุกขึ้นมาทำหน้าที่รัฐประหารอันเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ในสากลโลก

แต่ในประเทศตรรกะวิปริต ความคิดวิปลาส ประชาชนที่ฟั่นเฟือนย่อมยินดีปรีดา จัดโคโยตี้พร้อมดอกกุหลาบไปมอบให้กับทหารและรถถังในวันหลังการรัฐประหาร ไม่นับประชาชนที่สมองถูกล้างจนสะอาดหมดจด ย่อมเห็นว่า

"อ๋อ รัฐประหารเหรอ ก็ธรรมดาอ่านะ ไม่เกี่ยวอะไรกับเรานี่หว่า การเมืองก็เงี้ย อย่าไปคิดมาก เดี๋ยวมันก็ผ่านไป จบไป เห็นมาแบบเนี่ยะทุกที พวกคนที่ออกมาอินกับการเมืองนี่น่าสมเพชจริงๆ แทนที่จะเอาเวลาไปทำมาหากิน โง่เง่าไม่รู้ว่าเรื่องการเมืองมันเป็นเรื่องของคนมีอำนาจเค้าคุย เค้าตกลงกันไว้หมดแล้วววววว กลับไปทำนาไป๊"

ที่น่าขยะแขยงอย่างนึกไม่ถึงก็คือ มีทั้งสื่อมวลชน ปัญญาชน นักวิชาการ นักกิจกรรม นักพัฒนาองค์กรเอกชน นักกฎหมาย นักมือถือสากปากถือศีล ที่อาบน้ำแต่งตัวรอให้รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารเรียกตัวไปทำงาน ทั้งไปเป็นนักเขียนรัฐธรรมนูญ ไปเป็นองค์กรอิสระ ไปเป็นที่ปรึกษา ไปเป็นโฆษก ไปรับเงินทุนมาตั้งสถาบันวิจัย ไปทำสถานีโทรทัศน์ที่อ้างว่าเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับประชาชน ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย โดยมิได้สำเหนียกว่าตนเองกำลังให้ "บริการ" ระบอบที่ทำลายประชาธิปไตย ทำลายประชาชน

มิหนำซ้ำยังผลิตเนื้อหา วาทกรรมเพื่อหนุนนำอำนาจเผด็จการและเขี่ยประชาชนให้ไปอยู่ในพื้นที่แห่งความ สะอาด สว่าง สงบ อันแปลว่า -หุบปากและทำตัวให้น่ารักๆ หน่อย



5 ปีหลังจากรัฐประหาร คนที่เป็นผู้มีการศึกษามีความรู้เรื่องการเมืองและประชาธิปไตย กลับเป็นประชาชนผู้ถูกแปะป้ายว่าเป็นตาสีตาสา เป็นคนบ้านนอกคอกนา เป็นผู้ที่สมควรได้รับการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ สติปัญญา ศีลธรรม การศึกษา การบริโภค

คนเหล่านี้คือคนที่ถูกบรรดา "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน" คอยสั่งสอนว่าควรกินเหล้าไหม มีเซ็กซ์เดือนละกี่หน มีลูกครอบครัวละกี่คน อะไรควรซื้อ อะไรไม่ควรซื้อ ควรปลูกอะไร เลี้ยงอะไร กินอะไร เอาลูกเข้าโรงเรียนที่ไหน ควรนุ่งเจียมห่มเจียมอย่างไร

คือคนเหล่านี้เองที่มาให้การศึกษากับพวกเราว่าประชาธิปไตยในตำราเรียน ประชาธิปไตยในฟองน้ำลายของนักรัฐศาสตร์ที่เกิดมาเพื่อรับใช้เผด็จการ ของปราชญ์สาธารณะ ของศิลปินแห่งชาติ ล้วนแต่เป็นประชาธิปไตยหลอกแดก นั่นคือการสร้างนิยามใหม่ให้กับประชาธิปไตยอันมีสร้อยห้อยท้ายว่าแบบ "ไทยๆ"

ประชาธิปไตยแบบไทยๆ คือการปกครองที่ไม่ศรัทธาในการเลือกตั้งด้วยเชื่อว่าประชาชนไม่มีวิจารณญาณแยกแยะผิด ชอบ ชั่ว ดี ดังนั้น เราจึงต้องการประชาธิปไตยที่มีผู้รู้แจ้ง รู้ดี ศีลธรรมสูงส่งอยู่กลุ่มหนึ่ง เป็นผู้คัดเลือกคนดี คนที่เหมาะสมมาเป็นตัวแทนประชาชน

