http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-06-13

คุณดี๋ ขอชี้แจง และ ทัดดาว(หมดสภาพนางเอก) โดย คำ ผกา

.
คุณดี๋ ขอชี้แจง
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 03 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1607 หน้า 89


To เรยา
Cc ทัดดาว, พี่ทอง, ดาวพระศุกร์, กะทิ, เด่นจันทร์


หวัดดีทุกๆ คนนะจ๊ะโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรยา

ดี๋คิดอยู่นานทีเดียวว่าจะตอบอีเมลของเรยาดีหรือเปล่า เพราะที่บ้านของดี๋ คุณแม่พูดอยู่เสมอว่า "อย่าเอาทองไปลู่กระเบื้อง" "อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ"

อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของเรา ทั้งคุณแม่ คุณพ่อสอนดี๋มาแต่เล็กแต่น้อยว่าเราพึงมีเมตตาต่อคนโง่ สำหรับดี๋ เรยาไม่ใช่คนชั่วอย่างที่ใครๆ เขาใส่ร้ายเธอนะ เธอเป็นแค่คนโง่ที่นึกว่าตัวเองฉลาด อาจเป็นเพราะดี๋เติบโตมาในครอบครัวนักการทูต คุณพ่อคุณแม่คือตัวอย่างที่ผสมผสานคุณค่าของความเป็นตะวันตกและความดีงามเรียบร้อยประณีตแบบไทยๆ เข้าด้วยกัน คุณพ่อและคุณแม่เป็นตัวอย่างของครอบครัวทูตที่นานาชาติให้การยอมรับ ไปอยู่ประเทศไหนก็ไม่เคยต้องทำให้ประเทศไทยของเราต้องอับอายขายหน้า

คนอย่างเรยาที่เติบโตมาแบบลุ่มๆ ดอนๆ คงไม่เคยได้ยินคำว่า sophisticate เมื่อเป็นอย่างนั้นดี๋จะให้อภัยเธอก็แล้วกัน

ก่อนอื่นดี๋อยากจะบอกเรยาว่า ลูกของคุณใหญ่ที่อาศัยท้องของเธอมาเกิดและตอนนี้เด็กคนนั้นเรียกดี๋ว่าคุณแม่ เรียกคุณใหญ่ว่าคุณพ่อ ครอบครัวเราน่ารักและอบอุ่นมากจ้ะ

มาถึงบรรทัดนี้ดี๋ให้เพื่อนๆ ใช้วิจารณญาณกันเอาเองว่าเราจะเอานิยายอะไรกับทัศนะอันเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของคนอย่างเรยา ผู้หญิงที่สามารถทิ้งลูกเอาไว้ข้างหลังและมีชีวิตประหนึ่งว่าเธอไม่เคยตั้งท้อง ไม่เคยคลอดเด็กทารกคนหนึ่งออกมาดูโลก

ระหว่างกะทิที่มุ่งมั่นขึ้นไปบุกเบิกทำสวนสตอว์เบอร์รี่พร้อมความฝันอันยิ่งใหญ่ของคนเล็กๆ สละความสุขสบายในฐานะหลานสาวคนเดียวของคหบดีใหญ่ผู้นำทางความคิดของประเทศชาติ กับเรยาผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายตีนที่ใช้ผู้ชายเป็นบันไดไต่ไปหาความสำเร็จและพร้อมจะทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองไปอย่างไม่ไยดี

ระหว่างสองคนนี้ สังคมจะเชื่อใครมากกว่ากัน ดี๋มั่นใจว่าสังคมของเราคงมีสติสัมปชัญญะพอที่จะแยกแยะความดีออกจากความชั่ว

ขณะที่เขียนจดหมายฉบับนี้ดี๋ก็บอกตัวเองว่าดี๋จะเลี้ยง "ลูก" บุญธรรมของดี๋ให้ดีที่สุดและหวังว่า "เลือด" ชั่วและไฝ่ต่ำที่มีอยู่ครึ่งหนึ่งในตัวเด็กจะไม่แรงเกินกว่าที่ดี๋จะกล่อมเกลาได้



ส่วนความเห็นเกี่ยวศาสนาของเรยานั้น คนมีปัญญาคงเห็นได้ว่ามันช่างหยาบช้าน่ารังเกียจและเข้าขั้นสามานย์ พุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาอันมีค่าของโลก คำสอนขององค์พระพุทธเจ้าเป็นสัจจะ เรยาไปใช้ความคิดตื้นๆ ของตัวเองไปเย้ยหยันคำสอนและคนที่เชื่อในคำสอนนั้น ช่างน่าสมเพชเวทนาเสียจริง

ซึ่งก็ช่วยไม่ได้ ผู้หญิงที่มัวเมาอยู่แต่ในกิเลส ตัณหา ราคะ ความโลภและไม่รู้จักพออย่างเรยา ถ้าจะมาเข้าใจหลักธรรม คำสอนอันลึกซึ้งของพระพุทธเจ้าหรืออ่านงานของท่านพุทธทาสบ้างก็คงเป็นเรื่องประหลาดเต็มประดา


