http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-09-11

ขำบ้างอะไรบ้าง, +จากใจ (คม) ระทวย โดย คำ ผกา

.

ขำบ้างอะไรบ้าง
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 09 กันยายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1621 หน้า 89


สุขภาพจิตดีขึ้นเล็กน้อย และหากมีการวัดดัชนีความสุขส่วนตัว เข็มอาจจะกระดิกขึ้นอีกสักครึ่งขีด กับการมีชีวิตอยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จะว่าฉันโง่ฉันบ้า ฉันก็ยังอยากจะยืนยันตามประสาคนเว่อร์ๆ ว่า ฉันหายใจได้โล่งจมูกโล่งปอดกว่าเมื่อครั้งบ้านเมืองอยู่ในสภาพของขื่อแปที่บิดเบี้ยว ขื่อไม่เป็นขื่อ แปไม่เป็นแป

แม้จะต้องเตือนตัวเองว่าความยุติธรรมยังไม่บังเกิด ยังมี "แพะ" ต้องติดคุกติดคดี ยังมีพี่เบิ้มคอยตรวจตราสอดส่องเราอยู่ แต่อย่างน้อยที่สุดที่เราจะหวังได้จากบรรยากาศประชาธิปไตย คือ หวังว่าประชาชนจะไม่ถูกรังแกจนเกินกว่าเหตุและเสรีภาพของการเรียกร้องความเป็นธรรม และการวิพากษ์วิจารณ์น่าจะทำได้มากกว่าเมื่อครั้งอยู่ภายใต้กฎหมายและอำนาจของรัฐที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

เมื่อดัชนีความสุขได้กระเตื้องขึ้นประมาณยี่สิบกรัมเช่นนี้ ฉันเลยคิดว่ามานั่งเรียบเรียงเรื่องขำๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเราช่วงนี้เอาไว้อ่านเพื่อเพิ่มดัชนีความสุขกันดีกว่า



1.ในการเปิดสภาแถลงนโยบาย พรรคประชาธิปัตย์ได้ทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้อย่างน่าประทับใจ ส.ส. แต่ละท่านแสดงโวหารฉาดฉาน ทั้งโชว์ภูมิความรู้ ความสามารถในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ความรู้เรื่องเศรษฐกิจ การเงิน การคลังเป็นศูนย์อย่างฉัน ได้แต่นั่งฟังตาค้างอ้าปากหวอ โอ้ พวกท่านช่างอัจฉริยะ รู้ไปหมด รู้อะไรไม่สู้รู้เท่าประชาธิปัตย์จริงๆ

แต่หลังจากเคลิ้มกับโวหาร ตัวเลข ทฤษฎี ระดับความสูงส่งของคุณธรรมและระดับความรักชาติบ้านเมืองของท่านแล้ว ตลกที่ทำเอาตลกไม่ออกคือ เหตุไฉนพรรคของท่านจึงสามารถคิดโครงการวิจัยชั่งไข่ราคา 69 ล้านบาทออกมาได้ ก่อนจะยกเลิกไปภายในเวลาอันสั้นก่อนจะสำทับเอาความดีเข้าตัวว่า เห็นไหม การยกเลิกการชั่งไข่ก็เป็นผลงานของพรรคเรานะคร้าบบบ

เอ้า! ปรบมือให้คนเก่งกันหน่อย และเรายังไม่ลืมทั้งเรื่องน้ำมันปาล์มขาดตลาด เรื่องของแพง ข้าวแพง ซึ่งมันเป็นเรื่อจิ๊บๆ ในยุคที่ศักดิ์ศรีของความเป็นคนสำคัญกว่าปากท้องนะฮะ

2. อดีตนายกฯ คนเก่งของเราออกมาเรียกร้องให้ข้าราชการต้องออกมาต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในยามที่โดนพิษสงทางการเมืองกลั่นแกล้ง

- โอ้ว่าอนิจจา...คำพูดนี้กัดกร่อนเข้าไปในหัวใจของผู้รักความเป็นธรรมอย่างฉันอย่างยิ่ง โธ่เอ๋ย ทำไมฉันจึงตาบอดมองไม่เห็นว่าท่านเป็นคนที่รักความยุติธรรมเยี่ยงนี้มาก่อน ที่ผ่านมาฉันดูท่านผิดมาโดยตลอด

ใช่สิ ข้าราชการต้องสู้เพื่อความเป็นธรรม ฉันยังจำเรื่องจ่าเพียรที่อุตส่าห์มายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมจากท่านนายกฯ ด้วยตนเอง ขอความเป็นธรรม - ขอความเป็นธรรม - หวังว่าเรายังจำกันได้