ดังนั้น ประชาธิปไตยแบบไทยๆ จึงพยายามผลักดันตำแหน่งที่มาจากการ "แต่งตั้ง" มาแข่งขันกับคณะบุคคลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่นับการตั้งองค์กรที่เรียกกันว่าองค์กรกลางบ้าง องค์กรอิสระบ้าง องค์กรตรวจสอบศีลธรรมจริยธรรมนักการเมืองบ้าง

ประชาธิปไตยแบบไทยๆ มุ่งตรวจสอบนักการเมืองโดยมอบดาบคุณธรรมให้คณะบุคคลที่ไม่อยู่ในสถานะที่จะถูกตรวจสอบได้อันเป็นเรื่องลักลั่นขัดแย้งกันอย่างบอกไม่ถูก

พูดภาษาชาวบ้านว่าคนที่เที่ยวไปตรวจสอบผู้อื่นนั้น สมควรได้รับการตรวจสอบด้วยหรือไม่ และได้รับการตรวจสอบจากใคร หรือจะวัดกันด้วยระดับความสูงทางศีลธรรมเป็นชั้นๆ ไล่เรียงกันขึ้นไปจนถึงคนที่ถือคุณธรรมสูงสุดอยู่บนสุดเป็นผู้มีอำนาจตัดสินพิพากษาสูงสุดมิอาจตรวจสอบได้

ความเลอะเลือนเกี่ยวกับความหมายของประชาธิปไตยแบบหลอกรับประทานนี้ ถูกตั้งคำถามอย่างหนักหน่วงที่สุดภายหลังการรัฐประหารโดยประชาชนที่ถูกวาดภาพให้เป็นประชาชนโง่ จน เจ็บ ลุกขึ้นมาทวงถามมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรม อีกทั้งเห็นว่าประชาธิปไตยแบบฉ้อฉลกลลวงปฏิเสธการเลือกตั้งนั้นสามานย์เกินทน

สามานย์จากผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมยังไม่เท่าความสามานย์จากการแอบอ้างเอาความดีใส่ตัว เอาความชั่วใส่คนอื่นอย่างไร้ยางอาย



5 ปีหลังการรัฐประหาร สื่อมวลชนทั้ง วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ต้องเผชิญหน้ากับทั้งพฤติกรรมการบริโภคข้อมูลข่าวสารที่เปลี่ยนไป หนังสือพิมพ์ และสถานีโทรทัศน์ที่ไม่สามารถก้าวทันความก้าวหน้าและการศึกษาของประชาชนกำลังจะถูกผลักให้ตกเวทีทางประวัติศาสตร์หากไม่ยอมปรับตัว

นักหนังสือพิมพ์อาวุโสที่เคยเป็นเสาหลัก เป็น "สถาบัน" เป็น "ยี่ห้อ" เป็นบุคลระดับขึ้นหิ้งของวงการสื่อสารมวลชนถูกตรวจสอบจากประชาชนที่ตาสว่างด้วยข้อมูลข่าวสารจากหลากหลายแหล่งข้อมูล จนจับโกหกสื่อได้ว่ามีทั้งมั่วนิ่ม ใส่ไฟ บิดเบือน เลือกพูดเฉพาะบางตอนทิ้งไว้บางตอนเพื่อสร้างข้อเท็จจริงใหม่ ใส่แท็กติกของภาษาเพื่อวาดภาพผู้ร้าย-ผู้ดี ให้กับตัวละครการเมืองไทย

เรื่องที่น่ายินดีคือประชาชนผู้ตาสว่างและมีการศึกษา (จากการได้รับผลกระทบและบทเรียนจากเหตุการณ์จริง เจ็บจริง ตายจริง) ของไทย ได้หลุดพ้นจากการครอบงำของสิ่งที่ Grand Narrative หรือ อภิมหากาพย์ว่าด้วยความ "เป็น อยู่ คือ" ของการเมืองไทย โดยเฉพาะในส่วนที่ว่าด้วย ที่มาของอำนาจอธิปไตย, ความหมายของคำว่าชาติ, ความหมายของคำว่า ประชาชน, ความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างคนกลุ่มต่างๆ ในสังคม