คนอย่างเรยา เผยอจะมาวิจารณ์เรื่อง ธรรมาธิปไตย และ ประชาธิปไตย ดี๋อยากรู้จริงๆ ว่าเรยาเข้าใจคำว่า "ประชาธิปไตย" ดีแค่ไหน หรือสักแต่จำขี้ปากเขามาพูด

ดี๋เองตามคุณพ่อคุณแม่ไปอยู่ไปเรียนมาในหลายประเทศ

และดี๋ไม่อยากจะอวดอ้างว่าดี๋ได้เห็น ได้มีประสบการณ์การใช้ชีวิตในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยมาแล้วเกือบทั่วโลก และดี๋บอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า การเลือกตั้งไม่ใช่ทุกอย่างของประชาธิปไตย และรัฐบาลที่ฉ้อฉลจำนวนมากในโลกนี้ก็เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ประชาธิปไตยที่เข้มแข็งจะต้องประกอบไปด้วยความเข้มแข็งของหลายภาคส่วน ทั้งภาคส่วนของศีลธรรม จรรยา ศาสนา

ที่ท่านพุทธทาสพูดเรื่องธรรมาธิปไตยนั้นถูกต้องอย่างที่สุด ดี๋ไม่เห็นว่ามันจะผิดที่ตรงไหน เราคงไม่ต้องการทรราชเสียงข้างมากหรอกนะ เรยาที่รัก แต่เขียนคำว่าทรราชเนี่ยะ ดี๋ไม่แน่ใจเลยว่าคนที่เรียนหนังสือมานิดเดียวอย่างเธอจะเข้าใจความหมายของมันนะ

นี่ดี๋นั่งฟังนโยบายของแต่ละพรรคที่นำเสนอในการเลือกตั้งครั้งนี้ ดี๋ยังไม่เห็นเลยว่ามีพรรคไหนมีความพยายามจะผลักดันนโยบายพาคนเข้าวัด นั่งสมาธิ วิปัสสนา ลด ละ กิเลสกันบ้าง เพราะเหตุของทุกข์ เหตุของความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองของเราตอนนี้ก็เพราะคนมีกิเลส ลดตรงนี้ได้ก็แก้ได้ทุกปัญหา ไม่ต้องออกมาประท้วง แล้วพอมีคนตายก็ออกมาโวยวาย เลื่อนเปื้อน เที่ยวไปขอความเห็นใจจากคนทั้งโลก


แล้วยังจะการเสนอทำบัตรเครดิตให้เกษตรกรอีก ดี๋จะเป็นลม ตระกูลดี๋นอกจากเป็นนักการทูตแล้วยังเป็นนักการธนาคาร เรารู้ดีว่าเราจะไม่มีวันทำบัตรเครดิตให้ชาวบ้านชาวนาเด็ดขาด

อี๊...คนพวกนั้น เรียนหนังสือมานิดเดียว อ่านออกบ้างไม่ออกบ้าง ริจะมาใช้บัตรเครดิต แบบนี้คุณแม่ดี๋เรียกว่า "หัวล้านอยากได้หวี" หรือไม่ก็ "โง่แล้วอยากนอนเตียง"

บัตรเครดิตน่ะรังแต่จะไปยั่วยุกิเลส กระตุ้นการบริโภค ช่างเป็นนโยบายที่สวนกับกระแสเศรษฐศาสตร์ทางเลือกที่ชูมาร์กเกอร์บอกว่า "จิ๋วแต่แจ๋ว" ช่วยดูภูฏานเป็นตัวอย่างสิคะ เขาให้ประชาชนอยู่บ้านดิน กินแต่น้อย เอ๊ย อยู่อย่างเรียบง่าย ใกล้ธรรมชาติ เจ็บป่วยก็รักษากันไปตามมีตามเกิด ทำสวน ทำนา ทำไร่กันไปตามยถากรรม อย่าทะเยอทะยาน มีแค่ไหนทำแค่นั้น ทุกข์นัก หิวนัก เจ็บนัก ก็นั่งภาวนากันไป ยิ่งไปอยากได้ใคร่มีก็จะยิ่งทุกข์ แล้วจะเอาบัตรเครดิตมาทำไม

บัตรเครดิตมันมีไว้สำหรับคนอย่างพวกเรา อย่างกะทิ อย่างดี๋ อย่างดาวพระศุกร์ เด่นจันทร์ หรือทัดดาว (เธออยากสละสิทธิ์นั้นก็ตามใจ) ที่มีทั้งรายได้ ความรู้ และสติปัญญาที่จะคิดว่าอะไรควรซื้อ อะไรไม่ควรซื้อ

เหมือนเรื่องกินเหล้านั่นแหละ ถ้าคนมีความรู้ มีรสนิยม มีการศึกษา มีฐานะอย่างพวกเรากินก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะเราควบคุมตัวเองได้

แต่พวกคนจนๆ กินเหล้าไม่เป็น กินไม่บันยะบันยัง สมแล้วที่ สสส. ออกมารณรงค์เรื่องงดเหล้า