3. ขำในวันแถลงนโยบาย อดีตหัวหน้าพรรคหนึ่งพูดถึงหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ว่า "หัวหน้าพรรคผมท่านไม่ได้ดีแต่พูดแต่ท่านพูดดีจริงๆ..." เอิ่ม จะปล่อยมุขก็ไม่บอกกันล่วงหน้า หัวเราะแทบไม่ทัน

4. แถลงการณ์ของสภาการหนังสือพิมพ์, จดหมายของหมอวิชัยฝากหมอชูชัย แค่สองสิ่งนี้เปิดเผยให้เห็นการทำงานของเครือข่ายคณะบุคคลที่อาศัยความจอมปลอมของสอสาลาสระอีลอลิงทอทงรอหันมอม้า เป็นเครื่องมือในการสูบกินอำนาจ ทรัพยากร สั่งสมชื่อเสียงกอบโกยเกียรติยศได้อย่างช่ำชองน่าเลื่อมใสในทักษะวิชาและฝีมือในการสั่งสมอำนาจชนิดนี้ขึ้นมาในสังคมไทย และยังเป็นอำนาจที่สั่นคลอนได้ยากที่สุดเสียด้วย - ส่วนหญิงสามานย์อย่างฉันได้แต่งึมงำกับตัวเองว่าเมื่อไหร่หมอไทยจะกลับกรมกอง เอ๊ย กลับโรงพยาบาลเสียที

5. นักสื่อสารมวลชนคนหนึ่งที่เขียนในเฟซบุ๊กของตนเอง เรื่อง ไม่มีวันเสียเงิน 10 บาทซื้อ หรือ หากเป็นถุงกล้วยแขกก็ไม่มีวันซื้อกล้วยแขกถุงนั้นกิน เอ่อ ขำเรื่องถุงกล้วยแขกก่อนว่าสมัยนี้ไม่มีใครพับกระดาษหนังสือพิมพ์ทำถุงกล้วยแขกแล้ว เพราะในหมึกพิมพ์มีสารตะกั่วเป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่สารพิษในตัวของนักสื่อสารมวลชนที่ไม่เลือกอยู่ข้างความเป็นธรรม แต่สนับสนุนรัฐประหาร คอยเชียร์ให้รัฐบาลฆ่าประชาชน ขยันบิดเบือนเนื้อหาข่าว หมั่นสร้างกระแสความแตกแยกเกลียดชังในสังคม สรุปสั้นๆ ว่าสิ้นไร้ซึ่งจรรยาบรรณของวิชาชีพสื่อที่พึงมีนั้นเป็นสารตะกั่วของสังคมจริงๆ

6. นักข่าวสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่เพียงแต่ทำหน้าที่ของเธออย่างกล้าหาญในการตั้งคำถามแสนชาญฉลาดเลิศล้ำปฐพี "ครม.ของท่านหน้าตาขี้เหร่กว่าท่านนายกฯ นะคะ" โอ้...มันช่างเฉียบคมอะไรเช่นนี้ กล้าหาญอะไรเช่นนี้ ทำการบ้านมาหนักหน่วงอะไรเช่นนี้ ฉันขอแนะนำว่า เราน่าจะมีการขอรางวัลแม็กไซไซให้เธอ แปลคำถามของเธอเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้โลกรู้ว่านักข่าวสาวตัวเล็กๆ ของเราได้ทำหน้าที่ของเธออย่างกล้าหาญแค่ไหน

ทันใดนั้น!!! บรรดาคนเสื้อแดงกักขฬะ บรรดาคนเสื้อแดงที่ถนัดแต่การใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย บรรดาคนเสื้อแดงแสนกร่าง บรรดาคนเสื้อแดงนักเลงโต บรรดาคนเสื้อแดงที่หากเราปล่อยไว้อย่างนี้ในอนาคตต้องกลายเป็นอันธพาลครองเมือง...โอ้...คนเสื้อแดงผู้โหดร้าย ป่าเถื่อน ไร้อารยธรรม คนเหล่านี้ได้มีการส่งอีเมลข่มขู่ฟอร์เวิร์ดต่อกันไปถึง 47 ฉบับ โปรดไตร่ตรองดู 47 ฉบับ ในอีเมลมีเนื้อหาคุกคามน่าพรั่นพรึง ว่า "เจอหน้าที่ไหนช่วยจัดให้หนัก"

กรี๊ดดดดดดดดดดดด นักข่าวผู้กล้าของเราถูกคุกคาม เราต้องปกป้องเสรีภาพของอาชีพเราให้ถึงที่สุด ความภูมิใจของคนทำงานสื่อคือการได้เปิดโปงความชั่วร้าย ปอกเปลือกความเท็จเพื่อให้เห็นความจริง ทั้งหมดนี้เราต้องใช้ความกล้าหาญ พวกเราต้องได้รับการคุ้มครองปกป้อง

ส่งอีเมลยังไม่พอ คนเสื้อแดงยังไปยื่นจดหมายถอดถอน ไม่ได้แล้วเราต้องออกแถลงการณ์ปกป้องเพื่อนร่วมวิชาชีพของเรา

ขำกันบ้างไหม?