และที่ถูกท้าทายอย่างหนักหน่วงที่สุดคือ มโนทัศน์ว่าด้วยความไม่เท่าเทียมกันของ "คน" ซึ่งใน มหากาพย์ว่าด้วยความเป็นไทยย่อมตอกย้ำสถานะอันไม่เท่ากันของคนในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ "ธรรมชาติ" เป็น "ธรรมชาติ" ดังนั้น จึงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เฉกเดียวกับการที่เราไม่สามารถสั่งให้พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกก็ฉันนั้น

นอกจากปฏิเสธคำอธิบายที่อ้างอิงกับสภาวะที่เป็น "ธรรมชาติ" แล้ว ยังท้าทายอภิมหากาพย์ว่าด้วยเรื่องความไม่เท่าเทียมกันของคนนั้นมาจาก "บุญทำกรรมแต่ง" ดังนั้น จงอย่าไปเรียกร้องประชาธิปไตยแต่หันไปสะสมบุญกันเถอะ ชาติหน้าจะได้ขยับจากต่ำมาเป็นสูงกับเขาบ้าง


5 ปี กับการครบรอบรัฐประหารครั้งล่าสุดของประเทศไทย คำว่าประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ระบอบเสรีนิยมประชาธิปไตย อีกทั้งทัศนคติที่ถูกต้องมากขึ้นต่อคำว่า "ทุน" หรือ เศรษฐกิจแบบเสรีนิยม กลายเป็นบทสนทนาในชีวิตประจำวันของประชาชนที่ตื่นตัวทางการเมือง ทุกเพศทุกวัย

และนั่นคือเครื่องบ่งชี้ว่า ประชาชนพร้อมแล้วที่จะเอาจริง นั่นแปลว่า เราจะไม่สมยอมต่อวาทกรรม เรื่องเล่า ความรู้ ความตลบตะแลงของคนมือถือสากปากถือศีลที่พยายามจะสร้างฐานรองรับความชอบธรรมให้กับการรัฐประหาร

"รัฐบาลอย่าสร้างเงื่อนไขให้กับการรัฐประหาร" คำพูดเช่นนี้เมื่อห้าหรือหกปีก่อน อาจเป็นคำพูดที่ "ถูกต้อง" ทว่าวันนี้เป็นประโยคที่ถูกตั้งคำถามทันทีที่มีใครสักคนพูดออกมา เพราะในการเคารพหลักการประชาธิปไตย ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "เงื่อนไขในการรัฐประหาร"

เพราะการรัฐประหารเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ยอมรับไม่ได้ แต่ยังเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เป็นอาชญากรรมต่อชาติและต่อประชาชน



5 ปีที่ผ่านไปของรัฐประหาร เมล็ดพันธุ์ของประชาธิปไตยได้หยั่งรากลงสู่ผืนดินของไทย เป็นเมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตยที่พัฒนาสายพันธุ์ขึ้นมาจากเลือดเนื้อและการต่อสู้ชนิดกัดไม่ปล่อยของประชาชนที่ไม่เคยมีพื้นที่อยู่ในจินตกรรมของชาติไทยฉบับราชการมาก่อน

เมล็ดพันธุ์นี้ใช้เวลาในการบ่ม ถูกทดสอบด้วยแสงแดดแผดเผา พายุ ลม ฝน มอด หนอน แมลง ปลวก ทว่าจะค่อยๆ ยืนหยัดปรับตัวและยืนยันที่จะมีชีวิตอยู่

วันนี้มันผลิใบแล้ว และจะค่อยๆ เติบโต



++

บทความย้อนอดีต ปีที่แล้ว ( พ.ศ. 2553 )

ด้วยรัก
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 30 ฉบับที่ 1564 หน้า 91


อ่านข่าวเรื่องเขาพระวิหารไปแบบงงๆ คดีความเรื่องเขาพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชา จบไปตั้งแต่ปี 2505 ถ้าคนไทยไม่พึงใจก็ควรจะไปขอยืมไทม์แมชชีนของโดเรมอนย้อนกลับไป ต่อสู้ในศาลโลกใหม่ แต่นี่ สู้แล้ว ศาลตัดสินไปแล้วเกือบ 50 ปี จะมาร่านทุรนอะไรกันในเวลานี้ให้ชาวโลกเขาเยาะหยัน (และเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่มีใครที่ไหนในโลกมาเสียเวลาใส่ใจกับเรื่องบ้าๆ บอๆ นี้สักเท่าไหร่)