เครดิตการ์ดก็เหมือนกัน ไม่ใช่อยู่ๆ จะเอาเครดิตการ์ดไปให้ชาวบ้าน คอยดูสิ เดี๋ยวชาวบ้านก็เอาไปซื้อสินค้าตามโฆษณา สาวๆ จะไปซื้อไวท์เทนนิ่ง พ่อแม่อาจจะไปถอย I Pad มาให้ลูก - คงดูไม่จืดนะเล่นก็ไม่เป็น ภาษาอังกฤษก็อ่านไม่ออก คงจิ้มกันไปเรื่อยจนพังคามือแน่ๆ

สุดท้ายจบลงด้วยการเป็นหนี้ เป็นทาสบริโภคนิยมหนักข้อกว่าเดิม



วิถีชีวิตชาวนาแบบดั้งเดิมไม่ฝืนกระแสธรรมชาตินี่แหละดีที่สุด เบียดบังทรัพยากรธรรมชาติน้อยที่สุด ใช้ควายไถนา ไม่ต้องซื้อน้ำมันเชื้อเพลิง ขี้ควายกลายเป็นปุ๋ย ชาวนาไถนาเป็นการออกกำลังกายกลางแจ้ง กินน้ำพริก กินผัก ไม่ต้องเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน โรคหัวใจแบบคนในเมืองที่กินแต่อาหารอุดมไปด้วยไขมัน น้ำตาล

กะทิคิดถูกแล้วที่กลับไปใช้ชีวิตอย่างนั้น และวันหนึ่งดี๋ก็จะไปทำรีสอร์ตเล็กๆ กลางหุบเขา เพราะคุณพ่อคุณแม่ไปซื้อที่ถูกๆ จากชาวบ้านเก็บไว้นานแล้ว ลงทุนน้อยๆ สี่-ห้าสิบล้านบาททำรีสอร์ตให้คนทำรีทรีต ธรรมชาติบำบัด ปลูกผักปลอดสาร เราทำแบบธรรมชาติจริงๆ ไม่หวังผลกำไร เพราะลำพังทรัพย์สินของครอบครัวดี๋กับคุณใหญ่รวมกันก็หลายพันล้าน จะไปโลภอะไรอีก ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ดี๋ขอไปทำรีสอร์ตธรรมชาติๆ ไม่เบียดเบียนใครดีกว่า

แต่พวกนักการเมืองก็เหลือเกิน แทนที่จะไปส่งเสริมให้ชาวนาคงวิถีชีวิตดั้งเดิมของเขาเอาไว้ กลับจะไปส่งเสริมให้เขามีบัตรเครดิต กระตุ้นการปลูกเพื่อขาย แทนที่จะปลูกแค่พอกินในครอบครัว ไม่เป็นหนี้ มีความสุข

พอดี๋พูดอย่างนี้ บางคนก็ถามว่า "อ้าว ถ้าชาวนาไม่มีเงิน ปลูกแค่พอกิน แล้วจะส่งลูกเต้าเรียนหนังสือได้อย่างไร"

แหม...ดี๋ไม่อยากจะพูดให้ยืดยาวเลย ดูเรยาเป็นตัวอย่างสิ ทะเยอทะยาน เกิดเป็นอีกาทะเล่อทะล่าอยากเป็นหงส์ คำตอบของดี๋คือ เกิดเป็นลูกชาวนาก็สืบสานเจตนารมณ์เป็นชาวนาต่อไปสิคะ จะอยากมาเป็นทูต เป็นหมอทำไม? อาชีพเหล่านี้ก็สงวนไว้สำหรับครอบครัวที่บ่มเพาะ อบรม ให้การศึกษากันมาดีโดยตลอดอย่างครอบครัวดี๋นี่ไง

ของอย่างนี้บางทีมันเป็นมรดกทางสายเลือด มารยาท รสนิยม มาสอนมาฝึกกันทีหลังไม่ได้หรอก พวกคุณเป็นชาวนาก็อยู่กับธรรมชาติ กับวัว กับควายไป จะมาอยากเรียนสาธิต เตรียมอุดมฯ หรือไปเรียนเมืองน่งเมืองนอกเหมือนคนอื่นเค้าได้ยังไง

ทุนทางชาติกำเนิด ทุนทางสังคม ทุนทางวัฒนธรรมมันต่างกัน - เธอเข้าใจไหมเรยา?

คนอย่างพวกเธอ ตะเกียกตะกายจบปริญญาตรีมหาวิทยาลัยเล็กๆ แล้วมาทำงานเป็นเซลส์ เป็นเสมียน เป็นข้าราชการชั้นน้อยๆ รู้จักนุ่งเจียม ห่มเจียม รู้จักถือศีล นั่งสมาธิ ทำตัวให้สอดคล้องกับสถานะทางสังคมของตนเองจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติดี ประพฤติชอบ สมควรได้รับการสนับสนุนส่งเสริม