สื่อเคยทบทวนตนเองบ้างหรือไม่ว่าได้ร่วมมือกับใครในการคุกคามปล้นประชาธิปไตยไปจากประชาชน สื่อเคยทบทวนตนเองบ้างไหมว่าได้แสดงความกล้าหาญใดในการจะยืนหยัดอยู่ข้างความถูกต้องในวิถีทางการต่อสู้ของประชาชนกับ "อำนาจ" สื่อเคยทบทวนการกระทำของตนเองบ้างไหมว่าได้ยื่นใบอนุญาตฆ่าให้กับ "อำนาจ" ไปกี่ครั้งและได้มีส่วนร่วมในการกระทำเยี่ยงนั้นไปกี่หน

เราไม่ได้เรียกร้องให้สื่อต้องเห็นด้วยกับเรา แต่ในจุดที่เราไม่เห็นพ้องต้องกัน เหตุใดสื่อไม่ยืนหยัดว่า การแก้ปัญหาด้วยกระสุนปืนเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ในทางมนุษยธรรมและมโนธรรม เราไม่เห็นด้วยกับคุณแต่เราจะไม่ฆ่าคุณและเราไม่เห็นด้วยที่จะมีใครจับคุณไปเข้าคุก

- นี่ไม่ใช่สิ่งที่สื่อพึงกระทำหรอกหรือ?

ขำมากไปกว่านั้น มีสื่อถูกคุกคาม ถูกจับ ถูกขู่ ถูกขัง ถูกแจ้งความ ถูกยิงในเหตุการณ์ความรุนแรงปีที่ผ่านมา ทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิต พวกเขาไม่ใช่สื่อหรือไร จึงไม่ได้รับการปกป้องเสรีภาพจากสมาคมสื่อ และเพื่อนๆ สื่อด้วยกัน ??

ย้อนกลับไปอ่านในข้อ 4 เมื่อ สื่อฉ้อฉลกับสื่อ - มันยิ่งน่าขำ - ย้อนกลับไปอ่านในข้อ 5 ก็ยิ่งน่าขื่น

7. ขำได้อีกเมื่อได้อ่านบทความ "ประกาศลวงโลก จากบันทึกเอ็มโอยู 2544 ถึง "มรดกโลก"

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1315192414&grpid=01&catid&subcatid

"ความว่า ด้วยคำประกาศถอนตัวจากภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลกยัง ไม่จบ กรณีของเอ็มโอยู 2544 ก็ปรากฏขึ้นว่ากำลังกลายเป็นคำประกาศในลักษณะลวงโลกอีกเรื่องหนึ่ง เป็นการลวงโลกจากรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถามว่า รายละเอียดอย่างไรหรืออันถือได้ว่า การประกาศยกเลิกเอ็มโอยู 2544 การประกาศถอนตัวจากภาคีมรดกโลกเป็นเรื่องลวงโลก

คำตอบ 1 ก็คือ เสมือนเป็นเพียงการประกาศแต่มิได้มีการปฏิบัติอย่างเป็นจริง

คำประกาศยกเลิกเอ็มโอยู 2544 เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2552 แต่ต่อมากลับปรากฏว่าได้มีการเจรจาระหว่าง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับ นายซก อาน ในเรื่องอันเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2553

แสดงว่า บทบาทและความหมายของเอ็มโอยู 2544 ยังดำรงอยู่...เช่นเดียวกับการทำหนังสือแจ้งต่อภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก

เมื่อทั้งเรื่องเอ็มโอยู 2544 และทั้งเรื่องภาคีอนุสัญญามรดกโลก มิได้มีผลเหมือนเช่นกับคำประกาศ แล้วรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำไปทำไม "

ขำว่า "สื่อ" ที่ชื่นชมว่าคำถามของนักข่าวช่องเจ็ดตัวเล็กๆ แสนกล้าหาญ "สื่อ" ที่อ้างตัวอ้างตนว่ามีคุณภาพคับแก้วศีลธรรมคับไข่ไม่รู้เท่าทันเกมลวงโลกอันนี้ ไม่รู้หรือว่าคำประกาศแต่เพียงข้างเดียวนั้นไม่มีผลและหากยังจำกันได้ "มติชน" นำเสนอบทสัมภาษณ์จากทางยูเนสโก ว่าคำประกาศของคุณสุวิทย์นั้นไม่มีผลใดๆ แต่ "สื่อ" คุณภาพคับอกคับใจยังยินดีเล่นเกมข่าวลวงโลกตีปี๊บเรื่องศักดิ์ศรีประเทศชาติกัน จนกู่ไม่กลับ