เมื่อไหร่คนไทยจะยอมรับเสียทีว่า กำเนิด ตัวตน ของความเป็นไทยนั้นเป็นของใหม่ ของสด ดินแดนขวานทองของไทยก็เกิดจากการตกลงร่วมขีดเส้นเขตแดนกันระหว่าง สยาม ฝรั่งเศส อังกฤษ ตกลงกันดีๆ บ้าง ยินยอมกันด้วยจำนนต่อแสนยานุภาพที่เหนือกว่าของอีกฝ่ายหนึ่งบ้าง งอแงชูประเด็นเรื่องการเสียดินแดนมาเพื่อปลุกระดมความคลั่งชาติยามรัฐบาลไร้เสถียรภาพบ้าง

เส้นเขตแดนของเราหดบ้าง ขยายบ้างไปตามประสาประเทศที่เกิดใหม่และในช่วงเปลี่ยนผ่านย่อมมีเรื่องฉุกละหุก ขลุกขลักไม่ลงตัว (ไม่แต่ประเทศของเรา ประเทศเพื่อนบ้านของเราก็ย่อมผ่านช่วงเวลาขลุกขลัก ไม่ลงตัวนี้ด้วยเหมือนกัน) ความไม่ลงตัวสุดท้ายก็น่าจะเป็นคดีความระหว่างกัมพูชากับไทยในปี 2505 นั่นเอง เป็นอันยุติข้อโต้แย้ง ถือว่าคำพิพากษาของศาลโลกเป็นที่ยุติ หลังจากนั้น แผนที่ขวานทองของไทยก็ลงตัว ไม่สมควรต้องไปหาเรื่องไปทะเลาะกับใครเขาอีกให้ขายขี้หน้า

อะไรไม่ใช่ของตัวจะไปตู่ว่าเป็นของตัว หน้าไม่อาย!

เที่ยวไปตู่จะเอานั่นเอานี่ของคนอื่นเขามาก็สมแล้วที่ชาวบ้านร้านช่องผู้พอมีสติสตังค์เหลืออยู่บ้างจะประชดเข้าให้ว่า ถ้าอย่างนั้นก็พากันไปเรียกร้องเขาอัลไตคืนมาเสียเลยเป็นไง แคว้นอัสสงอัสสัมไปฟ้องศาลโลกเอาคืนมาให้หมด เพราะเหล่านั้นล้วนแต่เคยเป็นดินแดนของคนไทยมาก่อนทั้งนั้น จากนั้นก็ไปทวงรัฐปะลิศ กลันตัน ตรังกานู คืนจากมาเลเซียมาด้วยเสียเลย

อยากคลั่งชาติ คลั่งศักดิ์ศรี คลั่งความเป็นไทยแบบไร้ที่มาที่ไปกันนัก



ธงชัย วินิจกูล ได้อธิบาย อาการคลั่งไคล้ไหลหลงและสำคัญตนเองผิดของคนไทยว่าเป็นอาการ "บ้านนอก" หรือ provincialism

ตัวอย่างของกลุ่มอาการนี้ เช่น การชื่นชมโสมนัสในยามที่ตัวแทนสาวงามจากเมืองไทยไปได้ตำแหน่งนางงามจักรวาล พลันอาการภาคภูมิใจในความเป็นไทยจะเอ่อล้นมาจุกคอหอย ด้วยเข้าใจว่าโลกทั้งใบจะต้องหันหน้ามาโฟกัสที่ประเทศไทยด้วยความโสมนัสปานกัน

หรือมีเด็กไทยสักคนไปวิมเบิลดันก็ต้องเอานั่งรถแห่รอบเมืองด้วยเข้าใจว่าชื่อเสียงของเมืองไทยได้ขจรขจายไปทั้งโลก

มีนักเรียนไปได้เหรียญอะไรต่อมิอะไรในโอลิมปิกวิชาการก็เอามาโพทนาว่าเด็กเราเก่งไม่แพ้ใครในโลก โดยไม่ได้สนใจว่า "โลก" ใบนี้ไม่มีใครเขา อะไร -ทำไม กับเหรียญรางวัลเหล่านี้ เพราะเป็นเรื่องใครอยากเสียเงินไปแข่งก็แข่ง โรงเรียนไหนอยากส่งเด็กไปแข่งก็แข่ง ไม่มีใครให้ความสำคัญ

ทว่า ประเทศ "บ้านนอกๆ" มักจะเห่อเหิมเกียรติยศที่โอ้อวดกันในหมู่ "บ้านนอก" ด้วยกันเอง