เพื่อนๆ จำครอบครัวของป้ารุ่งพี่เลี้ยงของดี๋ตอนเด็กๆ ได้ไหม ข้าเก่าเต่าเลี้ยงประจำตระกูล จนถึงทุกวันนี้รุ่นหลานของป้ารุ่งก็ยังทำงานรับใช้ครอบครัวดี๋อย่างซื่อสัตย์ คุณพ่อคุณแม่ของดี๋รักครอบครัวนี้มาก ดูแลอย่างดี ไปเมืองนอกก็พาไปด้วยตลอด ทั้งป้ารุ่ง ลูก และหลาน ไม่เคยจะลุกขึ้นมากร่างตีตนเสมอเจ้านาย แต่งเนื้อแต่งตัวก็ให้ดูออกว่าเป็นเพียงคนรับใช้ติดตาม น่ารักเสียไม่มี แถมยังซื่อสัตย์ รักครอบครัวของดี๋สุดชีวิต เรียกได้ว่าแม้ชีวิตก็ให้ได้

ที่เป็นอย่างนี้เพราะเรายึดมั่นในธรรมเนียม และความมีน้ำใจแบบไทยๆ ที่ไม่เอาเงินเป็นตัวตั้ง แต่เรามีความผูกพันกันทางใจที่ประเมินค่าออกมาเป็นตัวเงินไม่ได้ต่างหาก

เรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ดี๋คิดว่าคนหยาบอย่างเรยาคงไม่มีวันเข้าใจ



ดี๋พูดถึงความเข้มแข็งของประชาธิปไตยจากหลายภาคส่วน นี่เพิ่งเสร็จไปส่วนเดียวคือส่วนว่าด้วยศีลธรรม จริยธรรม พอกันทีนักการเมืองที่เข้ามาโกงบ้านโกงเมือง นักการเมืองขวัญใจของดี๋อย่างคุณชวน ดูสิ ป่านฉะนี้ยังอยู่บ้านเช่า น่าชื่นชมเหลือเกิน หากประเทศเรามีนักการเมืองแบบคุณชวนมากๆ ป่านนี้คงเจริญรุ่งเรืองเรียบร้อยไปแล้ว

ภาคส่วนต่อไปคือภาคส่วนของสื่อมวลชนที่จะช่วยสร้างจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับประชาธิปไตย มิให้ชาวบ้านเป็นเหยื่อนักการเมืองและคอยกล่อมให้ชนชั้นกลางในเมืองเชื่อว่าชาวบ้าน ชาวนา กรรมกร ต่างก็มีความสุขในชีวิตตามวิถีทางตน เมืองไทยอุดมสมบูรณ์

คนมีน้ำใจ เราก็ยังอยู่กันมาได้ ถ้อยทีถ้อยอาศัย เรื่องเสรีภาพ เสมอภาคมันเป็นเรื่องของฝรั่งอย่างที่ดี๋บอก เชื่อดี๋เถอะ ดี๋อยู่มาแล้วหลายประเทศ สิ่งที่ดีสำหรับสังคมหนึ่งอาจจะไม่ดีสำหรับสังคมอื่นๆบนโลกนี่นา

ว่าแล้วดี๋เพิ่งไปขอทุนจาก ซซซ. (ย่อมาจากซวยซ้ำซ้อน) ซซซ. เนี่ยะเก็บภาษีบุหรี่ นารี มาได้เงินเพียบ เอาไว้มาแจกให้พวกเราทำงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ดี๋ไปขอทุนมาทำเรื่องสื่อกับประชาธิปไตย ประเดี๋ยวจะขยายไปเรื่องประชาธิปไตยกับผู้หญิง จากนั้นจะไปทำเว็ปไซต์ข่าวภาคประชาชน ดี๋ไปทาบทาม ศ. อนันไชย ทะเลพ่อค้า มาเป็นที่ปรึกษา แล้วคอยให้ข้อมูลเรื่องถุงเงินของพรรคการเมืองด้วย จะเปิดโปงให้หมดเชียว คอยดู๊

ประชาธิปไตยต้องเริ่มที่ความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมนะจ๊ะ เรยา ไม่ใช่การเลือกตั้ง

ด้วยรักและปรารถนาดี

ดี๋ (ลูกทูต)

ป.ล. เรยา ว่างๆ จากการล่าผู้ชาย ก็อ่านหนังสือบ้างนะจ๊ะ



++

ทัดดาว (หมดสภาพนางเอก)
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1608 หน้า 89


To กะทิ
Cc เรยา คุณดี๋ ดาวพระศุกร์ เด่นจันทร์ พี่ทอง


ในฐานะที่โดนพาดพิงไปหลายเรื่องทัดดาวคงต้องเขียนอะไรออกมาบ้าง

แต่เรื่องพี่ทองกับทัดดาวนั้นบอกตามตรงว่าทัดดาวก็คงไม่แก้ตัว คนเรารักกันก็เลิกกันได้

ทัดดาวแต่งงานกับ "เจ้าฮะ" คนซึ่งครั้งหนึ่งทัดดาวเคยรักเคยหลงใหล

อาจจะด้วยความเป็นเด็ก

อาจจะด้วยความไม่เดียงสาต่อโลกต่อชีวิต

อาจเป็นด้วยความปลื้มปีติที่ ณ ตอนนั้น ทัดดาวคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงธรรมดาสามัญ พลันได้รับความรักจากผู้ชายที่ทัดดาวเห็นว่าเขา