งานนี้ขำทั้งสื่อ ขำทั้งกลุ่มที่ทวงเขาพระวิหารกันไม่เลิกรา ทั้งเห็นใจที่พรรครัฐบาลในตอนนั้นที่ประกาศกร้าวทุกวันว่าเราจะไม่ยอมให้ใครมาละเมิดศักดิ์ศรีอธิปไตยของเรา แต่ก็ไม่อาจช่วยเหลือคนไทยที่ไปติดคุกที่เขมรด้วยกรณีพิพาทอันนี้ออกมาได้

8. สุดท้าย ขำข่าวเรื่อง "ผู้หญิงยิง ฮ." http://www.prachatai3.info/journal/2011/09/36757

พระเจ้าช่วย! กลุ่มเฟมินิสต์ สตรีศึกษาน่ามาทำวิจัยเกี่ยวกับสถานภาพและศักยภาพของสตรีไทย เราไม่เพียงแต่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้หญิงเท่านั้น แต่เรายังมีผู้หญิงที่มีความสามารถยิงเฮลิคอปเตอร์ได้ !!! ฉันแปลกใจว่าทำไมเราไม่ติดต่อกินเนสส์บุ๊ก นี่มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก อาวุธของเธอที่ใช้ยิงเฮลิคอปเตอร์คืออะไร?? นี่อาจเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นกว่าตอนที่น้องหม่องพับเครื่องบินกระดาษอะไรนั่นเสียอีก

"สื่อ" ที่มีคุณภาพช่วยไปข่าวเจาะเชิงลึกมาตีแผ่ให้ได้อ่านหน่อย เพราะมันมหัศจรรย์พอๆ กับข่าวรอยพญานาคเลื้อยอยู่ในห้องพระอะไรอย่างนั้นเลย

เธอใช้ธนู? เธอใช้หนังสติ๊ก? เธอใช้ปืนอัดลม? เธอใช้บั้งไฟ? หรือเธอใช้เวทมนตร์คุณไสยอะไรหรือไม่? เหตุไฉนเธอจึงยิงเฮลิคอปเตอร์ได้?

เธอเพิ่งได้รับการประกันตัวหลังจากติดคุกมา 15 เดือน ด้วยคดีนี้ สื่อควรไปสัมภาษณ์ ว่าเธอทำได้อย่างไร? รายการทอล์กโชว์ชื่อดัง ตีสิบ ตียี่สิบ รายการคุณสรยุทธ น่าเชิญเธอไปออกรายการและให้เธอสาธิตการยิงให้เราดูด้วย

ยังมีเรื่องให้ขำเกลื่อนความขื่นขมกันอีกเยอะ ว่างๆ เขียนเรื่องขำๆ ของคุณมาให้ฉันได้อ่านบ้างนะ


++

บทความปีที่แล้ว ( พ.ศ.2553 )

จากใจ (คม) ระทวย
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 30 ฉบับที่ 1562 หน้า 89


แม้มิใช่คนที่ทำงานเรื่องผู้หญิงและความรุนแรง เราก็คงรู้กันดีอยู่ว่า คดีข่มขืนนั้นไม่ได้มีเฉพาะมิติทางกฎหมาย แต่ยังมีมิติทางวัฒนธรรมที่ทำให้การข่มขืนในหลายกรณีถูกปกปิดโดยเจ้าทุกข์ หรือโดยตัวของหญิงที่ถูกกระทำเอง

มีกรณีเด็กทารกหญิงที่ถูกพ่อของตนเองข่มขืนจำนวนมากที่ฝ่ายแม่ของทารกเป็นผู้ปิดบังอาชญากรรมนั้นจากการรับรู้ของสังคม ด้วยเหตุผลที่ว่า อับอาย, กลัวถูกสามีทำร้าย, หวั่นเกรงการหย่าร้าง

หรือแม้กระทั่งเชื่อว่า ตนเองจะปกป้องลูกของตนเองจากการถูกข่มขืนได้ในอนาคตซึ่งน่าจะดีกว่าไปแจ้งความแล้วต้องอับอายขายหน้า