แค่นั้นยังเจ็บไม่พอ เพราะเคียงคู่กับข่าว เด็กไทยได้เหรียญนู่นนี่ อีกข่าวบอกว่า เด็ก ป.สามของไทยจำนวนมากยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ระดับความรู้ภาษาอังกฤษเมื่อเทียบกับชาติอื่นก็แทบจะรั้งลำดับบ๊วย

ยังไม่นับว่ามาตรฐานการศึกษาของประเทศไทย (ที่รักกันนักกันหนา) นั้นแปรผันไปตามกำลังทรัพย์บุพการี ยิ่งมีเงินเท่าไหร่โอกาสทางการศึกษา คุณภาพการศึกษาที่ได้รับจะสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ลูกชาวบ้านได้การศึกษาระดับประชาบาล ลูกอำมาตย์ก็เรียนนานาชาติ เรียนโรงเรียนทางเลือก เรียนโรงเรียนสองภาษา สามภาษา ห้าหกร้อยภาษาก็ว่าไป

ทำไงได้รัฐบาลชอบทุ่มงบฯไปส่งเสริมการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการเพื่อเอาเหรียญมาให้พวก "บ้านนอก" ชื่นใจมากกว่าจะยกระดับคุณภาพการศึกษามวลชน (โปรดสังเกตว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับ "มวลชน" ในประเทศไทยแลนด์นี้จะมีคุณภาพต่ำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการศึกษามวลชน ขนส่งมวลชน หรือแม้กระทั่งการสื่อสารมวลชน)

กลุ่มอาการ "บ้านนอก" ที่ชัดเจนอีกอาการหนึ่ง การที่มีคนไทยมักเป็นเดือดเป็นแค้นเวลาคนต่างชาติวิพากษ์วิจารณ์ประเทศไทย หรือคนไทยอย่างตรงไปตรงมา เช่น บอกว่า เมืองไทยเป็นซ่องแห่งโลกบ้าง เมืองไทยไม่น่าอยู่บ้าง เมืองไทยมีสองมาตรฐานบ้าง ฯลฯ จากนั้นไม่รีรอที่จะบอกว่า "ฝรั่ง" เหล่านั้นมิได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรของไทยเอาเสียเล้ยยยย จากนั้นก็ภูมิใจว่าได้ ไปสั่งสอนฝรั่งให้มันรู้เสียมั่งว่าไผเป็นไผ การได้ตอกหน้าฝรั่งนั้นเป็นสิ่งที่คนไทยจำนวนหนึ่งเชื่อว่า เป็นพฤติกรรมที่เอาไปโม้ให้ใครต่อใครฟังได้-

เฮ้อ-นี่มันปมประเทศอาณานิคมแท้ๆ ที่เที่ยวเป็น แมงป่องชูหางอวดอ้างเดโช

เพราะหากมิใช่แมงป่องชูหางอวดอ้างฤทธีก็พึงรู้ว่า คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง และไม่รู้จักประเทศไทย ไม่รู้จักเมืองไทย อีกทั้งไม่รู้จักประวัติศาสตร์ไทยก็คือคนไทยที่อยู่ในเมืองไทยนี่แหละตัวดีนักเชียว

เนื่องจากมีชีวิตอยู่ในกะลาของประวัติศาสตร์เวอร์ชั่นรัฐสถาปนา พ้นจากกะลามาก็เจอกาละมังครอบอีกชั้น ทั้งหนังทั้งละคร สารคดีมอมเมาทางประวัติศาสตร์ที่ออกอากาศตามสถานีโทรทัศน์ทั่วไป (ควบคุมการครอบอย่างใกล้ชิดโดยกระทรวงวัฒนธรรม ชะเอิงเอย)

โดนทั้งกะลา โดนทั้งกาละมังครอบเช่นนี้จึงไม่เคยหายจากความเป็นบ้านนอก (เช่น ถ้ารู้จักประวัติศาสตร์ไทยดีจริงย่อมไม่ไปฟื้นฝอยทวงเขาพระวิหารให้ชาวโลกเขาเยาะเย้ยใยไพ)



ทัศนคติบ้านนอกนี้ผลิตและบริโภคกันเองในท้องถิ่นเป็นการส่งเสริมความเข้มแข็งของกะลา เชื่อกันเข้าไปว่าประเทศไทยเรานี้วิลิศมาหรากว่าชาติไหน ศาลาไทยไปงานเอ๊กซ์โปก็โดดเด้ง มีฝรั่ง เจ๊ก แขกมาเข้าคิวปลาบปลื้มปิติในอัจฉริยภาพของภูมิปัญญาไทย และหากกลุ่มอาการทัศนคติบ้านนอกได้ไปเมืองนอก เมื่อกลับมาแล้วก็จะมาบอกคนท้องถิ่นต่อไปว่า