อยู่ในที่สูงเสียจนเกินเอื้อม ใครๆ เขาถึงบอกว่านี่คือเสน่ห์ของความรักข้ามชนชั้น

ด้านหนึ่ง ฝ่ายที่อยู่ในสถานะทางสังคมที่ต่ำกว่าก็หลงคิดว่าตนเองได้มีชัยเหนือหรือได้เข้าครอบครองอำนาจที่เคยอยู่สูงกว่าตน อีก

ด้านหนึ่งในฐานะที่ "ทัดดาวบุษยา" เป็นวรรณกรรมและละคร มันก็ได้ทำให้ผู้อ่าน ผู้ชม นวนิยายหรือละครเรื่องนี้เคลิ้มไปกับความรัก

โรแมนติกระหว่างพระเอกผู้สูงศักดิ์กับสามัญชน

ไม่ว่าทัดดาวกับเจ้าฮะจะเป็นไม้เบื่อไม้เมา เข้าใจผิด ขัดแย้งกันด้วยเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ในเชิงวรรณกรรมเรามีทางออกสำหรับคุณ นั่น

ก็คือทำให้ฝ่ายสามัญชนมีความสุขไปกับความฝันที่ว่า ความขัดแย้งในตอนต้นจะนำมาซึ่งการแต่งงานอันแสนสุขในภายหลัง ขอ

เพียงแต่นางเอกมีความอดทนมากพอและคงคุณภาพความดีแบบนางเอกเอาไว้ให้ตลอดรอดฝั่งไม่เสียผู้เสียคนไปเสียก่อนอย่างเรยา

ความรักของพี่ทองและกะทิก็ถูกหล่อเลี้ยงด้วยพล็อตเรื่องอันโรแมนติกเย้ายวนว่าด้วยดอกฟ้ากับเด็กวัดด้วยเหมือนกัน

เดิมทีพี่ทองก็หลงดีใจนึกว่าตนเองได้ conquer ชนชั้นที่อยู่สูงกว่าตัวเองด้วยความสัมพันธ์ทางเพศ (ทัดดาวไม่ได้ใส่ร้ายว่าพี่ทองกับกะทิเสียเนื้อเสียตัวให้กันแล้วนะ แต่พูดในแง่ของการที่ความสัมพันธ์ระหว่างกะทิกับพี่ทองนั้นเกินความเป็นเพื่อนไปแล้วแน่ๆ)

ในขณะที่ทัดดาวมีแฟนตาซีของการได้เป็นผัวเป็นเมียกับชนชั้นสูงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้

แต่กรณีของพี่ทองซับซ้อนกว่าของทัดดาวอีก เพราะพี่ทองยังหลงใหลได้ปลื้มว่าชนชั้นสูงที่ตนเองจะได้ไปเสพสังวาสด้วยไม่ใช่ชนชั้นสูงธรรมดา แต่เป็นชนชั้นสูงที่มีการศึกษาสูง ติดดิน ธรรมดา รักชาวนา รักชาวบ้าน รักชนบท มีอุดมการณ์ มีรากเหง้า ไม่ใช่ชนชั้นสูงที่สักแต่มีเงินอย่างโฉ่งฉ่าง แต่ใช้ชีวิตไร้แก่นสาร ไร้รสนิยม หรือพวกนายทุน พ่อค้า หน้าเลือด ไร้จริยธรรม

ทัดดาวคิดว่า ทัดดาวกับพี่ทองได้คุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะพอสมควร พอที่เราจะรู้เท่าทันความรักความหลงของตนเอง ประกอบกับเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงสี่-ห้าปีที่ผ่านมามันทำให้ทัดดาวต้องกลับมาทบทวนตัวเองอย่างหนัก ซึ่งเพื่อนๆ ก็คงได้อ่านกันไปบ้างแล้วว่าล่าสุด ทัดดาวกับพี่ดาวพระศุกร์ได้คุยอะไรกันไปบ้าง

กรณีพี่ดาวพระศุกร์ ตอนนี้ทัดดาวเริ่มขำๆ แกแล้วล่ะ ยิ่งรู้ว่าแกยังไปชุมนุมกับลุงจำลองที่สะพานมัฆวานอยู่เนืองๆ ทัดดาวคิดว่า คนอย่างดาวพระศุกร์ไม่น่ากลัวและน่ารังเกียจเท่ากับคนอย่างคุณดี๋หรือคนอย่างกะทิ

ทำไมคนอย่างคุณดี๋และกะทิถึงน่ารังเกียจ?