หลายๆ กรณีข่มขืนที่เด็กหญิงถูกกระทำจากญาติผู้ชายที่ตนเองมีความเกรงกลัวอยู่เป็นทุน หลายกรณีเป็นเรื่องราวระหว่าง ศิษย์กับอาจารย์ เจ้านายกับลูกน้อง มากไปกว่านั้นเราปฏิเสธไม่ได้ว่า หากการข่มขืนนั้นเกิดขึ้นระหว่างชายที่อยู่ในชนชั้นทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าฝ่ายหญิง สังคมมักจะติดสินฝ่ายหญิงว่าเป็นฝ่ายยั่วยวน หรือเป็นแผนการแบล็กเมล์

เลวร้ายน้อยที่สุดสังคมอาจตัดสินว่า ฝ่ายหญิงหละหลวมและเปิดโอกาสให้ฝ่ายชายมีช่องทางที่จะประทุษร้ายทางเพศพวกเธอ

เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนจำนวนมากจึงถูกสังคมปิดปาก และฝ่ายชายก็ลอยนวลอยู่ในสังคมได้อย่างสง่าผ่าเผย


ฉันนึกถึงกรณีข่มขืนแบบนี้เมื่ออ่านข่าวมาร์ค วี 11 ต้องออกมาขอโทษนายกฯ และจำต้องถอนตัวออกจากบ้าน AF (ให้ตายเถอะ ฉันไม่เคยสนใจเรื่องราวของบ้าน AF เพราะรังเกียจดราม่าในบ้าน รังเกียจความฟูมฟายทางอารมณ์ รัก ทดท้อ สิ้นหวัง ลุกขึ้นสู้ โดนครูด่า พิสูจน์ตัวเอง แบบว่า ตอนเด็กๆ ดูละครญี่ปุ่น ยอดหญิงสิงห์นักตบ หรือเกือกแดงแรงฤทธิ์ ทำนองนี้มาจนเบื่อ เพราะฉะนั้น มาร์ค ออกบ้าน AF ด้านหนึ่งก็เป็นผลดีกับตัวมาร์คเอง เพราะเป็นตัวของตัวเองขนาดนี้อาจจะทานกำลังดราม่าในบ้านไม่ไหวก็เป็นได้)

แต่สิ่งที่ชวนปลดปลง ไว้อาลัยอย่างยิ่งยวดคือ เหตุใดมาร์คและพ่อแม่ต้องเป็นฝ่ายออกมาขอโทษนายกฯ ?



สิ่งหนึ่งที่นักการเมืองและบุคคลสาธารณในโลกนี้ต้องเตรียมตัวเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคือ การวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมมิใช่หรือ ทั้งการวิพากษ์ วิจารณ์ที่เป็นเรื่องเป็นราว เช่น จากนักหนังสือพิมพ์ คอลัมนิสต์ จากนักวิชาการ จากนักการเมืองด้วยกัน หรือการวิจารณ์ ล้อเลียน เสียดสี ความลามา บัดสีบัดเถลิงนานาประการจากสาธาณชนทั่วไป

"อำนาจ" นั้นนอกจากจะเป็นเครื่องมือในการ "ใช้งาน" หรือ เพื่อ "กำกับ" คนที่อยู่ใต้อำนาจแล้ว อีกด้านหนึ่งของอำนาจมันย่อมถูกต่อต้าน ท้าทาย ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงเช่นการออกมาประท้วง การออกมาทำร้ายซึ่งๆ หน้า การปาขี้

แต่ในสังคมที่อำนาจกระชับรัดตัวแน่นราวกับเป็นมดลูกที่ผ่านการฝึกขมิบมาอย่างน้อยวันละพันครั้งย่อมสร้างความอึดอัดแก่ผู้ถูกกระทบจากอำนาจนั้นและเมื่อขยับตัวไม่ได้ ทางออกอันน้อยนิดของพวกเขาคือการล้อเลียน เสียดสี เล่นกับความหยาบคาย และจะมีความหยาบคายใดที่สนุกและช่วยขยับขยายความคับข้องใจนั้นได้เท่ากับเรื่องเพศ


ในคอนเสิร์ตศิลปินหลายคนจากกรุงเทพฯ ที่มาเปิดเล่นในลานใกล้กับสี่แยกโรงแรมรินคำที่เชียงใหม่ครั้งหนึ่ง นักร้อง พิธีกรบนเวทีพร่ำพูดถึงความโชคดีของคนเชียงใหม่ที่ได้มีโอกาสรับชมรับฟังความบันเทิงที่พวกเขาอุตส่าห์หอบหิ้วมาจากเมืองกรุงฯ ว่าแล้วนักร้องคนหนึ่งก็พูดว่า

"วันนี้ขอเสียงพวกเราดังๆ หน่อย-กรี๊ดดดดดดด" เสียงไชโยโห่ร้องตามมา

"ขอเสียงคนกรุงเทพฯ หน่อย-กรี๊ดดดดดดดดดดดด"