"เชื่อเฮอะ ชั้นไปมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ที่ไหนก็ไม่ดีเท่าบ้านเรา"

กลุ่มอาการบ้านนอกส่งผลครอบงำปิดกั้นทัศนวิสัยของคนไทย ต่อให้มีการศึกษาสูงแค่ไหน ต่อให้ได้ไปเปิดหูเปิดตาเห็นบ้านอื่นเมืองอื่น ก็ไม่ได้ช่วยทำให้หายจากอาการบ้านนอก หนำซ้ำยังอาจอาการหนักกว่าเดิม เพราะไปผนวกเข้ากับอาการ "ชาตินิยมของคนไกลบ้าน"

ยิ่งไม่ได้อยู่เมืองไทย ยิ่งรัก ยิ่งโหยหาความเป็นไทย

ดังจะเห็นได้จาก ความพยายามจัดงาน สงกรานต์ ลอยกระทง ทอดกฐิน ผ้าป่า รำไทย กิจกรรมในวัดไทย อันจัดโดยคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศ

บรรดาเด็กทั้งลูกครึ่ง ลูกไม่ครึ่งของพ่อแม่ที่มีมีอาการชาตินิยมไกลบ้านนั้น มักจะต้องรับภาระเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ที่วัดไทย เรียนรำไทย เรียนดนตรีไทย ฝึกมารยากไทย หมอบ กราบ คลาน อย่างเข้มงวดเสียยิ่งกว่าเด็กไทยในเมืองไทย

คำพูดที่ติดปากของคนที่อยู่ในกลุ่มอาการนี้คือ

"ไม่ว่าตัวเราจะอยู่ที่ไหน เราไม่เคยลืมความเป็นไทย ไม่เคยลืมบ้านเกิด ไม่เคยลืมรากเหง้า และพยายามที่จะปลูกฝังเด็กๆให้รักเมืองไทย รักวัฒนธรรมไทย รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน มีกิริยามารยาทน่ารักเรียบร้อย ไม่กระโดกกระเดกข้ามหัวผู้ใหญ่เหมือนเด็กฝรั่ง ความเป็นไทยเป็นอะไรที่เราภาคภูมิใจ เราอยู่ที่นี่แม้แต่ฝรั่งยังทึ่งในวัฒนธรรมของเรา บลา บลา บลา"

ทีนี้ถ้าถามต่อว่ารักเมืองไทยม้ากมากแบบนี้ กลับไปอยู่เมืองไทยกันเถอะ จะเกิดอาการอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะมีอาการ "เอิ่ม เอ่อ อ่าฮะ" ทำตาปริบๆ เพราะลึกๆ แล้วเอนจอยกับสวัสดิการรัฐ และคุณภาพชีวิตที่ดีของประเทศโลกที่หนึ่ง ทว่า จะออกมาในรูปของคำสารภาพประมาณ

"อยู่ที่นี่อะไรๆ ก็ดีค่ะ เสียแต่ไม่อบอุ่นเหมือนอยู่บ้านเรา"

หากคนไทยอยากหายจากอาการบ้านนอก ประการแรกคงต้องเลิกหลอกตนเองว่าประเทศไทยนั้นสำคัญยิ่งในโลกใบนี้ และพึงเจียมเนื้อเจียมตนว่าเราเป็นเพียงจุดเล็กๆ ไร้ความหมายในแผนที่โลก ไม่มีแม้แต่ทรัพย์ในดินสินในน้ำที่จะให้ใครต่อใครมาเป็นห่วงเป็นใยในชะตากรรมของบ้านเรา (ยกเว้นในฐานะที่เป็นแหล่งแรงงานราคาถูก) เมื่อเป็นเช่นนั้น อย่าหวังว่าโลกใบนี้จะได้แคร์กับเราในกรณีเร่อร่าของเขาพระวิหาร

เมื่อตระหนักว่าเราเป็นประเทศเล็กๆ ไร้น้ำยา พึงเลิกหลอกตนเองด้วยว่า ประเทศไทยของเรานั้นสูงส่ง โซฟิสติเคตในทางวัฒนธรรม ศิลปะ รำไทย ลายไทย อะไรไทยๆ เพราะศิลปะ วัฒนธรรมที่เรานึกว่าเป็นไทยนี้ล้วนแต่เป็นอารยธรรมร่วมของทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหากจะพูดถึงความโซฟิสติเคทลึกซึ้งสูงส่งแล้วพึงถ่อมตนว่าเราสู้ชวา, พุกาม ยังมิได้