เพื่อนๆ เคยได้ยินสำนวนเห็บกระโดดหรือเปล่า? สันดานเห็บ หมาตัวไหนอ้วนพี ดูเป็นที่รักของคน มันจะกระโดดไปเกาะหมาตัวนั้น

เพราะฉะนั้น เห็บเหล่านี้จะไม่ยอมแสดงตัวอย่างชัดเจนว่าชอบหรือชังหมาตัวไหนเป็นพิเศษ ทั้งนี้ มันจะได้กระโดดไปเกาะที่ตัวนั้นที ตัวนี้ทีเป็นที่เบิกบาน

เห็บเหล่านี้มักจะเรียกตัวเองว่าเป็นพวกที่อยู่ตรงกลาง ไม่เลือกข้าง หรือบางทีพูดได้เพราะกว่านั้นว่าฝุ่นยังตลบอยู่เลย เห็บที่มีปัญญาย่อมไม่ด่วนตัดสินใจจนกว่าฝุ่นจะจางและวิสัยทัศน์เริ่มแจ่มชัดขึ้น บ้างก็ว่า เราต้องเป็นกลางจนกว่า "ความจริง" จะปรากฏ ความจริง


ปรากฏออกมาเมื่อไหร่เราจะยืนอยู่ข้างความจริง

ประทานโทษ เท่ชิบหายเลยครับท่าน -กว่าความจริงจะปรากฏ- ความเพิกเฉย ความดูดาย ความเลือดเย็น ความมึนชาของเห็บเหล่านี้คือเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับทรราชที่คิดสังหารประชาชน ในท่ามกลางเสียงคัดค้าน เสียงร้องขอ เสียงทัดทาน เสียงที่ออกมาห้ามไม่ให้ฆ่าประชาชนที่ออกมาชุมนุมตามสิทธิของเขา เพียงข้อเรียกร้องให้รัฐบาลเคารพในสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน คนเหล่านี้กลับปิดปากเงียบสนิท

ที่เคยไปตามงานแสดงนิทรรศการผลงานศิลปะ ที่เคยไปตามงานเปิดตัวหนังสือ ที่เคยตระเวนพูดตามเวทีต่างๆ พลันกิจกรรม "สร้างสรรค์" เหล่านี้กลับหายไปจากสังคมไทยในเวลานั้นอย่างไร้ร่องรอย

นักคิดนักเขียนที่ปกติเสียดสีเย้ยหยันรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างคมคาย หายไปเหมือนไม่เคยมีตัวตน (บ้างก็ว่าปลีกวิเวก บ้างก็ว่านี่ไม่ใช่กิจของศิลปิน บ้างก็ว่าปัญญาชนอิสระต้องเป็นอิสระจากการเมือง-ว้าววว)

คงไม่เป็นการเกินเลยหรอกที่ทัดดาวจะบอกว่า ปัญญาชนสาธารณะที่เพิกเฉย เงียบงัน ไม่ขยับปากบอกว่า "รัฐไม่มีสิทธิ์สั่งฆ่าประชาชน" ถึงวันนี้พวกคุณคือส่วนหนึ่งของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกลางเมืองหลวงในปีที่แล้ว


และในทางหนึ่ง มันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกคุณได้มีส่วนร่วมในการฆ่าประชาชนทางอ้อม

พวกคุณคือส่วนหนึ่งของฆาตกร ไม่นับว่าหลายคนในบรรดาเห็บส่งความคิดเห็นในพื้นที่ของ social media ในลักษณะดิสเครดิตการต่อสู้ของประชาชนอยู่เป็นอาจิณ- ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลหรอกนะ (เพราะนักการเมืองก็เลวเท่ากันหมด) แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม เกลียดพวกแกนนำ หยาบคาย บ้านนอก สมุนรับใช้นักการเมือง ประชาชนก็ถูกหลอกให้มาตายเพื่อคนคนเดียว บลา บลา บลา ดังนั้น คนมีปัญญาอย่างเรานั่งใช้สติตรึกตรอง ชั่งน้ำหนักข้อมูลและเหตุผลกันเถิด อย่าไปทำตัวเหมือนอีพวกนักเขียนเลือกข้างที่ออกมา ทุรนทุราย ด่าทอ โวยวาย ไม่ลึกซึ้ง ไม่สมกับเป็นปัญญาชนเอาเสียเลย

ทัดดาวมีเพื่อนเป็นนักเขียน ช่วงที่สถานการณ์วิกฤติและคิดไม่ตกไปนั่งไฮทีจิบน้ำชาปรับทุกข์กับพี่ดาวพระศุกร์ในโรงแรมห้าดาวอยู่เนืองๆ นั้น มีเพื่อนที่เป็นนักวิชาการส่งอีเมลมาแลกเปลี่ยนความเห็น ปรับทุกข์เรื่องกลัวประชาชนจะถูกฆ่าบ้าง ทั้งหารือว่าพวกเราจะทำอะไรได้บ้าง- ทัดดาวคิดว่าตัวเองเป็นแค่นางเอกสมองกิมกลวง เลยคิดว่าส่งไปให้เพื่อนนักเขียนบางคนได้อ่านบ้างดีกว่า เผื่อช่วยกันคิด แต่กลับได้คำตอบมาว่า "ขอร้อง จะส่งอะไรมาให้ช่วยดูด้วยว่าปลอดภัยต่อคนรับหรือเปล่า? เราไม่สะดวกใจที่จะรับข้อมูลทำนองนี้"