"ต่อไปขอเสียงคนเชียงใหม่หน่อย-กรี๊ด-ไม่ค่อยดัง-ขอเสียงคนเชียงใหม่หน่อยคร้าบบบบ"

"ค-ยบ่ะ" นั่นคือเสียงจากผู้ชายสอง-สามคนที่ฉันเผอิญได้ยิน นักร้องที่อุตส่าห์เดินทางมาจากรุงเทพฯ ได้ออดอ้อนขอเสียงคนเชียงใหม่ ก็ได้เสียงไปสมใจ-สองพยางค์

นี่เป็นอีกหนึ่งการแสดงความรำคาญต่ออำนาจบางชนิด และหลายๆ ครั้งคำว่า "ค-ยบ่ะ" ของสุภาพบุรุษทางภาคเหนือของประเทศไทยมีความหมายประมาณ "shit" มิได้รุนแรงถึงขึ้นควักลึงค์มาเสียบประจานกันแต่อย่างใด


อนึ่ง คนมีอำนาจ คนดัง คนสาธารณะทั้งหลายน่าจะเคยผ่านวัยเด็กที่เราชอบเติมหนวด เติมผม เติมคิ้ว เติมนั่น เติมนี่ให้กับรูปภาพดารา นางเอกสวยๆ ก็อาจโดน "ป้ายสี" จากปลายปากกาของเราเสียเละตุ้มเป๊ะ หรือ รูปครูใหญ่ในโรงเรียนนั้นมีโอกาสเสี่ยงที่จะโดนแต่งเติมให้น่าขบขัน น่าสมเพช เวทนา

อย่าว่าแต่ครูใหญ่ เข้าใจว่าในหลายประเทศนิยมนำใบหน้าผู้นำมาประทับไว้ที่กระดาษชำระ เวลาเอาเช็ดตูดมันช่างสะใจ สาแก่ใจ พลันความทุกข์ที่รู้สึกว่าเราประชาชน ถูกเอาเปรียบ ถูกกดขี่ก็มลายหายไปกว่าครึ่ง ไอ้ที่จะลุกขึ้นมายกป้ายประท้วงหน้าทำเนียบก็ไม่ทำแล้ว เพราะได้เอาหน้ามันไปเช็ดขี้สะใจไปเรียบร้อย และพรุ่งนี้เช้าก็จะเช็ดอีกใครจะทำไม ?

ในประเทศที่ผู้นำ หรือคนดังทั้งหลายมีวุฒิภาวะ แม้จะยอกแสยงใจเพียงใดต่อการล้อเลียนจากมวลมหาชน พวกเขาย่อมรู้ว่าวิธีการรับมืออย่างฉลาดกับการล้อเลียนอันนี้ (เช่น ในอังกฤษ คนที่โดนล้อมากที่สุดน่าจะเป็น ชาล์ส กับคามิลล่า ยิ่งในช่วงที่เกิดกรณี Tampon อันโด่งดังนั้น ชาล์สถูกสื่อล้อเสียเละตุ้มเป๊ะ) ด้วยการทำหน้าชื่นมื่น (แม้จะแอบโกรธเขวี้ยงข้าวของใส่บริวารที่บ้าน) แล้วบอกกับสาธารณชนว่า "นั่นเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่พึงได้รับความเคารพ"

มิใช่มาทำเมิน เชิ่ดใส่ กระบิดกระบวน ไม่รู้ไม่ชี้ฉันจะตีตูดเธอ เชอะๆ มาว่าชั้นทำไม มาด่าชั้นทำไม-เป็นถึงคนใหญ่คนโต มิใช่เด็กสามขวบ



การออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล นายกฯ หรือใครก็ตามของมาร์ค อันเป็นเด็กหนุ่มวัย 17 ปี สมควรแล้วหรือที่จะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่โตระดับชาติ? ไม่นับว่าได้กระทำไปบนพื้นที่ส่วนตัวคือ wall ที่อยู่ใน FB มิได้เผยแพร่ในสื่อสาธารณะที่ไหน

และสังคมไทยโปรดทราบ แม้เราจะถูกกระชับ ถูกบังคับขมิบ ด้วย พ.ร.ก. ฉุกเฉิน แต่นั่นมิได้แปลว่าเราจะแปลงคลื่นสมองของเราให้กลายเป็นประชาชนเลี้ยงเชื่องๆ เหมือนโดนยาสั่งพร้อมกันทั่วประเทศพร้อมกับกลายพันธุ์เป็นมนุษย์คลั่งชาติ รัฐบาลข้าใครอย่าแตะ นายกฯข้าใครอย่าแตะ CNN ด่าเหรอมึง เด๋วกูฟ้องสหประชาติ! ไอ้ห่าลากมันไม่รู้ว่า ชาติกูกูรัก ชาติกูดี วิเศษ ชาติกูยูนีคเป็นหนึ่งเดียว ไม่เหมือนใคร

สาดดดด! อย่าเสือก!