อีกประการหนึ่งที่น่าจะเป็นยารักษากลุ่มอาการบ้านนอกได้คือ พึงตระหนักว่า ณ ขณะนี้ ประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเราได้ทำการเดินถอยหลังลงคลองในทางการเมือง ดัชนีชี้วัดความบ้านนอกของประเทศมีดังต่อไปนี้

1. ประชาชนเพิกเฉยต่อ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน

2. ประชาชนมอบดอกไม้แด่ทหารที่ออกมาทำรัฐประหาร

3. ประชาชนเข้าใจว่าประชาธิปไตยคือการปกครองโดยคนดีมีศีลธรรมโดยวัดจากภาพพจน์ที่แสดงออกต่อสาธารณะ ชาติตระกูล การศึกษา ใช้ภาษไทยสุภาพ เรียบร้อย ยิ่งได้รางวัลผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น จะยิ่งขลังมาก

4. ประชาชนขยะแขยงนักการเมืองอย่างไม่มีเหตุผล

5. ประชาชนมีความสุขต่อการทำลายล้างคนที่มีความคิดเห็นต่างจากที่รัฐสั่งสอน

6. ประชาชนบูชาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางความคิด แต่ชอบพูดเอาเคล็ดว่า "เรายอมรับความแตกต่างทางความคิด"

7. ประชาชนชอบอาชีพ "หมอ" เป็นพิเศษ หมอทำอะไรก็ถูก หมอตรวจศพ ตรวจระเบิด ตรวจกระสุน ตรวจได้ทุกอย่าง รู้ทุกเรื่อง เช่นเดียวกันกับหมอที่ชอบกำหนดสามเหลี่ยมเขยื้อนประเทศ พูดอะไรก็ถูกไปหมด รู้ทุกเรื่อง ทำอะไรก็ชอบ ดังนั้น เมื่อรัฐบาลเอาหมอมาเป็นหัวหน้าคณะปฏิรูป 'ประชาชนจึงชอบใจมาก'

8. ประชาชนเพิกเฉยต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเพื่อนร่วมชาติ เช่น มีเด็กนักเรียนที่ไปถือป้าย "เราเห็นคนตาย" ที่เชียงรายถูกจับ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้งนี้ยังไม่นับว่ามีคนที่ถูกรัฐคุกคาม ข่มขู่อีกมาก

9. ประชาชนไม่เข้าใจว่า "ชาติ" หมายถึงประชาชน

10. ประชาชนไม่เข้าใจว่า การเมืองเป็นเรื่องของการต่อรองผลประโยชน์ การเมืองไม่ใช่เรื่องหาคนดีไปนิพพาน และประชาชนมิได้ปรารถนานิพพานแต่ปรารถนาการกินดีอยู่ดี การเข้าถึงทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ต้องการบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ และสำคัญที่สุด ความปรารถนาของประชาชนถึงกำหนด และขับเคลื่อนด้วยประชาชน มิใช่ด้วยคณะกรรมการปฏิรูปมาคิดให้ เพราะคิดไปก็ไร้น้ำยา

ป่านนี้ คงรู้แล้วว่า พวกท่านถูกหลอกมาเป็นชฏา-จำแลงร่างปิศาจให้กลายเป็นเจ้าชาย เพราะแม้แต่เสียงขอร้องเบาบางและแสนจะเกรงอกเกรงใจของพวกท่านที่มีต่อรัฐบาลให้ยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉินเถอะหนา ป่านฉะนี้ยังมิมีอะไรเกิดขึ้น

เฮ้อ...บ้านนอกจริงอะไรจริง



ได้โปรดอย่างเพิ่งกล่าวหาฉันว่าสามหาว หยาบคาย ฉันเชื่อว่าความรักจะยั่งยืนอยู่ได้ก็ต่อเมื่อเรากล้าที่จะเผชิญกับความเป็นจริง เราควรจะได้รักเราอย่างที่เราเป็น มิใช่รักเพราะเราเห็นเงาสะท้อนอันสวยงามในกระจกที่บิดเบือน