ตอนนั้นทัดดาวได้แต่หมายหัวว่า "อย่าให้กูเห็นมึงมาทำตัวฉลาด พูดหรือเขียนอะไรเท่ๆ เพื่อแสดงศักยภาพทางปัญญาต่อสาธารณชนอีกเชียว กูจะแฉ"



วันนี้เรากำลังจะมีการเลือกตั้งที่แลกมาด้วยชีวิต ความตาย ความยากจน หายนภัย เสรีภาพ ภาวะล้มละลายทั้งทางวัตถุและจิตใจของคนไทยเกือบครึ่งประเทศ จู่ๆ ฆาตกรเห็บเหล่านี้ก็บังเกิดอาการกระดี๊กระด๊าอยากจะเป็นนักสิทธิมนุษยชน นักประชาธิปไตย นักเรียกร้องเสรีภาพ

บทบาทนี้ดำเนินควบคู่ไปกับการตรวจสอบนักการเมือง อาการท้อแท้สิ้นหวังกับคุณภาพของพรรคการเมือง จากนี้ไปธารน้ำใจจะหลั่งไหลสู่มวลชนชาวชนบทในฐานะผู้ไม่รู้เท่าทันนักการเมือง ถูกซื้อด้วยนโยบายประชานิยม ถูกซื้อเสียง (แต่ไม่ยักจะสนใจเรื่องการโกงการเลือกตั้ง) ก่อนจะมาสู่ข้อสรุปที่บอกว่า ตราบใดรากเหง้าของปัญหาในสังคมไทยยังไม่ได้รับการแก้ไข ตราบนั้นประชาชนก็จะเป็นเหยื่อนักการเมือง เป็นเครื่องมือของนักการเมืองในการออกมาต่อสู้ ก่อนจะถูกนักการเมืองทรยศกันอีกครา

ถามต่อไปว่า แล้วรากเหง้าปัญหาของสังคมไทยอยู่ที่ไหน ก็จะได้คำตอบเป็นสูตรสำเร็จว่า นักการเมืองเห็นแก่ตัว ความเหลื่อมล้ำของสังคมเมืองกับชนบท ปัญหาการกระจายอำนาจ

ทีนี้พอชาวบ้านออกเรียกร้องให้กระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น บรรดาผู้รู้ดีเหล่านี้ก็จะหายเข้าไปในรูรังของตนเอง รอคอยจังหวะและโอกาสมาสำแดงวิสัยทัศน์หลังฝุ่นตลบเก็บแต้มกันไปตามฟอร์ม


บรรดาคณะกรรมการของคุณตาของกะทิก็เหมือนกันทำไมต้องรอให้ได้งบประมาณถึงพันสองร้อยล้านถึงจะออกมาสรุปได้ว่า "ต้องไม่มีการทำรัฐประหารอีก"

โห...คนตาย คนติดคุกกันไปตั้งเยอะ อีตอนที่มีรัฐประหาร ไม่เห็นออกมาร้องกันสักแอะว่า รัฐประหารมันเป็นสิ่งที่ไม่พึงอนุญาตให้มีขึ้นในสังคมที่ต้องการการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง

ถ้าคุณตาของกะทิและเพื่อนออกมาพูดสักคำในตอนนั้น ทัดดาวอาจ enlighten ได้เร็วกว่านี้

ล่าสุด คุณตาของกะทิไปกินยาอะไรมาไม่ทราบ คึกใหญ่เลย ออกมาบอกว่าพรรคที่ได้เสียงมากที่สุดมีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลก่อน แหม... คุณตาคะ...จะให้ทัดดาวชมไหมว่า มาช้ายังดีกว่าไม่มา หรือมันก็แค่การออกมาแทงไฮโล เผื่อสูง เผื่อต่ำ ของคุณตาตามเคย เผื่อรัฐบาลใหม่จะล้างบัญชีมาเฟีย ซซซ. ที่เรยาเรียกว่าเป็นองค์กรซวยซ้ำซากซวยซ้ำซ้อนของประชาชนตาดำๆ คุณตาจะได้ไม่พลอยซวยชวดอำนาจในการบริหารงบฯ ไปด้วย-ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมดค่าหมดบารมีกันเลยทีเดียวเชียว

เห็นแก่หัวอกคนดื่มเหล้าสูบบุหรี่อย่างทัดดาวบ้างเทอะ เวลาถลุงหมุนงบประมาณกันไปมาในหมู่พรรคพวกเครือข่ายของตนเอง ไม่อย่างนั้นอีกหน่อยจะกลายเป็นกลุ่มผลประโยชน์ เป็น oligarchy แอนด์สปีชี่ใหม่ของสังคมไทย คล้ายๆ กับที่ทัดดาวไปอ่านเจอมาในบทความของใบตองแห้ง http://www.prachatai3.info/journal/2011/06/35276

ใครสนใจไปหาอ่านกันเองนะคะ มันแซบเหลือหลาย



ทัดดาวคงไม่มาเถียงคุณดี๋ หรือกะทิในทางหลักการหรือทฤษฎีอะไรนะ เพราะมันไม่มีทฤษฎีอะไรในความขัดแย้งทางการเมืองไทยครั้งนี้ นอกจากขบวนการสกัดดาวรุ่งไม่ให้ประชาชนได้ผุดได้เกิดได้มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