ถามจริงๆ เราอยากเป็นคนไทยแบบนั้นหรือ? เป็นคนไทยที่ใครมาแตะต้องวิจารณ์ประเทศไทยของเราไม่ได้อย่างนั้นหรือ? เราจะไม่เปิดหู เปิดตา เปิดใจรับฟังคำวิพากษ์ วิจารณ์จากคนอื่นบ้างหรือไร หรือเราพร้อมจะได้ยินแต่สิ่งที่เราอยากฟัง ?

คนไทยทั้งหลายที่ออกมาด่าว่า ประณาม ไปจนถึงขู่ฆ่าอาฆาตมาร์คและครอบครัว ลามปามไปถึงเรื่องไม่รักนู่น นี่ นั่น โน่น ไหนๆ ไม่รักชาติ อะไรก็ว่าไป พึงกลับไปทบทวนตนเองให้จงหนักว่ากินยาอะไรผิดมาตั้งแต่เกิดหรือเปล่าจึงสำคัญตนเองผิดคิดว่ามีอำนาจไป"พิพากษา" และลงโทษ ผู้อื่นอย่างโหดร้าย แล้วลืมไปแล้วหรือว่า ความรักที่สร้างสรรค์นั้นย่อมเป็นความรักที่มีสติ และเหตุผล มิใช่รักกันอย่างหูหนวกตาบอด รักกันหน้ามืดตามัว กูรักเสียอย่างทำอะไรก็ไม่ผิด แต่ถ้ากูเกลียดมึงเสียอย่างมึงหายใจก็ผิด

ความเป็นมนุษย์ และความเมตตาของพวกเราหลบลี้ไปเสียที่ไหน? และธรรมะแดกด่วนลวกน้ำร้อนที่บริโภคกันทุกเมื่อเชื่อวันนั้นมิช่วยเสริมเมตตาธรรมในจิตใจของพวกท่านบ้างเลยหรือ?

ไม่มีกฎหมายใดที่บอกว่าวิจารณ์นายกฯหรือแม้กระทั่งบริภาษนายกฯ ไม่ได้ และที่ผ่านมานายกฯ คนก่อนก็โดนบริภาษไปไม่น้อยกว่านี้ และอาจจะสาหัสกว่า แล้วเหตุใดคนไทยจำนวนมากถึงถือโอกาสลงทัณฑ์เด็กคนหนึ่งที่บังเอิญมีความคิดเป็นของตนเอง และในความคิดเห็นย่อมไม่มีถูกหรือไม่มีผิด


จำได้ไหมว่ามีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งขับรถสปอร์ตราคาแพงลิบทั้งๆ ที่อายุไม่เต็มยี่สิบ-พ่อแม่คงจะร่ำรวยมาก-พุ่งเข้าชนคนเสื้อแดงที่ชุมนุมกันอยู่ เด็กหนุ่มคนนี้หวิดจะโดนประชาทัณฑ์ แต่ก็มีคนมาห้ามไว้ และคนเสื้อแดงนั่นแหละเอาลูกของตนเองไปยัดใส่มือแฟนสาวของเด็กหนุ่มคนนั้นให้อุ้มไว้เพื่อจะไม่โดนทำร้าย

ในเฟสบุ๊คเด็กหนุ่มไฮโซคนนั้นที่มีคนนำมาโพสต์ต่อให้ว่อนไปเต็มไปด้วยคำว่า "ค-ย" ที่แจกให้กับคนเสื้อแดง ทว่าเรื่องนี้ก็เงียบหายไป

และไม่มีใครติดใจเอาความหรือไปลากพ่อแม่เด็กมาประจาน ไม่มีใครไปตามฉุดกระชากลากทึ้งอนาคตของเด็กคนนั้นให้สิ้นสูญ พ่อแม่เด็กคนนั้นไม่ต้องมายกมือไหว้ขอโทษคนที่ถูกชน!