รักแท้ย่อมเป็นรักที่เข้าใจในความบกพร่อง ความอ่อนแอ ความอีเดียท-นานัปการที่มีอยู่ในตัวเรา และด้วยภาพสะท้อนที่ซื่อสัตย์ ด้วยยอมรับในความอัปลักษณ์ บกพร่องของตนเองมิใช่หรือ ที่จะช่วยให้เราได้ขัดเกลา ปรับปรุง และศัลยกรรมตนเองได้ถูกจุด

ด้วยรักและหวังว่าเราจะก้าวพ้นความบ้านนอกไปสู่โลกของความเป็นสากลอารยะ

ปล. คำว่า "บ้านนอก" ในที่นี้ มิได้มีความหมายถึงการเหยียดหยามชนบท แต่หมายถึงทัศนวิสัยที่คับแคบ ส่งผลให้สำคัญตนผิด



++

รายงานปีที่แล้วที่แสดงความฉ้อฉลของอำนาจรัฐประหาร

จาก วิทวัส ท้าวคำลือ ถึง นักเรียน นักศึกษา เชียงราย ทำให้กลัว แล้วปกครอง
คอลัมน์ รายงานพิเศษ
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 30 ฉบับที่ 1562 หน้า 8


กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจเชียงรายออกหมายเรียกให้นักเรียน นักศึกษาจำนวนหนึ่งเข้ารายงานตัวในข้อหาชุมนุมหรือมัวสุมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป

ก็อีหรอบเดียวกับการจับกุม นายสมบัติ บุญงามอนงค์

ก็อีหรอบเดียวการออกแบบหมายเรียก นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาเปิดเผยกรณีชาวบ้านถูกทหารจับกุมคุมขัง

นี่คือฤทธิ์เดชของ พรก. ฉุกเฉินที่ยังดำรงอยู่

เรื่องแปลกก็ตรงที่ ขณะที่ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุเรื่องการฝึกอาวุธ 3 จุดที่ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ที่เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร ที่ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี

กลับไม่ได้รับความสนใจจาก ศอฉ. ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเท็จ

สะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงลักษณะสองมาตรฐานในการบังคับใช้แม้กระทั่ง พรก. ฉุกเฉิน

นั่นก็คือ เลือกที่จะเล่นงานเฉพาะฝ่ายตรงข้าม แต่ละเว้นพวกเดียวกัน



หลังสถานการณ์ล้อมปราบ ณ แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม การดำเนินการกับฝ่ายตรงข้าม เป็นไป 2 แนวทาง

แนวทาง 1 ใช้กฎหมายที่มีอยู่โดยเฉพาะ พรก. ฉุกเฉิน

แนวทาง 1 ใช้การกดดันทางสังคม โดยอาศัยเครือข่ายทางโซเชียล เน็ตเวิร์ก และสื่อที่เป็นเครื่องมือของฝ่ายตน

สื่อนั้นด้านหลักผ่านสื่อของรัฐ โดยเฉพาะรายการที่ ส.ว. ระบุว่าเป็นของ 2 ดร. 1 ทนายความ

กรณีของ มาร์ค วิทวัส ท้าวคำลือ อายุ 17 ปี มีความเด่นชัดอย่างยิ่งว่าพยายามจะยัดเยียดไม่เพียงข้อกล่าวหาวิพากษ์วิจาณณ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

หากแต่รุนแรงกระทั่งให้เข้าสู่กระบวนการคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

นี่ก็เช่นเดียวกันกับการจัดทำผัง "ล้มเจ้า" ของ ศอฉ. แล้วนำมาแถลงโดยมิได้ผ่านกระบวนการสอบสวนที่เป็นจริง

กระทั่ง นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ นำความขึ้นฟ้องร้องต่อศาลสถิตยุติธรรม

และเมื่อ นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ประกาศจะเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นความรำลึกถึงเหตุกาณณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ก็ถูกหมายเรียก และนำไปสู่การจับกุมตาม พรก. ฉุกเฉิน



ไม่ว่ากรณีของ นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ไม่ว่ากรณีของ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ไม่ว่ากรณีของ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ไม่ว่ากรณีของ นายนที สรวารี

ก็เช่นเดียวกับกรณีของ มาร์ค วิทวัส ท้าวคำลือ

ก็เช่นเดียวกับกรณีของนักเรียน นักศึกษา ที่เชียงราย ซึ่งถูกเรียกตัวภายใต้อำนาจ พรก. ฉุกเฉิน

เป้าหมายก็คือ การคุกคาม ข่มขู่ เพื่อต้องการให้กลัวและยุติการเคลื่อนไหว



.