ชนชั้นนำคิดอะไรอยู่ ทัดดาวไม่รู้ รู้แต่ว่า คนอย่างพวกเธอ คุณดี๋และกะทิเป็นพวกที่กลัวว่าวันหนึ่งหากประชาชนรู้เท่าทันคนอย่างพวกเธอขึ้นมา มันก็หายนะเท่านั้น เพราะประชาชนที่ออกมาเรียนรู้ทางการเมืองจากประสบการณ์ของตนเองเหล่านี้เขาจะไม่มีพื้นที่ให้กับเห็บที่กระโดดไปกระโดดมาคอยเกาะกระแส คอยดูทิศทางลมว่าอยู่กับฝั่งไหนแล้วจะได้หน้าได้ตาได้ทุนไปทำมาหากิน ได้ความนิยมชมชอบจากมหาชนแฟนคลับสมองกลวงเท่ากันกับพวกเธออีกต่อไป

ถึงวันนั้นพวกเธอจะไม่สามารถทำมาหากินกับคำว่า ธรรมชาติ รากเหง้า ความเป็นไทย น้ำใจอันงดงาม วิถีชีวิตอันเรียบง่าย การถูกทำลายจากวัฒนธรรมตะวันตก การหลงลืมมรดก ศิลปะอันมีค่าของชาติไทย และอะไรอื่นอีกทำนองนี้ได้อีกต่อไป


มุขแจกปิ่นโตโหยหาอดีตก็จะไม่เวิร์กเพราะถึงวันนั้นชาวนาจะใช้กล่องข้าวที่เก็บความร้อน รักษาอุณหภูมิให้อาหารอุ่นอร่อยได้เสมอ

หรือชาวนาเดี๋ยวนี้มีรถยนต์ มีมอเตอร์ไซค์ ขี่รถปื้ดเดียวกลับมากินข้าวที่บ้านได้ จะมาเก๋ไก๋โรแมนติกห่อข้าวไปกินกลางทุ่งทำไมเล่า เว้นแต่จะอยากได้บรรยากาศปิกนิกแก้เบื่อก็ค่อยว่ากัน

ส่วนพวกเราคนเมืองสมัยนี้เรายังต้องการปิ่นโตเถากันอีกหรือ ในเมื่อเรามีทั้งตู้เย็น ไมโครเวฟ ร้านอาหารทั้งถูกและแพงก็มีอยู่อย่างดาษดื่น

ส่วนตัวของทัดดาวก็มีบ้างหรอกที่คึกคักลุกขึ้นมาทำกับข้าวใส่ปิ่นโตไปที่ทำงานเพื่อสร้างภาพแม่ศรีเรือนแสนละเอียดอ่อน เก๋ไก๋สไตล์เรโทรให้เพื่อร่วมกันกิ๊วก๊าว ถ่ายรูปอวดกันในเฟซบุ๊ก แต่อย่างว่า ยังไงก็ต้องเอาไปอุ่นในไมโครเวฟก่อนกินอยู่ดี

แล้ววันไหนหิ้วปิ่นโตก็ต้องขับรถไปทำงานเอง ขึ้นรถเมล์ หรือโหนรถไฟฟ้าจะหิ้วปิ่นโตต่องแต่งก็คงตลกเพราะหน้าตาไม่ได้สวยอย่างน้องนางเอกหนังรถไฟฟ้ามาหานะเธอเสียด้วย เอ๊ะหรือถ้าสวยเท่าอดีตนางสาวไทย หิ้วปิ่นโตขึ้นรถไฟฟ้าคงเป็นข่าวดังเป็นเรื่องน่ารักกิ๊บเก๋รักรากรักไทยอะไรไปกันอีกแบบ



จดหมายฉบับนี้ขึ้นต้นไปลำไม้ไผ่ ลงท้ายเป็นบ้องกัญชา เพราะทัดดาวกำลังเฝ้าดูกระแสเห็บในท่ามกลางกระแสการเลือกตั้ง กำลังนั่งสังเกตพฤติกรรมเห็บทางปัญญาในสังคมไทย ก็เห็นแต่ว่าตอนนี้กำลังกระโดดหยองแหยงแทงกั๊กกันอย่างมีสีสันน่าสนใจ

แต่ทัดดาวชอบเห็บที่กระโดดนะ อย่างน้อยยังคึกคักกระโดดไปกระโดดมาได้บริหารสมอง เพราะยังมีเห็บบางประเภทหลับสนิท ดูดเลือดกันพุงปลิ้นไม่สนใจว่าใครจะเป็นจะตาย กูมีความสุขกับโลกใบเล็กและความดีเล็กๆ รอบรัศมีเห็บของกูนี่แหละ

ทัดดาวอิจช้า-อิจฉาพวกเห็บหลับเนี่ยะ หรือเด่นจันทร์ว่าไง?

ทัดดาว (โสดตามกฎหมาย)


.