ไม่มีใครออกมาพูดกับสื่อว่า "เด็กคนนี้พ่อแม่ไม่สั่งสอน"

คนไทยที่สนุกอยู่กับการกระทำ social sanction สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องละอายใจ และพึงบอกตนเองว่า อารยชนนั้นย่อมเคารพสิทธิของผู้อื่น

หากไม่เห็นด้วยกับความคิดของใครก็จง พูด คิด และเขียน จะแจก ค-ย กลับก็ไม่ว่ากัน แต่มิใช่ด้วยการทำลาย "ชีวิต" ของใครสักคนที่คิดต่างจากตนในทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้



อาหารที่หล่อเลี้ยงความเป็นมนุษย์ของเราคือเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของตนเอง ต่อให้มันเป็นความคิดเห็นที่โง่เง่าที่สุด อีเดียทที่สุด เรามีสิทธิที่จะไม่ฟัง ไม่อ่าน แต่เราไม่มีสิทธิไปห้ามผู้อื่นมิให้คิด พูด หรือ เขียน

ภาวะที่สูงส่งของความเป็นมนุษย์คือการยืนหยัดปกป้องเสรีภาพของการแสดงความคิดเห็นและโดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดที่เราไม่เห็นด้วย

มันเป็นความเศร้าอย่างยิ่งยวดที่ฉันเห็นเด็กคนหนึ่ง ครอบครัวหนึ่งถูกกระทำจากสังคมของตนเอง โดยปราศจากการปกป้อง ไม่ต้องพูดถึงคณะกรรมการสิทธิฯ นักวิชาการที่เอ่ยคำว่าเสรีภาพเป็นคาถา ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่ออกมาพูดกับสื่อสักคำว่า

"สิทธิในการแสดงความคิดเห็นของ นายวิทวัส ท้าวคำลือ และประชาชนไทยทุกคนเป็นสิ่งที่ควรได้รับการปกป้อง"

ทว่าเรื่องเศร้าที่สุดกลับกลายเป็นว่า "เราไม่ควรไปโหมไฟใส่เรื่องนี้ ไม่ควรพูดถึง เขียนถึง เพราะนั่นจะยิ่งทำให้น้องเดือดร้อนถูกรังควานไม่เลิก" พระเจ้า! ฉันควรจะหัดเอาหัวเดินต่างตีนไปเสียตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ต่อไปนี้เวลาเห็นเพื่อนมนุษย์ไม่ได้รับความเป็นธรรม เราควรจะเมินหน้าหนี แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ไม่อย่างนั้น เขาจะโดนทำร้ายมากไปกว่านี้-สังคมเราดำเนินไปสู่ความเลวร้ายในระดับแล้วนั้นหรือ ?

ไม่เคยมีครั้งไหนที่ฉันผิดหวังกับบทบาทของปัญญาชนมากเท่านี้มาก่อน และไม่เคยมีครั้งไหนที่ฉันเห็นปัญญาชนเพิกเฉยต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในสังคมไทยมากเท่านี้ และยิ่งเมื่อเทียบกับอาการฟูมฟายของพวกเขาในสมัยก่อนหน้านี้

สุดท้ายฉันได้เห็นสันดานปัญญาชนว่า พวกเขาก็ละโมบ ขี้ขลาด เอาตัวรอด และห่มคลุมร่างกายของพวกเขาด้วยถ้อยคำทางวิชาการอันสวยหรู เทิดทูนประชาชนไว้ในอุดมคติ ไม่ต่างอะไรจากนักการเมืองที่พวกเขาก่นด่าประณามอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน


สุดท้ายฉันก็ได้เห็นสันดานของนักวิชาการว่า ไม่ว่าจะเอ่ยอ้างว่ารักในชาวบ้าน รักในประชาชน เชื่อมั่นในประชาธิปไตยแค่ไหน หากได้โอกาสจะไปซบตัก เลียไข่ "อำนาจ" พวกเขาไม่รั้งรอที่จะถลาตนไปซุกไซ้อำนาจนั้นอย่างรัญจวน

สุดท้ายนักวิชาการชนชั้นกลางก็เต็มไปด้วยความสั่นกระสันอยากเป็นหนึ่งในสังคมชั้นสูง และปฏิเสธที่จะยืนหยัดเพื่อหลักการ ความถูกต้อง---ปล. แต่พวกเขายังจะพูดถึงความถูกต้องต่อไปเรื่อยๆ ตราบใดที่มันเป็นเรื่องลอยๆ ไกลตัว เป็นนามธรรม เพราะมันช่วยทำให้ราคาของพวกเขาแพงขึ้น

ฉันคงจะโรแมนติกเกินไป ไร้เดียงสาเกินไปที่เคยฝากความหวังไว้กับปัญญาชนเหล่านั้น และอาจจะงี่เง่าเกินไปที่ยังอยากจะยืนหยัดเพื่อสิ่งที่เรียกว่า สิทธิ และเสรีภาพของพวกเราทุกคน

มันจะมีอะไรเศร้าไปมากกว่าการเห็นเหยื่อผู้ถูกข่มขืนต้องออกมาเป็นฝ่าย "ขอให้เรื่องเงียบ" "ขอให้เรื่องจบ" ทั้งยังต้องตบท้ายว่า

"เราผิดไปแล้ว"


.